ขอแจ้งล่วงหน้านะคะ ว่าเรื่องนี้ใสจริงไม่มีหื่นค่ะ เนื่องจากช่วงนั้น ppm พยายามจะเขียนนิยายใสให้รอดเพื่อลองส่งสำนักพิมพ์ แต่พอดีส่งไม่ผ่าน เลยเอามาให้ลองอ่านกัน อ่านแล้วรบกวนช่วยติชมกันหน่อยนะคะ จะเอาไปปรับปรุงน่ะค่ะ เผื่อคราวหน้าจะส่งผ่านกับเขาบ้าง T^T ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ppm เป็นพวกไม่มั่นใจ เวลาเขียนนิยายใสไร้เรท - -"
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนจบแล้ว แต่คงจะค่อย ๆ ทยอยลง เพราะพักนี้ไม่เหลือสต็อกนิยายเท่าไหร่แล้วค่ะ จะปั่นเพิ่มก็ไม่ค่อยจะมีเวลาซะด้วย ขออภัยสำหรับบางเรื่องที่ดองอยู่นะคะ
และท้ายที่สุด เรื่องนี้ไม่ใช่แนวเรื่องเล่า ขออภัยสำหรับผู้ที่ต้องการอ่านแนวนั้น แต่ถ้าอยากลองเปลี่ยนแนวอ่านก็ยินดีค่ะ ^^
นิยายที่ลงไปแล้วในบอร์ดนี้ เผื่อสนใจอยากอ่านเพิ่ม:
Special Triple (จบ),
Absolution cafe (จบ),
หรรษาฆาตกรรม (TBC)เรื่องสั้น (จบแล้วทุกเรื่อง):
ทายาทมรณะ,
Full moon night,
Give me your hand,
เรื่องอย่างว่าของเซี่ยเอ๋อร์,
เรื่องสั้นนัท-เนยซีรี่ส์==================================
สืบเสน่หา
ตอนที่ 1แสงแฟลชวูบวาบยามร่างสูงแข็งแรงขยับเปลี่ยนท่าเป็นจังหวะพร้อมเสียงลั่นชัตเตอร์ถี่ มือมั่นคงขยับปรับเปลี่ยนมุมกล้องซูมไปยังแผ่นอกกว้างที่มีกล้ามเนื้อสวยราบเรียบ เสื้อเชิ้ตขาวตัวบางที่สวมใส่เปิดผ่ากลางไม่ได้ติดกระดุม เริ่มแนบเนื้อเนียนอันเปียกปอนดูเซ็กซี่ ร่างกำยำเอนกายพิงขอบอ่าง ใช้นิ้วแกร่งเสยผมสีน้ำตาลทองเปียกชุ่มตลบไปด้านหลัง ขับเน้นหน้าผากคมสันให้โดดเด่น โดยเฉพาะยามมองจากด้านข้างเช่นในมุมนี้
เสียงชมเบา ๆ จากช่างกล้อง โดยมีผู้ช่วยคอยจัดฉากอยู่ด้านข้างดูมืออาชีพนัก แสงไฟกับตัวกันสะท้อนปรับมุมให้พอเหมาะ ก่อนเสียงชัตเตอร์จะตามมาอีกเป็นระยะ แล้วสั่งให้เปลี่ยนเป็นอิริยาบถถัดไป
ผู้ช่วยด้านหลังรับสัญญาณจากช่างกล้อง แล้วค่อย ๆ หมุนปล่อยน้ำจากฝักบัวให้ไหลลงมาระใบหน้าตัวนายแบบ ดวงตาพริ้มหลับยามสายน้ำพุ่งเข้าหา ยิ่งสะกดตรึงสายตาคนมองนัก ร่างกายที่เป็นลูกครึ่งไทยฝรั่ง ทำให้ดูสูงใหญ่และแข็งแรง มีเสน่ห์จนกระทั่งผู้ช่วยหลายคนตรงนั้นที่ยังว่างงาน เผลอจ้องมองจนยากจะละสายตาได้
ภาพทั้งหมดยังอยู่ในสายตาของใครอีกคน ชายหนุ่มในชุดสุภาพ ที่ยืนมองอยู่นานแล้ว โดยแทบไม่ขยับเขยื่อนไปไหน ดวงตานิ่งสนิทนั้นมองมาและรอคอยจนกระทั่งงานนั้นได้เสร็จสิ้นลง โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
พอถ่ายเสร็จสั่งปิดกล้อง ผู้ช่วยด้านข้างจึงรีบส่งผ้าขนหนูให้ เพราะร่างแกร่งนั้นตัวเปียกปอนอยู่ ชายหนุ่มรับมันมาซับเรือนผม มือถอดเสื้อตัวเปียกออกโดยไม่ได้ใส่ใจว่าจะมีใครมองสักเท่าใด ก่อนใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมร่างไว้แล้วเดินเข้าห้องเปลี่ยนชุด
ขณะหยิบชุดใหม่มาผลัดเปลี่ยนจนเรียบร้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ชายหนุ่มที่กำลังแต่งตัวจึงขานรับ
“เข้ามาได้ครับ”
ประตูเปิดออก คนคุ้นตาเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงแต่งตัวต่อโดยไม่ได้พูดอันใด ผู้มาใหม่เป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานตัวผอมสูง แต่งกายดีด้วยชุดทำงานราคาแพงสมกับเป็นนักออกแบบเสื้อผ้ามืออาชีพ คนผู้นี้คือประจักษ์ จันทร์ทรงกลด ซึ่งเป็นผู้ดูแลงานทั้งหมดนี้ รวมถึงเป็นเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ชายหนุ่มใส่ถ่ายแบบอยู่ด้วย
“ค่าตัวของคุณวันนี้ครับคุณเจมส์ ขอบคุณมากนะครับ” ประจักษ์ส่งซองให้ ซึ่งชายหนุ่มก็รับมันมาอย่างคุ้นเคย
อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงโค้งให้ด้วยท่าทางที่นอบน้อมเอาใจ
“ขอบคุณนะครับ ไว้วันหลังเราจะขอใช้บริการอีก”
“ได้เลยครับ ถ้านายแบบมีปัญหา ก็เรียกผมได้” เจมส์ยิ้มหวานพลางรับคำอย่างง่าย ๆ หากคล้ายมีบางอย่าง คอยกางกั้นตัวชายหนุ่มไว้ จนทำให้ทุกครั้งที่มาติดต่อ จะรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านั้นยากจะตีสนิท แม้ว่าจะรู้จักกันมานานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นประจักษ์ก็ยังพยายามต่อไป ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้งก็ตามที
“คุณน่าจะทำงานนี้เป็นอาชีพนะครับ รูปร่างก็ออกจะดี หน้าตาก็ใช้ได้เลย ถ้าสนใจเข้ามาเป็นนายแบบให้เสื้อผ้าผมล่ะก็ ผมยินดีเชียวล่ะ” เขาหยอดลูกชมเหมือนทุกครั้ง และหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบรับคำชวนในสักวัน ให้มากกว่าการมา ‘แก้ขัด’ ยามนายแบบนางแบบของเขาไม่ว่าง
คนฟังยิ้มรับอย่างสุภาพเหมือนเช่นเคย ก่อนจะตอบว่า “ขอโทษนะครับ แต่ผมมีงานประจำที่สำคัญอยู่แล้ว ถ้าแค่ชั่วครั้งชั่วคราวช่วยงานตอนคุณมีปัญหาล่ะก็ ผมจะยินดีมากกว่าครับ จะอย่างไรเมื่อก่อนคุณก็เคยช่วยเหลือผมมายามลำบาก”
“คุณเจมส์นี่น้า” คนฟังส่ายหน้าอย่างเอ็นดู แม้ว่าบุคลิกของอีกฝ่ายจะเข้าถึงยาก ทั้ง ๆ ที่เห็นยิ้มแย้มแจ่มใสดีเช่นนี้ แต่ประจักษ์เองก็รู้ ถึงน้ำใจของเจมส์ ที่ยอมมาช่วยงานเขา ทุกครั้งที่ขอร้อง ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้อีกครั้งจนได้
“เอาเถอะ งานประจำของคุณก็คงทำเงินได้ดีอยู่สินะ ผมไม่รบกวนแล้วกัน ถ้าทำงานพวกนายแบบ คุณอาจจะไม่มีเวลาส่วนตัว จะยังไง ผมก็ช่วยปิดบังชื่อจริงและที่อยู่ให้คุณอยู่แล้ว รับรองว่าคงไม่มีใครไปรบกวนคุณตามเงื่อนไขแน่ ๆ”
“ขอบคุณครับที่เข้าใจ” เจมส์ก้มศีรษะให้อย่างนุ่มนวล
หากท่าทางของประจักษ์กลับดูซีเรียสกว่าเดิม เมื่อพูดต่อไปอย่างนึกขึ้นได้
“จริงสิ เมื่อกี้มีคนติดต่อมาขอพบคุณ คุณพอมีเวลาอีกเล็กน้อยไหมครับ ท่าทางเขาจะร้อนใจมากอยู่”
“มีคนอยากพบผม?” นายแบบหนุ่มขมวดคิ้วสีน้ำตาลเข้มอย่างสงสัย ประจักษ์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะแอบกระซิบ “ถึงผมจะเก็บเรื่องของคุณเป็นความลับ แต่ไม่รู้ว่าเขาทราบข้อมูลของคุณมาจากไหน แถมยังบอกผมว่าเป็นตำรวจด้วย คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า จะให้ผมช่วยไหมครับ?”
เจมส์ส่ายหน้าน้อย ๆ ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คงไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวแต่งตัวเสร็จแล้วผมจะไปพบเขาเอง” เขาตอบง่าย ๆ ประจักษ์เห็นดังนั้นจึงยิ้มให้ ก่อนจะขอตัวออกมา เพื่อให้อีกฝ่ายแต่งตัวต่อโดยไม่รบกวนอีก
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ในห้องล็อบบี้ของโรงแรมที่ใช้เช่าเป็นสถานที่ถ่ายแบบชั่วคราวนั้น ร่างสูงของเจมส์ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดทำงานรับกับรูปร่าง ดูดีราวนายแบบมืออาชีพ ก้าวยาว ๆ เข้ามาหาคนที่นั่งรออยู่
ดวงตาคมของเขามองมาอย่างแปลกใจ ร่างนั้นนั่งตรงแน่วอย่างเคร่งครัด รูปร่างผอมบางได้สัดส่วน มีกล้ามเนื้อพอประมาณไม่ขัดตา ใบหน้าจัดว่าหวานแม้เป็นชายด้วยดวงตาใสกระจ่างรับรูปหน้า หากคิ้วเข้มดูเคร่งเครียดนั้นกลบบรรยากาศเป็นมิตรไปอยู่หลายส่วน จากภายนอกอายุคงไม่ห่างกับเขามากนัก คงจะประมาณ 20 ต้น ๆ เพียงเท่านั้น
เจมส์พอจะดูคนเป็นอยู่บ้าง จากประสบการณ์พบปะผู้คนอันยาวนานของเขา คนผู้นี้ลักษณะบอกได้ชัดว่าเป็นคนตรงที่ติดจะรั้นเอาการ แต่จุดเด่นยังคงเป็นความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาที่น่าชื่นชม
หากตอนนี้จะอย่างไรก็เป็นคนแปลกหน้า และยังเป็นคนเข้ามาก่อนเสียด้วย แม้ในตอนนี้ จะเริ่มสนใจมากขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงถามขึ้นเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเอง
“รู้ไหมว่าเขาเป็นใครน่ะ?”
เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงเด็ก แม้ว่าบริเวณนั้น จะไม่มีเด็กอยู่เลย “เขายืนมองพ่อทำงานอยู่นานแล้วฮะ ท่าทางแปลก ๆ เสียด้วย บางทีก็ทำตาน่ากลัว ยังไงก็ระวังหน่อยนะฮะ”
เสียงนั้นเตือนอย่างหวังดี จากคำตอบบอกได้ชัด ว่าจับตามองคนที่พูดถึงมานานแล้วเช่นกัน
“อืม” คนฟังรับคำง่าย ๆ ก่อนยิ้มน้อย ๆ “แต่ก็ดูน่าสนใจไม่เลวนะ เห็นบอกว่าเป็นตำรวจด้วย ลองไปคุยก่อนแล้วกัน” พูดจบเขาก็เข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่นั่งรออยู่พอดี
“สวัสดีครับ คุณต้องการจะพบผม?” เขาเริ่มต้นก่อนด้วยความสุภาพ
ร่างสูงติดจะผอมเพรียวขยับลุกขึ้นแทบจะในทันที ไม่ได้มีอาการตื่นเต้นหรือตกใจ ยามได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายนัก ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเสน่ห์อันเหลือเฟือยามแต่งชุดสุดเท่เช่นนี้ มักจะดึงสมาธิคนที่พูดคุยด้วยจนบางครั้งถึงกับลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังจะพูดอะไร ดวงตาสีดำสนิทสบตาสีเทาอ่อนนั้นอย่างไม่รู้สึกอันใด ก่อนเปิดประเด็นขึ้นว่า
“ผมเป็นตำรวจ” ชายหนุ่มโชว์ตราตำรวจก่อนเข้าเรื่องด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
“คุณเจมส์ ผมขอคุยเรื่องคดีบางอย่างหน่อยได้ไหมครับ”
คนมองมายักไหล่น้อย ๆ เขากับตำรวจใช่ว่าจะไม่ถูกกันมากมายนัก แต่จู่ ๆ มีตำรวจมาหา เป็นใครก็ไม่สามารถพูดคุยได้อย่างสนิทใจอยู่ แถมยิ่งเป็นคนที่ดูซีเรียสเสียจนอยากจะลองแหย่ดูเช่นนี้
“คดีอะไรกันครับ หวังว่าผมคงไม่ได้ถูกข้อหาว่าไปแอบฆาตกรรมใครเข้าล่ะ” ชายหนุ่มถามต่อไปพลางยิ้มหวาน
“ก็ไม่แน่หรอกนะครับ” ตำรวจหนุ่มพูดต่อไป ไม่ได้ใส่ใจออร่าเปี่ยมเสน่ห์ที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องนั้นเท่าไหร่ ทำให้อีกฝ่ายเริ่มสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะท่าทางที่ดูไว้ตัวจนน่าแกล้งนั่น ยิ่งไปกระตุ้นนิสัยที่ไม่ดีของเขาจนอดใจไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำรวจ อาชีพคู่ปรับที่เขาไม่เคยจะญาติดีด้วยได้เลยสักที
“เวลาเที่ยงคืนเมื่อวานนี้ คุณอยู่ที่ไหนครับ” แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแบบ แต่ท่าทางที่ดูเคร่งครัดเอาการเอางานในหน้าที่อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เจมส์ค่อนข้างแน่ใจ ว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจจริง ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้เขาอยากจะสนทนาด้วยแบบผู้คนปกติอยู่ดี เพราะนาน ๆ ทีจะเจอคนน่าสนใจแบบนี้สักคน
“เฮ้อ” ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งด้านข้างหน้าตาเฉย ใกล้อย่างจงใจจนตำรวจหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเขยิบหนีรักษาระยะห่างแทนที่
“ผมถามคุณอยู่นะครับ” เสียงเข้มดูซีเรียสกว่าเก่า น้ำเสียงที่ดูห่างเหินทำให้คนฟังแอบรู้สึกถูกชะตาจนอยากแกล้งมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
ใบหน้าแกร่งมีรอยยิ้ม “ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย คุณตำรวจ คุณรู้ชื่อผมฝ่ายเดียว ออกจะไม่ยุติธรรมเกินไปไหม”
“เมื่อกี้ผมก็โชว์ตราตำรวจแล้ว ในนั้นก็มี ชื่อ นามสกุล อยู่ คุณอ่านไม่ออกงั้นรึ” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับอย่างไม่พอใจ ท่าทางที่ยั่วขึ้น ทำให้เจมส์เริ่มนึกสนุก ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อพูดต่อว่า
“ผมอ่านทันที่ไหน คุณโชว์แว้บ ๆ แล้วเก็บ ตราปลอมรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
ดวงตาสีเข้มมีประกายวาบ “คุณหาว่าผมเป็นตำรวจปลอมงั้นรึ”
เจมส์เอนตัวลงกับโซฟารับแขกของทางโรงแรม ก่อนยกมือทั้งสองขึ้นช้า ๆ “ผมเปล่านะครับ อย่าทำท่าเหมือนจะชักปืนขึ้นขู่งั้นสิ คุณมานอกเครื่องแบบไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มชะงัก สูดลมหายใจเข้าอย่างพยายามระงับอารมณ์ “ผมร้อยตำรวจเอกปวินต์ ธนารักษ์ มาขอสอบสวนแบบกึ่งทางการ หรือว่าคุณต้องการให้ผมไปเปลี่ยนชุดตำรวจก่อน ถึงจะยอมให้สอบสวนได้?”
“ชุดตำรวจคงเซ็กซี่ดี ถ้าคุณใส่นะครับ ผมชอบตรงมันตึงเปรี๊ยะนี่ล่ะ ทั้งอกทั้งสะโพกทั้งก้น น่าลูบมากเลย” เขาพูดหน้าตาเฉย
คนนั่งด้านข้างขนลุกซู่ รีบผุดลุกขึ้นทันที “ระวังโดนข้อหา ‘ลวนลามเจ้าพนักงาน’ เพิ่มนะครับ” เตือนแล้วก็เปลี่ยนไปนั่งที่โซฟาอีกด้านอย่างไว้ตัว
เจมส์มองมาพลางหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายยั่วขึ้น เป็นแบบที่เขาชอบจริง ๆ เสียด้วยสิ
“ผมกลัวแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ ถึงเวลางานชิ้นต่อไปของผมแล้วนี่สิ คุณจะไปสอบสวนผมต่อที่บ้านไหม”
“เลิกนอกเรื่องได้แล้วครับ กรุณานั่งดี ๆ แล้วจะได้ถามให้จบ ๆ ไป ไม่รบกวนการทำงานของคุณ” ตำรวจหนุ่มตัดบท
“คุณตำรวจดุจริงน้า ผมล่ะกลัวจัง” แม้จะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้ามจนน่าหงุดหงิด
“เวลาเที่ยงคืนเมื่อวานนี้ คุณอยู่ที่ไหนครับ” คำถามย้ำเข้มกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด จนเจมส์ลอบอมยิ้ม
“อยู่บ้านสิครับ แต่คงไม่มีพยานเป็นคนเป็น ๆ ถ้าเป็นผีได้ไหมครับ” คนตอบเล่นลิ้นอีก
“ผีเป็นพยานไม่ได้” ปวินต์ตอบเสียงชัดเจน ไม่รู้ทำไม ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเขาเป็นคนควบคุมตัวเองได้ดี แต่กลับจะตบะแตกเพราะคนที่พึ่งเจอหน้าวันนี้เสียได้
“ที่สำคัญ ผมไม่เชื่อหรอก ว่าผีมีจริง” ชายหนุ่มย้ำต่อด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคุณตำรวจ เฮ้อ เอาเถอะ เดี๋ยวอีกหน่อยคุณก็รู้เอง เอาเป็นว่าคืนนั้น ผมนอนอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีพยานที่มีชีวิตยืนยันก็แล้วกัน”
เจมส์เว้นระยะเล็กน้อย ดวงตาคมยังคงมองมายังคู่สนทนา “ว่าแต่ผมถูกสงสัยว่าไปฆ่าใครเข้าหรือไงครับ”
ปวินต์ไม่หลบตาที่ดูทรงอำนาจนั้น และนั่นทำให้เจมส์รู้สึกสนใจตำรวจผู้นี้มากขึ้นไปอีก
เสียงราบเรียบของตำรวจหนุ่มกล่าวต่อไป
“มีคนถูกฆ่าในโรงแรมย่านวิภาวดีแห่งหนึ่ง และพบตุ๊กตาตัวนี้…อยู่บนเตียงพร้อมกับศพด้วย” มือเรียวยาววางภาพ ๆ หนึ่งบนโต๊ะตัวเล็กเบื้องหน้า ภายในภาพนั้น เป็นตุ๊กตาเปื้อนเลือด อยู่ในมือขาวซีดเกร็งแน่น ตุ๊กตานั้นทำด้วยขี้ผึ้ง สลักลายลงยันต์ดูขลัง ส่วนอีกภาพ เป็นตุ๊กตาเดี่ยว ๆ ที่ถูกแกะออกมา ทำให้เห็นด้านหน้าของลำตัวตุ๊กตาที่เปื้อนเลือด ซึ่งมีรอยถูกทิ่มด้วยของแหลมจนพรุนไปหมด
คนมองส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นภาพนั้น แววตาคมเศร้าสลดลงพลางถอนหายใจยาว โดยไม่พูดอะไรอีก ปวินต์เห็นดังนั้นจึงมองอีกฝ่าย แล้วพูดต่อไป
“นอกจากลายนิ้วมือของผู้ตายแล้ว ตุ๊กตาตัวนี้ มีลายนิ้วมือของคุณอยู่ด้วย”
เจมส์เลิกคิ้ว ก่อนตอบว่า “ใช่…ของนั่นเป็นของผมเอง คงเป็นลูกค้าของผมสักคน ที่ผมให้ของไว้ หรือว่าคุณสงสัยผม เพราะเจ้าตุ๊กตานั่น ผมอาจจะมีประวัติอาชญากรรมนิดหน่อย แต่ไม่เคยฆ่าคนนะครับ”
“ผมก็ไม่ได้กล่าวหาว่าคุณฆ่าคน แม้ว่าจะเจอลายนิ้วมือคุณในแฟ้มประวัติ แต่คุณก็โดนจับ เพราะคดีหลอกต้มตุ๋นคนเป็นส่วนใหญ่”
เสียงระบายลมหายใจออกอย่างไม่พอใจนัก “เพราะงี้ไง ผมถึงไม่ชอบตำรวจเท่าไหร่ มาเจอหน้าก็ยัดข้อหากัน ผมไม่ได้หลอกลวงแท้ ๆ”
ว่าพลางผุดลุกขึ้น โดยไม่ใส่ใจอีกฝ่ายนัก “ผมต้องไปแล้ว ถ้าผมไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรก็แล้วไป สงสัยอะไร เชิญไปหาผมที่บ้านแล้วกัน ที่อยู่คุณคงรู้แล้วล่ะสิ” ประโยคหลังแอบดักคอไว้จนอีกฝ่ายอึ้งไปเป็นครู่
จนร่างสูงนั้นเดินออกไป ตำรวจหนุ่มจึงตั้งสติได้
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังถามไม่จบ” เขาพยายามจะเรียกไว้ แต่อีกฝ่ายกลับเดินออกไปแล้ว โดยไม่หันมามองอีก