ตอนที่ 5 จูบแรก
เอกรงค์ปรือตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้นอนเต็มอิ่ม รู้สึกหนักจึงยกมือขึ้นสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่แนบอยู่กับข้างแก้ม ในที่สุดเขาก็พบว่ามันคือมือของคนที่อุตส่าห์สละตักเป็นหมอนให้หนุน ถึงจะหยาบกร้านไปสักหน่อยแต่อุ่นเสียจนไม่อยากจะละไปไหน
“ตื่นแล้วเหรอครับ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางไล้นิ้วหัวแม่มือลงตรงที่เคยมีรอยบุ๋มยามเมื่ออีกฝ่ายแย้มยิ้ม
“ทำติ๊นเมื่อยหรือเปล่า” ขยับตัวนอนหงายสบตาอย่างรอคอย
“ไม่ครับ” นัยน์ตาสีเข้มสบตอบในขณะที่มือยังคงประคองแก้มนิ่มไม่ห่าง
“ถ้าอย่างนั้นนอนต่อนะ”
“ได้ยังไงครับ นี่เย็นแล้วนะ ผมว่าโมโทรตามเจ้าลูกชายตัวดีให้มาปลดล็อกประตูแล้วรับโมกลับไปพักเถอะ”
“ก็อยากนอนต่อที่นี่นี่นา ที่คอนโดไม่มีตักใครให้หนุน” สายตาออดอ้อนของกุมารแพทย์หนุ่มทำเอาคนฟังต้องโครงศีรษะ
ศุกลยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “อย่าดื้อสิครับ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เด็กดื้อยังพอน่ารัก แต่ผู้ใหญ่ดื้อไม่น่ารักเลย”
“ไม่น่ารักจริง ๆ น่ะเหรอ” เอกรงค์ยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้ราวกับเกรงว่าจะไม่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ปากบางยังคงถามซ้ำ “ไม่น่ารักจริงน่ะเหรอ หืม?”
นัยน์ตาสีนิลยังไม่อาจละจากดวงตาของคนช่างสงสัย เห็นปอยผมสีเข้มที่ปกติเจ้าตัวจะเซ็ตไว้เนี้ยบเสมอตกลงมาปรกตาจึงยกมือขึ้นเสยให้เข้าที่เปิดให้เห็นหน้าผากกว้าง “น่าตี”
“กล้าก็ลอง จะไม่หนีไปไหนเลย” พูดจบก็แกล้งโถมเข้าหาให้หน้าผากชนกันก่อนจะที่ริมฝีปากสีสวยจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหากแต่ทำเอาหัวใจคนฟังสั่นไหว “ยอมให้ติ๊นตี”
ศุกลเม้มปากแน่นกดคมฟันลงเพื่อสะกดใจตัวเองเมื่อไม่ใช่เพียงแค่ผิวเนื้อเหนือแนวคิ้วเท่านั้นที่สัมผัสกัน หากแต่ปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายยังแตะลงชิดกับปลายจมูกของตนเองซ้ำยังแกล้งส่ายไปมาเบา ๆ ให้รู้สึกจั๊กจี้นัก จิตรกรหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยพลางกดตาลงต่ำมองกลีบปากเย้ายวนพร้อมกับคมฟันที่ค่อย ๆ คลายให้เลือดเดินเป็นปกติ ลมหายใจร้อนอวลติดปลายจมูกเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ถึงอุณหภูมิภายในร่างกายของกัน ในที่สุดหน้าคมก็เป็นฝ่ายโน้มเข้าหาราวต้องมนตร์สะกด เวลานี้เขาคงไม่ต่างอะไรกับแมลงภู่ที่หลงรูปดอกไม้ เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือการดูดชิมเกสรให้รู้ว่าหอมหวานติดลิ้นเพียงใด แต่แล้วก็เหมือนถูกไล่ไปให้ไกล ๆ เมื่อหูได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์ยิ้มจนแก้มบุ๋ม กำลังจะผละออกก็ถูกมือหนาตรึงเข้ากับต้นแขนทั้งสอง เพียงศุกลออกแรงเล็กน้อยร่างของเขาก็ถูกจับพลิกกลับจนแผ่นหลังแนบไปกับผนังห้อง กลายเป็นว่าขณะนี้สองคนสลับตำแหน่งกันเสียแล้ว
“ต...ติ๊น จะทำอะไร” จู่ ๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอกรงค์ใช้สองมือกำแขนเสื้อของอีกฝ่ายแน่น ตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งหากแต่กุมารแพทย์กลับรู้สึกว่าใบหน้าคมนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ
“จะตีคนดื้อ” ศุกลตอบพร้อมกับคลี่ยิ้ม “จะได้รู้ว่าไม่ควรเที่ยวไปแกล้งใครแบบนี้”
“เพิ่งรู้ว่าคนจะตีกันเขาทำท่านี้” คุณหมอยังไม่วายปากเก่ง
“แล้วปกติท่านี้เขาทำอะไรกัน” พลันแววตาที่เคยสงบนิ่งก็วับวาวขึ้น
เสียงกระซิบพร่าเป็นดั่งตัวเร่งปฏิกิริยาพาหัวใจให้วาบไหว เอกรงค์เพิ่งยอมรับกับตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าแม้อายุอานามจะเลยเลขสามมาหลายปี หากแต่ประสบการณ์ความรักช่างน้อยนัก แฟนคนสุดท้ายเลิกรากันไปนานแค่ไหนต้องนับนิ้วมือจนหมดผสมกับนิ้วเท้าด้วยกระมังจึงจะครบตามจำนวน “ก...ก็...จูบ”
“แล้วได้ไหมครับ” คนอายุน้อยกว่าถาม
ถึงจะเป็นคำถามตรงไปตรงมา แต่เจือความประหม่าอยู่ในทีและมันก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของคนเกิดก่อนได้ นายแพทย์เอกรงค์เอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นคว้าคอเสื้อของจิตรกรหนุ่ม ดวงตาจ้องเขม็งจนศุกลเดาว่าการกระทำทั้งหมดคือการต่อต้าน
“ข...ขอโทษครับ ทำให้โมลำบากใจใช่ไหม”
“เปล่า แค่จะบอกว่า...” เอกรงค์รั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะเงยหน้า “นี่จูบแรกของเรานะ ช่วยทำให้ประทับใจหน่อย”
สิ้นประโยคกึ่งสั่งกึ่งขอร้องรอยยิ้มของคนฟังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ศุกลโน้มหน้ากดตาลองมองหาที่หมาย ทันทีที่เนื้อปากสัมผัสกันเพียงนิด เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ไอ้ติ๊น!!! หายหัวไปไหนวะ”
เจ้าของชื่อชะงักพลางถอนใจเฮือกรีบผละออกพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าที่ออกอาการ ‘เสียดาย’ ไม่ต่างกัน กระนั้นต่างคนก็ต่างก็สบตายิ้มเขิน และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกอีกครั้ง จิตรกรหนุ่มก็รีบคลานไปที่ช่องประตูทันที
“อยู่ที่นี่”
“ไอ้ติ๊น!!! อยู่นี่น่ะ อยู่ไหนวะ” พีระร้องลั่นก่อนจะหุบปากแล้วเงี่ยหูฟังให้แน่
“อยู่บนนี้ เปิดให้หน่อย”
ได้ยินเสียงแว่วมาจากเพดานด้านบนจึงเงยหน้าขึ้น
“บนห้องใต้หลังคา”
“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นวะ” พูดจบนักออกแบบมาดกวนก็เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะรั้งเก้าอี้ขึ้นวางซ้อนบนโต๊ะแล้วปีนขึ้นไปปลดล็อกเปิดช่องประตูพร้อมกับดึงบันไดลง รอกระทั่งเจ้าของบ้านและแขก? ไต่ลงมายืนข้างกัน
“ขอบใจนะที่ช่วยเปิดให้”
“เออ ว่าแต่แกกับคุณหมอเถอะ ทำอีท่าไหนถึงติดอยู่บนนั้นวะ”
“ยังไม่ได้ทำท่าไหนครับ” กุมารแพทย์ปากไวกล่าว พาเอาคนข้าง ๆ หันขวับ เขายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดใหม่ “ผมหมายถึงไม่ได้ทำอีท่าไหนครับ จู่ ๆ ประตูมันก็ปิดล็อกของมันเอง”
“น่าแปลกจังเลยนะครับ สงสัยต้องเรียกช่างมาดูแล้วละมั้ง” คนพูดเกาหัวพลางเงยหน้าขึ้นมองสำรวจบนเพดาน
“เออ ๆ ช่างมันเถอะน่า แกน่ะมีอะไรถึงได้ตะโกนเรียกฉันเสียงลั่นบ้าน”
“ฉันเพิ่งมาถึง เห็นลุงร้านเครื่องเขียนเขาเอากระดาษเขียนสีน้ำที่แกสั่งมาส่ง จะเรียกให้ไปจ่ายตังค์ไง” พีระกอดอกสาธยายต่อ “นี่สั่งมาสำหรับเอาไปออกค่ายใช่ไหม”
“อือ” เจ้าของบ้านตอบเสียงเรียบ
“ลุงแกก็ดี๊ดีเนอะ เย็นแล้วยังเอาของมาส่ง”
“เออ” ศุกลตอบส่ง ๆ
“อะไรวะ นี่แกพูดเป็นอยู่แค่นี้เองเหรอ แล้วดูทำหน้าเข้า แล้วนั่นหู...” พูดจบก็แปะสองมือเข้ากับสองแก้มของเพื่อนก่อนจะจับบิดซ้ายทีบิดขวาทีราวกับที่อยู่ในมือเป็นเพียงลูกบอลกลม ๆ “ทำไมหูแดงแบบนี้วะ”
“ไม่มีอะไร” ทำลากเสียงกลบเกลื่อนแล้วแกะมือของเพื่อนออก “ลงไปข้างล่างไป จะให้ไปจ่ายตังค์ไม่ใช่เหรอ รีบจ่ายลุงแกจะได้รีบ ๆ กลับ จะค่ำแล้ว” ว่าแล้วศุกลก็เดินนำออกไป ทิ้งให้เพื่อนได้แต่สงสัยในอาการของตนเอง
“อะไรของมันวะ แค่มาตามไปจ่ายตังค์ทำไมต้องหงุดหงิดอะไรขนาดนี้” พีระบ่น ส่วนเอกรงค์นั้นได้แต่โคลงศีรษะแล้วอมยิ้มขัน ๆ ...
เช้าวันต่อมาเมื่อเหล่าผู้ร่วมขบวนการมากันพร้อมหน้า ศุกลก็จัดการอบรมเด็ก ๆ เสียยกใหญ่ และถือเป็นการถูกอบรมครั้งที่สองของนภธรณ์ ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่ขับรถไปคืนให้เอกรงค์ที่คอนโดหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายต้องนั่งแท็กซี่กลับ เด็กหนุ่มเท้าคางตั้งใจฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับสองพี่น้องที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด และหลังจากที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี...หมายถึงพี่ติ๊นของพวกเขาบ่นจนพอใจ ธีร์ทัศน์ก็เอ่ยขึ้น
“ยิ้มอะไรของนาย โดนดุขนาดนี้ยังทำหน้าระรื่น”
“ยิ้มตามพ่อโม”
“หมายความว่ายังไง เมื่อวานนายยังโทรมาเล่าอยู่เลยว่าโดนหมอโมดุตอนที่เอารถไปคืน”
“ดุก็ส่วนต่อว่า ยิ้มก็ส่วนยิ้มสิ เห็นยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เมื่อคืน”
“แปลกจัง หมอโมจะยิ้มเรื่องอะไรกัน โดนเราขังไว้แบบนั้น”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าระหว่างที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกันมันต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นแน่”
“ไม่ลองถามพ่อ! นายดูล่ะ” ธีรทัศน์เน้นเสียงจนอีกคนหันขวับ
“ถามแล้ว แต่พ่อโมไม่ตอบ”
“นายถามว่าอะไร”
“ก็ถามว่าทำอะไรกันบ้างตอนอยู่ในห้องใต้หลังคานั่น พ่อโมตอบแค่ว่าคุยกันธรรมดา เรื่องทั่ว ๆ ไป หลับเสียเป็นส่วนใหญ่”
“โธ่...อุตส่าห์ทำให้ได้อยู่กันสองคนยังจะหลับอีก”
“แต่ฉันว่ามันต้องไม่ใช่แค่คุยกันธรรมดาแน่ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น คอยสังเกตดูแล้วกัน แต่ถ้ายังมัวชักช้ากันอยู่ พวกเราก็ต้องออกโรงอีกครั้ง”
พูดจบนภธรณ์ก็ยื่นมือไปข้างหน้าพลางสบตาผู้ร่วมทีมทั้งสอง “พวกนายจะร่วมมือกับฉันไหม”
ธีรทัศน์นิ่งคิด แม้ศุกลจะดุเรื่องเมื่อวาน แต่มันก็ไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาก็วางมือซ้อนลงบนมือเจ้าของแววตาเจ้าเล่ห์
“ผมด้วย” เด็กชายธีร์ธรเอ่ยเสียงใสเขย่งปลายเท้าวางมือบนมือของพี่ชาย “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!”
“อะไรของนาย”
“ก็ชื่อทีมเราไงครับพี่นอฟ พอผมบอกว่าขบวนการกามเทพน้อย พวกพี่ก็ต้องร้อง ‘เฮ่’”
“ปัญญาอ่อน” ว่าแล้วก็ชักมือกลับ พาเอาวงแตก
“ทำไมล่ะครับ ผมว่าน่ารักจะตาย เนอะพี่ทัศน์เนอะ” คนเป็นน้องหันไปขอความเห็น ในขณะที่พี่ชายซึ่งปกติจะตามใจทุกอย่างหากแต่ครั้งนี้กลับยิ้มแห้ง ๆ
“ไร้สาระ ชื่อบ้าอะไรวะ ฟังแล้วยังกับเด็กสามขวบเล่นขายของ”
“ก็ผมอยากให้พวกเรามีชื่อทีมนี่นา ไม่รู้แหละ ถ้าพี่นอฟไม่ยอมให้ใช้ชื่อนี้ ผมจะไม่ร่วมมือด้วย แล้วก็จะฟ้องพี่ติ๊น”
“เออ ๆๆ ก็ได้ ๆ” นภธรณ์ขยี้หัวตัวเอง จำใจยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง
และเมื่อมือของพี่ชายวางทับลงไป ธีร์ธรก็วางมือของตนเองลงบ้าง เด็กชายอมยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ยขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!” เมื่อต้นเสียงว่าอย่างนั้น
ที่เหลือก็รับพร้อมกัน “เฮ่!”
เวลาบ่ายโมงเป็นเวลาที่เด็กหนุ่มสาวจากต่างโรงเรียนมารวมตัวกันที่ Light & Shade จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยหุ่นปูนปลาสเตอร์และโต๊ะวาดรูปซึ่งสามารถปรับพื้นระนาบให้เอียงในองศาที่ต้องการ แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายคือการสอบเข้าเรียนในคณะศิลปะของมหาวิทยาลัยที่ตนเองใฝ่ฝัน ดังนั้นนอกจากอ่านหนังสือเพื่อให้มีความรู้แล้วการเตรียมความพร้อมทางด้านทักษะจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ศุกลซึ่งรับหน้าที่สอนวิชาวาดเส้นให้กับเด็ก ๆ กลุ่มนี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลังจากเขาได้สอนพื้นฐานการให้น้ำหนักแสงเงารูปทรงต่าง ๆ การวาดภาพหุ่นนิ่ง (Still life) การวาดภาพคนเหมือนแบบครึ่งตัวโดยให้จับคู่กันเป็นแบบมาแล้วในสัปดาห์ก่อน ๆ วันนี้จึงเป็นวันที่ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสวาดภาพคนแบบเต็มตัวบ้าง ชายหนุ่มชะเง้อคอยาวเมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลา แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพีระซึ่งรับอาสาหามานั่งเป็นแบบให้จะโผล่หัวมาสักที
“เอาละครับเด็ก ๆ เตรียมกระดาษและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวพี่ขออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่” จิตรกรหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างร้อนรน เขาควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะกดโทรหาเพื่อนรัก ยังไม่ทันจะได้ยินเสียงสัญญาณศุกลก็กดตัดสายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาพร้อมกับใครอีกคน
“ไงติ๊น ไม่เจอกันนานเลย” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่เดินคู่มากับพีระยกมือขึ้นทักทาย
“เฮ้ย มาได้ไง” เจ้าของบ้านร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนแปลกใจ
“ไอ้ไนท์มันว่างอยู่ ฉันเลยชวนมันมายืนเป็นแบบให้แก ฉันไม่อยากโชว์หุ่นขี้ก้างว่ะ อายน้อง ๆ” พีระสาธยายพลางลูบหน้าท้องที่เริ่มอุดมไปด้วยไขมันของตนเอง
“พอดีเพิ่งลาออกจากงานน่ะ ไม่มีอะไรทำ ไอ้พีชวน เราเลยมา ติ๊นไม่ว่าใช่ไหม”
“จะว่าเรื่องอะไร รีบไปเถอะ เด็ก ๆ นั่งรอแล้ว” พูดจบศุกลก็เดินนำเพื่อนทั้งสองเข้าไปด้านใน
จิตรกรหนุ่มแนะนำคนที่จะมานั่งเป็นแบบตลอดสามชั่วโมงของการเรียนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักก่อนจะปล่อยให้รัตติเขตได้ทำหน้าที่ของตนเอง
ทันทีที่ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างสูงโปร่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่หน้าท้องซึ่งเกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บรรดาเด็กสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าก็หันสบตากันหัวเราะคิกคัก รัตติเขตรั้งเสื้อออกจากตัวพาดบนเก้าอี้ และเมื่อเลื่อนมือลงปลดเข็มขัดก็เล่นเอาใครหลายคนถึงกับกลื่นน้ำลายเอื๊อกตามด้วยถอนใจอย่างโล่งอก? ที่เห็นว่ายังเหลือกางเกงบ๊อกเซอร์อีกหนึ่งตัว
“พี่ติ๊นครับ ครั้งนี้วาดฟิกเกอร์แล้วครั้งต่อ ๆ ไปจะมีวาดนู้ดไหมครับ” คำถามของเด็กหนุ่มหลังห้องทำเอาสาว ๆ ข้างหน้าพากันยืดตัวตรงตั้งใจใจรอฟังคำตอบ
ศุกลหันไปยิ้มให้รัตติเขต มาเจอตัวแสบวันแรกก็โดนรับน้องเสียแล้ว
“ก้องอยากวาดเหรอ” คนสอนถามกลับ
“เปล่าครับ ผมถามแทนพวกผู้หญิงน่ะครับ” สิ้นเสียงคนกล้า เสียงโห่ฮาของหนุ่ม ๆ แถวหลังก็ดังขึ้นเป็นกำลังหนุน
“ถ้าอย่างนั้นให้ก้องเป็นแบบดีไหม” ศุกลพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่ทันจะจบประโยคเด็กสาวแถวหน้าก็ส่งเสียงปฏิเสธปน ๆ มากับเสียงยี้จนต้องปรามกัน “เอาละ ๆ เรียนกับพี่ที่นี่คงได้แต่พอร์เทรตกับฟิกเกอร์ ส่วนนู้ดคงต้องรอไปเรียนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าอาจารย์เขาสอนเขียนนะ ตอนนี้มาฟังพี่ติ๊นอธิบายการวาดฟิกเกอร์ก่อนดีกว่า” พูดจบจิตรกรหนุ่มก็หันไปส่งสัญญาณให้คนเป็นแบบให้ยืนประจำที่ที่หน้าห้อง จากนั้นก็เริ่มสอนเนื้อหาก่อนจะปล่อยให้เด็ก ๆ ลงมือวาด เมื่อผ่านไปสักพักจึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำแก่เด็ก ๆ
เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายของการเรียน จากที่ยืนเป็นแบบรัตติเขตก็ลุกเริ่มขยับตัวเดินไปดูผลงานที่เด็ก ๆ วาดบ้าง เขาช่วยให้คำแนะนำพร้อมกับจับดินสอลงแสงเงาเพิ่มในส่วนที่เห็นว่ายังขาดจนครูตัวจริงพอจะมีเวลาแวบออกมาเพื่อเตรียมของว่างให้กับคนที่รับอาสาเป็นแบบและอีกคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีที่ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร
“มารอรับนอฟเหรอครับ ทำไมถึงมานั่งตรงนี้ล่ะครับ” ศุกลที่ถือถาดใส่ของว่างกล่าวก่อนจะวางแก้วน้ำแดงเย็นเฉียบกับจานคุกกี้ลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้น่าจะเกินเวลาหน่อยนะครับ เพราะว่าไอ้ดลมันฝากคลาสไว้ ไอ้พีก็เลยชวนเด็ก ๆ ปั้นดิน”
“ขอบคุณครับ” เอกรงค์ตอบสั้น ๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปข้างในก่อนนะ” พูดจบก็ทิ้งให้คนที่วันนี้เอาแต่ปั้นหน้านิ่งนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น
กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกก่อนจะเอื้อมมือคว้าคุกกี้โยนใส่ปากเคี้ยวกล้วม ๆ มองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อศุกลเดินเข้าเข้ามายังเรือนกระจกก็เป็นเวลาเดียวกับกับที่พีระเลิกคลาสเรียนศิลปะเด็กพอดี เด็ก ๆ บางส่วนทยอยกันกลับบ้าน ในขณะที่บางส่วนก็เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่ห้องวาดเส้นซึ่งอยู่ข้าง ๆ กันอย่างสนอกสนใจ ศุกลวางน้ำและขนมไว้บนโต๊ะ เห็นว่ารัตติเขตกำลังช่วยแก้ไขผลงานของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งกลางห้องจึงเดินเข้าไปหา
“ไนท์ กินขนมก่อนสิ”
“เอออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วละ” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าวขณะดวงตายังจดจ้องอยู่กับปลายดินสอ EE ที่กำลังลากไปมาอยู่บนกระดาษปรู๊ฟ
“โอ้โห พี่ไนท์แก้ให้พิมพ์เสียสวยเลยค่ะ” เจ้าของภาพว่า “พิมพ์อยากลงแสงเงาเก่ง ๆ แบบพี่ไนท์บ้างจัง”
“น้องพิมพ์ก็ต้องฝึกบ่อย ๆ สิคะ ก่อนพี่ไนท์จะสอบติดคณะที่จบมา พี่ไนท์ก็เหมือนน้องพิมพ์นี่แหละ ไปเรียนตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ฝึกฝนเยอะ ๆ” ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นหันมาขอความเห็นของคนที่ด้านหลัง “ดูให้หน่อยสิติ๊น ดีหรือยัง”
“อืม เราว่าตรงนี้น่าจะเก็บรายละเอียดอีกนิดนะ” พูดจบก็รั้งดินสอแท่งเล็กจากมือของอีกคนก่อนจะจรดลงตรงตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้าตวัดข้อมือไปมาอยู่ไม่กี่ครั้งพื้นที่ตรงนั้นเด่นชัดขึ้น “เรียบร้อย” ศุกลวางดินสอลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น ถอยห่างออกไปมองผลงานของเด็กสาว
“ขอบคุณมากค่ะพี่ติ๊นพี่ไนท์ พิมพ์สัญญาว่างานชิ้นต่อ ๆ ไปจะทำให้ได้ดีกว่านี้ค่ะ”
“ต้องทำให้ได้ดีกว่าที่พวกพี่ทำสิ” จิตรกรหนุ่มกล่าว
“อืม...” สาวน้อยเลิกคิ้วแล้วยิ้มกว้าง “จะพยายามค่ะ”
คนสอนพยักหน้าพอใจก่อนกล่าวเลิกคลาสแล้วหันไปพูดกับนายแบบกิตติมศักดิ์ “ใส่เสื้อก่อนสิ จะได้ไปกินขนม”
ได้ฟังดังนั้นรัตติเขตจึงเดินไปที่เก้าอี้ กำลังจะเอื้อมมือคว้าเสื้อเชิ้ตก็พอดีเห็นมือตัวเองเต็มไปด้วยคราบกราไฟต์จึงชะงัก เหลียวกับมากล่าวกับคนที่เดินตามมา “หยิบให้หน่อยได้ไหม มือเราเลอะ”
ศุกลไม่ได้ตอบแต่เดินไปหยิบเสื้อของอีกฝ่ายแล้วช่วยสวมให้ มือใหญ่ค่อย ๆ ติดกระดุมตั้งแต่เม็ดล่างจนกระทั่งเม็ดรองสุดท้าย
“ไปล้างมือก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราพาไป” พูดจบร่างสูงก็เดินนำไปยังอ่างล้างมือริมหน้าต่าง...
“ใครวะ นายรู้จักไหม”
นภธรณ์ที่ยืนเกาะกรอบประตูเอ่ยขึ้นขณะมองตามสองคนที่กำลังเดินไปยังอ่างน้ำ
“เห็นพี่พีบอกว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะเห็นโผล่มาที่นี่” ธีร์ทัศน์ว่าพลางเหลียวหลังเห็นเอกรงค์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี
“ธร มือเลอะแบบนั้นจับรองเท้าขาว ๆ ก็เปื้อนหมดน่ะครับ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าว
“ผมยังไม่ได้ล้างมือครับ จะมาเรียกพี่ทัศน์ไปดูผลงานที่ปั้น พอดีเชือกมันหลุด”
ธีรทัศน์ก้มลงมองตามเสียงพบว่าน้องชายกำลังก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ เขาจึงย่อตัวลงแล้วจัดการผูกให้
“ขอบคุณครับพี่ทัศน์”
“ไปล้างมือสิธร” จู่ ๆ นภธรณ์ก็เอ่ยขึ้น “ไปล้างข้างในโน้น” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปอีกทาง
“ไปล้างห้องปั้นก็ได้ครับ ธรยังปั้นไม่เสร็จเลย”
“ล้างตอนนี้นี่แหละ มา! พี่พาไป” พูดจบเด็กหนุ่มก็รั้งแขนเล็กให้เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อถึงอ่างน้ำก็เปิดก๊อกก่อนจะจับมือน้อง...
“พ...พี่นอฟ ก๊อก...” เด็กชายเหลียวมองคนตัวสูงกว่าที่ยืนซ้อนหลัง ยึดหัวไหล่แล้วหมุนตัวเขาไปคนละทิศกับก๊อกน้ำ “อยู่ น...นี่...” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกได้ถึงแรงดันจากมือใหญ่ ธีร์ธรเงยหน้าขึ้นสบตาคนเจ้าแผนการเป็นเชิงขอร้อง วันนี้เขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหาติดต่อกันเป็นวันที่สอง
เด็กชายตัวจ้อยพยายามขืนร่างไม่ยอมไปตามแรงง่าย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สองมือซึ่งมีแต่คราบดินเกรอะกรังประทับลงไปบนชายเสื้อของชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าเสียแล้ว
"พี่นอฟ!!!" ธีร์ธรร้องเสียงหลง
“ธร!!!” ทั้งเอกรงค์ ธีรทัศน์ หรือแม้แต่ศุกล ต่างร้องขึ้นพร้อมกัน
“ผ...ผมขอโทษครับ” เด็กชายก้มหน้าสำนึกในความผิด
“เดินสะดุดเชือกผูกรองเท้าละสิ” นภธรณ์เอ่ยขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะนั่งลงรั้งเชือกรองเท้าของเด็กชายออกแล้วผูกใหม่ ดูไม่ค่อยเนียนสักเท่าไรแต่ก็เป็นสิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้
“ไม่เป็นไรครับ” เป็นรัตติเขตที่เอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือหมุนปิดก๊อกน้ำตรงหน้าของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปข้างบนก่อน เดี๋ยวเราหาเสื้อให้เปลี่ยน” ศุกลกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมาบอกเด็กชาย “ไม่เป็นไรครับธร รีบล้างมือเถอะ”
“ครับ” เด็กชายรับคำเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองค้อนตัวต้นเหตุที่กำลังยืนขึ้น อยากจะปลดเขาออกจากตำแหน่งพี่ชายสุดเจ๋งเสียเดี๋ยวนี้
ธีร์ทัศน์รอน้องล้างมือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงกล่าว “เอ่อ...ผมพาน้องไปเก็บของก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็กระตุกมือเพื่อนที่ยังคงยืนอึ้งเมื่อเห็นว่าแผนก้างขวางคอที่ตนเองคิดได้สด ๆ กลับเป็นการยืดเวลาให้สองหนุ่มได้อยู่ด้วยกัน “นอฟ ไปเถอะ นัดกันว่าจะไปดูหนังไม่ใช่เหรอ”
นภธรณ์หันขวับจ้องหน้าคนที่กำลังขยิบตาให้ “อ...เอ้อ ใช่ ๆ” พูดพลางหันไปหาเอกรงค์ “วันนี้ผมกลับเองนะพ่อ ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรบอก นัดกับทัศน์ไว้จะไปดูหนังน่ะ”
กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้าส่ง ๆ หากอยู่ในช่วงเวลาปกติเขาคงได้เทศนาเสียกัณฑ์ใหญ่โทษฐานที่อีกฝ่ายทำให้เสียเวลา แต่ตอนนี้มีเรื่องอย่างอื่นให้ต้องสนใจมากกว่าเขาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป
ตามคมมองตามเแผ่นหลังของสองคนที่เดินตามกันออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดีและเพราะเป็นสายจากโรงพยาบาลเขาจึงรีบกดรับ “ได้… เดี๋ยวพี่ไป” ตอบสั้นๆ แล้วกดวางสายก็พอดีกับที่ร่างสูงเดินไปลับสายตา
เอกรงค์ถอนหายใจทิ้งแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกับคนที่อยากเจอหน้าเลยสักประโยคเดียว
(มีต่อค่ะ)