ตอนที่ ๑๔
ทั้งภวัตและรศนาได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของธันย์และรตาที่เล่าโดยเว้นเรื่องราวในความสัมพันธ์ของกวินท์กับรัญชน์ไปบ้าง ด้วยไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองจะยอมรับความสัมพันธ์ที่รัญชน์และกวินท์มีต่อกันได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องที่รัญชน์ฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน
รัญชน์และกวินท์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็นิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน
ได้ฟังเรื่องจนจบ ภวัตก็ถอนหายใจยาวสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เช่นเดียวกับรศนาที่มีน้ำตาคลอ เธอหันมาลูบหัวรัญชน์ไว้แล้วดึงลูกชายเข้ามากอด แม้รัญชน์จะขัดเขินบ้างเพราะไม่ได้กอดแม่มานานแต่ก็สอดมือเข้าไปกอดแม่เอาไว้เช่นกัน
“แม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น...”
รศนาพูดได้เพียงเท่านั้น กวินท์ที่นั่งมองอยู่กับธันย์สัมผัสได้ถึงความเสียใจของเธอจริงๆ คนนอกอย่างเขายังรู้สึกได้ว่าทั้งรศนาและภวัตต่างก็รักรัญชน์ มองแล้วก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้ปล่อยให้รัญชน์อยู่ตามลำพังโดยไม่สนใจมาจนถึงบัดนี้
“ทำไม..แม่ถึงไม่บอกผมว่าพ่อภวัต...เป็นพ่อที่แท้จริงของผม?”
รัญชน์หันหน้าไปมองภวัตที่นั่งอยู่อีกข้างของโซฟาแล้วหันกลับมามองแม่ รศนาปล่อยกอดจากลูกชายของเธอ เลื่อนมือมาจับมือรัญชน์ไว้ขณะที่มองสบตากับสามี
“เพราะลูกรักพ่อยชญ์มากน่ะสิรัญชน์..” รศนาเอ่ยเสียงแผ่ว เธอยกอีกมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกตารัญชน์อยู่แล้วเอ่ยต่อ
“แม่อยากให้เวลาลูกปรับตัวกับครอบครัวใหม่ของเรา อยากให้ลูกโตอีกสักหน่อยก่อนที่เราจะบอกความจริงกับลูก ลูกจะได้ยอมรับพ่อได้..”
รศนาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี พูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าลูกชายจะเข้าใจไหม แต่ทุกอย่างมันก็เป็นความผิดพลาดจากการตัดสินใจของเธอทั้งสิ้น
“แต่ผม...ก็...” รัญชน์รู้ดีว่าความดื้อรั้นในวัยเด็กของตนมันต่อต้านคนที่ก้าวเข้ามาเป็นพ่อใหม่มากแค่ไหน
ทุกคนต่างก็เงียบ รวมถึงภวัตด้วยเช่นกัน
“ลูกอยู่กับพ่อเขาก็ไม่มีความสุข ในครอบครัวมีแต่ความตึงเครียด แม่ส่งลูกไปเรียนที่บรูคลินก็เพราะไม่อยากให้ลูกเกลียดพ่อเขาไปมากกว่านี้ อยู่ด้วยกันก็มีแต่ทะเลาะกัน เพิ่มความเกลียดชังไม่รู้จบ ลูกไม่รู้หรอกว่าแม่ปวดใจมากแค่ไหนที่ต้องส่งลูกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น”
รศนาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง รัญชน์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้แม่อย่างเก้ๆกังๆก่อนหันมาหาพ่อที่ยื่นมือมาแตะเข่าของเขา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เขาเป็นห่วงรัญชน์นะ ตอนที่เราตัดสินใจส่งลูกไปโรงเรียนประจำ ทั้งที่ร่างกายก็ไม่แข็งแรงแต่แม่เขาก็ฝืนไปเฝ้าแอบดูว่าลูกอยู่ได้ไหม สบายดีหรือเปล่าทุกอาทิตย์”
“ผมไม่เคยรู้เลย...” รัญชน์ครางอย่างรู้สึกผิดที่เข้าใจพ่อกับแม่ของตนเองผิด
“ตอนที่ลูกไม่ยอมรับเงินที่พ่อกับแม่ส่งไปให้ พวกเราเป็นห่วงลูกมากรู้ไหม...ยังดีที่พ่อเขาสนิทกับอาจารย์คิม เราเลยขอร้องให้เขาช่วยดูแลลูกให้ ให้หางานให้ลูกทำบ้างเพื่อที่เราจะฝากเงินไปให้ลูกใช้”
รัญชน์นึกย้อนไปถึงตอนที่อาจารย์คิมซึ่งเป็นพ่อของคีตวิชญ์เข้ามาหาเขา ถามเขาว่าสนใจช่วยงานด้านศิลปะไหม รัญชน์ในวันนั้นรีบรับข้อเสนอของอาจารย์เอาไว้เพราะต้องการเงินมาใช้จ่าย
เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นความช่วยเหลือจากพ่อและแม่ที่เขาปฏิเสธอย่างดื้อรั้นนั่นเอง
พ่อกับแม่..ไม่ได้ทอดทิ้งเขาเลยสักนิด
“พ่อกับแม่เขาคิดถึงพี่อยู่ตลอดเวลาจริงๆนะฮะ อาทิตย์ก่อนยังแอบไปมองพี่ที่แกลอรี่ของพี่คีตะอยู่เลย”
น้องชายคนเล็กของรัญชน์โพล่งขึ้นมา รัญชน์มองหน้าน้องชายก่อนหันมามองหน้าพ่อกับแม่ตัวเอง ความสงสัยอดเกิดขึ้นไม่ได้
พ่อกับแม่รู้จักอาจารย์คิมก็ไม่แปลกที่จะรู้จักคีตวิชญ์ด้วย
แต่ว่า...
“หรือที่ผลงานของผม ได้จัดแสดงที่แกลอรี่ของพี่คีตะเมื่อหกปีก่อน เป็นเพราะพ่อกับแม่?”
ทั้งรศนาและภวัตต่างก็ส่ายหน้าช้าๆ รศนายิ้มให้กับลูกชายของเธอและเอื้อมมือขึ้นลูบหัวของรัญชน์อย่างรักใคร่
“นั่นเป็นเพราะฝีมือและก็พรสวรรค์ของตัวลูกเองจ้ะ อาจารย์คิมกับคีตวิชญ์ต่างก็บอกว่าลูกมีพรสวรรค์กว่าศิลปินหลายๆคน พวกเขาบอกว่าที่ลูกมาจนถึงจุดนี้ได้ก็เพราะตัวของลูกเอง พวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่ช่วยประกาศให้คนอื่นๆเห็นพรสวรรค์ของลูกเท่านั้น ลูกเก่งมากนะจ้ะ”
กวินท์อดที่จะลอบยิ้มอย่างภูมิใจในตัวคนรักไม่ได้ และก็สังเกตเห็นด้วยว่ารัญชน์ออกจะเขินไม่น้อยที่ได้รับคำชมจากคนเป็นแม่
“พ่อกับแม่ขอโทษลูกนะรัญชน์..ที่ไม่ได้ดูแลลูกมากเท่าที่ควรจะเป็น”
ภวัตเอ่ยขึ้นแล้วอ้าแขนรับรัญชน์ที่ขยับเข้ามากอดตัวเองไว้ก่อนเอ่ยสิ่งที่มาจากใจ
“แล้วก็ขอบคุณ..ที่ลูกยอมรับพ่อ”
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษพ่อกับแม่” รัญชน์ตอบเสียงเบาแล้วยิ้มให้พ่อเมื่อผละกอด
“ตกลงว่าเข้าใจกันแล้วนะฮะ แบบนี้เราก็จะได้เป็นครอบครัวสมบูรณ์กันแล้วใช่ไหมฮะ?”
ไรวินท์ยิ้มแป้นอย่างดีใจเช่นเดียวกับทุกคนรตาที่นั่งอยู่ข้างธันย์ขยับเข้าไปหาภวัตก่อนเอ่ยอย่างเขินๆ
“ขอหนูเป็นลูกอีกคนนะคะ..พ่อ”
“ได้สิ” ภวัตบอกก่อนจะอ้าแขนรับลูกสาวคนใหม่เข้ามากอดไรวินท์เห็นพ่อกับพี่สาวคนใหม่กอดกันขณะที่แม่กอดพี่ชายเอาไว้ก็แกล้งทำแก้มตูมเล็กน้อย
“ขี้โกงนี่ ให้ผมกอดด้วยสิ” ว่าแล้วไรวินท์ก็โผเข้าไปกอดทั้งสี่เอาไว้ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
กวินท์กับธันย์อดยิ้มตามอย่างมีความสุขไม่ได้
คนที่พวกเขารักได้เริ่มต้นใหม่กับครอบครัวอย่างมีความสุขแล้ว
คืนนั้นทั้งสี่ตั้งใจจะค้างแรมที่บ้านของพ่อกับแม่ หลังจากอาหารมื้อค่ำที่รศนากับรตาตั้งใจทำเต็มที่แล้ว รัญชน์ก็เลยรับหน้าที่ล้างจานกับกวินท์ ในขณะที่คนอื่นๆนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“คุณรู้ไหม วันนี้ผมมีความสุขมาก เหมือนกับวันที่คุณตามผมมาที่ บรูคลินแล้วบอกว่าพวกเรารักกันได้”
รัญชน์เอ่ยขึ้นมาขณะที่ปิดก๊อกน้ำและหันมาหาคนรักที่รับเอาจานใบสุดท้ายไปเช็ดให้แห้งและคว่ำลงบนที่ล้างจาน
คนรักของเขาสิ่งรอยยิ้มอบอุ่นที่รัญชน์แสนรักมาให้
“ผมรู้”
“แต่ผมก็ยังอดรู้สึกไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นเพราะความดื้อรั้นของผมที่ไม่ยอมรับพ่อ เลยทำให้พ่อกับแม่ต้องทุกข์เพราะความเป็นห่วงของผม”
กวินท์มองใบหน้าหวานที่มีความรู้สึกผิดปรากฏอยู่บนดวงตาอย่างห่วงใย เขาขยับเข้าไปหาและจับสองมือของรัญชน์ไว้
“ตอนนั้นคุณยังเด็กนะรัญชน์...และตอนนี้ทุกอย่างมันก็เคลียร์หมดแล้ว ผมไม่อยากให้คุณนึกโทษตัวเอง คุณมีความทุกข์มามากแล้ว ตอนนี้ผมอยากให้คุณมีแต่ความสุขนะ เพราะงั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้วนะครับ”
คำพูดของคนรักทำให้รัญชน์ได้คิด ร่างบางพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ คนรัก กวินท์เลยให้รางวัลกับคนรักของเขาเป็นจูบอ่อนโยนที่เปลือกตา
“จูบที่ปากด้วยสิ..” รัญชน์อดใจสั่นไม่ได้ที่เอ่ยอ้อนออกไปเช่นนั้น กวินท์ยิ้มให้กับความน่ารักของคนรักก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมาจะแตะเรียวปากบาง มอบจูบแสนหวานให้ตามคำขอที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
ความสุขมันพองล้นในอกของทั้งคู่...
หากแต่ไม่ใช่สำหรับภวัต...
“รัญชน์?...กวินท์?”
ทั้งสองผละจากกันราวกับถูกไฟช็อต รัญชน์หันขวับไปทางที่ภวัตยืนเมื่อได้ยินเสียง ความสุขผละจากรัญชน์ไปทันทีเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของพ่อ เช่นเดียวกับกวินท์ที่นึกเป็นกังวลขึ้นมา
ทั้งรัญชน์และกวินท์อดกลัวไม่ได้ว่าภวัตจะมีปฏิกิริยาเช่นไร จะเหมือนยชญ์หรือไม่ที่รับเรื่องที่พวกเขารักกันไม่ได้ หรือจะเหมือนพ่อกับแม่ของกวินท์ที่รับเรื่องพวกเขารักกันได้
“พ่อครับ...คือ...”
รัญชน์เองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกันว่าจะเอ่ยว่ายังไงดี เขาก้าวเข้าไปหาพ่อที่ทำหน้าเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น และพอจะเอ่ยต่อ แม่ก็โผล่เข้ามาในครัวอีกคน
“ยังไม่ได้น้ำส้มอีกหรอคะคุณ?...เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?”
ประโยคท้ายรศนาถามออกไปด้วยสัญชาตญาณของตนเมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคน ภวัตอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแล้วก็หุบลงก่อนจะส่ายหน้าสองสามครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะคุณ?”
รศนาถามย้ำอีกครั้ง ภวัตหันมองรัญชน์และกวินท์ก่อนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะพูดออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
“พวกเขา..จูบกัน”
“จูบกัน!? รัญชน์กับกวินท์จูบกันอย่างนั้นหรอ? จริงหรอลูก?”
รศนาอุทานถามอย่างตกใจ
รัญชน์หันกลับมามองหน้ากวินท์ก่อนสูดลมหายใจลึกๆ เขาเดินกลับมาหากวินท์และจับมือคนรักไว้แล้วหันมามองพ่อกับแม่
“จริงครับ...พวกเรารักกัน...รักกันมาสิบเจ็ดปีแล้ว”
“สิบเจ็ดปี!?”
ทั้งรศนาและภวัตต่างก็อุทานออกมาพร้อมกันอย่างไม่คาดคิด
“ครับ...แม่จำวันที่เราจากไทยมาได้หรือเปล่า ตอนที่แม่ไปที่โรงพยาบาล แล้วแม่ให้ผมคอยอยู่ที่ระเบียงนั่น ผมกับกวินท์เจอกันที่นั่น พวกเรารักกันโดยไม่ได้เจอหน้ากันอีกตั้งแต่วันนั้น...จนกระทั่งได้พบกันอีกทีเมื่อสองปีก่อน”
ความจากปากลูกชายที่สารภาพออกมายิ่งทำให้รศนาและภวัตตกตะลึงมากกว่าเดิม ทั้งสองหันไปมองหน้ากวินท์ที่เดินเข้ามาหา
“ผมรักรัญชน์ครับ ได้โปรด...อนุญาตให้พวกเราได้รักกันด้วยนะครับ” กวินท์ก้มหัวให้ทั้งสองที่ให้กำเนิดคนรักของเขาขึ้นมาลืมตาดูโลกใบนี้อย่างอ่อนน้อม
รัญชน์ก้าวเข้ามายืนข้างๆและค้อมศีรษะลงเช่นเดียวกับคนรัก
“ให้พวกเรารักกันเถอะครับ”
รศนาหันมองสบตากับสามีอย่างลังเล ภวัตเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน รตาที่เดินตามมาเพราะเห็นว่าทุกคนหายไปนานก็เดินเข้ามาหา
“ให้รัญชน์กับกวินท์รักกันเถอะค่ะ...หนูรับรองได้ว่าพวกเขารักกันจริง และรักกันมากด้วย”
ถึงแม้ว่าลูกสาวจะช่วยยืนยันเช่นนั้น แต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังอดที่จะห่วงไม่ได้ ภวัตมองสบตากับภรรยาอีกครั้ง ความกังวลถูกถ่ายทอดผ่านทางแววตาซึ่งกันและกัน
“ขอพ่อกับแม่คุยกับกวินท์ตามลำพังได้ไหม?”
รัญชน์เงยหน้าขึ้น แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด
แต่กวินท์ก็พยักหน้าก่อนจะแตะหลังให้รัญชน์เดินไปหารตาที่รับรัญชน์และพาออกไปจากห้องครัว
“อย่ากังวลไปเลยรัญชน์ พี่เชื่อว่ากวินท์จะทำให้พ่อกับแม่ยอมรับในตัวเขาได้”
รตาว่า เธอรู้สึกได้ว่าภวัตนั้นเป็นคนที่ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์อย่างยชญ์ ถึงจะพบกันไม่กี่ชั่วโมง แต่รตาก็ตระหนักได้ว่าภวัตนั้นคล้ายกับกสิณผู้เป็นบิดาของกวินท์ไม่น้อย เป็นคนที่อารมณ์เย็นและใจดีให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“อืม..”
รัญชน์ครางในลำคอ ในใจนึกกังวลระคนตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพียงแค่พ่อกับแม่ยอมรับความรักของเขากับกวินท์เท่านั้น
ชีวิตของรัญชน์ก็จะบริบูรณ์ด้วยความสุขยิ่งนัก
ขณะเดียวกันทางด้านของกวินท์ที่อยู่ตามลำพังกับรศนาและภวัตก็อดรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยไม่ได้กับสายตาที่กำลังมองมาอย่างพิจารณาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง
รศนายังอดวิตกไม่ได้ เธอมองหน้าสามีก่อนจะหันมาหากวินท์และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่วิตกไม่ต่างอะไรจากแววตา
“กวินท์..รักกับรัญชน์จริงๆน่ะหรือ?...เอ่อ แม่หมายความว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเผลอไผลใจอะไรไปทำนองนั้นใช่ไหม?”
“ครับ ผมรักรัญชน์ และผมก็เป็นลูกผู้ชายมากพอที่เชื่อมั่นว่าความรักของตนเองหนักแน่นมากพอ จนกว่าจะมาถึงวันนี้ ผมกับรัญชน์ เราผ่านอุปสรรคด้วยกันมาหลายอย่าง และสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ที่พวกเราต้องการ ก็คือการยอมรับจากพวกคุณทั้งสอง”
กวินท์พูดความในใจออกมาอย่างสุภาพและจริงใจก่อนที่จะก้มหัวลงให้กับทั้งสอง
“ได้โปรด...ให้ผมดูแลรัญชน์ด้วยนะครับ”
ภวัตมองหน้าภรรยาอีกครั้ง เธอยิ้มให้เขา แววตาดูจะคลายวิตกลงไปมาก เช่นเดียวกับเขา ภวัตเดินเข้าไปแตะไหล่กว้างของกวินท์ไว้
“พวกเราต่างหาก ที่ต้องขอร้องให้คุณดูแลลูกชายของเราด้วย และก็ขอบคุณ...ที่คอยดูแลรัญชน์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา”
กวินท์เงยหน้าและส่งยิ้มให้กับพ่อและแม่ของคนรักที่ยอมรับในความรักของพวกเขา
รัญชน์ออกจะกระวนกระวายไม่น้อยที่ปล่อยให้คนรักต้องเผชิญหน้ากับพ่อและแม่ตามลำพังเช่นนั้น
รตาเองก็มองน้องชายที่นั่งไม่ติดด้วยความเข้าใจ เธอเอื้อมมือไปบีบไหล่น้องชายเบาๆ รัญชน์หันมาหาเธอและจับมือของเธอไว้
“มือเย็นเฉียบเลยรัญชน์”
รตาบอกก่อนจับมือน้องชายไว้ให้แน่นขึ้น
รัญชน์ไม่พูดอะไร เอาแต่สงสัยตามมองไปยังประตูอย่างเฝ้าคอยให้ใครสักคนออกมาจากครัวเสียที จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที แม่ก็เดินเข้ามาในห้องและยิ้มให้กับเขา ที่ด้านหลังนั้นมีกวินท์กับพ่อที่ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกันอย่างถูกคอเดินตามเข้ามา
“ไปนั่งกับพี่เขาสิจ้ะลูก” รศนาบอกกับลูกชายที่ทำหน้างุนงงอยู่และบุ้ยใบ้ให้ไปนั่งข้างๆ กวินท์ที่นั่งลงตรงโซฟาข้างเตาผิง
“เอ่อ..ครับ”
รัญชน์วางตัวไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งเพราะยังคงเก้อเขินกับการเปิดเผยความสัมพันธ์ในครั้งนี้และยังไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าสีหน้ายิ้มๆของพ่อกับแม่นั้นจะหมายถึงว่าพ่อกับแม่อนุญาตให้เขากับกวินท์ได้รักกัน
“ตกลงว่า..พ่อกับแม่ว่ายังไงคะ? อนุญาตให้รัญชน์รักกับกวินท์หรือเปล่า” รตาโพล่งถามออกไปแทนรัญชน์ที่กำลังร้อนใจ
แก้มของรัญชน์ขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องชายคนเล็กของตัวเองหันมาจากเกมส์ที่เล่นอยู่กับธันย์มามองตาแป๋วอย่างสนใจ
“พ่อกับแม่น่ะ..ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับความรักของลูกหรอกนะจ้ะ ไม่ว่าจะรัญชน์หรือรตา แม้แต่ไรวินท์ด้วยเช่นกัน ลูกแต่ละคนต่างก็มีทางเดินของตัวเอง มีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะมีความรักของลูกกับคนที่ลูกเลือกพ่อกับแม่ก็แค่อยากคุยกับกวินท์เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะห้ามปรามหรือขัดขวางอะไรเสียหน่อย”
รศนาพูดทั้งรอยยิ้ม แววตากังวลของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นความภูมิใจที่ลูกชายของเธอมีคนรักอย่างกวินท์
“พ่อกับแม่ดีใจนะ..ที่ลูกมีคนที่รักคอยอยู่เคียงข้างแบบนี้”
รัญชน์ยิ้มรับคำพูดของพ่อก่อนหันไปยิ้มกับคนรักที่เอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไว้ ความรู้สึกปลอดโปร่งมันแผ่ซ่านในหัวใจที่ได้รับการยอมรับจากพ่อและแม่
ด้วยความรักที่พวกเขามีให้แก่กันมานานนับสิบเจ็ดปี
ในที่สุดวันนี้...พวกเขาก็สามารถที่จะอยู่เคียงข้างกันได้โดยไม่มีใครขัดขวางอีกต่อไป..
และสิ่งที่ทำให้พวกเขามีวันนี้ได้
ก็มีเพียงเพราะความรักเท่านั้น...
บทส่งท้าย
แสงแดดละมุนยามเช้าส่องผ่านเข้ามาผ่านผ้าม่านสีขาว รัญชน์ในชุดสูทสีครีมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะกระจก สายตาเลื่อนไปมองดูบูเก้ร์ช่องามที่วางอยู่ รัญชน์ยิ้มและยกมือขึ้นมาแตะกลีบไลแซนทัสสีขาวขอบชมพูสวยนั้นไว้ก่อนจะหันไปหาคนที่เดินเข้ามา กวินท์ในชุดสูทสีเทาจัดทรงผมเนี้ยบกว่าปกติดูหล่อแปลกตาไม่น้อย เมื่อเห็นรัญชน์หันมามอง กวินท์ก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
“คุณจะโกรธผมไหม ถ้าผมจะบอกว่าวันนี้คุณสวยมาก”
กวินท์บอกแล้วยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่อยู่ข้างแก้มใส
วันนี้ใบหน้าของรัญชน์ดูสวยหวานกว่าทุกวันด้วยฝีมือของคนเป็นแม่ รศนาจับลูกชายคนโตของเธอทักเปียคาดศีรษะโดยเหลือผมหน้าม้าเอาไว้และจัดการดัดผมที่ยาวละบ่าให้เป็นลอนอ่อนๆ รวมถึงปัดแก้มและทาปากรัญชน์จนกลายเป็นสีชมพูสวยน่ารักและอ่อนหวานจนผิดตาไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวันพิเศษของครอบครัววันนี้
รัญชน์ยิ้มรับคำชมของคนรักก่อนจะหลับตาลงเมื่อกวินท์โน้มหน้าเข้ามาหาและประทับจูบลงแผ่วเบาที่เรียวปากอิ่มของตน
“อะแฮ่ม ได้เวลาแล้วนะจ้ะ”
รัญชน์กับกวินท์ผละกันอย่างเขินๆ รศนาและรตาที่เพิ่งออกมาจากห้องด้านในหันมายิ้มให้แก่กันกับภาพความน่ารักของทั้งสองคน
“พี่พร้อมแล้วใช่ไหม?” รัญชน์หันไปถามแก้เขินก่อนจะหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาส่งให้กับพี่สาวของตน รตาพยักหน้าก่อนจะทำแก้มพองน้อยๆ
“ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ก็ยังดีนะที่มีแค่พวกเราน่ะ” รตาบอกก่อนรับเอาช่อบูเก้ร์มาถือไว้ เป็นเวลาพอดีกับที่ไรวินท์เข้ามาตามทุกคน กวินท์หันมาหารัญชน์ก่อนจะบีบมือคนรักเบาๆแล้วเดินออกไปพร้อมกับรศนา
“จริงๆรัญชน์กับกวินท์ก็น่าจะแต่งพร้อมพี่เลยนะ” รตาเปรยขึ้นขณะที่เดินไปคล้องแขนภวัตที่ทำหน้าที่พาเธอเดินเข้าไปในโบสถ์
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนั้น” รัญชน์บอกยิ้มๆก่อนจะเดินนำหน้าพี่สาวไป
เพราะเขามีสิ่งสำคัญอยู่ข้างกายอยู่แล้ว
วันนี้เป็นวันแต่งงานของธันย์กับรตา ทั้งสองคนเลือกที่จะจัดงานแต่งเล็กๆที่โบสถ์ภายในหมู่บ้านที่แม่กับพ่ออาศัยอยู่
ทั้งรตาและธันย์ต่างก็ถูกใจโบสถ์แห่งนี้ไม่น้อยนับตั้งแต่คริสมาสต์อีฟเมื่อปลายปีที่แล้วที่ได้มาทำมิสซาร่วมกับครอบครัว
พิธีแต่งงานเล็กๆที่เรียบง่ายและมีคนร่วมงานไม่ถึงสิบคน แต่กลับเป็นพิธีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
รัญชน์มองรอยยิ้มของพี่สาวและธันย์ที่กลายมาเป็นพี่เขยอย่างมีความสุข และมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อกวินท์ส่งยิ้มมาให้ขณะที่เดินมาอยู่เคียงข้าง รตาที่หันมาเห็นกวินท์กำลังเอื้อมมือไปจับมือของรัญชน์ไว้ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นบูเก้ร์ช่อสวยให้
รัญชน์รับมันมาอย่างเขินๆ สองแก้มแดงปลั่งจนกวินท์อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาใช้ข้อนิ้วเกลี่ยเบาๆ
“โธ่ ให้รัญชน์ซะงั้น พี่อุตส่าห์รอนะนี่” คีตวิชญ์แซวขึ้นมายิ่งทำให้แก้มของรัญชน์แดงกว่าเดิม รตาหันไปค้อนใส่
“พี่น่ะ ไปหาแฟนมาก่อนเถอะ แก่แล้วนะ หาแฟนซะทีได้แล้ว”
ฟังคำของพี่สาวแล้วรัญชน์ก็อดไม่ได้ที่จะยกช่อบูเก้ร์ขึ้นมาแล้วก้มหน้าลงไปหัวเราะ เสียงหัวเราะที่สดใสของรัญชน์ทำให้ทุกคนต้องยิ้มตาม
รศนากับภวัตที่ยืนมองอยู่ก็พลอยรู้สึกสุขใจตามไปด้วยที่เห็นลูกๆของพวกเขามีความสุข
ตรงข้างโบสถ์นั้นเป็นสวนหย่อมที่ติดริมทะเลสาบของหมู่บ้านรัญชน์กับกวินท์เดินปลีกตัวจากทุกคนที่กำลังสนุกสนานกับการถ่ายภาพออกมาตามลำพัง บูเก้ร์ช่อสวยยังคงอยู่ในมือของรัญชน์อยู่
ร่างบางก้มมองช่อดอกไม้ในมือแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนเดินไปนั่งที่ชิงช้าซึ่งห้อยอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ กวินท์ยิ้มนิดๆแล้วยกกล้องของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปคนรักที่นั่งอยู่ที่ชิงช้าไว้หลายรูปก่อนเดินเข้าไปหา
“ที่นี่สวยดีนะ...เงียบสงบดีด้วย”
รัญชน์ว่าพลางยกมือขึ้นลูบดอกกุหลาบสีขาวที่ทางโบสถ์เอามาทำเป็นเถาวัลย์พันไว้กับชิงช้าแล้วเงยหน้ามองคนรักที่เดินเข้ามาหา
“รัญชน์..” คนถูกเรียกเอียงคอน้อยๆมองดูคนรักที่ย่อตัวลงมานั่งทับส้นเท้าเบื้องหน้าตนเอง กวินท์เอื้อมมือมาจับมือซ้ายของเขาไว้ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณอยากแต่งงานบ้างไหม?”
รัญชน์ทำสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่คนรักถามขึ้นมา สีหน้าของกวินท์ดูอ่อนโยนแต่ก็แฝงไว้ด้วยแววตาจริงจัง
“เดี๋ยวนี้มีหลายที่ที่ผู้ชายอย่างเราสองคนจะแต่งงานจดทะเบียนกันได้ เราสามารถเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายเหมือนกับที่พี่ธันย์กับคุณรตาแต่งงานกัน รัญชน์...คุณอยากแต่งงานกับผมหรือเปล่า?”
รัญชน์ฟังแล้วก็ตื้นตันกับคำขอแต่งงานของคนรัก ไม่ต้องมีคำรักหวานซึ้ง แต่รัญชน์ฟังแล้วก็รู้สึกได้ถึงความรักที่แท้จริง เขายิ้มให้คนรักก่อน บีบมือกวินท์ที่จับมือซ้ายของตนเองอยู่
“สำหรับผม...เรื่องการแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย คุณอยู่กับผมตรงนี้แล้ว ทะเบียนสมรสมันไม่มีความหมายเท่ากับสิ่งนี้ที่คุณให้ผม”
รัญชน์ใช้มือที่กวินท์จับอยู่จิ้มลงที่อกซ้ายของคนรัก
“และผมก็เชื่อ..ว่าคุณจะรักผมตลอดไปและผมก็จะรักคุณตลอดไปเช่นกัน”
“รัญชน์..” กวินท์ครางชื่อคนรักแผ่วเบาในลำคอ รัญชน์ยังคงยิ้มให้เขาก่อนที่จะดึงมือออก รัญชน์ใช้มือข้างนั้นเกลี่ยผมที่ลงมาปรกตาเขาไว้ก่อนโน้มหน้ามาจูบแผ่วเบาที่หน้าผากของเขา
กวินท์สอดมือไปกอดคนรักเอาไว้แล้วแหงนหน้าไปจูบที่ปากคนรัก
“ผมก็จะรักคุณ..ตลอดไป” กวินท์กระซิบบอกก่อนขยับขึ้นไปนั่งบนชิงช้าข้างๆรัญชน์ รัญชน์ยิ้มอย่างมีความสุขขณะเอนศีรษะลงพิงไหล่กว้าง กวินท์สอดมือโอบกอดเอวคนรักเอาไว้อย่างมีความสุขเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตคู่คือความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เพียงเท่านี้ก็เติมเต็มความรักที่มีให้แก่กันอย่างสมบูรณ์
The End
จบแล้วววว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและติชมพูดคุยกันนะคะ
เรื่องต่อจากซีรีย์shade of seasonนี้คือ Sunshine You เพราะผมรักคุณ (เป็นตัวละครคู่ใหม่นะคะ แต่ก็มีคุณหมอกวินท์กับรัญชน์มาร่วมแจมบ้าง)
แต่เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการวางพล็อตและตั้งชื่อตัวละครค่ะ
ระหว่างนี้ มี 1 เรื่องมาคั่นรอให้อ่านกันจากซีรีย์ Tragedy Series
คือเรื่อง
Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์สำหรับเรื่องtell me the legend เป็น Tragedy Drama สุดโศก เป็นเรื่องราวของอนิรุทธ์อาจารย์แพทย์ประจำวอร์ดศัลยกรรมกับศราวินคนรักที่เป็นนักเรียนแพทย์ปีสุดท้าย ความรักของทั้งสองเป็นตำนานที่เลื่องลือภายในโรงเรียนแพทย์มานานกว่าสี่สิบปี เรื่องราวที่น่าเศร้าเมื่อศราวินที่ใครๆต่างก็เอ็นดูถูกฆ่าข่มขืนในบริเวณละแวกโรงพยาบาล ศพของเขาถูกพบและนำมาชันสูตรที่โรงพยาบาลโดยผู้ที่ทำหน้าที่ชันสูตรนั้นคืออนิรุทธ์คนรักของเขา ที่ในวันต่อมาทีมแพทย์นิติเวชพบเป็นศพอยู่ในโลงของคนรัก ทั้งสองศพอยู่ในสภาพที่กอดกันเอาไว้ราวกับไม่ต้องการที่จะแยกจากกัน
จากการตายที่ทำให้ทุกคนตกใจ กลับมีเรื่องสั่นขวัญขึ้นในโรงพยาบาลเพราะนางพยาบาลประจำวอร์ดศัลยกรรมและคนไข้มักจะได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งสองและเสียงฝีเท้าเดินไปตามระเบียง ราวกับทั้งสองคนกำลังราวน์วอร์ดเหมือนกับตอนที่มีชีวิต
เรื่องลึกลับนี้กลายเป็นตำนานของโรงพยาบาลเรื่อยมา
จนกระั่ทั่งสี่สิบปีให้หลัง
เหล่าพยาบาลประจำวอร์ดก็ต้องตื่นตระหนกอีกครั้ง เมื่ออาจารย์กับนักเรียนแพทย์ที่มาบรรจบพบกันอีกครั้งบนวอร์ดศัลยกรรมนี้
มีชื่อเดียวกันกับคู่รักที่เสียชีวิตไปแล้ว!
ดั่งว่าตำนานนั้นจะย้อนกลับมาดำเนินเรื่องอีกหน จึงให้ทั้งสองมาพบกัน ณ ที่แห่งนี้
ใครสนใจนิยายแนวtragedy drama ตามอ่านได้โล้ด