[เรื่องสั้น] w h e r e ? ห น ใ ด รั ก | จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] w h e r e ? ห น ใ ด รั ก | จบ  (อ่าน 2588 ครั้ง)

ออฟไลน์ PorschePsr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ผมชอบผู้ชาย...คนเหล่านั้นเรียกผมว่าอะไรนะ?
เกย์เหรอ ตุ๊ดเหรอ หรือว่ากะเทยนะ?

ผมชอบผู้ชาย...คนเหล่านั้นบอกว่าผมป่วยเหรอ?
ทำไมผมต้องไปพบจิตแพทย์ด้วยล่ะ?

ผมชอบผู้ชาย...คนเหล่านั้นเห็นผมเป็นฆาตกรเหรอ?
ถึงได้รังเกียจผมกันขนาดนั้น?

ผมชอบผู้ชาย...คนเหล่านั้นเห็นว่ามันผิดเหรอ?
มันพอจะมีที่สำหรับความรักของผมบ้างมั้ย?

"เราให้การยอมรับ และเปิดกว้างถึงการมีตัวตนของพวกคุณ"
คำพูดเป็นเพียงฉากบังหน้าในสังคมเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้นแหละ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2019 18:11:27 โดย PorschePsr »

ออฟไลน์ PorschePsr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
Re: [end] w h e r e ? ห น ใ ด รั ก
«ตอบ #1 เมื่อ29-11-2019 17:51:22 »

วันนั้นเมื่อประมาณสองปีที่แล้วมันเป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นสีคราม แต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวสะอาด มีลมอ่อน ๆ พัดผ่านไปพอให้กิ่งไม้ไหวและรู้สึกเย็นสบาย

ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่หลังโรงเรียนกับกลุ่มเพื่อนในตอน เพื่อนส่วนหนึ่งก็เปิดการ์ตูนขึ้นมาอ่าน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม หรือแยกไปตีปิงปองกันที่โต๊ะใกล้ ๆ โชว์ฝีไม้ลายมือ

ทุกคนต่างทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจร่วมกัน ก่อนจะหยุดความสนใจละสายตามองไปยังคน ๆ หนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้เป็นตาเดียวพร้อม ๆ กัน

คนที่กำลังเดินเข้ามาทางนี้เป็นเด็กผู้ชายร่างเล็ก ผมเคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน เป็นรุ่นน้องที่กำลังเรียนอยู่มอสามชื่อ มายด์ ตัวสูงประมาณเกือบหนึ่งร้อยหกสิบเซ็นติเมตร หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย และสะอาดสะอ้าน ผิวทั้งขาว ใส และเนียน ใครมองก็ให้ความเห็นเหมือนกันทั้งนั้นว่าเด็กคนนี้น่ารัก

แต่ว่า…

การมาเยือนของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย บรรยากาศรอบข้างรู้สึกถึงความเย็นลงจนขนลุก ดวงอาทิตย์เริ่มลับเส้นขอบฟ้าเปลี่ยนท้องฟ้าครามเป็นสีส้ม บรรดานกกาบินอยู่เหนือหัวพากันกลับรังและส่งเสียงร้อง

มันชวนให้รู้สึกเงียบเหงาและวังเวงจนน่ากลัว

ร่างเล็กในชุดนักเรียนกางเกงสีดำสั้นเหนือเข่ามาคืบหนึ่งเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของ แบงค์ เพื่อนในกลุ่มของเขาเพียงคนเดียวที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจการมาเยือนของผู้มาใหม่แม้แต่น้อย

“เอ่อ พ พี่แบงค์…” ร่างเล็กเม้มปากแน่นและใบหน้าค่อย ๆ ขึ้นสีระเรือรับกับแสงแดดยามเย็นขยับปากขึ้นเอ่ยช้า ๆ เสียงสั่น

“มีอะไร” ร่างสูงของผู้ฟังนั้นกลับตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญและแข็งกระด้าง ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ชวนอึดอัดมากขึ้นไปอีก

“มายด์มีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ พี่มาคุยกับมายด์หน่อยได้มั้ย”

“จะคุยไรอะ”

“เอ่อ…”

“มีอะไรก็พูดมาดิวะ ตรงนี้แหละ” ทุกประโยคทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของแบงค์ยังคงเย็นชาและเรียบนิ่งราวกับผิวทะเลสงบไม่มีระลอกคลื่นใด ๆ พัดเข้าฝั่ง

“ต ตรงนี้เหรอครับ”

“อืม กูไม่ลุกไปไหนทั้งนั้นแหละ” แบงค์ตอบก่อนจะกดปิดหน้าจอโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงและเงยหน้ามองรุ่นน้องด้วยสายตาเบื่อหน่าย

ความจริงแล้วแบงค์เป็นคนที่สดใสและร่าเริงมาก อัธยาศัยก็ดี รู้จักคนในโรงเรียนก็เยอะ มุมที่เย็นชาและเรียบเฉยแบบนี้น่ะน้อยมากที่จะได้เห็น

และอะไรที่มันน้อยมากที่จะได้พบเห็นนั่นแหละที่…อันตราย

ผมสัมผัสได้ในทันที่ว่าจากทะเลที่สงบเงียบ ในเวลาอีกไม่นานมันจะแปรเปลี่ยนเป็นพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามา

“เอ่อ…เฮ้อ” น้องมายด์ที่พอจะรู้แล้วว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดธุระของตัวเองตรงนี้ ต่อหน้าคนทุกคน ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ให้เต็มปอดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้ากล้า ๆ กลัว ๆ ตอนนี้ดูดีขึ้น แต่ก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดี “ผมชอบพี่แบงค์ครับ ชอบมาตั้งแต่พี่เรียนอยู่มอสอง แต่ว่าผมจะไปเรียนต่อมอสี่ที่อื่นก็เลยอยากจะมาบอกให้พี่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่”

“อืม…เฮ้อ” แม้มายด์จะกล่าวคำสารภาพรักของตัวเองออกมามากมายยาวเหยียดขนาดไหน แต่แบงค์กลับตอบรับกลับไปสั้น ๆ เท่านั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยตอนนี้ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น แววตาแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวและมองไปยังคงตัวเล็ก…อย่างรังเกียจ
แววตาของแบงค์ที่มองไปยังร่างเล็กในตอนนี้ทำให้ผมกลัวจนเสียวสันหลังวาบ

อยากจะรีบเดินหนีออกไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้จริง ๆ

“กูเองก็มีอะไรจะบอกมึงเหมือนกัน”

“เอ่อ…ครับ” แบงค์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าและก้าวเท้าเข้าไปใกล้ร่างเล็ก ทว่ามันไม่ได้ชวนให้ใจเต้นอย่างฉากโรแมนติกในนิยายวัยรุ่น แต่มันกลับดูน่ากลัวเหมือนตอนเผชิญหน้าฆาตกรโรคจิตในนิยายสืบสวนสอบสวนหรือเรื่องสยองขวัญ น้องมายด์ดูกลัวอย่างเห็นได้ชัดทุกฝีก้าวที่แบงค์เข้าไปใกล้ น้องเขาก็จะถอยหลังไปหนึ่งก้าวเช่นกัน จนกระทั่งชนเข้ากับเสาไม่มีที่ให้ถอยกลับอีก

“มึงชอบกูเหรอ…” เมื่อมายด์ไม่มีที่ให้ถอยหนีอีก แบงค์จึงยกแขนขวาไปเท้ากับเสาและเขยิบหน้าเข้าไปใกล้ “แต่กูจะบอกอะไรให้นะ”

“กูไม่ได้ชอบมึงหวะ กูไม่เคยชอบมึงเลย และจะไม่มีวันชอบมึงเลยด้วย กูแม่งโคตรรังเกียจคนอย่างมึงเลยเว้ย!” แบงค์ค่อย ๆ พูดเอ่ยมาเสียงค่อยและกลายเป็นตะคอกใส่หน้าจนร่างเล็กร่นคอหนี “มึงเกิดมาเป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ เสือกอยากเกิดมาเป็นหนอนเป็นไส้เดือน เป็นสัตว์สองเพศ น่าขยะแขยงหวะสัด! จะอ้วก!!”

เอื้อก

สิ้นประโยคนั้น บรรยากาศรอบข้างพวกเราไม่มีเสียงใดใดทั้งสิ้น ผมที่อยากจะกลืนน้ำลายหนืดลงคอยังทำได้ยากและรู้สึกเจ็บหน่วงที่อกไปหมด ราวกับว่าคำพูดของแบงค์นั้นทิ่มแทงเข้ามาในใจของผมอีกคน

แต่ที่น่าห่วงกว่าตัวเองก็คงจะเป็นน้องมายด์ที่ถูกเพื่อนของเขาตะคอกใส่และพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ตอนนี้ดวงตาของน้องเขาสั่นระริก น้ำตาคงเริ่มเอ่อล้นจนแทบไหลออกมาแต่ยังคงอดกลั้นไว้เต็มที่

ก่อนที่ริมฝีปากสั่น ๆ นั่นจะยังยิ้มออกมาอย่างฝืนจะทำ

“น นั่นสินะครับ” แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ยังคงยิ้มอยู่เลย “มายด์คงจะประหลาดในสายตาของพี่แบงค์”

“ใช่” แบงค์เหยียดยิ้มขึ้นที่มุมปากก่อนจะเอ่ยอะไรที่ไม่น่าให้อภัยออกมาอีกครั้ง “มึงมันตัวประหลาด และอะไรประหลาด ๆ พวกนั้นน่ะ…สมควรจะตายซะ”

“ครับ มายด์จะจำไว้…ขอบคุณนะครับ” มายด์ตอบเท่านั้น ก่อนจะปัดมือข้างที่แบงค์ยันเสาไว้ทิ้งและรีบวิ่งหนีออกไป ผมสาบานได้ว่าเห็นหยดน้ำใส ๆ ไหลออกจากตาของเด็กคนนั้นในตอนที่วิ่งออกไป

“พวกมึงทุกคนจำไว้เลยนะ ไอ้เซียนมึงด้วย อย่าให้กูรู้นะว่าหมาตัวไหนมันเสือกเอาเพศเดียวกัน กูจะเอาหมัดกูไปประทับหน้าของพวกมึงให้หายป่วยเอง” แบงค์หันมาชี้หน้ากราดเพื่อน ๆ ทุกคน พร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมาให้ทุกคนเห็น ก่อนจะทุบลงไปที่โต๊ะไม้จนเกิดเสียงดัง แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไป

ตึง!!

บรรยากาศรอบข้างยังคงเงียบและอึดอัด ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อนที่ดูอัธยาศัยดีคนนั้นน่ะ…จะโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้
ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีก็แต่คนที่เอ่ยปากขอกลับก่อนเพราะทนความอึดอัดไม่ไหว รวมถึงผมด้วยเช่นกัน ผมเป็นคนแรก ๆ ที่รีบเก็บของลงกระเป๋า สะพายขึ้นบ่าและรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้น

แต่ผมไม่ได้มุ่งหน้าตรงกลับบ้าน ทว่ามองหาเด็กคนนั้นแล้วผมก็พบว่ามีเพื่อนของผมบางคนก็กำลังนั่งให้ยืมบ่าและคอยปลอบโยนเด็กที่กำลังร้องไห้โฮเพราะเพิ่งอกหักและถูกเหยียดหยามอย่างโหดร้าย

วันนั้นเองนั่นแหละที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าผมจะเหยียบความรู้สึกที่ผมมีให้ใครบางคนไว้ให้มิดอยู่ลึกสุดของส่วนก้นบึ้งหัวใจ จะไม่มีใครได้รู้เกี่ยวกับความลับเรื่องนี้ของผม

แม้แต่เขาคนนั้นก็ไม่เช่นกัน…

เพราะมันคงไม่มีที่สำหรับความรักของผมหรอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2019 17:59:54 โดย PorschePsr »

ออฟไลน์ PorschePsr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
Re: [end] w h e r e ? ห น ใ ด รั ก
«ตอบ #2 เมื่อ29-11-2019 17:58:37 »

ฉี่……


ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ทรงจัตุรัสไร้พนักพิงตัวหนึ่งในห้องศิลปะ มีแค่แสงสลัว ๆ ส่องมาให้มองเห็นห้องอันแสนรกและเลอะเทอะเต็มไปด้วยสีสันมากมาย กองอุปกรณ์วาดภาพที่ร่วงระเนระนาดอยู่บนพื้น ภาพงานศิลปะของนักเรียนที่ซ้อนกันไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ รูปปั้นปลาสเตอร์ที่ถูกแต่งแต้มเติมหนวด เติมเคราด้วยฝีมือของนักเรียนมือบอน

บรรยากาศภายในห้องมันช่างเงียบเหงาและวังเวง ได้ยินเพียงเสียงหายใจเข้าออกและเสียงฉี่ฉี่ของเครื่องปรับอากาศ เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าก็มืดครึ้มมีแสงฟ้าแลบและส่งเสียงครืนครืนอยู่เป็นพัก ๆ คล้ายสัญญาณบอกสภาพอากาศว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า

คิดแบบนั้นได้ไม่นานนักบนผิวหน้าต่างที่เคยใสจนมองเห็นภาพด้านนอกตอนนี้ก็พราวไปด้วยหยดน้ำฝน หากผมอยู่ใต้ผ้าห่มภายในห้องห้องนอนคนเดียวในสภาพอากาศแบบนี้ผมคงจะร้องไห้เพราะความเงียบเหงาและว้าเหว่ แต่โชคดีที่ตรงหน้าของผมตอนนี้มีผืนกระดาษอยู่บนโต๊ะวาดรูป และด้านหลังนั้นก็มีนายแบบรูปหล่อนั่งยิ้มให้อยู่เป็นเพื่อน

“ฝนตกซะแล้วล่ะศึก” ผมพูดในขณะที่มือขวาก็ขยับใช้ดินสออีอีสานเส้นเป็นรูปร่างของชายหนุ่ม

ขุนศึก เพื่อนต่างห้องของผมที่ได้รู้จักกันครั้งแรกในวันเข้าค่ายปฐมนิเทศมอสี่ นี่ก็เข้าปีที่สามแล้วที่เราได้รู้จักกัน ขุนศึกเรียนอยู่ห้องคิง ส่วนผมเรียนอยู่ห้องควีน ขุนศึกเป็นลูกคนจีน มีน้องชายสองคนเรียนอยู่มอสี่และมอสอง มันเรียนเก่งมาก ๆ เลย เคยไปแข่งขันงานวิชาการภาษาไทยมาหลายครั้ง ออกงานแข่งร้องเพลงลูกกรุงมาก็หลายครา นี่แค่ภาษาไทยนะ ยังไม่รวมวิชาอื่น ๆ และกิจกรรมอีกมากมาย เรียกได้ว่าเก่งทุกด้าน

นอกจากจะเรียนดี กิจกรรมเด่นแล้ว หน้าตาของขุนศึกเองก็มีเสน่ห์ หากเข้ามหาวิทยาลัยก็คงได้เป็นเดือนนั่นแหละ หน้าขาว ๆ ตี๋ ๆ ตัวสูงหุ่นดี หล่อแบบพิมพ์นิยมของเพื่อนผู้หญิงในปัจจุบัน เหลือร้ายไปกว่านั้นก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของขุนศึกนั่นแหละ ไม่รู้คนอะไรถึงได้ยิ้มสวยขนาดนั้น นึกถึงรอยยิ้มของขุนศึกทีไรผมก็…ใจเต้นทุกที

รู้สึกดีใจโคตร ๆ เลยที่ได้รู้จัก เพื่อน ดี ๆ แบบนี้น่ะ…

อ้อ! แต่มีอยู่สองเรื่องนะที่ผมเก่งกว่าขุนศึก ผมเก่งภาษาอังกฤษและศิลปะกว่าขุนศึกล่ะ ฉะนั้นเวลาทำงานหรือจะสอบสองวิชานี้ผมก็จะคอยเป็นติวเตอร์คอยสอนและให้คำแนะนำขุนศึกตลอดเลย ตั้งแต่มอสี่นั่นแหละ

“อืม เมื่อวานก็ตก” ขุนศึกตอบก่อนจะกลับมาอมยิ้มตามเดิม “แล้วแบบนี้เธอจะกลับบ้านยังไง อยู่ไกลไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่ถึงตอนนั้นนี่” ผมตอบกลับและยิ้ม สายตาก็มองแบบก่อนจะหันกลับมาแรเงาให้เป็นรูปต่อบนผิวกระดาษ “รูปก็ยังวาดไม่เสร็จเลยด้วย ทำไม คุณแบบเมื่อยแล้วเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้เมื่อยสักหน่อย ก็กลัวเธอกลับบ้านไม่ได้ไง”

“ไว้ถึงตอนนั้นเราค่อยคิดก็ได้ ขอบใจนะที่เป็นห่วง”

“หึหึ” ร่างสูงหล่อดังปูนปั้นตรงหน้าหัวเราะในลำคอก่อนจะหลุดยิ้มจนเห็นฟันขาว

“ขำอะไรศึก นั่งดี ๆ สิเดี๋ยวรูปไม่เหมือนเดิม” ผมหรี่ตามองแล้วยื่นมือเอาดินสอไปตีทีหนึ่งที่ต้นแขนอีกฝ่ายเบา ๆ ขุนศึกก็พยายามกลั้นขำและยกมือขึ้นแทนคำขอโทษก่อนจะกลับมานั่งในท่าเดิมและอมยิ้มไว้แบบเดิม

ผมยิ้มและส่ายหน้าให้กับความกวนอารมณ์และขี้เล่นให้เจ้าตัวอย่างอดขำไม่ได้กับท่าทางน่ารักนั่น ก่อนจะเริ่มลงมือวาดต่อ ตอนนี้ก็วาดไปได้เกือบเสร็จแล้วล่ะ

อ่า…นี่ก็นั่งวาดมาได้ตั้งหลายชั่วโมงแล้วล่ะ เวลาคุณแบบเขารู้สึกหิวขนมหรือกระหายน้ำผมก็ต้องวางดินสอลุกจากเก้าอี้เอาขนมเอาน้ำเสียบหลอดไปป้อนถึงปาก เพราะว่าถึงผมจะวาดรูปเก่งแต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ชำนาญขนาดนั้น ถ้ามุมของแบบเปลี่ยนผมก็คงจะวาดได้ผิดแบบและออกมาไม่สวย รู้สึกดีใจมาก ๆเลยที่ขุนศึกมาเป็นแบบให้น่ะ

ขุนศึกเป็นเด็กนักเรียนมอหกคิวทองจะตาย

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มองหน้าของเพื่อนสนิทคนนี้แบบนาน ๆ ยอมรับว่า…ทุกวินาทีที่ได้มองไม่มีเลยที่หัวใจของผมจะไม่เต้นเร็ว โชคดีที่ผมไม่ได้เปิดไฟในห้องศิลปะตามความตั้งใจว่าอยากจะวาดรูปของศึกที่อมยิ้มอยู่ในห้องมืดสลัว ๆ ก็เลยช่วยปกปิดหน้าแดง ๆ ของผมไว้ไม่ให้คนตรงหน้าเห็น…ล่ะมั้งนะ

“ถ้าเธอเอารูปนี้ส่งอาจารย์ เซียนก็คงไม่ได้รูปคืนง่าย ๆ น่ะสิ แถมมีลายเซนต์แดง ๆ ของอาจารย์อีก” ขุนศึกพูดขึ้น

“หืม? ก็ใช่นะ กว่าเราจะได้รูปคืนก็คงช่วงหลังสอบนั่นแหละ หรืออาจจะไม่ได้คืนก็ได้ ขอไปเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องดูอะไรแบบนี้ไง” ผมตอบและเร่งมือวาดรูปตรงหน้าให้เสร็จ “ทำไมเหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

 “จริง ๆ แล้วเราก็อยากได้รูปนี้คืนไว ๆ อยู่เหมือนกันแหละ มาจนถึงตอนนี้เรายังลังเลอยู่เลยว่าจะเอารูปนี้ส่งอาจารย์ดีมั้ย”

“ทำไมถึงลังเลล่ะ”

“ทำไมน่ะเหรอ…” ผมเหลือบตาไปมองขุนศึกอยู่แวบหนึ่ง ก่อนหันกลับมาจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง ระหว่างที่วาดอยู่นี้ก็ครุ่นคิดหาคำตอบดี ๆ มาตอบขุนศึกไปด้วย แต่ในใจผมน่ะมีคำตอบอยู่แล้ว

ก็ผมไม่อยากให้ใครได้เห็นรูปของศึกที่ผมวาดนี่นา ใจมันอยากจะเก็บไว้ดูกันแค่สองคน…ใช่ ผมน่ะมีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน และไม่มีใครเคยรู้เลยสักคนเดียว รวมถึงแบงค์ด้วย…

จากวันนั้นมันก็ผ่านมาได้สองปีแล้วล่ะ เจอเหตุการณ์แบบนั้นไปผมยิ่งจะให้ใครรู้ไม่ได้หรอกว่าผมไม่เหมือนพวกเขา รวมถึงความรู้สึกลึก ๆ ในใจผมที่มันเกิดขึ้นกับขุนศึกมาตั้งแต่มอสี่ด้วย

“ก็เธอคิวทองจะตาย เราไม่ได้มีโอกาสวาดรูปเธอบ่อย ๆ นี่” และเพราะไม่อยากให้ใครรู้ กับบางเรื่องถึงทำได้แค่โกหกเพื่อปิดบังเอาไว้

“เธออยากจะขอให้เป็นแบบวาดรูปให้เมื่อไรก็แค่บอก เดี๋ยวเราหาเวลาให้เธอเอง”

รอยยิ้ม คำพูดและท่าทางที่แสนใจดีนั่น ผมอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าขุนศึกเองก็มีใจให้ผมอยู่บ้าง แต่มันคงเป็นปกติของขุนศึกเพราะจะกับใครขุนศึกก็ใจดีและมิตรทั้งนั้น

“เราไม่มีเงินจ่ายค่าตัวให้เธอหรอก”

“ค่าตัวเรา เราขอรับเป็นเป็นเพื่อนกับเราตลอดไปก็แล้วกัน”

พอได้ยินคำพูดนั้นของขุนศึก หัวใจของผมก็กระตุกวูบ มือข้างที่จับดินสอหยุดชะงักลง สายตาก็มองเจ้าตัวอย่างสั่นเทา

ใจหนึ่งผมก็ดีใจกับคำพูดนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสงสัยและปวดหน่วงหลังจากได้ยินคำพูดนั้น

ขุนศึกต้องการจะสื่อถึงอะไร?

หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เพราะทุก ๆ อย่างที่ผมทำ ผมแสดงออกให้ขุนศึกเห็นก็เหมือนเดิมทุกอย่างตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกัน

หรือว่าเขาต้องการจะสื่อตามที่พูดออกมาจริง ๆ ว่าเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ?

ผมไม่เข้าใจเลย

“เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่” ผมวางอุปกรณ์ทุกอย่างในมือลง แล้วหันมาคุยกับขุนศึกอย่างจริงจัง “ทำไมถึงขอแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า

”แล้วเธอล่ะ ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นที่เราขอเธอแบบนี้” คนตรงหน้าถามกลับ พร้อมกับลุกจากเก้าอี้สตูลแล้วเดินมานั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าของผม มือใหญ่ ๆ ของเขาเอื้อมมากอบกุมมือของผมไว้

อบอุ่นจนเหงื่อออกมือ และลืมไปเลยว่าตอนนี้ฝนตกหนักอยู่ด้านนอก แถมหัวใจก็เต้นเร็วแรงเสียจนขึ้นสีแดงเรื่อไปทั่วใบหน้า

ขุนศึกใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ไปมาที่หลังมือของผมก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองตาผมและวาดรอยยิ้มบาง ๆ ไว้

มันเป็นการกระทำที่แสนอ่อนโยนแบบที่ขุนศึกไม่เคยทำกับผม รู้สึกดีแต่ก็แอบรู้สึกหวิว ๆ ขึ้นในใจกับท้องน้อยจนขนลุกขนพอง
แทนที่จะรู้สึกใจเย็นลงผมกลับยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

ขุนศึกน่ะ…นิสัยไม่ดีเอาเสียเลย

“ว่าไงคะ…ทำไมเธอต้องกังวลด้วย เป็นเพื่อนกับเราตลอดไปไม่ได้เหรอ”

“ศึก…ไม่เอา อย่าพูดคะกับเรา”

“ทำไมเหรอ…คะ” คนตรงหน้ายังคงพูดในสิ่งที่ห้ามต่อไปแถมยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนประสาท กวนอารมณ์ผมมากจนขมวดคิ้วหรี่ตามองเขา เคอะเขินจนหูแดง หลบสายตาไปทางอื่น “หูแดงแล้วแน่ะ…”

“เป็นอะไรของเธอ แกล้งเราอยู่ได้…” ไม่ชินเลย หรือว่านี่เป็นด้านหนึ่งของขุนศึกที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน

“เราเป็นแบบนี้ของเราอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครได้เห็นด้านนี้ของเรา…นอกจากเธอคนแรก” เขาเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยปากกระซิบที่ข้างหู ขยับมือมาจับที่ใบหูของผม กดคลึงไปมาจนความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งพรั่งพรูออกมาให้รู้สึก

“นิสัยไม่ดีเลย ขี้แกล้งแบบนี้น่ะ”

“แล้วเธอชอบหรือเปล่า คนขี้แกล้งแบบเรา…”

“…” คนตรงหน้าจ้องเข้ามาภายในดวงตาของผมอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผมมองกลับเข้าไปในดวงตาของขุนศึกอย่างสั่นเทา ตอนนี้รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาอยู่ตรงคอ จะพูดอะไรก็ทำไม่ได้ แค่กลืนน้ำลงคอยังยาก

ใบหน้าของพวกเราเคลื่อนเข้าหากันช้า ๆ …จนริมฝีปากแทบจะ…

“ขุนศึก…”

กึก

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่มือของผมดันอกอีกฝ่ายไว้ กำเสื้อแน่นจนยับยู่แล้วเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะหยุดการกระทำโดยไม่รู้ตัวนั่นลงไว้แค่นั้น

“โทษที…วาดรูปต่อเถอะเซียน เดี๋ยวจะไม่เสร็จเอานะ”

“อื้อ นั่นสิ”



ผมและขุนศึก เราต่างลุกขึ้นกลับมานั่งที่เดิม มือของผมจับดินสอและเริ่มวาดอีกครั้ง

ระหว่างผมกับเขาไม่มีคำพูดอะไรถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอีก แต่แก้มของผมยังคงแดงระเรื่อหลบซ่อนอยู่ในความมืด

เมื่อเส้นสุดท้ายถูกสานขึ้นบนกระดาษ ผมวางดินสอลงบนโต๊ะ ถอยเก้าอี้ออกมาและลุกขึ้นยืดเหยียดแขนจนดังกร๊อบแกร๊บ สายตาเหลือบมองไปยังอีกฝ่ายถือลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่ที่เกือบจะถูกคนที่แอบชอบสัมผัสแบบนั้น ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้รู้ว่าขุนศึกเองก็คิดอะไรกับผมมากกว่าคำว่าเพื่อน และได้รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมขุนศึกถึงขออะไรผมแบบนั้น

ขุนศึกเองก็คงจะกลัวเหมือนกัน พวกเราเป็นคนไม่ต่างกันเลยสักนิดเดียว ขุนศึกที่ผมมอบคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ให้ยังคงมีความกลัวเหมือนกับที่ผมมี กลัวว่าใครอีกคนหนึ่งนั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับสิ่งที่เราเป็น

ประโยคที่แบงค์พูดกับน้องมายด์เมื่อตอนอยู่มอสี่ว่าคนแบบมายด์ คนแบบพวกเราเป็นตัวประหลาด หากแบงค์รู้ว่าขุนศึกที่แสนจะสมบูรณ์แบบในสายตาของทุก ๆ คนเองก็เป็นกลุ่มคนที่ชอบเพศเดียวกันและชอบผม

แบงค์จะยังบอกว่าขุนศึกเป็นตัวประหลาดอยู่หรือเปล่า ?

หัวใจของผมในตอนนี้มันยังคงเต้นแรง แต่แรงกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ภายในมันฟุ้งไปด้วยความสุข ความรู้สึกที่แสนดี ความอบอุ่น และความอ่อนโยนที่ทำให้ผมอยากจะยิ้มแก้มแทบปริ แต่ก็ต้องอดกลั้น เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดนั้นไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด เพราะผมยังต้องเจียมตัว…

เจียมตัวและรำลึกไว้ในใจเสมอว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับเขาแค่สองคนเท่านั้น บนโลกนี้ยังมีคนอื่น ๆ อยู่อีก คนอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนแบงค์

คนที่ไม่เข้าใจและรังเกียจคนแบบพวกเราทั้งที่ไม่เคยทำอะไรผิด เราเพียงแค่มีรสนิยมที่แตกต่างกับคนอื่น เราเพียงแค่รู้สึกชอบใครสักคน เราแค่เป็นส่วนน้อยของคนในสังคม เราเลยถูกตัดสินว่าผิดและแปลกประหลาด

ใจหนึ่งผมก็อยากจะเดินหน้าต่อไปกับความสัมพันธ์นี้ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่อีกใจหนึ่งผมยังไม่กล้ามากพอจริง ๆ ที่จะเดินออกมาจากเงามืดสู่แสงสว่างที่เห็นเด่นชัด

ผมกลัวว่าจะทนไม่ไหวกับสายตาและคำพูดซุบซิบนินทาของคนรอบข้าง กลัวว่าจะรับไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบกายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเพื่อนที่เป็นคนใกล้ตัว…

ตอนนี้พวกเราต่างคนต่างเก็บของของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรในขณะที่เราเดินออกมาอยู่ใต้ตึกด้วยกัน ตอนนี้ทั่วทั้งโรงเรียนมองไปทางไหนก็ไร้วี่แววผู้คน ด้านหลังม่านฝนนี่ยิ่งมองไม่เห็นใคร

“เอ่อ…ขุนศึก” ผมค่อย ๆ ขยับปากเอื้อนเอ่ยแทรกเสียงสายฝนกระทบพื้น แม้คนตัวสูงจะไม่ได้ขานตอบอะไรแต่ผมยังคงเห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบสายตามามองผมอยู่

เราทั้งคู่คงจะไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดีหลังจากมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นระหว่างกัน… ตอนที่ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาหัวใจแทบจะหลุดออกจากอก

ผมค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับมืออุ่นของเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นั่นแหละถึงทำให้เขาหันมามองผมอย่างไม่เข้าใจ

“เราปฏิเสธเธอไม่ได้แปลว่า…เราไม่ได้รู้สึกกับเธอแบบนั้นหรอกนะ” ผมพูด และยิ้มออกมา…ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “เรารู้สึกแบบเดียวกันกับเธอนะ รู้สึกมานานแล้ว”

“…”

“แต่ว่าเรากลัวน่ะ…เรายังไม่พร้อม”

“ขอโทษนะที่เราขี้ขลาด ความขี้ขลาดของเราเลยทำให้เธอรู้สึกไม่ดีไปด้วยเลย”

“อ่า…ไม่หรอก เธออย่าคิดมากเลย” มือใหญ่ข้างนั้นที่ผมจับขยับขึ้นมาวางอยู่บนศีรษะของผมก่อนจะลูบไปมาช้า ๆ อย่างปลอบโยน ก่อนจะหันมาดึงผมเข้าไปกอด “ได้ยินแบบนี้…เราก็ดีใจมาก ๆ แล้ว ดีใจที่เธอรู้สึกแบบเดียวกับเรา”

“เธอ เราหายใจไม่ออก”

“ขอโทษ แต่เราไม่ปล่อยเธอไปไหนหรอก รู้มั้ยว่าเราอดทนแค่ไหนที่จะไม่แตะต้องเธอมากกว่าที่เพื่อนเขาทำกัน” คนตัวโตยอมคลายอ้อมกอดออกมาไม่ให้แน่นเกินไป แต่ยังคงกอดผมจนจมอกอยู่แบบนั้น

กลิ่นไอดินและไอฝนที่เคยมาแตะจมูกในตอนแรก ตอนนี้ผมรับรู้เพียงกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของขุนศึก กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มบนเสื้อเชิ้ตคอปกแขนสั้นที่อีกฝ่ายใส่ กับความอบอุ่นของอ้อมกอด

หากผมอยู่ที่ห้องนอน ก็อยากให้เขากอดผมอยู่แบบนี้ไปตลอด กอดแบบนี้จนกว่าจะหลับไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนในนิยาย

“เซียนน่ะ…หอมจัง” ริมฝีปากของคนตัวโตจรดลงบนกลุ่มผมของผมและกอดให้แนบชิดกว่าเดิม

“เธอเองก็หอม” ไม่อยากออกจากกอดนี้ไปเลย

“วันนี้ไปนอนห้องเรามั้ย ฝนคงไม่หยุดตกง่าย ๆ หรอก”

“ป ไปห้องเธอเหรอ” ผมเอ่ยถามและเงยหน้าขึ้นมองคนด้านบนอย่างเคอะเขิน หัวใจถึงกับเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ใบหน้าร้อนขึ้นมาในทันใด

“ทำไมตกใจขนาดนั้นล่ะ เธอยังเคยมานอนค้างกับเราตั้งหลายครั้ง” ขุนศึกยิ้มและมองผมด้วยแววตาวาววับเป็นประกาย และแฝงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “นะ หึหึ”

นี่ใช่ไหมโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าชายผู้ใสซื่อ แท้จริงแล้วก็เป็นอสูรแสนเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย หวังจะตะครุบเหยื่อหลังจากเล่นด้วยจนพอใจแล้ว…แต่แย่หน่อยที่เหยื่อตัวนี้เต็มใจให้เขาตะครุบ

ถึงแม้ว่าวันนี้ฝนจะตกจนรู้สึกหนาวเหน็บและเงียบเหงา แต่ความอบอุ่นของขุนศึกนั้นมากกว่าจนรู้สึกร้อนไปทั้งร่าง ความอบอุ่นนั้นโอบกอดกายผมอยู่ทั้งคืน พาให้ผมเข้าสู่ห้วงแห่งฝันอันแสนหวานอย่างที่ไม่เคยสัมผัสหรือลิ้มรสมาก่อน

แต่ใคร ๆ ก็รู้…ว่าฝันดีนั้นแสนสั้นเพียงแค่อึดใจหนึ่ง ในขณะที่ฝันร้ายน่ะยาวนานเหมือนตั้งหนึ่งปี…

ฝันร้ายที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ผมได้แต่หวังว่าพวกเราจะตื่นจากฝันนั้นในไม่ช้า…

ออฟไลน์ PorschePsr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
Re: [end] w h e r e ? ห น ใ ด รั ก
«ตอบ #3 เมื่อ29-11-2019 18:07:05 »

ซุบซิบ ซุบซิบ

ในขณะที่ผมจับชายเสื้อก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังคนตัวสูงผ่านเข้ามาในรั้วโรงเรียน สายตาของผู้คนรอบข้างหันมามองพวกเราอย่างสนอกสนใจและพากันกระซิบคุยกัน เมื่อผมลองเงยหน้ามองคนรอบข้างดู พวกเขาก็หลบสายตาของผมไป ทำอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เรื่องที่ผมกลัวนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว…

ปึ้ก

“อ๊ะ!” ผมที่เอาแต่ครุ่นคิดกับสิ่งรอบตัว ก็ไม่รู้เลยว่าคนตัวสูงหยุดฝีเท้าลงและชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ๆ ของเขาเข้าเต็ม ๆ “ธ เธอจะหยุดทำไมไม่บอกเลยล่ะ”

หมับ

“มาเดินข้าง ๆ เรานี่” ขุนศึกคว้ามือผมมาประสานเข้าไว้ด้วยกันและดึงให้ผมก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้าง ๆ แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง การกระทำนั้นของคนตัวโตทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อยเลย แต่คนที่แปลกใจมากกว่าผมก็คงเป็นคนรอบข้างนั่นแหละ จากที่ซุบซิบกันเฉย ๆ ก็พูดกันเสียงดังมากขึ้น บ้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพวกเรา บ้างก็ร้องออกมาเสียงดังตอนที่ขุนศึกจับมือผมไว้
ในขณะที่ขุนศึกกล้าหาญที่จะแสดงออกให้ทุกคนรู้ถึงตัวตนที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองทำ ผมกลับรู้สึกกลัวสายตาคนอื่นจนไม่กล้าทำอะไร ในตอนที่มือใหญ่ ๆ นั่นประสานเข้ากับมือของผมอยู่แบบนี้ผมรู้สึกอุ่นใจและสบายใจ รู้สึกว่ามันจะต้องไม่เป็นไรแน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ตอนที่เขาไม่ได้อยู่ด้วยจะเป็นยังไงบ้าง…

“เธอไม่ต้องไปฟังเสียง ไม่ต้องไปสนใจสายตาของคนอื่นหรอกนะ” ขุนศึกกระชับมือข้างที่จับแน่นกว่าเดิมและพูดขึ้น “ฟังสิ่งที่เราพูด สนใจสายตาของเราคนเดียวก็พอ ไม่งั้นเราจะถือว่าเธอนอกใจเรา”

“อื้อ…เข้าใจแล้ว”

“ถ้าเธอนอกใจเรา เราจะทำให้เธอนึกออกเองว่าเรื่องเมื่อคืนทำให้ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน”

“พ พูดมากน่า เราเข้าใจแล้วไง” ประโยคนั้นของเขามีอิทธิพลกับผมมากเสียจนรู้สึกเหมือนหน้าระเบิด มีไอออกมาจากหูจากจมูก และแดงแจ๋เป็นลูกตำลึง

ขุนศึกคนนั้นน่ะ ร้ายได้ขนาดนี้เลยนะ



วันนี้ผมไม่ได้นั่งกับพวกเพื่อน ๆ ที่โต๊ะในสวนหลังโรงเรียนเหมือนอย่างเคย ผมเดินมาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องเรียนพร้อม ๆ กับขุนศึก ตลอดเวลาหลังจากที่เราจับมือกัน ไม่มีตอนไหนเลยที่ขุนศึกยอมปล่อยแม้ตอนนี้เหงื่อจะไหลออกมาจนชุ่ม

แต่ผมก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์…

บนป้ายประกาศมันมีรูปของพวกเรากอดกันเมื่อวานนี้ ถูกถ่ายจากมุมหนึ่งของโรงอาหาร มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘ไส้เดือนผสมพันธุ์’

“ไม่เป็นไรนะ…เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่” ขุนศึกพูดพร้อมกับกระชับมือให้แน่นขึ้นกว่าเดิมและหันมายิ้มให้

“ขอบคุณนะ”

เมื่อถึงเวลาเรียนเราจึงต้องแยกย้ายไปอยู่ในห้องเรียนของตนเอง ถึงแม้จะตั้งอยู่ข้างกันแต่ผมก็รู้สึกวังเวงและโดดเดี่ยวอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงเขาแต่เป็นเพราะ…คนรอบข้างหลายคนที่ปฏิบัติกับผมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเพื่อนในกลุ่ม

ถึงพวกเราจะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมอย่างเคย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนโต๊ะของผมตั้งอยู่ห่างกับโต๊ะของเพื่อน ๆ ในกลุ่มออกไปแม้ขอบโต๊ะของเราจะชิดสนิทกัน

ไม่มีเพื่อนในกลุ่มคนไหนคุยกับผม…เมื่อผมพยายามเข้าวงสนทนาด้วย ก็เห็นได้ชัดว่าถูกเมิน

ไม่หรอกน่าเซียน แกน่ะคิดมากไปเอง มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

ผมคิดอย่างนั้นเพื่อหวังจะปลอบตัวเอง…



เวลาพักเที่ยง คาบก่อนหน้านั้นผมเผลอหลับไปเพราะความอ่อนล้าจาก ’ครั้งแรก’ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน โชคดีที่อาจารย์ท่านนี้ใจดีถึงไม่ว่าอะไร คงเข้าใจว่าผมทำกิจกรรมต่าง ๆ หนักมากไปเลยเพลีย แต่ก็ต้องรู้สึกหวิวในใจอีกครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมได้หายไปแล้ว…

โชคดีที่เมื่อเดินออกจากห้องมาขุนศึกยังไม่เลิกเรียน ผมเลยนั่งรอที่ระเบียงหน้าห้อง ขุนศึกนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องติดกับประตู เมื่อผมเดินออกมานั่งรอที่ระเบียงเขาจึงสังเกตเห็นผมได้ในทันทีและโบกมือส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง

วันนี้ผมได้ไปกินข้าวกับขุนศึกและเพื่อน ๆ พวกเขาอ้าแขนต้อนรับผมเป็นอย่างดีและอบอุ่น แต่แน่นอนว่าโรงเรียนนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดจะหากันไม่เจอ โรงอาหารเล็ก ๆ นี่แค่ผมเดินมาซื้อข้าวก็เจอกับเพื่อนที่หายไปแล้วล่ะ

พวกเขาพูดคุย และหัวเราะกันโดยไม่มีผมอยู่ในนั้น เมื่อสังเกตเห็นผมก็พยายามหลบสายตาหรือพยักเพยิดหน้า ส่งสายตากับคนในกลุ่มให้หันมามองและหันกลับไปพูดคุยกันตามเดิม

ขุนศึกที่เดินตามมาเมื่อเห็นเข้าก็เอาแขนมาโอบไหล่ผมให้เขยิบเข้าไปชิดพร้อมกับพูดปลอบว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่นานมันจะดีขึ้นนะครับ’

ผมพยักหน้าและยิ้มอย่างฝืน ๆ แต่ก็เชื่อในคำพูดของคนข้างกาย



สามวันถัดมา ผมสนิทกับเพื่อน ๆ ของขุนศึกมากขึ้นกว่าเดิม จากไปนั่งที่โต๊ะในสวนหลังโรงเรียนตอนเช้ากลายเป็นโต๊ะประจำในโรงอาหารของกลุ่มขุนศึกแทน

จากโต๊ะที่เคยนั่งข้างกันมาตลอดตั้งแต่มอสี่กลายเป็นผมย้ายไปนั่งโต๊ะแถวหน้าสุดติดประตูเหมือนที่ขุนศึกนั่งเพื่อรอโบกมือและส่งยิ้มทักทายเวลาเขาเดินไปห้องน้ำหรือไปที่ไหนสักที่

จากที่รู้สึกแปลก ๆ เมื่อเพื่อนร่วมโต๊ะทานข้าวเปลี่ยนหน้าไปตอนนี้เริ่มคุ้นชินจนเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าสามวันที่แล้ว

แต่ทุก ๆ ครั้งที่เดินผ่าน หูของผมยังคงเงี่ยฟัง สายตายังเหลียวมอง คาดหวังให้พวกเขาทักทายผมสักนิดก็ยังดี ทว่าสิ่งที่ได้ยิน คือ คำนินทาว่าร้ายอย่างที่ไม่คิดว่าจะเคยได้ยินจากปากของคนที่เป็นเพื่อนกันพูด สิ่งที่ได้เห็น คือ สายตารังเกียจเดียดฉันท์หรือขยะแขยงกันอย่างที่ไม่คิดว่าจะคนเป็นเพื่อนกันจะมองแบบนั้นของแบงค์

หัวใจของผมกระตุกวูบและห่อเหี่ยวทุกครั้งได้ยินคำพูดพวกนั้น เห็นภาพพวกนั้น

คำว่า เพื่อน ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาของพวกเราทุกคน… ถูกกลบลงหลุมเพราะคนที่เป็นหัวโจกซึ่งรังเกียจคนอย่างพวกเราแบบแบงค์เพียงคนเดียว…

เจ็ดวันผ่านมาแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้นอกจากความสนิทชิดเชื้อระหว่างผมกับเพื่อน ๆ ของขุนศึกที่สนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเพื่อน ๆ จะคอยเผาเรื่องของขุนศึกเวลาอยู่กับพวกเขาให้ผมฟังว่าเพ้อถึงผมบ่อยขนาดไหน มันเป็นอีกด้านหนึ่งของคนตัวโตที่ไม่เคยคิดว่าจะมี

แต่ถ้าสิ่งใหม่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง…ก็คงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ

กลับมาถึงห้องเรียนหลังจากกินข้าวเที่ยงก็เจอโต๊ะของตัวเองล้มอยู่ หนังสือในเก๊ะใต้โต๊ะกระจัดกระจาย เก้าอี้คว่ำอยู่ห่างออกไป โต๊ะของผมถูกขีดเขียนด้วยปากกาเคมีและลิขวิดด้วยถ้อยคำหยาบคายมากมาย มีแต่ถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชัง รังเกียจ
บนกระดานหน้าห้องก็ถูกเขียนไว้ตัวเบ้อเริ่มว่า ‘เซียนยอดชาย ขายตูด ขุดทอง’ และถ้อยคำอื่น ๆ มากมาย ในขณะที่เรียนอยู่ผมก็มีอาจารย์ประจำชั้นมาเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียนที่ห้องแนะแนว

ผมส่งข้อความบอกขุนศึกให้รู้ และขุนศึกก็บอกว่าให้รอเขาเลิกเรียนแล้วเราก็ไปหาอาจารย์พร้อมกันโดยที่เขารออยู่ด้านนอก

พวกเขาถามผมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมลำบากใจที่จะบอกในสิ่งที่พวกเขาก็รู้อยู่แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจ เขายังบอกอีกต่างหากว่าถ้ายังไงให้ผมลองไปพบกับจิตแพทย์ดู เขาสามารถแนะนำให้ผมได้ว่าจะรักษาได้อย่างไร

น่าตลกไหมล่ะที่ผมจะต้องไปปรึกษาจิตแพทย์เกี่ยวกับตัวตนจริง ๆ ที่ผมเป็น…ผมควรจะเป็นคนอื่นใช่หรือเปล่านะ คนรอบข้างถึงจะพอใจ ? แถมหาว่าผมป่วยทางจิตอีกต่างหาก

เมื่อคุยเสร็จ ผมขอไปนั่งพักที่ห้องขุนศึก ผมรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าจนเกินกว่าจะคิดอะไร แต่ในหัวก็วนเวียนแต่เรื่องเดิม ๆ คือเรื่องนี้

โชคดีที่บนเตียงนี้มีเขากอดผมไว้จากด้านหลัง พอหันกลับไปใบหน้าของผมก็จมลงกับอกแกร่งนั่นอีกครั้ง พยายามหาที่ซุกราวเก็บเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หาความอบอุ่น

โชคดีที่ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

หนึ่งเดือนผ่านมาแล้ว…

โต๊ะของผมแทบไม่เหลือพื้นที่อะไรให้เขียนอีก ทว่ารอยเก่า ๆ บนนั้นมีร่องรอยของการถูกลบออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่บ้าง

ขุนศึกผ่านมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของผมพอดี เลยเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบแปรงลบกระดาน ลบทุกอย่างที่ถูกเขียนไว้บนนั้นทิ้งไปด้วยตัวเอง ก่อนจะหันมามองไปยังกลุ่มเด็กหลังห้องที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินมาลูบหัวและยิ้มให้
ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ยังมีเขาอยู่ตรงนี้

ตอนแรกผมนึกว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทุก ๆ อย่างมันดีขึ้น แต่เปล่าเลย…ทุก ๆ อย่างมันดูจะแย่ลงเพราะคนที่เกลียดผมเพียงคนเดียวอย่างแบงค์

ถึงจะแค่คนเดียวแต่ก็เกลียดผมมาก ๆ เสียจนมันมีอิทธิพลกับคนรอบข้างให้ทำและรู้สึกแบบเดียวกัน

ยิ่งเวลาผ่านไป นานวันเข้าคนพวกนั้นก็ยิ่งเข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมมากขึ้นเท่านั้น คอยตะโกนโหวกเหวกเหน็บแนมผมเวลาอยู่ในห้อง คอยพยายามทำให้ผมเป็นเหมือนตัวตลกในสายตาคนอื่น ตลอดเวลาที่เจอหน้า

อึดอัดจนรำคาญ…

วันนี้อาจารย์ประจำชั้นเรียกผมไปพบอีกแล้ว ทว่าไม่ได้ขอให้ไปพบตอนหลังเลิกเรียนแต่ให้ไปหาตอนหลังทานข้าวเสร็จ

“เธอ…อย่าพึ่งคิดมากนะ” ขุนศึกดึงมือของผมไปกุมไว้และใช้นิ้วโป้งไล้ที่หลังมือไปมา วาดยิ้มส่งมาให้เป็นกำลังใจ “ไว้ค่อยคิดหลังจากพบอาจารย์แล้วก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าอาจารย์จะพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นอย่าพึ่งคิดมากไปก่อนล่ะ”

“ใช่เว้ย มึงอย่าคิดมาก มึงไม่ได้ตัวคนเดียวนะเซียน มึงยังมีพวกกูแล้วก็ผัวมึงอีก”

“ถูกต้องเลยเว้ย มีผัวเป็นชายอันดับหนึ่งของโรงเรียนจะกลัวอะไร!” เพื่อน ๆ ในกลุ่มของเขาพากันเข้ามาให้กำลังใจ บางคนก็กอดคอ บางคนก็ยีหัวจนผมผมยุ่งไปหมด

“ง เงียบเลย…แต่ก็ขอบใจพวกมึงมากนะ”

“เดี๋ยวเราเดินไปด้วยนะ”

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ผมก็ขอตัวเดินแยกออกมาก่อนเพื่อไปพบกับอาจารย์ที่ห้องพักครูโดยมีขุนศึกจับมือเดินไปด้วยเป็นเพื่อน

“ขอบคุณนะศึก อยู่กับเซียนตลอดเลย” ผมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายในสิ่งที่ตนเองได้รับมาตลอดทั้งก่อนหน้าที่จะเป็นแฟนกันหรือหลังจากนั้น ขุนศึกยังคงเป็นขุนศึกเหมือนเดิมเสมอ คนที่จับมืออยู่ข้าง ๆ และเดินไปพร้อม ๆ กับผม

“ครับผม แฟนศึกทั้งคน ถ้าไม่ให้อยู่กับแฟนแล้วจะให้ไปอยู่กับใครที่ไหนล่ะ”

“ถ้าเธอไปอยู่กับคนอื่น เราจะตามไปบีบคอเธอ”

“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ”

ตลอดทางที่เราจับมือเดินกันไปเรื่อย ๆ สู่จุดหมาย เราต่างยิ้มและหัวเราะให้กัน ผมที่เป็นคนชอบคิดมากมีเขาคนนี้คอยเป็นยาแก้ปวด คลายอาการปวดหัวให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยกังวลก็หายไปจากความคิด มีเสียง รอยยิ้ม และใบหน้าของเขาเข้ามาแทนที่

แต่ก็อย่างที่เขาบอกกันว่าช่วงเวลาที่มีความสุขน่ะมันสั้น ดำรงอยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องชวนปวดหัวเข้ามา

“เฮ้อ ทำไมคนเรามันนิยมขุดทองกันจังเลยว้า” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างสูง ๆ ของแบงค์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปไหนต่อไหนด้วยกันตลอด เดินมาพูดอยู่ข้าง ๆ หูพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่เดินตามมาด้านหลัง “ก็รู้อยู่หรอกว่าเศรษฐกิจมันแย่ ๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่คิดว่าคนสมัยนี้มันจะอดอยากปากแห้งขนาดหันมาขุดทองกันขนาดนี้”

ประโยคเหล่านั้นถูกพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่ฟังดูก็รู้ว่าเจตนาของแบงค์ที่เดินเข้ามาพูดแบบนี้คืออะไร
มือของขุนศึกกระชับแน่นขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมา ทำปากบอกผมว่า ไม่ต้องไปสนใจ

“เฮ้ย ไอ้เซียน ช่วงนี้มึงขายขนมช่วยที่บ้านเหรอวะ ฟักทองบดอร่อยมั้ยวะ” ผมกลอกตาและเม้มปากแน่น มือข้างหนึ่งก็กำหมัดไว้จนเริ่มเจ็บ พร่ำบอกตัวเองในใจว่าให้อดทน

ขุนศึกคงจะเห็นว่าแบงค์ล้ำเส้นมายุ่งกับผมมากเกินไปเลยสลับที่กับผมและประจันหน้ากับอีกฝ่ายแทน ถึงเขาจะยิ้มให้กับอีกฝ่ายแต่ดูก็รู้ว่าตอนนี้ขุนศึกเขาอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว

“อ้าว กูแค่เข้ามาคุยด้วยแค่นี้ทำเป็นหวงเหรอวะศึก ตามประสาเพื่อนไง” แบงค์พูดอย่างยียวนและเหยียดยิ้มที่มุมปาก

“คุยกับกูแทนก็ได้ คุยกับกูก็เหมือนคุยกับแฟนกูแหละ”

“อ้อ งี้นี่เอง…งั้นเป็นไงบ้างวะ ขุดทองไปกี่ล้านละ ระเบิดถังขี้ไอ้เซียนสนุกมั้ย เละเลยดิ”

“อ๋อ…ก็ฟิน ๆ ดีนะเสียงตอนแฟนกูโดนสว่านทิ่มหวานมากเลยหวะ ค่อยคุ้มค่าที่กูหมายตามาตั้งนาน แต่กูยังไม่เคยเจอทองเลยว่ะ มึงถามงี้แปลว่ามึงเคยขุดเจอหรอแบงค์ ไปขุดกับใครมาล่ะ” ร่างสูงตอบกลับไปอย่างยียวนยิ่งกว่าพร้อมกับยิ้มให้อย่างจงใจประสาท จนคนที่ตั้งใจเข้ามารังควาญชีวิตในตอนแรกอย่างแบงค์ไปต่อไม่เป็น

“ไอ้เหี้ยศึก!! ขุดกับพ่อมึ--” แถมหันมาตั้งใจจะดึงคอเสื้อ ง้างหมัดเตรียมจะต่อยลงไปบนแก้มขาว ๆ ของขุนศึก แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นแบงค์ก็โดนขุนศึกต่อยเข้าไปเต็มแรงจนหน้าหันและล้มลงไปกองกับพื้น ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเพราะความตกใจของคนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์

ผัวะ!

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแววตาโกรธแค้นของขุนศึก คนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งคนนั้นตอนนี้ร้อนอย่างกับไฟ

“เชี่ยแบงค์!” เมื่อเพื่อน ๆ ของแบงค์ที่เดินตามมาเห็นแบบนั้นก็รีบพากันวิ่งเข้ามาประคองเพื่อนและกันไม่ให้ขุนศึกเดินเข้ามาทำอะไร ในขณะที่เจ้าตัวกำลังสะบัดมือคลายความเมื่อยล้า

“ถ้าปากมึงพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้กูแนะนำให้ไปหาหมอแล้วขอให้เขาเย็บปากมึงนะ หวังว่าจะเลิกยุ่งกับแฟนกูสักที”

“ถ้ากูจะเสือกมึงจะทำไมวะ! ไอ้ขุนศึก นักเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียนที่ใคร ๆ ก็ภาคภูมิใจนักภาคภูมิใจหนา ที่แท้มึงกับมันแม่งก็เป็นแค่หนอนแค่ไส้เดือน สัตว์ชั้นต่ำที่ไม่รู้แม่แต่เพศของตัวเอง!!”

“ไอ้แบงค์ มึงเงียบ พอได้แล้วน่า” เพื่อนคนหนึ่งรั้งและห้ามแบงค์ไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นเตรียมกระโจนเข้ามาเอาคืนขุนศึกอย่างกับหมาบ้า “พอ ไอ้สัดพอ”

“ทำไมวะ มีเหตุผลอะไรที่กูต้องพอ ไอ้เหี้ยที่หลบอยู่หลังผัวมันสวมเขากูว่าเป็นเพื่อนกันมาเป็นปี ที่แท้แม่งก็เป็นพวกตุ๊ดพวกผิดเพศที่หลบซ่อนอยู่ในกลุ่มพวกกู! หรือว่ามึงเป็นพวกเดียวกันกับไอ้ตัวประหลาดพวกนี้หรือไง”

“ไอ้เหี้ยแบงค์ พูดเกินไปแล้วนะเว้ย” เพื่อนอีกคนเริ่มพูดบ้าง

“เกิดมาเป็นผู้ชายมันก็ต้องคู่กับผู้หญิง นี่อะไรวะเกิดมาเป็นผู้ชายเสือกชอบผู้ชายผิดแผกไปจากชาวบ้าน เสียชาติเกิดซะเปล่า ๆ ว่ะ ให้หมามันมาเกิดยังจะดีซะกว่า”

“มันผิดมากเหรอ…”

“หืม?”

“มันผิดมากเหรอวะ…” เสียงหนึ่งที่สั่นเครือดังขึ้น เจ้าของเสียงนั่นไม่ใช่ใครนอกจากคนที่ผมคอยปกป้องและให้ยืนหลบอยู่ด้านหลัง เซียนที่เนื้อตัวสั่นเทาก้าวขึ้นมาข้างหน้า ดวงตาวาววับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่เตรียมตัวไหลลงอาบแก้มได้ทุกเมื่อ

“การที่กูจะชอบใครสักคนหนึ่งมันผิดมากหรือไงวะแบงค์ กูถามจริง ๆ นะว่ากูไปฆ่าใครมาเหรอ”

“มันมีใครตั้งกฎเกณฑ์หรือนิยามไว้หรือไงว่ากูที่เกิดมาเป็นผู้ชายห้ามชอบผู้ชายด้วยกัน กูถามจริง ๆ นะว่าถ้าเกิดเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกันมึงจะมาทำตัวสถุน ๆ รังควาญเขาแบบนี้มั้ย”

“มึงหาว่ากูผิดเพศ หาว่ากูเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ พวกอาจารย์ก็มาหาว่ากูป่วยเป็นโรคทางจิต…กูอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามึงกับพวกอาจารย์เคยถามกูบ้างหรือยังวะว่ากูเป็นอะไร”

“กูก็เป็นกู ไม่ได้เป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นกะเทยหรืออะไรที่มากกว่านั้นเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ แบบพวกมึง แต่กูแค่ไม่ได้ชอบผู้หญิง รสนิยมของกูคือชอบผู้ชาย…ทำไมวะ กูจะอยากถูกใครสักคนปกป้องไม่ได้เหรอ”

“หาว่ากูเป็นหนอนเป็นไส้เดือนเป็นสัตว์ชั้นต่ำ แล้วคนที่มองคนไม่เท่ากันอย่างมึงล่ะเป็นอะไร ถ้าถามกูกูยังให้คำตอบไม่ได้เลยเพราะมึงต่ำกว่าสัตว์นรกอีกถ้าให้พูดกันตรง ๆ”

“กูไม่เคยคิดเลยนะว่ากูจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับมึง”

“ทำไมกูจะต้องถูกคนรอบข้างมองด้วยสายตาเหมือนกูเป็นตัวประหลาด คอยซุบซิบนินทาว่าร้ายต่าง ๆ วิจารณ์เกี่ยวกับคนที่กูชอบ เหมาะสมบ้างไม่เหมาะสมบ้าง เสียดายบ้างล่ะ”

“พูดออกมาได้ยังไงอะว่า ‘เสียดายถ้าเขาเป็นผู้ชายล่ะก็’”

“แฟนผมเขาก็เป็นผู้ชายไง และผมก็เป็นผู้ชาย เอาจริง ๆ พวกเราไม่ได้ชอบผู้ชาย เราแค่ชอบกันและกัน…มันก็แค่นั้น”

“ทำไมจะต้องเป็นกูที่คอยถูกอาจารย์เรียกไปคุยอะไรก็ไม่รู้ทั้ง ๆ ที่กูเป็นฝ่ายถูกกระทำวะแบงค์ ทำไมกูต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอึดอัด ทำไมกูต้องมาคอยอดทน ทำไมกูต้องมานั่งใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่คนอื่นตีให้กูเป็น ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันก็แค่…กูกับศึก เรารักกันอะ มันไม่ที่สำหรับความรักของกูเลยใช่มั้ยวะ ฮึก…ฮืออออ”

“พอแล้วครับ ไม่ต้องพูดแล้วนะ” ผมดึงคนร่างเล็กเข้ามากอดไว้จนจมอก น้ำตาที่สั่งสมมานานถูกปล่อยให้ไหลจนอาบแก้มและเปียกเสื้อของผมจนชื้นแฉะ

“ไอ้เซียน…กูขอโทษนะเว้ย แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มึงก็เพื่อนกู ไอ้แบงค์ก็เพื่อนกู…”

“กูก็…ลำบากใจเหมือนกัน กูพยายามห้ามแล้วแต่กูห้ามมันไม่ได้ กูขอโทษนะเว้ย”

เพื่อนในกลุ่มของเซียนต่างเดินเข้ามากอดและขอโทษร่างเล็กในอ้อมกอดของผม คนรอบข้างที่เคยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ก็ต่างพากันเม้มปาก ก้มหน้ารู้สึกผิด ส่วน…

แบงค์ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น นั่งอยู่ด้านหลังพวกเราอย่างโดดเดี่ยวเหมือนกับเหล่าอาจารย์ที่คาดว่าลงมาห้ามปรามเหตุทะเลาะวิวาทและบังเอิญได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เซียนพูดพอดี

เหตุการณ์ในวันนี้คงทำให้เซียนไม่ต้องอดทนและอึดอัดอีกแล้ว หากจะยังมีใครมารังควาญพวกเราและขัดขวางความสุขของเซียน คน ๆ นั้นก็คงจะหน้าด้านเกินไปแล้วล่ะ

วันรุ่งขึ้น ทุก ๆ อย่างที่เซียนเคยมีได้กลับมาอีกครั้ง กลุ่มเพื่อน ความสดใส ความสุข และชีวิตปกติ
รวมถึงรอยยิ้มของเซียนก็กลับมาให้เห็นบ่อยกว่าเดิม

ในวันนี้แบงค์ยังคงมาเรียนเหมือนปกติ แต่ต้องนั่งเรียนที่โต๊ะมุมหนึ่งหลังห้องเพียงคนเดียว ไม่มีใครคุยกับแบงค์อย่างที่เซียนเคยเจอมาก่อน ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สายตาที่ให้ความรู้สึกประหลาดมากมายหลายคู่จากคนรอบข้าง

อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์แนะแนวของโรงเรียนย้ายไปสอนที่อื่นกะทันหัน เห็นว่าเพราะถูกสอบเกี่ยวกับการละเลยการตรวจสอบและลงโทษในสิ่งที่แบงค์ทำและปฏิบัติหน้าที่กับนักเรียนผิดคน จึงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

วันถัดมาแบงค์ก็ถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกไปคุยพร้อมกับผู้ปกครอง หลังจากวันนั้นมาไม่มีใครได้เจอแบงค์ที่โรงเรียนอีก อาจเป็นเพราะคลิปเหตุการณ์วันนั้นในโซเชียล มีคนพูดถึงแบงค์และโรงเรียนในแง่ลบเป็นจำนวนมาก ทำให้แบงค์ถูกไล่ออกหรือขอให้ลาออกเนื่องจากทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง และสิ่งที่แบงค์ทำเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรทราบ ผู้ปกครองของแบงค์ก็คงจะอายเกินกว่าให้ลูกตัวเองเรียนต่อที่นี่

ภายในเวลาไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย…แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะยังเหมือนเดิมก็คือภายนอกรั้วโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังคงมีคนที่มองคนไม่เท่ากันด้วยเรื่องของเพศอยู่

อย่างที่เซียนบอกไปว่าผมกับเซียนเราไม่ได้เป็นเกย์ ตุ๊ด กะเทย หรืออะไรที่ผู้คนมากมายสรรหาสรรสร้างคำมาเรียกพวกเรา พวกเราต่างก็เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ เหมือนกับทุก ๆ คน เพียงแค่เรามีรสนิยมความรักที่แตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น

แล้วหากวันหนึ่งพวกเราที่ถูกเรียกว่าคนที่ชอบเพศเดียวกันกลายเป็นส่วนมากในสังคมและคนที่ชอบเพศตรงข้ามกลายเป็นส่วนน้อยล่ะ พวกเราจะยังถูกมองว่าประหลาดอยู่ไหม หรือคนที่ชอบเพศตรงข้ามน่ะประหลาด ?

อาจเพราะความเป็นส่วนน้อยของพวกเราถึงได้ถูกคนส่วนใหญ่มองว่าพวกเราประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะกับใคร หรือเขาเป็นเพศอะไรก็ไม่ใช่เหตุผลในการปฏิบัติกับเขาอย่างไม่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ เพราะหากตัดเรื่องเพศและรสนิยมออกไป สุดท้ายพวกเราก็เป็นคนเหมือนกัน





“เธออย่าซน ให้เขานอน…ช้ำไปทั้งตัวแล้วเนี่ย” ผมบอกคนที่กำลังโอบกอดมาจากทางด้านหลังในสภาพเนื้อแนบเนื้อ มือไม้ป่ายสะเปะสะปะไปทั่วร่างของผม ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนเขาก็น่าจะ ‘กิน’ ไปมากพอแล้ว

“เขายังอยากอยู่เลย ตามใจหน่อยหน่า นะคะ”

“ไม่!”

“ใจร้ายอะ แต่ก่อนใจดีกับเขาจะตาย ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปกันนะ”

“เธอนั่นแหละ มักมากในกามเกินไปแล้ว! ขุนศึกที่แสนจะสุภาพบุรุษคนนั้นหายไปไหนแล้ว”

“หึหึ สุภาพบุรุษแบบมิสเตอร์เกรย์ในฟิฟตี้เฉดไง”

“น่ากลัวอะเธอ…นี่” ผมลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเบ้ปากใส่คนที่ยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอก

“ว่าไง”

“ขอบคุณนะ…ที่เป็นความรักของเรา เราดีใจที่ความรักของเรา…อยู่ที่นี่” ผมเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ลากนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่นั่น ที่ที่ความรักของผมอาศัยอยู่

ชี้ไปที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของขุนศึกซึ่งกำลังเต้นแรง

- จบบริบูรณ์ -

ออฟไลน์ Mansadi

  • Mansadi
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • sbo
สุดยอดครับ สนุกมากๆเลย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โหหหเป็นนิยายที่ดีมากเลย สมัยก่อนก็จริงนะบุลลี่กันหนัก แต่ปัจจุบันนี้เปิดกว้างหน่อยก็ดีไป แต่ถึงอย่างไรเซียนและขุนศึกก็เข้มแข็งจริง ผ่านมันมาได้ มีบทสรุปของคนนิสัยไม่ดีและอาจารย์ที่แย่ด้วย สนุก เนื้อเรื่องดีมาก ชอบบบ

ออฟไลน์ PorschePsr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
โหหหเป็นนิยายที่ดีมากเลย สมัยก่อนก็จริงนะบุลลี่กันหนัก แต่ปัจจุบันนี้เปิดกว้างหน่อยก็ดีไป แต่ถึงอย่างไรเซียนและขุนศึกก็เข้มแข็งจริง ผ่านมันมาได้ มีบทสรุปของคนนิสัยไม่ดีและอาจารย์ที่แย่ด้วย สนุก เนื้อเรื่องดีมาก ชอบบบ

ขอบคุณนะครับ ดีใจที่ชอบครับ ^_^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด