- 24 -
(part2)
“ตอนแรกนะแม่กับพ่อเถียงกับแทบตายว่าจะเอาหลังไหน ตัวพ่ออยากได้ตกแต่งสไตล์ Modern Luxury ส่วนแม่อยากได้แบบ Neo Spanish เหมือนบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายแม่ก็ชนะ อ้างว่าแบบโมเดิร์นใครๆ เค้าก็แต่งกัน อีกอย่างพ่อเค้าเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านนักหรอก พ่อเค้าเลยตามใจแม่”
แม่เกศเล่าความหลังให้ฟังขณะพาผมทัวร์รอบบ้านที่น่าอยู่หลังนี้ นอกจากลิฟต์ที่ทำให้ผมตะลึงแล้วยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆภายในที่ทำให้ผมอึ้งอีกเช่น ควบคุมไฟฟ้าด้วยรีโมททั้งหมด ปรับอุณหภูมิน้ำในสระได้ มีห้องเก็บไวน์ ห้องโฮมเธียเตอร์ โรงจอดรถติดแอร์ บลาๆ ทำเอาผมละลานตา
“สำหรับผมบ้านราคา 10 ล้านหรือ100ล้านไม่ต่างกันเลยครับ”
“หืม? ทำไมหรอจ๊ะ?”
“ไม่มีปัญญาซื้อเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ” สิ้นคำแม่เกศก็หัวเราะตามผม “เอาจริงๆผมว่าบ้านราคาเท่าไหร่ไม่สำคัญหรอกครับ ขึ้นอยู่กับว่าในบ้านนั้นมีใครอาศัยอยู่มากกว่า เวลากลับบ้านไปแล้วรู้สึกสงบ อบอุ่น ผ่อนคลายนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว”
“จริงที่สุด กลับบ้านมาแม่เหงาทุกที อยากให้เจ้าโทกลับบ้านบ้าง เอาแต่อยู่คอนโด รู้งี้ไม่น่าซื้อให้เลย ยึดกลับซะดีมั้ยเนี่ย”
“บ่นอะไรครับแม่” ตายยากจริง พูดถึงก็โผล่มาเลย
“บ่นถึงเราแหละ ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง มัวแต่ไปกกสาวที่ไหนไม่รู้ ลืมแม่แล้วมั้งเนี่ย”
“ไม่ลืมครับ แถมไม่ได้ไปกกสาวที่ไหนด้วย” คนเป็นลูกอ้อนแม่โดยการสวมกอดจากด้านหลัง ผมมองภาพนั้นอย่างอบอุ่น แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนอารมณ์ทันทีเมื่อเห็นว่าไอ้โทขยิบตามาให้ตอนที่พูดประโยคท้าย
“ไม่จริงครับ น้องเกี๊ยว น้องแตงโม น้องแบม น้องน้ำตาล นี่หายไปไหนซะละ ยังไม่รวมที่ผมไม่รู้จักชื่ออีกนะครับ” ฟ้องครับฟ้อง แบบนี้มันต้องรายงานให้คุณแม่รับรู้พฤติกรรมของลูกชายตัวเอง
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย”
“นี่แหนะ แม่บอกแล้วไงว่าอย่าพาสาวขึ้นคอนโด แม่ไม่ชอบ”
“เปล่าครับ ผมไม่เคยพาสาวขึ้นห้องเลยนะ”
“มีแต่ไปหาล่ะสิ” ผมยักคิ้วให้อย่างเป็นต่อ
“โอ๊ย ไม่คุยด้วยแล้วปวดหัว ไปนะโม เราไปกินข้าวกันดีกว่า นี่มันก็เย็นมากแล้ว ป่านนี้ป้าจิตเตรียมอาหารเสร็จแล้วมั้ง” แม่เกศเดินมาคล้องแขนผม “ ส่วนเจ้าโท ไปตามพี่เอกด้วย รายนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายก็อย่าได้หวังว่าจะกลับไทย ลูกแต่ละคน เห้ออออ”
เมื่อมาถึงห้องอาหาร นั่งรอสักพักพี่เอกและไอ้โทก็ตามมา ทิ้งตัวลงรงข้ามผมทั้งคู่ หัวโต๊ะคือคุณแม่เกศ พี่หญิงเริ่มตักข้าวให้แต่ละคน กับข้าวตรงหน้ามีหลายอย่างซึ่งดูน่ากินทั้งนั้น และในเมื่อคุณแม่บอกไม่ต้องเกรงใจ ผมก็ไม่เกรงใจละนะครับ
บอกตามตรงผมไม่ค่อยกดดันเท่าไหร่ ทั้งๆที่เคยคิดว่าหากได้มานั่งกินข้าวในบ้านหรูๆเหมือนในละครคงอึดอัดน่าดู แต่มันไม่ใช่เลย แม่เกศชวนคุยอย่างสนุกสนาน ไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกิน เอาจริงๆผมว่าท่านคงมีความสุขที่ได้เห็นลูกทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา แม่เกศแอบบ่นเสียดายที่คุณพ่อมีธุระงานเข้าด่วน ไม่อย่างนั้นบนโต๊ะคงจะสมบูรณ์มากกว่านี้
ไอ้โทก็เช่นกัน มันดู...ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่วางท่า ไม่ดูหยิ่งเหมือนที่ผมรู้จักมา จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่าไอ้โทเนี่ยเป็นคนที่ผมไม่สนิทใจ ดูมีอะไรปิดบังอยู่ข้างใน ยิ่งบวกกับภายนอกรูปลักษณ์ที่ให้มาดคุณชาย หยิ่งผยองและเย็นชา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเหมือนผมรู้จักมันมากขึ้นกว่าเดิม คงเป็นเพราะเหตุการณ์หลายๆอย่างที่ผ่านมา ทั้งดีและร้าย
หลังทานข้าวเย็นเสร็จ คุณแม่ก็ปล่อยให้พวกเราพักผ่อนตามอัธยาศัย พี่เอกเป็นคนแรกที่ลุกขอตัวไปข้างนอก
“ไปด้วยกันมั้ยนะโม?”
“ไม่ไป” เอ่อ ผมไม่ได้ตอบนะครับ น้องชายของพี่เอกต่างหาก
“ไม่ได้ถามมึง”
“รีบๆกลับเยอรมันไปได้แล้วไป”
“ดูสินะโม ไอ้โทมันไล่พี่”
“ไอ้พี่เอก” คนน้องทำเสียงเข้ม ผิดกับคนพี่ที่มีสีหน้ายียวนกวนประสาท
“หึหึ ไม่แกล้งล่ะ ไปดีกว่า”
พี่เอกออกไปแล้ว ทิ้งให้เหลือเพียงผมกับไอ้โทที่ขมวดคิ้วยุ่งยาก คราวนี้แหละผมเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะไปไหนต่อหรือทำอะไรดี ปกติแล้วถ้าอยู่ห้องคนเดียวผมคงนอนอ่านการ์ตูนและก็ออกไปทำงาน
แต่นี่ผมไม่ได้อยู่คนเดียวและไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง ผมมาที่นี่เพื่อดูแลมัน จากการประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ ไอ้โทก็ดูปกติดีทุกอย่าง อาหารการกินป้าจิตก็เตรียมไว้ให้อยู่แล้ว ผมควรดูแลอะไรมันอีกล่ะ?
“พาไปอาบน้ำหน่อย”
นั่นไง ไม่ต้องคิดแล้ว คนป่วยร้องขอมาเอง
“เป็นหมาหรอไง? ต้องพาไปเดินเล่นทุกเช้าด้วยมั้ย?” รู้ว่ามันคือหน้าที่ แต่ขอแขวะสักนิดเถอะ
“ใช่ หมาตัวนี้มีเจ้าของแล้วด้วยนะ” มันพูดหน้านิ่งก่อนจะลุกเดินนำไปยังห้องนอนของมัน ผมเดินตามอย่างช่วยไม่ได้ ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ
แค่อาบน้ำให้มัน ไม่ได้อาบด้วยกันซะหน่อย...
มันบอกว่าปกติแล้วพี่บัวจะเตรียมน้ำให้ แต่พอมีผมมาดูแลแบบนี้ผมก็ต้องทำหน้าที่นั้นแทน
อ่างจากุซซี่หรูหราถูกทิ้งร้าง ภายในห้องน้ำแบ่งเป็นสัดส่วน ผมเลือกที่จะเดินไปยังห้องอาบฝักบัว
“กูผสมน้ำไม่เป็น อาบฝักบัวไปละกัน” ผมบอกขณะที่มันกำลังถอดเสื้อยืดออกทางศีรษะ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องสุขภาพดี สายตาไล่ขึ้นไปอีกนิดจะเจอกับแผลผ่าตัดบริเวณรอยต่อหน้าอกกับช่วงท้องเยื้องไปทางซ้าย
แผลโดนน้ำได้แล้ว แต่ก็ยังต้องคอยทำความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
“เจ็บไหม?” หลุดถามออกไป สายตาจดจ้องไปยังแผลน่ากลัวนั่น
“เจ็บ” คนตรงหน้าตอบพร้อมกับค่อยๆก้าวเข้ามาหา “แต่มันคงเจ็บไม่ถึงครึ่งหนึ่งกับสิ่งที่กูเคยทำกับมึงไว้”
หัวใจผมกระตุกวูบ ขาก้าวถอยหลังอัตโนมัติ
อีกฝ่ายเห็นท่าทีของผมจึงได้หยุดอยู่แค่นั้น
“มึงออกไปเถอะ กูอาบเองได้” ใบหน้ามันยิ้มเศร้า “แค่มึง ไม่หลบหน้าเหมือนเมื่อก่อนก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ร่างสูงหันหลังเดินตรงไปยังอ่างล้างหน้า ใช้มือเท้าแขนเพื่อทรงตัว
กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพผู้ชายสองคน คนหนึ่งระยะใกล้ อีกคนระยะไกล ต่างฝ่ายต่างมองกันผ่านกระจก ราวกับจะวัดใจ
“ไม่ถอดกางเกงแล้วจะอาบยังไง?” เป็นผมเองที่เอ่ยปากออกมาก่อน ลบบรรยากาศน่าอึดอัดนี่
คนฟังพอได้ยินก็รีบหันกลับมาพร้อมกับเอียงคอและยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“จะให้ถอดจริงเหรอ” ไอ้โทค่อยๆดึงกางเกงสามส่วนออกจากสะโพก ทุกอิริยาบถราวกับจงใจจะยั่วยวน นี่ถ้าหากมีกล้องตั้งไว้จะเข้าใจผิดว่ามันกำลังถ่ายแบบก็ไม่แปลก
ก้อนเนื้อด้านในอกซ้ายของผมกำลังเพิ่มจังหวะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ไอ้โทยังถอดไม่เสร็จ มันค้างขอบกางเกงไว้อย่างหมิ่นเหม่ ร่างสูงเดินตรงเข้ามาหา ผมละสายตาไปจากมันไม่ได้เลย เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดผมไว้ ความทรงจำเลวร้ายแว๊บเข้ามาในหัวก่อนที่หายไปอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างผมกับมันน้อยลงเรื่อยๆ
แต่แล้วคนตรงหน้ากลับหยุดนิ่ง
“มึงไม่หนีกูแล้ว”
จริงด้วย...ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันมีจุดประสงค์อะไรถึงได้เดินดุ่มๆเข้ามาแบบนั้น หากเป็นเมื่อก่อนผมคงหนี
“ส่วนนี่ก็ระยะห่าง1เมตร ข้อตกลงของเรา กูไม่ได้ผิดสัญญานะ” มันยิ้ม ยิ้มแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน กับสาวๆในคลังของมันผมก็เคยเห็นว่ามันยิ้มให้ แต่ดูเป็นรอยยิ้มฝืนๆที่สมองสั่งให้ยิ้ม ไม่เหมือนตอนนี้ ออร่ารอบๆตัวมันดูสดใสมีความสุข ยิ้มมาจากจิตใจข้างในของมันจริงๆ
“ที่มึงยอมตกลงมาดูแลกูแบบนี้ กูขอบคุณมึงมาก ไม่ว่ามึงจะยอมตกลงด้วยเหตุผลอะไร ถ้าตัวกูหรือแม่กูขอร้องให้มึงทำในสิ่งที่มึงไม่ชอบก็ปฏิเสธได้เลยนะ ที่ผ่านมากูทำเหี้ยไว้เยอะจนไม่อาจให้อภัยได้ กูจะไม่อ้างอะไรทั้งนั้น ที่ทำผิดไปทั้งหมดมันคือตัวกูเอง มีช่วงเวลาหนึ่งที่กูคิดว่ากูกับมึงคงไม่มีโอกาสได้พูดดีต่อกัน ไม่มีวันที่มึงจะยอมหันหน้ามาคุยกับกูดีๆแบบนี้ บอกเลยว่ามันทรมานมาก แต่กูไม่ยอมแพ้หรอกนะ ความรักของกูมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กูจะไม่ยอมทำร้ายความรักของตัวเองอีกเด็ดขาด”
ผมยืนฟังอยู่แบบนั้น ซึมซับทุกถ้อยคำที่มันตั้งใจพูดออกมา
“และตอนนี้ ตรงนี้ มึงยอมหันหน้ามาคุยกับกูดีๆ ไม่วิ่งหนี ไม่ถอยห่าง กูขอบคุณมึงมากจริงๆ ส่วนรอยแผลนี้มันจะเป็นเครื่องเตือนใจให้กูเสมอว่ากูทำผิดพลาดอะไรมาบ้างจนเกือบทำคนที่ตัวเองรักหลุดมือไป” ไอ้โทยกมือขวามากุมแผลไว้
“แผลแค่นั้นมันไม่ได้ครึ่งกับที่กูเจ็บ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้บ่งบอกถึงความโกรธภายในจิตใจ ผมปล่อยวางแล้ว แต่ที่พูดนี่เพื่อย้ำสติมันให้รู้สึกผิดเข้าไปอีก
เพราะนี่คือเวลาเอาคืนของผม
“กูขอโทษ”
ได้ผล ไอ้โทพูดเสียงอ่อย เคยเห็นหมาหงอยมั้ยครับ มาดูหน้ามันตอนนี้ได้ แม้อยากจะขำแค่ไหนแต่เราต้องเกร็งไว้ ห้ามหลุด เดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเราใจอ่อน
“กูโง่เองที่ยอมให้ความโกรธโมโหบังความจริงทุกอย่าง ตอนนั้นกูยอมไม่ได้จริงๆที่เห็นมึงไปทำอาชีพแบบนั้น ทั้งๆที่กูเฝ้าทำดีกับมึงทุกอย่าง”
ใช่ ผมรู้ การที่มันทำดีกับผมโดยไม่บอก แอบทำโน่นทำนี่ให้ตั้งแต่ปี 1 ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยสนิทใจกับมันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
ผมปล่อยให้มันพล่ามต่ออีกหน่อยก่อนจะขัด
“พูดจบรึยัง?”
โอโห จังหวะดี สีหน้าเคร่งขรึม มีรางวัลออสการ์ให้ผมไหม สาขาไหนก็ได้ ไอ้โทจ๋อยไปแล้วครับท่าน
“กูจะไม่ทำให้มึงเสียใจอีก”
ผมหายใจติดขัดเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป
โอ๊ย หัวใจ มึงจะเต้นแรงทำไมเนี่ย จะไปแกล้งเขาเสือกโดนเล่นงานกลับซะเอง ไม่ๆๆๆๆ ผมต้องไม่หวั่นไหว ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น!
ผมเปิดเกมPlay Station4 เล่นแบบไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสจับเจ้าเครื่องนี้แบบเป็นๆ มีเงินซื้อแค่เครื่องอย่างเดียวไม่พอนะครับ ต้องมีเงินซื้อเกมมาเล่นด้วย แต่ละเกมนี่ก็ราคา1พันถึง2พันทั้งนั้น ซึ่งไอ้โทก็มีเกือบครบทุกเกมซะด้วยสิ ทั้ง Bloodborne, Until Dawn, Uncharted4, Battlefield4, Dark Souls III, FIFA, GTA และเกมอื่นๆอีกมากมาย ละลานตา สวรรค์สิทีนี้
เล่นเพลินจนไม่รู้ตัวว่าเจ้าของแอบมานั่งดูตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมหันกลับไปก็เจอคำท้าทายส่งมา
“ฟีฟ่าเปล่าน้อง”
ท้าคนผิดแล้วพี่ ถึงจะไม่มีเจ้าเครื่องนี้ที่ห้องแต่บอกเลยผมสิงที่ตู้เกมในห้างมาก่อนนะครับ อย่างตอนม.ปลายนี่พนันกับเพื่อนเลยว่าคนแพ้หยอดเหรียญ ซึ่งนานๆทีผมจะได้หยอด ส่วนใหญ่เล่นฟรี หุหุ
แต่ขณะที่ไอ้โทกำลังย้ายลงมานั่งกับพื้นเหมือนผม สายตาดันเหลือบไปเห็นแผลมันซะก่อน ก็มันเล่นไม่ใส่เสื้อ โชว์พุงอยู่ได้ แอร์ในห้องก็เปิดซะหนาว มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กห้อยคออยู่
ก่อนหน้านี้พี่บัวเอายามาวางให้เรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล เจ้าตัวรู้ว่าผมจะทำอะไรจึงได้ขึ้นไปนั่งบนเตียงเหมือนเดิม
“ทำไมไม่ไปล้างแผลที่คลินิกหรือโรงบาลวะ แบบนี้เกิดติดเชื้อขึ้นมาโทษกูไม่ได้นะ” เตือนมันไว้ก่อนครับ จะได้ไม่ต้องมากล่าวหาผมทีหลัง คนยิ่งไม่มีความรู้ทางการแพทย์อยู่ด้วย
“ดี มึงจะได้อยู่ดูแลกูต่อ”
อะ..ไอ้บ้า...หยอดหนักเกินไปแล้วนะมึง ถึงหน้ากูจะหนาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขินไม่เป็นนะสาดดดดด
พยายามไม่มองหน้ามัน อาศัยแผลเป็นจุดศูนย์กลาง อย่าหวังว่าจะทำอะไรกูได้ กะอีแค่กล้ามเนื้อลอนเป็นคลื่น ผิวขาวเนียน ลำตัวไม่ได้หนาขนาดนักเล่นกล้ามแต่ก็ไม่ได้บางแบบคนขี้โรค รูปร่างมันสุขภาพดีสมบูรณ์แบบคนออกกำลังกาย แต่หน้าอย่างมันเนี่ยนะจะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา? เหอะ กีฬาในร่มล่ะสิไม่ว่า
ส่วนตัวผมก็แอบมีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี เล่นทำงานเดินเสิร์ฟทุกวันกล้ามแขนก็ต้องมาบ้างแหละน่า (ปลอบใจตัวเองอยู่)
ผมทำความสะอาดแผลให้มันด้วยความเงียบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไป กลัวว่าสายตาคมจะจับจ้องผมอยู่
Rrrrrrr Rrrrrrr
เสียงริงโทนมาตรฐานที่ติดมากับเครื่องแผดลั่น ตัวเครื่องสั่นอยู่หน้าทีวี ผมวางสำลีในมือ ลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ คนที่โทรมาไม่ใช่ใคร
/โมทำไรอยู่/
“ทำแผลให้ไอ้โทอยู่” บอกมันไปโต้งๆงี้แหละครับ
/มันกินยายัง?/
หือ อย่างปกป้องเนี่ยนะจะเป็นห่วงไอ้โท
/บอกมันหายไวๆ โมจะได้ไม่ต้องดูแลมัน/
อ้อ เปล่า
“เออ เดี๋ยวบอกให้” ผมเอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้ที่หู ส่วนมือก็ดำเนินการทำความสะอาดแผลให้คนตรงหน้าต่อ เหลือบมองมันก็พบว่าไอ้โทมองที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
/แล้วโมกินข้าวยัง/
“กินแล้ว”
/กินกับใคร/
“ก็ครอบครัวไอ้โทแหละ แล้วมึงล่ะกินยัง?” ผมถามคนในสายพร้อมกับปิดผ้าก๊อซให้คนตรงหน้า
/กินแล้ว ไปกินหมูย่างเกาหลีกับพี่แป้งมา/
“อืม” เก็บอุปกรณ์เข้าที่ เดินไปวางที่โต๊ะหนังสือ เปลี่ยนมาให้มือซ้ายถือโทรศัพท์แนบหูเหมือนเดิม คนในสายเล่าเรื่องปัญหาหมูย่างไหม้ให้ฟังในขณะที่ไอ้โทใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้วและกำลังจะปิดเครื่องเล่นPlay Station4
“เห้ย เดี๋ยว จะปิดแล้วเหรอ” ผมเผลอร้องห้ามออกไป
/โมว่าไรนะ?/
“อ๋อเปล่า ไอ้โทแม่งจะปิดเพลย์สี่”
“ไปอาบน้ำแล้วค่อยมาเล่น” มันยืนมองผมที่คุยโทรศัพท์อยู่
“เออๆ งั้นเดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ แค่นี้ล่ะ”
/โอเค เดียวผมไลน์หา ตอบด้วย/
ผมกดวางสายแล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกไอ้โทว่า
“อย่าเพิ่งปิดนะมึง กูขออาบน้ำแป๊บเดียว”
พูดจบก็คว้าชุดนอนเน่าๆวิ่งเข้าห้องน้ำ ผมถูตัวอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันด้วยความไวแสง 5 นาทีต่อมาผมก็กลับมาประจำที่เดิม
ไม่ได้ห่วงเล่นเกมเลยจริงๆนะ
“จะรีบอะไรขนาดนั้น เครื่องมันไม่หายไปไหนหรอก”
“กลัวมึงปิด”
ไอ้โทขำ ก่อนจะยื่นจอยมาให้
จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอบตัวแล้วครับ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นอย่างเดียว ไอ้โทแม่งฝีมือใช้ได้อยู่เหมือนกัน บุกทำประตูจนผมต้องเปลี่ยนกองหลังไปหลายตัว ส่วนผมก็ไม่น้อยหน้านะ เรื่องต่อบอลขอให้บอก สรุปแล้วเราสองคนผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ บางตาก็เสมอ
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบเที่ยงคืน ผมเล่นเพลินจนไม่รู้ตัวเลยว่าระหว่างผมกับไอ้โทนั้นขยับใกล้ชิดกันมากขึ้น จนกระทั่งหัวเข่าที่ผมนั่งขัดสมาธิโดนหัวเข่ามันนั่นแหละ...ถึงได้รู้...
แต่กลับไม่มีใครเขยิบออกห่าง ปล่อยให้หัวเข่าชนกันแบบนั้น
“เฮ้ย! ไรวะโดนยิงเฉย ล้ำหน้าเห็นๆ กรรมการไม่เป่าวะ โธ่” ผมมัวแต่โฟกัสเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไงละ โดนยิงเลยกู เกมสุดท้ายก่อนนอนกลับต้องหัวร้อนเพราะแพ้ไปด้วยสกอร์ 4-3
“มึงกากเอง”
“กูง่วง เลยอ่อนให้หรอก” ข้ออ้างของผมเยอะครับ ไม่ยอมรับง่ายๆหรอกว่าแพ้ ฮ่าๆๆๆ
ไอ้โทปิดเครื่อง สมควรเวลาแก่การนอนได้แล้ว ผมตรงไปยังโซฟาเพื่อที่จะนอน แต่ไอ้โทมันขัดขึ้นซะก่อน
“มานอนบนเตียง”
ผมยังไม่ขยับ
“ไหนบอกจะไม่บังคับกูไง กูมีสิทธิปฏิเสธ มึงพูดเอง” อย่าบอกนะว่าลืม เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง
“เปล่า กูจะไปนอนตรงนั้นแทน”
Next Chapter >> - 25 -ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ เข้าใจทุกความรู้สึก แพรวางพลอตไม่ดีแต่แรกเองค่ะเรื่องเลยออกมาเป็นแบบนี้ ขอโทษคนอ่านทุกคนด้วยนะคะที่ทำได้ไม่ดีพอ T_T
ปล.ตอนนี้แพรได้งานประจำทำแล้วนะคะ การอัพนิยายอาจจะช้าลง รออะไรๆให้เข้าที่เข้าทางก่อน ...
ขออภัยล่วงหน้าด้วยค่ะ แต่แพรสัญญาแล้วว่าจะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอน อยู่ต่อให้คนด่าต่อไป 55555