“น้าตะวันๆ วันนี้หนูเจียมีเพื่อนใหม่ด้วยนะ คนนี้ชื่อเกล้า” เจียหลินชี้ไปที่เด็กชายที่ตามมาข้างหลัง เด็กคนนั้นสูงกว่าเจียหลินเล็กน้อย ผอมแห้ง ผมเผ้ากระเซิง เสื้อนักเรียนที่ใส่อยู่ดูหลวมโพรกและเป็นสีตุ่นๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองสบกับตะวันแล้วก็ยกมือไหว้ “สวัสดีฮะ”
“หวัดดีครับน้องเกล้า เพื่อนใหม่หนูเจียเหรอครับ” ทำไมไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ จะว่ามาจากห้องอื่นก็ไม่น่าใช่
เด็กชายนามเกล้าพยักหน้า ดวงตาหลุบต่ำ ตอบเสียงเบา “ผมเพิ่งย้ายมาใหม่ฮะ”
“อ๋อ เด็กใหม่นี่เอง ดีจังเลยนะหนูเจีย ได้เพื่อนใหม่ด้วย”
“หนูเจียชอบเกล้าม๊ากมาก”
น้องเกล้าอมยิ้ม ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “เกล้าก็ชอบหนูเจีย”
ปานตะวันกะพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าการที่หลานชายบอกว่าชอบเพื่อนผู้ชายแล้วเพื่อนคนนั้นตอบว่าก็ชอบเหมือนกันนี่มันจะดีหรือเปล่า...
เอ่อ บางทีมันคงเป็นมิตรภาพอันสวยงามของเด็กน้อย อย่าเอาโลกของผู้ใหญ่ไปแปดเปื้อนผ้าขาวสิวะไอ้ตะวัน!
ปานตะวันกระแอม ตบตีกับสติตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้น้องเกล้า ลูบหัวเด็กชายเบาๆ “ดีแล้วครับๆ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไว้นะ แต่ว่าวันนี้น้าตะวันต้องพาหนูเจียกลับบ้านก่อนแล้วล่ะ น้องเกล้ารอคุณแม่มารับเหรอครับ”
“ผม...เปล่าฮะ”
คำตอบนั้นทำให้ปานตะวันชะงัก เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กชาย “น้องเกล้านั่งรถตู้กลับบ้านเหรอครับ”
“เปล่าครับ คุณแม่ให้เกล้าเดินกลับบ้านเอง”
“หา? แล้วบ้านน้องเกล้าอยู่ตรงไหนครับ” ปานตะวันถาม ในใจไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้เด็กขนาดนี้เดินกลับบ้านคนเดียว
“อยู่ตรง...” พอน้องเกล้าบอกชื่อซอยออกไปปานตะวันก็ถึงกับจิ๊ปาก ซอยนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนก็จริง เดินไปก็ประมาณสิบห้านาทีแต่เป็นซอยที่รถเข้าออกเยอะพอสมควร แล้วนี่ไม่มารับแต่ให้เด็กตัวเท่านี้กลับเอง...คิดอะไรของเขาอยู่นะคนเป็นแม่เด็กเนี่ย
“แล้วน้องเกล้าจะกลับบ้านตอนไหนครับ น้าตะวันแวะไปส่งเอาไหม”
เกล้ามีท่าทีลังเล แต่เพราะหนูเจียพูดว่า “เกล้าไปด้วยกันนะๆ ให้น้าตะวันไปส่ง แป็บเดียวถึงบ้าน กลับกับเรานะ” เด็กชายตัวผอมถึงได้ยินยอม
ปานตะวันเดินเข้าไปคุณครูประจำชั้นพร้อมกับพูดว่า “ครูครับ เด็กที่เล่นกับหนูเจียเป็นเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ชื่อน้องเกล้า ทำไมหรือคะ”
“คือ...แกบอกว่าแม่แกให้เดินกลับบ้านเอง แล้วซอยบ้านแกรถเข้าออกเยอะด้วย ผมเลยเป็นห่วงว่าจะพาไปส่งที่บ้านน่ะครับ”
คุณครูที่สีหน้าไม่แน่ใจ “แกว่างั้นหรือคะ”
“ใช่ครับ ได้หรือเปล่าครับ”
“ดูเหมือนว่าน้องเกล้าจะไม่ได้กลับกับรถตู้โรงเรียนเสียด้วยสิคะ ครูก็ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาจะมารับหรือเปล่า”
“ไม่ได้บอกไว้เหรอครับ”
“ไม่ค่ะ เมื่อเช้าน้องเกล้ามากับมอเตอร์ไซค์วินค่ะ”
ปานตะวันกับคุณครูมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กชายคนนี้ดี ถ้าคุณครูให้เด็กเดินกลับเองแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นคุณครูและโรงเรียนจะต้องถูกกล่าวหาแน่นอนว่าประมาท ปล่อยเด็กตัวเท่านี้กลับเองทั้งที่ไม่สมควร แต่ถ้าฝากไปกับปานตะวัน...คุณครูประจำชั้นคนใหม่ก็ไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายที่ดูเป็นเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่
“ผมจะส่งน้องเกล้าให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยครับ คุณครูไม่ต้องกังวล” ปานตะวันรับรองกับคุณครู อีกฝ่ายยกมือกุมแก้มแล้วถอนหายใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กร้องไห้แผดดังไปทั้งสนามเด็กเล่น ปานตะวันกับคุณครูสะดุ้ง หันกลับไปมองก็พบเด็กชายคนหนึ่งนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ที่ข้อศอกเป็นแผลจนเลือดออก ตรงหน้ามีน้องเกล้ายืนจังก้าอยู่ เจียหลินหลบอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย คิ้วของเกล้าขมวดมุ่น ท่าทางน่ากลัว
“ตายแล้วน้องน็อต เกิดอะไรขึ้นคะลูก”
หญิงสาวคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นแม่เด็กที่ล้มอยู่กับพื้นร้องขึ้น หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหาลูกชาย กระเป๋าถือราคาแพงที่คล้องแขนอยู่แกว่งไกว
“แย่แล้ว” ปานตะวันพึมพำกับตัวเอง รีบวิ่งไปหาหลานชายตัวเองบ้าง
“น้องน็อต เกิดอะไรขึ้นลูก ใครทำอะไรหนูไหนบอกแม่สิคะ”
เด็กชื่อน็อตสะอึกสะอื้น น้ำตาร่วงผล็อยๆ “เกล้า...ฮึก...ฮือ...เกล้าผลักน็อต” นิ้วเล็กชี้ไปที่เกล้าที่ยืนหน้าซีดอยู่ หญิงสาว
คนนั้นประคองลูกชายหล่อนให้ลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามเสื้อและกางให้พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่ข้อศอกลูกชาย จากนั้นดวงตาสวยซึ้งใต้แพขนตาหนาก็ตวัดมามองเด็กชายอีกคนทันที หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น มือบางคว้าแขนเด็กชายแล้วกระชากอย่างแรงทันที
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง!”
“เฮ้ยคุณ ใจเย็นครับ”
ปานตะวันที่เห็นท่าไม่ดีรีบแยกหญิงสาวคนนั้นกับน้องเกล้าออกจากกัน คุณครูก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”
“จะให้ใจเย็นได้ยังไงคะ! คุณครูดูสิ เด็กนี่ผลักลูกชายฉันจนล้มนะคะ! ทำไมก้าวร้าวแบบนี้”
เสียงตวาดแหวของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ปานตะวันปวดหัวจี๊ด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” จะพูดไปว่าคุณเองก็ไม่ควรใช้กำลังกับเด็กก็คงเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ เดี๋ยวจะได้ไปกันใหญ่
ปานตะวันก้มลงไปหาน้องเกล้าที่ยืนนิ่ง ไม่หลบตาใคร ไม่ร้องไห้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเกล้าครับ น้องเกล้าผลักเพื่อนจริงๆ เหรอครับ”
เกล้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่ฮะ เกล้าทำเอง”
“เห็นไหมล่ะ!”
ปานตะวันเมินหญิงสาวคนนั้น แล้วถามต่อ
“น้องเกล้าทำแบบนั้นทำไมครับ”
“น็อตแกล้งเกล้ากับเจียก่อน”
“ไม่จริง..ฮึก...น็อต...น็อตไม่ได้ทำ” ปานตะวันมองเด็กที่ชื่อน็อต เจ้าตัวปฏิเสธแต่กลับก้มหน้า เสียงเบา ไม่ยอมสบตาใครแล้วก็เอาแต่เบียดเข้าหาแม่ “น็อตแค่จะเข้ามาเล่นด้วย แล้วเกล้าก็ไม่ยอม เกล้าผลักน็อต”
“ไม่จริงนะครับน้าตะวัน น็อตเข้ามาล้อเลียนเกล้าต่างหาก ทำท่าจะต่อยเจียด้วย เกล้าเห็นเลยผลักน็อต” เจียหลินที่เงียบมานานเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าน ดวงตากลมๆ หันไปมองน็อตอย่างไม่ชอบใจ “น็อตขี้โกหก”
“นี่ เธอสอนลูกยังไงถึงได้มาพูดแบบนี้กับคนอื่นน่ะฮะ!” หญิงสาวคนนั้นทนไม่ไหว เงยหน้ามาแว้ดใส่ปานตะวัน ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดขึ้นมาที่อีกฝ่ายเอาแต่โวยวาย เขาอุตส่าห์พูดดีๆ แล้วนะ
“เด็กนะคุณ เขาไม่รู้เรื่องหรอก แล้วก็นะครับผมว่าเรามาคุยกันดีๆ เถอะ ถ้าสิ่งที่หนูเจียพูดเป็นจริง ลูกชายคุณก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ” แถมยังอันธพาลด้วย
“ลูกชายฉันเป็นเด็กดี ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก!” อีกฝ่ายพูด จิกตาใส่ปานตะวัน “อีกอย่างลูกเธอกับเด็กนี่ก็เพื่อนกัน จะเข้าข้างกันก็ไม่แปลก”
คราวนี้ปานตะวันเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว หญิงสาวตรงหน้าไม่เพียแต่ไม่ฟังเหตุผล พูดจาเหมือนหนูเจียโกหกแล้วยังแสดงท่าทางไม่ดีต่อหน้าเด็กอีกด้วย ชายหนุ่มดันเด็กชายทั้งคู่มาข้างหลังตัวเอง สีหน้าที่เคยเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “งั้นเราถามเด็กคนอื่นดีไหมครับว่าใครทำอะไรยังไง”
คุณครูที่ต้องการแก้สถานการณ์อันเลวร้ายนี้พยักหน้าเห็นด้วย เธอหันไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนเกาะโซ่ชิงช้าอยู่ไม่ไกล
“น้องแพรวคะ หนูเห็นหรือเปล่าว่าใครแกล้งใครก่อน”
เด็กหญิงคนนั้นพยักหน้า ตอบด้วยเสียงฉะฉานว่า “แพรวเห็นน็อตแกล้งเจียกับเกล้าก่อนค่ะคุณครู ทำท่าจะต่อยด้วยค่ะ”
เพียงเท่านี้ปานตะวันก็หันมามองหน้าหญิงสาวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไงครับ ผมว่าเท่านี้เราก็รู้แล้ว เด็กคนนี้คงไม่ได้
โกหกหรอกครับ หรือถ้าคุณยืนยันจะเชื่อว่าลูกคุณถูกแต่เด็กคนอื่นโกหก คุณก็ควรพิจารณานิสัยลูกคุณได้แล้วนะครับ”
“นี่เธอพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง นิสัยแบบนี้ไงลูกเธอถึงได้ก้าวร้าวแบบนี้ อีกอย่างนะ น้องน็อตก็แค่อยากเล่นด้วยแต่เด็กเกล้านี่ผลักลูกฉันซะได้แผล ยังไงคนผิดก็คือเด็กคนนี้ และฉันต้องการคำขอโทษ!”
ปานตะวันนึกอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปดสักล้านรอบ นึกถึงคำพูดที่ว่าลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนขึ้นมาทันที
แต่จะให้ต่อความยาวสาวความยืดตรงนี้ก็น่ารำคาญเกินไป
อีกอย่างน้องเกล้าก็ผลักเด็กคนนั้นจนล้มจริง น้องเกล้าควรขอโทษอันนี้ปานตะวันไม่เถียง แต่เด็กคนนั้นก็ควรขอโทษเหมือนกัน
ชายหนุ่มถอนหายใจ ยอมถอยออกมา ไม่ใช่ยอมแพ้แต่เขาไม่อยากให้ใครมองน้องเกล้าว่าก้าวร้าวมากไปกว่านี้
“น้องเกล้าครับ ขอโทษคุณแม่น้องน็อตเร็ว”
“เกล้าขอโทษฮะ” เด็กชายพนมมือไหว้แต่โดยดี หญิงสาวคนนั้นรับไหว้ด้วยสีหน้าตึงๆ จากนั้นก็จูงมือลูกชายเดินจากไป
“ไปกันเถอะลูก คราวหลังน็อตก็ไม่ต้องไปเล่นกับเด็กสอนคนนี้แล้วนะ อยู่ให้ห่างๆ เลยนะลูก เด็กเกเรแบบนี้ ผู้ปกครองก็เหลือเกิน เป็นวัยรุ่นแบบนี้เลยไม่มีมารยาท สอนลูกสอนหลานให้ไม่มีมารยาทไปตามๆ กัน”
อ้าวเฮ้ย!
ปานตะวันหันไปถลึงตาไล่หลังอีกฝ่าย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ชายหนุ่มลูบหัวหนูเจียไปพลาง ดวงตาสีน้ำตาลมองเด็กชายเกล้าไปพลางอย่างสับสน
เด็กคนนี้ดูว่าง่าย เงียบๆ และเรียบร้อย ไม่น่าใช่เด็กหัวรุนแรงหรือชอบใช้กำลังเลย
บางอย่างในตัวเกล้าทำให้ปานตะวันรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกคาใจอย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าสี่โมงกว่าจะห้าโมงแล้ว ราเมศโทรมาหาสามสายแต่เขามัวเถียงกับผู้หญิงคนนั้น
อยู่เลยไม่รู้ตัว
“จบเรื่องแล้ว งั้นผมพาเจียหลินกลับบ้านเลยนะครับ” ปานตะวันหันไปพูดกับคุณครู หญิงสาวยิ้มเจื่อน ยกมือรับไหว้เขา “เอ้อ แล้วผมก็ขอพาน้องเกล้ากลับบ้านด้วยเลยแล้วกันนะครับ”
“อ๊ะ..ค่ะ แต่ว่าพอส่งแล้วรบกวนโทรมาบอกครูด้วยนะคะ”
“ครับ”
ปานตะวันบันทึกเบอร์คุณครูเอาไว้ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ มือซ้ายขวาจูงเด็กชายทั้งสองคนล่ะข้างแล้วเดินออกจาก
โรงเรียนไปโดยไม่สนสายตาใครรู้ของผู้ปกครองคนอื่น
ซอยบ้านของเกล้าเมื่อขี่รถไปก็ใช้เวลาไม่นาน แต่บ้านของเด็กชายอยู่ค่อนข้างลึก เกือบสุดซอย รถราก็เยอะแยะ ทำให้ปานตะวันรู้ว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่มาส่งเด็กคนนี้
“น้าตะวัน บ้านหลังนี้แหละครับ”
รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กจอดหน้าบ้านสองชั้นเก่าๆ ประตูรั้วสีเขียวขึ้นสนิมเปิดอยู่เล็กน้อย หน้าบ้านมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่คันหนึ่ง พร้อมกับกองเศษเหล็กเก่าๆ และตั้งหนังสือการ์ตูนเก่าขาด แว่วเสียงโครมครามด่าทอดังมาจากในบ้าน ปานตะวันหันมา
มองเกล้าที่ปีนลงจากเบาะด้วยสายตาไม่แน่ใจ
“ที่นี่แน่หรือเกล้า”
“ถูกแล้วฮะ ขอบคุณน้าตะวันมากเลยนะฮะที่มาส่ง” เด็กชายยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ มือเล็กๆ ยกมือโบกให้หนูเจียด้วย
“บ๊ายบายนะเจีย เจอกันพรุ่งนี้”
“อื้ม เจอกันพรุ่งนี้นะเกล้า”
ปานตะวันรอจนเกล้าเดินเข้าบ้านไป ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงด่าดังลั่น
“กลับมาแล้วเหรอไอ้เกล้า เย็นขนาดนี้แล้ว มึงไปเถลไถลที่ไหนมา!”
ปานตะวันกัดริมฝีปาก ตัดสินใจออกรถทันที ทิ้งเสียงขว้างปาข้าวของและคำด่าทอหยาบคายไว้เบื้องหลัง
เมื่อกลับถึงบ้านปานตะวันก็พบว่าเขารวบรวมสมาธิไม่ได้เลย สมองมันพาลไปคิดถึงเกล้าและเรื่องวันนี้ ชายหนุ่มเงียบจนราเมศสังเกตได้ หลังส่งหนูเจียเข้านอนเรียบร้อยราเมศจึงดึงตัวปานตะวันมาคุย
“วันนี้มีอะไรหรือเปล่า”
ปานตะวันช้อนตามองราเมศ กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจแล้วก็ตัดสิจนใจเล่าออกมา
“วันนี้หนูเจียเจอเพื่อนใหม่แล้วกำลังจะโดนเพื่อนในห้องแกล้ง เพื่อนใหม่เลยผลักเด็กนั่นล้ม ศอกเป็นแผล แม่เด็กโวยวายใหญ่ ด่าตะวันด้วย” ท้ายเสียงพูดอย่างขุ่นใจ ราเมศเห็นแมวแสบของเขาเริ่มทำหน้ายุ่งก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ จูบลงที่หว่างคิ้ว
เบาๆ
“มาว่าตะวันเป็นวัยรุ่นเลยเลี้ยงหลานไม่ดีด้วยนะ มนุษย์ป้าเอ๊ย อยากจะด่าให้ว่าผมเลี้ยงหลานดีกว่าป้าอีก!”
“พี่รู้”
ปานตะวันฮึดฮัดแต่ก็เริ่มใจเย็นลงทีละน้อย แต่กระนั้นสีหน้าก็ยังคงแฝงความกังวลอยู่ ราเมศที่รับรู้ได้ก็ถามขึ้นอีก “แล้วยังกลุ้มใจอะไรอีก”
“รู้ได้ไง”
“ดูหน้าก็รู้แล้ว” ราเมศลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ปรึกษาพี่ได้นะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็...ไม่เกี่ยวกับตะวันหรอก แต่มันกังวล” แล้วปานตะวันก็เล่าให้ราเมศฟังถึงเสียงที่เขาได้ยินในบ้านเกล้าและเรื่องที่แม่เด็กชายฝากลูกมากับวินมอเตอร์ไซค์ตอนเช้าและให้เดินกลับเองตอนเย็น
“เขาดูไม่สนใจลูกเลย แถมยังพูดจาหยาบคายกับลูกอีก” ผู้ปกครองแบบนี้ใช่ว่าไม่มี แต่ยังไงมันก็ไม่ดีกับเด็ก “ผมกังวล”
“พี่รู้ แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้...เพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัวเขา”
“ตะวันรู้ แต่มันอดไม่ได้นี่นา เห็นแล้วสงสาร ตะวันว่าพอรู้แล้วล่ะว่าทำไมเด็กเรียบร้อยแบบนั้นถึงผลักคนอื่นล้ม บางทีเขาอาจโดนกระทำแบบนี้บ่อยจนร่างกายมันปกป้องตัวเองไปโดยอัตโนมัติก็ได้นะ”
“ก็อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่” ราเมศตอบกลางๆ เรายังฟันธงอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และปาน ตะวันก็รู้จักเด็กคนนั้นได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรียกได้ว่ารู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น
“เอาเถอะ วันนี้พอก่อน อย่าเพิ่งเครียดเลย” ราเมศปลอบ “มานอนเถอะ”
ราเมศจูงมือลูกแมวหน้ายุ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างแผ่วเบา คืนนี้พวกเขาลงมานอนบนฟูกที่ปูอยู่ข้างเตียงเพราะราเมศตก
ลงจะค้างด้วย
ภายในห้องมืดสนิท พวกเขาทั้งสองซุกตัวลงในผ้านวมข้างกัน ราเมศดึงปานตะวันมากอด เจ้าลูกแมวตัวเล็กซุกตัวเข้าหาเขา ราเมศยิ้ม ลูบหลังลูบหัวอีกฝ่าย ปลอบให้หายคิดมาก
“นอนซะเจ้าแมวแสบ ไม่ต้องกังวล พี่ไม่ให้ใครมาทำอะไรเรากับหลานหรอก” จุมพิตอุ่นประทับลงที่หน้าผากเนียน “ฝันดีนะ”
“ฝันดีครับพี่เมศ
ปานตะวันพึมพำตอบกลับก่อนที่จะปล่อยใจให้จมลงไปในห้วงนิทราแสนอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบกาย
****************************************************
มาอัพแล้วค่าาาา หลังจากห่างหายไปนาน ตอนนี้มีเด็กน้อยเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนแล้ว เรื่องนี้เหมือนโชตะเลยค่ะ 5555
ตอนนี้ความสัมพันธ์พี่เมศกับน้องตะวันก็ยังเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่รู้ทำไมเรากลับชอบอะไรแบบนี้
มันดูน่ารัก สบายๆ ไม่หวือหวาแต่โซคิ้วท์ 55555 ชอบมากกก
ส่วนคนอื่นๆ อ่านแล้วรู้สึกยังไงบอกเราได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน
สามารถติดตามและหลังไมค์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ