“ไอ้ขวัญญญญญ!” ไอ้แนนแหกปากลั่นเมื่อเจอหน้าผม พวกเราแทบกระโดดกอดกันถ้าไม่ติดว่าแขนข้างซ้ายของไอ้แนนกำลังเข้าเฝือก
“มึง!” ผมผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปหา “เกิดอะไรขึ้นกับแขนของมึง”
“มอเตอร์ไซค์ล้มว่ะ มีคนตัดหน้าตอนที่กูกำลังพาฝนไปตลาดเมื่อวาน” ไอ้แนนพูดด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง มันเดินนำไปนั่งที่โซฟา ท่าเดินแปลกๆ ของมันทำให้ผมรู้ว่าคงไม่ได้บาดเจ็บแค่ที่แขน “ไอ้ห่านั่นตัดหน้ากูแล้วยังมาโวยวายว่ากูผิดอีก ดีที่ฝนไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องพาไปโรงบาล ไปตรวจให้ละเอียด ส่วนแขนกูก็อย่างที่เห็นแหละ”
“ทำไมไม่โทรบอกกูวะ” หัวใจของผมบีบรัดตัวขึ้นมาจนปวดหนึบ แม้จะพยายามคิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุทั่วๆ ไป แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของคนที่จ้องจะทำร้าย
“มือถือกูตายสนิทไปแล้ว มันกระเด็นตกตอนล้มแล้วรถไอ้ห่านั่นก็ทับจนแหลก มันวุ่นๆ ด้วยว่ะ แล้วมึงล่ะเป็นไงมาไงถึงมาอยู่ที่นี่” ไอ้แนนหันมองรอบตัวแล้วเอนตัวมากระซิบ “แถมยังให้คุณธนิกไปรับกูมา เมียกูกรี๊ดใหญ่เลยที่กูรู้จักคนหล่อรวยระดับเขาด้วย”
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” ผมกระซิบตอบ แม้จะไม่เห็นว่าคุณธนิกอยู่ในระยะใกล้พอจะได้ยิน แต่ก็ไม่เสี่ยงที่จะบอกเล่าเรื่องทั้งหมดกับไอ้แนนที่นี่ “แต่ตอนนี้ไปกับกูก่อน มึงเดินไหวใช่มั้ย”
“ไหวๆ”
“กูจะพาไปเจอไอ้หลง”
“พามันมาที่นี่ด้วยเหรอ ไอ้หลงมันคงชอบใจที่ได้วิ่งเล่นในสวน กูเห็นสวนหน้าบ้านกว้างมาก”
ผมแค่ยิ้ม ยังไม่อยากพูดอะไร ผมเดินนำไอ้แนนออกจากบ้าน เห็นคุณธนิกเดินลงจากชั้นสองมาแต่ก็ไม่ได้ทัก ส่วนเขาก็ไม่ได้ตั้งคำถาม
ผมพาไอ้แนนเดินไปใต้ต้นหูกระจงที่มีชิงช้าทำจากไม้มัดห้อยไว้ใกล้ๆ พื้นที่บริเวณนี้ยังคงเห็นร่องรอยการกลบทับใหม่ๆ และเมื่อเช้าผมก็เอาดอกไม้ที่คุณธนิกซื้อเตรียมไว้ให้มาวางบนนี้
“มึง…” ไอ้แนนที่นั่งยองๆ ลงเคียงข้างพูดได้แค่นั้น มันใช้มืออีกข้างที่ยังใช้การได้ลูบไปมาบริเวณนั้น
“มันตายเมื่อคืน มีขโมยเข้าไปขโมยของในบ้านแล้วไอ้หลงมันเห่าเสียงดังก็เลยโดนมีดไปหลายแผล”
พวกเราต่างไม่พูดอะไรกันเลยเกือบสองนาที ที่ตรงนี้จึงมีแต่เสียงของต้นหูกระจงที่ไหวเอนไปตามสายลมยามบ่าย
“ไอ้หลงคงดีใจที่ได้มาอยู่บ้านสวยๆ แล้วที่ตรงนี้แดดก็ส่องไม่ถึง มึงก็รู้ว่ามันเป็นหมาที่ขี้ร้อนมากๆ” ไอ้แนนน้ำตารื้น มันนั่งขัดสมาธิอย่างไม่กลัวเปื้อนราวกับคนหมดแรง “เมื่อวานนอกจากกูจะเจอเรื่องซวยๆ แล้ว มึงก็คงกำลังแย่อยู่สินะ ขอโทษนะเว้ยที่ไม่ได้อยู่ด้วย ทั้งที่กูสัญญาไว้แล้วว่าจะอยู่เคียงข้างมึง”
“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ มึงเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลแต่กูก็ไม่รู้เลย”
“แค่นี้เอง สบายน่า” ไอ้แนนทำท่ายึกยัก ก่อนจะเบ้หน้าเมื่อทำซ่าเกินตัว “แล้วเรื่องที่มึงจะพูดล่ะ”
“หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน” ผมนั่งลงใกล้ๆ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยเพราะกำลังพยายามเรียบเรียงเรื่องที่จะเล่าให้ไอ้แนนฟัง “อย่างแรกก็เรื่องบ้าน บ้านเช่านั้นกูไม่ได้เช่าต่อแล้ว ต่อไปกูต้องมาอยู่ที่นี่ อย่างที่สองก็คือกูเป็นลูกคนรวยที่ตอนนี้กำลังโดนตามฆ่า แล้วมึงก็อาจจะต้องซวยไปด้วย”
ไอ้แนนยกมือขึ้นห้ามทันที “เดี๋ยวก่อนนะไอ้ขวัญ ประเด็นแรกแม้กูจะมีคำถาม แต่กูยังพอเข้าใจได้ แต่ประเด็นที่สองกูไม่เก็ท”
“ตอนนี้กูก็ไม่เก็ทแล้วก็รู้สึกว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่คุณธนิกบอกว่ากูเป็นลูกของพ่อเขา ซึ่งพ่อที่เขาว่าก็คือพ่อเลี้ยงของเขา แล้วคงใกล้ตายก็เลยจะยกมรดกให้กู ทีนี้นะ เรื่องมันก็เลยบึ้มขึ้นมา”
ผมเล่าให้ไอ้แนนฟังแทบทุกเรื่อง ยกเว้นก็แต่เรื่องระหว่างผมกับคุณธนิก เพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องนำมาคิดในตอนนี้ ความปลอดภัยของไอ้แนนและครอบครัวต่างหากที่สำคัญสำหรับผม ไอ้แนนยกมือขึ้นห้ามเป็นระยะเพื่อขอทำความเข้าใจ แล้วจากนั้นมันก็ฟังต่อด้วยสีหน้าที่เริ่มแย่ลงทุกที แล้วสุดท้ายพวกเราต่างก็ถอนหายใจกันออกมา
“มันเกินตัวคนจนอย่างเราไปแล้วว่ะ” ไอ้แนนบอกเสียงแผ่ว จ้องมองไปที่หลุมฝังศพไอ้หลง “มึงจะเอาอะไรไปสู้เขาวะไอ้ขวัญ กูน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้เนอะ”
“ไม่หรอกไอ้แนน กูต่างหากที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรเลย ไอ้หลงต้องตายก็เพราะกู แล้วมึงก็ยังต้องมาพลอยโดนร่างแห ตอนนี้คนสำคัญของกูเหลือแค่มึงแล้ว มึงน่ะโชคร้ายแล้วล่ะที่มาเป็นเพื่อนกับกู”
ไอ้แนนหัวเราะ ไม่ได้มีท่าทีจะคิดว่าตัวเองโชคร้าย “โชคดีต่างหาก อยู่ๆ ก็มีเพื่อนเป็นคนรวย ถ้ามึงรวยแล้วอย่าลืมกูนะเว้ย ว่าแต่มึงคิดว่าที่คุณธนิกพูดจะเป็นเรื่องจริงสักแค่ไหน”
“อย่างน้อยแขนที่หักของมึงก็ยืนยันได้ครึ่งหนึ่งนั่นแหละ”
“อุบัติเหตุมากกว่าว่ะกูว่า” ไอ้แนนพูดแต่สีหน้าไม่แน่ใจ “เอาจริงๆ เมื่อคืนเหมือนมีคนมาด้อมๆ มองๆ ที่บ้านกู กู็เลยโทรบอกสายตรวจ พอสายตรวจมามันก็หายไปสักพัก แล้วก็กลับมาอีก กูก็เลยพาลูกกับเมียไปนอนบ้านแม่ยาย คิดว่าถ้าเป็นโจรก็คงไม่ได้อะไรไปจากบ้านกูหรอก เพราะบ้านกูไม่มีเงินมีทองให้มันปล้น กลัวแต่ว่าไอ้คนที่มันปาดหน้ารถกูมันจะตามมาแก้แค้น เพราะกูซัดมันไปหลายหมัด มันน่ะโคตรพูดจากวนส้นตีน”
“มึงย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักมั้ย กูกลัวว่าฝนกับหลานกูจะเป็นอันตราย กูจะขอให้คุณธนิกจัดการให้”
“ให้กูไปอยู่ที่ไหน่ล่ะวะ กูก็ไม่มีที่ไปพอๆ กับมึง อีกอย่างนะถ้ากูไปแล้วกูจะเอาอะไรแดก กูยังต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียนะเว้ย” ที่ไอ้แนนพูดมาก็ถูก “มึงอย่าเพิ่งตื่นตูมไปเลยไอ้ขวัญ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ บางทีไอ้คุณธนิกมันอาจจะหลอกมึง พวกคนรวยน่ะเชื่อได้ที่ไหน แม้แต่น้องมึงก็ยังดูแปลกๆ เลย”
“กูก็คิดว่ามันแปลก” ผมยอมรับ “ตอนแรกก็ดีๆ อยู่แท้ๆ แต่หลังๆ มาเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจที่กูอยู่ใกล้คุณธนิก ทั้งที่บอกให้กูทำเองแท้ๆ ตอนนี้กูก็เลยไม่ค่อยได้คุยด้วยแล้ว น่าจะมีเรื่องที่ไม่บอกกูอีกหลายเรื่อง ไม่งั้นมันคงไม่รู้จักไอ้หลงหรอก เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ดันรู้ว่ากูเลี้ยงหมาไว้ที่บ้าน”
ไอ้แนนมองหน้าผมด้วยความเลื่อมใส “ตอนนี้มึงฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วนี่หว่าไอ้เพื่อนยาก!”
“เจอแต่คนหมาๆ จะให้กูมองโลกในแง่ดีต่อยังไงไหววะ ยังไงก็ต้องระแวงไว้ก่อน ตอนนี้กูเหลือแค่มึงคนเดียวแล้วไอ้แนน อย่าตายนะเว้ย”
“เออ ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า รับปากมึงแล้วว่าจะจัดงานศพให้มึงอย่างยิ่งใหญ่ ให้มึงตายก่อนแล้วกูค่อยตายทีหลัง เพราะกูยังมีเมียมีลูกที่คอยร้องไห้ให้อยู่ แต่มึงน่ะมีแค่กูที่จะร้องไห้ในงานของมึงแค่คนเดียว”
ผมยิ้มให้กับไอ้แนน เพื่อนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อยู่เคียงข้างผม เราเคยเป็นเด็กซอยเดียวกันจนเมื่อไอ้แนนมีลูกมันก็พาลูกพาเมียไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะแม่ยายของมันไม่อยากให้ลูกสาวอยู่ในชุมชนที่แออัดและมีอากาศไม่บริสุทธิ์ แต่แม้จะย้ายที่อยู่ มิตรภาพของพวกเราก็ยังไม่เปลี่ยน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น
“ถ้าน้าลียังอยู่ น้าจะว่ายังไงวะมึง” ผมถามความเห็นจากไอ้แนนที่กำลังมองไปยังหลุมฝังศพของไอ้หลงเหมือนกันกับผม “ไอ้หลงจะไปบอกน้ามั้ยว่ากูดูแลมันไม่ดี”
“มันต้องฟ้องเรื่องที่มึงไม่ค่อยซื้อไก่ย่างให้มันแน่ ตอนน้าลีอยู่ น้าน่ะตามใจมันยิ่งกว่าตามใจมึงอีก”
“ก็จริงว่ะ ไว้มีโอกาสกูจะตามไปแก้ตัวทีหลัง”
“ไอ้ขวัญ” ไอ้แนนร้องเรียกด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ว่ามึงจะเจอกับเรื่องอะไร มึงก็อย่าตายนะเว้ย ลูกสาวกูยังรอมึงอยู่”
“ไอ้ห่าาาา จะให้กูแต่งงานกับลูกมึงให้ได้เลยรึไง”
“แน่นอนสิวะ ลูกกูต้องมีผัวรวยๆ มึงน่ะจะรักจะชอบกับใครก็ได้ จะมีเมียมีผัวกี่คนก็แล้วแต่มึง แต่ตำแหน่งเมียหลวงต้องให้ลูกกูนะ เข้าใจมั้ย กูไม่ไว้ใจผู้ชายคนอื่น”
“ไอ้ฉิบหาย กูสงสารเด็กที่กำลังจะเกิดมาจริงๆ”
หลังจากต่างคนต่างมองหน้ากัน พวกเราก็หัวเราะกันด้วยเสียงที่ดังพอจะทำให้ไอ้หลงที่อยู่อีกโลกได้ยินไปด้วย
“ขอบใจนะเว้ยไอ้แนน กูก็ไม่รู้หรอกว่ากำลังจะเจอกับอะไร แต่กูจะมีชีวิตไปจนกว่าจะเห็นลูกของมึงโตเป็นสาว ตอนนี้กูอาจจะต้องเลิกขับวินไปชั่วคราว แต่ไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกูจะกลับไปนะ บอกพี่แจ้ว่าอย่าเพิ่งลบชื่อกูออกจากกลุ่มล่ะ”
“เออๆ รู้เว้ย”
“ดูแลฝนดีๆ นะมึง กูไม่อยากทำให้พวกมึงเดือดร้อนเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรน่า อีกอย่างเดี๋ยวฝนก็ต้องกลับไปอยู่กับแม่แล้ว เห็นว่ายิ่งท้องเริ่มแก่ก็ยิ่งกลัว ก็เลยอยากอยู่ใกล้ๆ แม่ให้อุ่นใจ”
“มึงไปด้วยมั้ย”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ถูกกับพ่อตา เอาเถอะน่า กูอยู่คนเดียวได้”
“ยังไงมาอยู่กับกูที่นี่ก็ได้นะเว้ย” ถ้าไอ้แนนมาอยู่ด้วยกัน ผมคงใจชื้นขึ้นเยอะ อีกอย่างถ้ามีมัน หัวใจของผมก็จะปลอดภัยมากขึ้น
“ไม่เอาว่ะ หน้าไอ้คุณธนิกมันรับแขกนักนี่”
ผมกำลังนึกหน้าไม่รับแขกของคุณธนิก แต่ก็นึกไม่ค่อยออก “หน้าที่ยิ้มเป็นเครื่องหมายการค้าแบบนั้นนี่นะจะไม่รับแขก”
“ยิ้มให้มึงคนเดียวน่ะซี กับกูนี่ทำหน้าอย่างกะจะขู่ฆ่า”
“ยิ้มจอมปลอมล่ะสิไม่ว่า”
“แล้วมึงจะอยู่กับเขาไหวเหรอวะ”
ผมเบ้ปาก “ต่างคนต่างอยู่”
“จะแน่เร๊อ สายตาที่เขามองมึงน่ะไม่ธรรมดาเลยนะ” ไอ้แนนพยักพะเยิดหน้าไปทางห้องนั่งเล่นที่เห็นผ่านกระจกใส คุณธนิกนั่งที่โซฟาตัวหนึ่งและกำลังมองมาที่พวกผม
ผมเผลอไปสบตาเข้า ก่อนจะรีบหันกลับมา “ก็แค่สายตาพวกมักมาก”
“อู้ววว” ไอ้แนนร้องขึ้นอย่างชอบใจ “ดีแล้วๆ มึงต้องฉลาดเข้าไว้นะไอ้ขวัญ”
ผมพยักหน้า แม้จะฉลาดขึ้นมาเพียงนิด แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะแค่ความฉลาดแต่ไม่มีกำลังจะต่อกร อย่างไรผมก็ต้องตกเป็นรองอยู่วันยันค่ำ ผมไม่ได้เล่าข้อตกลงระหว่างผมกับคุณธนิกให้ไอ้แนนฟัง เพราะผมไม่อยากให้มันต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยของพวกเรา ผมอาจจะคิดอะไรเกินตัวว่าอยากจะปกป้องคนสำคัญทุกคน แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมกำลังปกป้องจากใครหรืออะไร ผมคงต้องขอเวลาหาคำตอบเอาเอง คุณธนิกน่ะยังบอกผมไม่หมดอย่างแน่นอน ดูจากลักษณะนิสัยของเขาแล้วก็แค่พูดในสิ่งที่คิดว่าเขาจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการก็เท่านั้น ยังมีบางเรื่องที่ผมสงสัย บางเรื่องที่ยิ่งอ่านข้อความจากไลน์ของเขมินทราก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่อันตราย
เขมินทรา: พี่โกหกผมเหรอครับ ตอนนี้พี่อยู่กับพี่ธนิกใช่มั้ย
ขวัญพัฒน์: ใช่ครับ ผมทำตามที่ขิมบอกไง ตีสนิทให้คุณธนิกไว้ใจ
เขมินทรา: แล้วอยู่ที่ไหนล่ะครับ พี่อยู่ที่ไหน บอกผมได้มั้ย แชร์โลเกชั่นก็ได้
ขวัญพัฒน์: ตอนนี้ไม่สะดวกครับ
เขมินทรา: งั้นเมื่อคืนที่บอกว่าค้างบ้านเพื่อนก็โกหกผมสินะ พี่อยู่กับพี่ธนิกตลอดเวลา การตีสนิทไม่ได้หมายความว่าพี่ต้องนอนกับเขา พี่ปล่อยให้เขาแตะต้องตัวพี่ได้ยังไงกัน
ขวัญพัฒน์: โกรธเหรอครับ หึงคุณธนิกอยู่เหรอ
เขมินทรา: เปล่าครับ ผมแค่ไม่ชอบที่พี่โกหกผม เราเป็นพี่น้องกัน พี่ควรจะเล่าทุกอย่างให้ผมฟังโดยไม่มีเรื่องต้องปิดบังเลย
ขวัญพัฒน์: ครับ
เขมินทรา: ออกมาเจอกันนะครับ พรุ่งนี้ก็ได้ ผมมีเรื่องน่าสนใจจะคุยกับพี่
ขวัญพัฒน์: เรื่องอะไรครับ
เขมินทรา: เรื่องน้าของพี่ไงครับ น้าของพี่ที่หมอบอกว่าตายเพราะโรคประจำตัวกำเริบก็เลยล้มหัวฟาดพื้น
ขวัญพัฒน์:??
เขมินทรา: ผมมีเรื่องที่ถ้าพี่รู้จะต้องตกใจ มาคุยกันนะครับ พรุ่งนี้นะ
ขวัญพัฒน์: ได้ครับ แล้วเจอกัน
ผมไม่เคยติดใจสงสัยกับการตายของน้าลี เพราะรู้อยู่แล้วว่าน้ามีโรคประจำตัว แม้จะจากไปด้วยอายุที่ยังไม่มากนักก็ตาม ทว่ารูปและข้อความที่ส่งมาทางไลน์จากเขมินทรานั้นทำให้ผมสั่นกลัวขึ้นมา...
...........To be continue.............
คุณธนิกคะ โซ่แส้กุญแจมือด้วยมั้ยคะ