คึคึ ไปอ่านกันต่อเหอะ
"นี่ที่รัก ยาสีฟันจะหมดแล้วนะ"
"อื้อ เดี๋ยววันหยุดค่อยไปซื้อ"
"อย่าลืมซื้อแยมขวดใหม่มาด้วยล่ะ ไม่มีอะไรไว้กินกับขนมปังแล้ว"
"อื้อ"
"ซื้อดีวีดีเปล่ามาด้วยนะ แผ่นสุดท้ายผมเพิ่งใช้ไปเมื่อวาน"
"อืม"ให้ตายเหอะ ที่เขาสั่งๆ มาน่ะรู้ตัวบ้างรึเปล่าว่ามันทำให้ผมต้องเดินทั่วห้างเลยนะ ของแต่ละอย่างมันคนละแผนกทั้งนั้น แล้วถึงผมไม่ถามก็รู้เลยว่าเขาต้องไม่ไปช่วยซื้อของแน่ๆ เหตุผลน่ะเหรอ 'วันหยุดทั้งทีผมขอ….นะ' ซึ่งไอ้จุดจุดจุดเนี่ยมักจะเป็นอะไรเกี่ยวกับเพื่อนเสมอ ขอไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างล่ะ ไปเตะบอลกับเพื่อนบ้างล่ะ ซึ่งเขาคงลืมว่ามันก็เป็นวันหยุดผมเหมือนกัน
"ที่สั่งๆ มานี่จะไม่ไปซื้อด้วยกันใช่มั้ย"ผมเริ่มหมดความอดทน เงยหน้ามองคนชอบสั่งที่นั่งเล่นเกมส์หน้าคอมฯ อย่างสบายใจ
"โธ่ที่รัก อาทิตย์นี้ผมก็กลับห้องมานั่งทำรายงานทุกวันเลยนะ ขอไปเตะบอลกับเพื่อนหน่อยสิ เนี่ยนัดกับอีกทีมแล้วด้วย นะครับ"
"อืม"เซ็งครับ ขี้เกียจพูดอะไรทั้งนั้น ว่าอะไรไปก็มีเหตุผลยกมาอ้างได้ร้อยแปด
"เป็นอะไรล่ะ โกรธผมเหรอ"
"เปล่า"ความจริงไม่ได้อยากตอบหรอกนะครับ แต่แมนเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่ตอบก็จะเซ้าซี้ไม่หยุด แล้วนั่นจะทำให้อารมณ์ผมขึ้นได้ง่ายๆ
"เปล่าแล้วทำไมพูดห้วนจัง"แต่ก็ใช่ว่าตอบแล้วจะจบนะ
"ก็รีดผ้าอยู่ เหนื่อย"
"โหยย มาๆ เดี๋ยวผมรีดต่อเอง ที่รักไปอาบน้ำไป เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินกัน"เขารีบวางมือจากคีย์บอร์ดแล้ววิ่งมาแย่งเตารีดไปจากมือผมพร้อมดันผมให้ออกไปห่างๆ
"ดึกแล้วจะไปไหนอีกล่ะ ร้านข้าวปิดหมดแล้วมั้ง"ผมหยิบเสื้อผ้าที่รีดเสร็จแล้วไปแขวนในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินมานั่งมองเขาปรับความระดับความร้อนให้เบาลงก่อนลงมือรีดเสื้อตัวที่ผมรีดค้างอยู่
"เออจริง แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ ที่รักกินแล้วเหรอ"วันนี้ผมกลับมาก่อนเพราะเลิกเร็วกว่า
"เป้กินมาม่าตั้งแต่เพิ่งกลับมาแล้ว จะกินมั้ยล่ะจะทำให้"
"ใส่ไข่สองใบนะ รักที่รักที่สุดเลย"เขาพูดพร้อมยิ้มเสียแก้มแทบปริ แถมยังทำทะเล้นส่งจูบให้ผมอีก ไอ้ความรู้สึกหนักๆ ในอกเมื่อครู่เลยค่อยๆ บรรเทาหายไปบ้างนิดหน่อย
วันนี้ผมออกจากหอมาเพียงลำพังเหมือนเคย ความจริงออกมาซื้อของตอนเย็นๆ ก็ได้ แต่เพราะมีหนังที่อยากดู มีหนังสือที่อยากซื้อ ผมก็เลยเลือกที่จะออกมาเช้าหน่อย เช้าขนาดที่ว่าคนบ้าเกมส์ยังไม่ตื่นนั่นล่ะ ระหว่างนั่งรอเวลาเข้าโรงหนังผมมองไปรอบๆ ตัว หลายคนมากันเป็นหมู่คณะ บางคนมาเป็นคู่ และบางทีเป็นครอบครัว ถึงแม้จะมีบางคนที่นั่งคนเดียวเหมือนผมแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นแบบผมหรือเปล่า...มีแฟนแล้ว แต่อยู่คนเดียว แรกๆ ก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกนะครับ เราเคยควงกันไปนั่งสวีทในโรงหนัง หัวเราะคิกคักหยอกล้อกันในความมืดจนต้องคอยสะกิดเตือนกันให้เกรงใจคนรอบข้าง เราเคยมีช่วงเวลานั้น และมันสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค
“เฮ้ย! ไอ้เป้”เสียงร้องทักด้านหลังมาพร้อมแรงกระแทกที่หัวไหล่
“ไอ้เวรโจ้ ทักกูอย่างนี้มึงโดนถีบเลยดีกว่า”ไอ้โจ้เป็นเพื่อนสนิทผม ตัวใหญ่กว่าผมเกือบเท่า แค่ตบบ่าเบาๆ ก็แทบทรุด นี่เสือกผลักมาได้
“ห่านี่ ตัวมีแต่กระดูก ผัวทิ้งหรือไงวะ”นั่นไง ปากหมาอีก
“ไปตดไกลๆ กูไป ยิ่งเซ็งๆ อยู่”
“แน๊ะๆๆ แทงใจดำอ่ะดิ มิน่ากูเห็นผัวมึงควงหนุ่มช้อปปิ้งอยู่ชั้นล่าง”
“พูดไรของมึง มั่วแล้ว”
“มั่วอะไร ไม่เชื่อถามอุ๋ยเลย มันชี้ให้กูดูเอง”โจ้พยักหน้าให้แฟนมันที่ยืนอยู่ข้างๆ
“จริงนะเป้ ตอนแรกอุ๋ยนึกว่าเป็นเป้ เกือบเดินไปทักแล้ว แล้วนี่...ยังไม่เลิกกันเหรอ”โห...จี๊ดเลยคำนี้ นี่ผมออกมาตั้งแต่เขายังไม่ตื่นเลยนะ แล้วไหงโผล่มาพร้อมกับผมได้ แสดงว่ารอผมไม่อยู่แล้วแอบออกมาเหรอ ร้ายเงียบนะมึง
“ตายยากจริง เดินมานั่นแล้วว่ะ”โจ้ชี้ไปด้านหลังผม พอหันไปมองก็เป็นอย่างที่มันเล่าจริงๆ แมนกำลังเดินคู่กับผู้ชายอีกคนที่ผมไม่คุ้นหน้า ที่เขาว่าผีเห็นผีน่ะจริงแน่ๆ คนนั้นดูยังไงก็เป็นกวางแน่ๆ ส่ายสะโพกจนจะกระแทกกับแมนแล้ว ไอ้แมนก็ตัวดีปล่อยให้มันจับแขนจับมือตลอด ทำไมไม่โอบกันเลยล่ะ เดินอี๋อ๋อโชว์ชาวบ้านยังไม่พอ ยังมีหน้าโบกมือทักทายผมอีก...โบกมือให้ผม!!
“ห่า จ้องมากมันจับได้เลยเห็นมั้ย ตกลงพวกมึงเลิกกันแล้วใช่มั้ยเนี่ย มันถึงควงคนใหม่ต่อหน้ามึงแบบนี้”ไอ้โจ้พูดกับผมแต่ปากแทบไม่ขยับ ไอ้นี่มันนิสัยขี้นินทายิ่งกว่าแฟนมันอีก
“เป้มาได้ไง นึกว่าหายไปไหนแต่เช้าซะอีก มาเที่ยวกับเพื่อนทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะ”
“ก็อยากดูหนังก็เลยมา แต่ไม่ได้มากับเพื่อน มาคนเดียว”ผมเน้นคำว่าคนเดียวให้มันรู้ตัวว่าผมคนเดียว ส่วนเขาน่ะมากับใคร
“....เป้! อย่าเข้าใจผิดนะ นี่อีปุ่น เมียใหม่ไอ้ยักษ์มัน ไม่ได้มาเที่ยวนะ มาเอาเสื้อทีมแต่ของยังไม่เสร็จเลยเดินเล่นรอ เดี๋ยวอีกชั่วโมงก็ได้แล้ว แล้วก็จะไปเตะบอลกันต่อ ไม่ได้นอกใจเป้นะ ไม่เคยเลยด้วย”มาเป็นชุดเลย ผมพูดขัดไม่ได้สักคำ แมนผลักคนที่ชื่อปุ่นแรงจนเกือบล้ม แถมเขายังโผเข้ามากุมมือผมไว้อีก ผมบอกแล้วว่าแมนเป็นคนเปิดเผย...แต่บางครั้งก็มากไปนะ คนรอบข้างนี่พากันเหลือบมองมาทางพวกผมใหญ่เลย ผมค่อยๆ เลื่อนมือออกมาแต่แมนไม่ยอมปล่อย
“ไอ้แมน! กูเจ็บนะ”
“เงียบเลยอีปุ่น ถ้ามึงไม่บอกว่าจะแอบซื้อรองเท้าให้ผัวมึงกูไม่ยอมมาด้วยหรอก”
“เมียมึงเขายังไม่พูดอะไรสักคำ ไอ้นี่นิกลัวเมียเหมือนที่คนอื่นเขาเล่าเลย นี่เธอ เราชื่อปุ่น ไม่ได้พิศวาสอะไรมันหรอกนะ ไม่ต้องคิดมากล่ะ แค่ไอ้ยักษ์คนเดียวตูดก็บานแล้ว”โอ้ววว...แรง!!!
“ที่รักโกรธผมเหรอ ไม่มีอะไรจริงๆ นะ”
“....ไม่ได้โกรธ กำลังงง หนังเข้าแล้ว เป้ดูหนังก่อนแล้วกัน”พอผมสะบัดหลุดแมนก็คว้าข้อศอกผมไว้อีก เซ้าซี้ไม่เลิก
“เดี๋ยวสิ ไม่โกรธจริงๆ นะ”
“อืม ไม่โกรธแล้ว มีอะไรไว้ค่อยคุยกันที่ห้องแล้วกัน”
“ครับ แมนรอที่ห้องนะ ไม่เตะบอลแล้วก็ได้ เป้ดูหนังเสร็จแล้วรีบกลับห้องเรานะ”เหมือนเดิมทุกครั้งเวลาที่แมนกลัวผมโกรธ แมนจะเงียบๆ ทำหน้าซึมๆ ไม่กล้าเซ้าซี้อะไรมากเพราะรู้ว่าผมจะรำคาญหรือโกรธหนักขึ้น และไอ้อาการแบบนี้นั่นล่ะที่ทำให้พอจะหายโกรธได้บ้าง แต่ความหงุดหงิดลึกๆ ในใจทำยังไงก็ไม่หายสักที
หลังออกมาจากโรงหนังผมก็เดินเข้าๆ ออกๆ แผนกต่างๆ เพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นๆ ส่วนอาหารวันนี้ซื้อสุกี้สำเร็จรูป ถือว่ากินพิเศษหน่อยเผื่อว่าสวีทๆ กันแล้วผมจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เห็นหน้าหงอๆ ตอนที่บอกลาผมแล้วอดยิ้มไม่ได้ แมนเป็นผู้ชายที่ง้อเก่งที่สุดในโลกสำหรับผมเลย ถึงผมจะหงุดหงิด โมโหใส่ แต่แมนจะง้อตลอด อะไรๆ ก็ แมนขอโทษนะครับๆ มันทำให้ใจเย็นขึ้น แต่พอครั้งนี้หายโกรธ ครั้งหน้ามันก็จะเกิดขึ้นอีก แล้วก็เป็นวงจรอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ที่ผมเซ็งก็เพราะเรื่องนี้ส่วนหนึ่ง ทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ งอนง้อกันแบบคู่รัก ผมน่าจะชอบนะ แต่....บางอย่างมันไม่ใช่ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยัง
ผมมองประตูห้องตัวเองแล้วอยากจะร้องกรี๊ด แม่กุญแจคล้องอยู่หน้าประตูแสดงว่าในห้องไม่มีคนอยู่ แล้วไอ้คำพูดหวานๆ ที่ว่ารีบกลับห้องเรานะ แมนรอที่ห้องนะ ไอ้คำพูดพวกนี้มันคืออะไร ไม่ได้สำนึกเลยใช่มั้ยว่ากำลังทะเลาะกันแล้วควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมรอผมตามที่พูด ผมไขกุญแจเข้าห้องได้ก็รีบตรงไปตรงฝาตู้เย็น เราตกลงกันไว้ว่าถ้ามีอะไรให้โทรหาหรือเขียนโน๊ตแปะไว้ และเขาเขียนไว้ว่า...’ไปเตะบอลแป๊บนะที่รัก จะรีบกลับนะครับ’....ไอ้แมน!!
+++++++++++++++
ฮ่วยช้านิดช้าหน่อยทำบ่น
คนแต่ง คึคึ (สามัคคีกันจริงๆ) ป.ล. จะมาต่อทุกวันจันทร์((คนแต่งเค้าฝากมาบอก))
ป.ล.ล. เน็ตตูห่วยมาก เน่ามาก