Chapter 7 Senior Leader
28 เมษายน… สามวันก่อนวันเปิดเทอม คือวันที่นักเรียนปีหนึ่งต้องรายงานตัวเข้าหอพัก
วันนี้เป็นวันแรกที่จะมีการเปิดหอฮิโนะเอ็นหรือหอไฟ ไทกิตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังช้ากว่าซุย
แถมจู่ๆรุ่นพี่ขี้เก๊กที่อยู่ร่วมกันมาสองอาทิตย์ก็เกิดใจดีขึ้นมากะทันหัน
เก็บข้าวของแพ็กใส่กระเป๋าให้เค้าเสร็จสรรพ พอตื่นขึ้นมากะจะขอบใจซะหน่อย
พี่แกก็หายตัวไปจากห้องซะแล้ว
ตอนสาย… นักเรียนปีหนึ่งก็มารายงานตัวครบถ้วน ไทกิรออยู่หน้าหอฮิโนะเอ็นพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
สายตาก็คอยชะเง้อมองหารุ่นพี่คนสำคัญ หมอนั่นเป็นประธาน ยังไงซะก็ต้องโผล่หน้ามาให้เห็นบ้างล่ะน่า
“สวัสดี”
เสียงทุ้มนุ่มนวลจากคนข้างๆเอ่ยทัก ไทกิหันไปมอง เห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวสูงไล่เลี่ยกัน
ตัวค่อนข้างผอม ผมซอยสั้นสีดำสนิท หน้าตาสวยติดออกไปทางหวาน สวมแว่นตากรอบบางสีสด
ยิ่งทำให้หน้าละอ่อนดูคงแก่เรียน
“ฉัน… คาวาชิมะ คาโอรุ มาจากมิยางิ นายล่ะ?” เพื่อนใหม่แนะนำตัวพร้อมยื่นมือมาให้
ไทกิก็เอื้อมไปจับรับไมตรี
“โนมูระ ไทกิ”
“งั้นขอเรียกไทกิคุงก็แล้วกัน”
“ได้สิ” ไทกิพยักหน้า
“ว่าแต่นายมองหาใครอยู่เหรอ เพื่อนที่ย้ายมาจาก ม.ต้น ด้วยกันเหรอ”
“เปล่า… ฉันไม่มีเพื่อนสมัย ม.ต้น หรอก ฉันก็แค่มองเฉยๆว่าเพื่อนๆปีหนึ่งเป็นยังไงกันบ้าง”
ไทกิแก้ตัวไปเรื่อย คิดว่าซุยคงไม่ดีใจนักหรอก ถ้าเค้าจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าซี้ปึ้กกับประธานนักเรียน
เป็นการส่วนตัว เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นเด็กเส้นเปล่าๆ (ที ผอ. ฝากมาเนี่ยไม่เส้นเลยนะจ๊ะ)
“ฉันนะฝันมาตั้งนานแล้ว ว่าอยากมาเรียนที่นี่”
“ทำไมล่ะ?”
ก็พอรู้มาบ้างว่าที่นี่เป็นโรงเรียนชื่อดัง ถ้าได้ฟังความเห็นจากคนอื่นบ้างก็คงน่าสนใจ
“อ้าว… นายไม่รู้เหรอ โรงเรียนนี้ดังมากนะ เก่าแก่พอๆกับ ม.โทได เลยล่ะ
คนที่มาเข้าเรียนก็มีแต่พวกที่มาจากตระกูลดังๆทั้งนั้น อย่างคนนั้น…” คาโอรุชี้ไปหาคนที่ใส่ชุดสูท
หวีผมเรียบแปล้
“มัตสึดะ ลูก ส.ส. คนดัง ถัดไปก็ โมริโมโต้ ทายาทเจ้าของธนาคาร…
ยาซาว่า ลูกชายเจ้าของบริษัทอัญมณี”
คาโอรุไล่ไปเรื่อย เหมือนรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี แต่ไทกิมองแล้วก็เฉยๆ ก็แค่ลูกรวยไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน จะมีพวกที่น่าสนใจกว่านี้มั้ยนะ
“แล้วนายล่ะคาโอรุ เป็นลูกนักธุรกิจหรือนักการเมืองคนไหนล่ะ” ไทกิถามโต้งๆ จนคาโอรุส่งเสียงหัวเราะพรืด
“เปล่าหรอก… ฉันก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่บังเอิญหัวดีเท่านั้นเอง ฉันสอบเข้าได้คะแนนอันดับหนึ่ง
และก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับตำแหน่ง Special member”
พอได้ยินเรื่องเมมเบอร์ ไทกิก็หูผึ่งทันที
“ฉันก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แล้วตกลงเมมเบอร์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ”
“กลุ่มสมาชิกพิเศษของโรงเรียนไงล่ะ แต่ละชั้นปีจะได้รับคัดเลือกแค่สามคนเท่านั้น เ
มมเบอร์จะมีหน้าที่พิเศษในโรงเรียน มีอำนาจเหนือกรรมการนักเรียน
ที่สำคัญ… แต่ละคนยังมีความสามารถไม่ธรรมดาด้วย”
“หน้าที่พิเศษ เช่นอะไรบ้าง”
“ก็อย่าง… ดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียน เป็นหัวเรือหลักในการจัดกิจกรรมโรงเรียน
ประสานงานระหว่างนักเรียนและอาจารย์ และก็… อีกเยอะแยะ”
“นั่นมันงานของประธานนักเรียนไม่ใช่เหรอ ก็แค่เลือกประธานนักเรียนก็พอแล้วนี่
ทำไมต้องตั้งกลุ่มสมาชิกพิเศษให้วุ่นวายด้วย”
คาโอรุมองหน้าไทกิพร้อมกับขมวดคิ้ว เค้าก็คิดว่าตัวเองมาจากบ้านนอกแล้วนะ
ไอ้หมอนี่ยังบ้านนอกกว่าเค้าอีกแฮะ
“นายเนี่ยเหลือเชื่อเลยแฮะ” คาโอรุเปรย “สมาชิกพิเศษน่ะ เป็นตำแหน่งเทพเจ้าประจำโรงเรียนเลยนะจ
ะบอกให้ นายจะทำในสิ่งที่นักเรียนคนอื่นทำไม่ได้ ไปในที่ที่คนอื่นไปไม่ได้
แม้แต่สั่งลงโทษคนในโรงเรียนจนถึงขั้นไล่ออกโดยไม่ต้องรายงานอาจารย์ก็ยังได้
แถมฉันยังรู้มาด้วยว่าตำแหน่งนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลให้ทำงานลับด้วย
แล้วแบบนี้ใครล่ะไม่อยากเป็น”
สรุปง่ายๆก็คือตำแหน่งเบ๊กิตติมศักดิ์….ไทกิเบ้หน้า ตอนแรกคิดว่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ซะอีก
“ฮัลโหล… เทสต์”
เสียงดังจากไมโครโฟนโหยหวน เล่นซะพวกปีหนึ่งหูแทบระเบิด รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบสามดาว
บ่งบอกตำแหน่งซีเนียร์ก้าวฉับขึ้นบนเวที รุ่นพี่ตัวเล็ก แต่ก็ดูน่าเกรงขาม ผมสีเข้มตาสีเข้ม
กำลังโปรยยิ้มหวานให้น้องๆปีหนึ่ง
“สวัสดีน้องใหม่ทุกคน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนะครับ พี่ชื่อ… อาซาโนะ ยู”
“นั่นไง… มาหนึ่งแล้ว” คาโอรุกระซิบบอก ตอนนี้เด็กปีหนึ่งพร้อมใจกันยืนขึ้นและตั้งใจฟังรุ่นพี่เต็มที่
“มาแล้วอะไร?” ไทกิกระซิบเสียงถามกลับ
“หนึ่งในสเปเชี่ยล เมมเบอร์… อาซาโนะปีสาม นักเรียนดีเด่นระดับประเทศ เค้าเก่งมาก ได้เหรียญทอง
ในการแข่งขันโครงงานโอลิมปิกระดับโลกด้วย ขนาดยังไม่จบ ม.ปลาย ก็ถูกมหา’ลัย
ดังๆทาบทามไปเป็นอาจารย์พิเศษแล้ว”
ไทกิส่ายหน้า… นักเรียนดีเด่นเรอะ ก็งั้นๆ
“ขอแนะนำรุ่นพี่อีกคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยของพี่ในวันนี้นะครับ” ยูขยิบตาเรียกเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ที่มายืนรออยู่ข้างเวที คนๆนี้สูงกว่ายูมาก ผิวคล้ำกว่า หน้าตาคมเข้มเหมือนมาจากทางใต้
แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่หล่อสะดุดตามากคนหนึ่ง
“สวัสดีครับ พี่ชื่อ… ไซโต้ โฮตารุ” รุ่นพี่จากเกาะทะเลใต้แนะนำตัวเอง เจ้าคาโอรุมันก็รีบสวนข้อมูล
ใส่เมมโมรี่ของไทกิทันที
“ไซโต้ โฮตารุ… นักกีฬาดีเด่นระดับประเทศ โดยเฉพาะกีฬายิงปืน แม่นขนาดหลับตายิงยังเข้าเป้า
แถมเรื่องต่อยตีไม่มีใครเกิน”
มันก็แค่นักเลงโตประจำโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน…
ไทกิเริ่มจะเสื่อมศรัทธากับกลุ่มสมาชิกพิเศษ ซุยก็เป็นสมาชิกพิเศษ แล้วมันจะเพี้ยนเหมือนไอ้พวกนี้
หรือเปล่าฟะเนี่ย
“และรุ่นพี่คนสุดท้ายที่จะมาทำหน้าที่เป็นประธานในการรับน้องวันนี้…”
เสียงประกาศที่ทำให้ไทกิต้องเปลี่ยนใจเงยหน้าไปฟังต่อ
มาแล้วแหงๆ คนที่เค้ากำลังรออยู่
“ไฮบาระ โนะอิ”
อ้าว… เจ้าซุยมันเปลี่ยนชื่อนามสกุลเมื่อไหร่ฟะ?
ไทกิกำลังงง แต่ในไม่ช้าเค้าก็ได้รับคำตอบ… ร่างสูงสง่าราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยายกรีก
ก้าวขึ้นเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ร่างนั้นขาวมาก ขาวเหมือนหิมะในม่านหมอก ผมเป็นสีเงินยวง
ปล่อยยาวเงางาม สะบัดทีทุกคนต้องหันหลบเพราะแสบตาจนทนไม่ได้
ตาของเค้าเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยสดใสเหมือนน้ำทะเล
สังเกตอาการปีหนึ่งแต่ละคนล้วนออกอาการอึ้งไปตามๆกัน แต่ก็คงไม่มีใครที่จะอึ้งมากกว่าไทกิอีกแล้ว
“ซุยล่ะ?”
ไอ้ตัวแสบเริ่มออกอาการปากหมา ยืนเสนอหน้าอยู่หัวแถวยังไม่พอ ขนาดตอนที่เพื่อนๆกำลังเงียบ
มันก็โพล่งไม่ดูกาลเทศะ คาโอรุอ้าปากค้าง จะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ทันแล้ว
“ซุยไปไหน ทำไมไม่มา” ไอ้ตัวดีถามย้ำ โดยไม่ดูเลยว่าเจ้าชายหิมะที่ยืนขาววอกอยู่บนเวที
กำลังจ้องมันเขม็ง เหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม
แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ เพื่อนๆปีสามอีกสองคนรีบวิ่งเข้ามาห้ามทัพ
“นายถามถึงซุยคนไหน?” เสียงหวานแต่เหี้ยมของเจ้าชายหิมะขาวถามเย็นยะเยือก
บอกชัดว่าตั้งใจมาหาเรื่อง
“ก็เทนโนะ ซุย ประธานหอลมไง”
คำตอบที่เปลี่ยนดวงหน้าขาววอกให้แดงก่ำเหมือนหิมะสีเลือด
“ไม่เอาน่า โนะอิ… น้องเค้าเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ธรรมเนียมของเรา” ยูพยายามห้าม แต่ก็โดนตวาดกลับ
“นายน่ะหุบปากไปเลย ยู!” โนะอิหันมาจ้องไอ้ตัวดีอีกรอบ “นายชื่ออะไร?”
“ฉัน…”
“โนะอิ!”
ยังไม่ทันบอก ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะ ยูกับโฮตารุแอบถอนใจอย่างโล่งอก
เพราะถ้าขืนให้โนะอิมันอาละวาด มีหวังคงต้องมีการตายหมู่เกิดขึ้นแน่
บัดนี้… สามอัศวินแห่งปีสองเดินเข้ามาพร้อมหน้า ทั้งที่งานรับน้องเป็นหน้าที่ของปีสามไม่ใช่ปีสอง
ซุยเดินหน้าเครียดเข้าไปหาหัวหน้าซีเนียร์ แต่สายตายังแอบตวัดไปยั้งไอ้ตัวแสบไม่ให้แผลงฤทธิ์
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขอเวลาหน่อยได้มั้ย โนะอิ” ซุยลากจอมโวยแห่งปีสามออกไปคุยเงียบๆที่หอลม
ทิ้งใครบางคนที่แอบมองอยู่ข้างหลังอย่างไม่ใยดี
ใครบางคนที่อุตส่าห์มานั่งรอมันตั้งแต่เช้า ใครบางคนที่กำลังหงุดหงิดใจอย่างที่สุด
ใครบางคนที่กำลังจะคุ้มคลั่ง… เรียกสัญชาตญาณดิบคืนกลับมาในจิตใต้สำนึก!
“ซุย!”
“เดี๋ยว…”
มืออีกข้างของแขกไม่ได้รับเชิญจับบ่าไทกิไว้แน่น
“พี่ว่าคุณหนูอย่าเพิ่งตามไปดีกว่า กำลังร้อนด้วยกันทั้งคู่ เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก พี่โนะอิยิ่งยั้งมือไม่เป็นอยู่ด้วย”
ไทกิหันหลังกลับ มองรุ่นพี่ปีสองที่เข้ามาห้ามทัพ หนึ่งในนั้นดูหงุดหงิดรำคาญใจ
ทำหน้าบูดเหมือนโดนบังคับให้มาด้วย ส่วนอีกคนที่กำลังรั้งตัวห้ามเค้าไว้ดูอารมณ์ดีกว่ากันเยอะ
ขนาดช่วงคอขาดบาดตายยังใจเย็น ยิ้มได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผม …คาชิระ มิสึกิ… ดีใจที่ได้เจอนะคุณหนู” คนๆนั้นยิ้มให้ พร้อมกับถือโอกาสจับมือทักทาย
แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ “ฝากทางนี้ด้วยนะครับพี่ยู เดี๋ยวผมกับมาซาฮิโกะจะตามไปเก็บศพเจ้าซุยมันก่อน
ไม่รู้จะโดนพี่โนะอิยำเละไปหรือยัง”
มิสึกิบอกอย่างอารมณ์ดีเหมือนเคย ก่อนจะพาพี่ปีสองอีกคนตามซุยและโนะอิขึ้นไปบนหอลม
ส่วนพี่ปีสามอีกสองคนที่เหลือก็ดำเนินการแบ่งห้องและรับน้องปีหนึ่งต่อ
ไทกิมองตามขึ้นไปบนหอลม หอนั้นยิ่งเงียบเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอเท่านั้น…
“นี่เป็นงานของฉัน ขอร้องล่ะ… นายอย่าเข้ามายุ่ง”
ซุยสรุปให้ฟังหลังจากนั่งอธิบายมานานเกือบสองชั่วโมง
“แค่งานแน่นะ” โนะอิยังซักต่อไม่เลิก
“แน่สิ”
“นายกับหมอนั่น เป็นแค่ลูกจ้างกับเป้าหมาย”
“ใช่”
“นายไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นมากกว่านี้ใช่มั้ย”
“แน่นอน”
“แล้วทำไมหมอนั่นถึงทำท่าสนิมสนมกับนายนักล่ะ”
ซุยยกมือกุมขมับอย่างสุดทน ซักไปซักมามันก็วนกลับเรื่องเดิมจนได้
ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา
“ฉันขอพูดครั้งสุดท้ายนะ โนะอิ… งานนี้เป็นภารกิจของที่บ้าน”
…ใช่สิ ขืนไม่รับเค้าก็ตาย…
“หมอนั่นก็เป็นแค่เป้าหมาย”
…แถมยังเป็นเป้าหมายที่น่าปวดหัวที่สุด…
“เสร็จภารกิจเมื่อไหร่ ก็ทางใครทางมัน”
…แหงล่ะ ขืนชีวิตต้องพัวพันกับมันมากกว่านี้ล่ะก็ มีหวังอนาคตเค้าดับแน่…
โนะอิพยักหน้าช้าๆ แต่ไอ้อาการแบบนี้ก็ยังรับรองไม่ได้หรอกว่ามันจะเข้าใจแค่ไหน
“ก็ได้… ถ้านายยืนยันขนาดนั้น ฉันไม่ยุ่งก็ได้” ว่าแล้วเจ้าชายหิมะจอมโวยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะซุย ฉันไม่มีวันยกนายให้ใครแน่ ถ้าเด็กนั่นกล้าล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้เมื่อไหร่
มันจะเปลี่ยนมาเป็นเป้าหมายของฉันทันที”
“นายจะทำให้งานฉันยากขึ้นนะโนะอิ”
“ไม่รู้… อย่าพยายามทำให้ฉันโมโหก็แล้วกัน ไม่งั้นนายคงรู้นะว่าจุดจบมันจะเป็นแบบไหน”
ในเมื่อมันดื้อด้านขนาดนี้ก็ขี้เกียจจะเจรจาด้วยแล้ว ซุยลุกจากที่นั่งเพื่อกลับไปทำงานของเค้าต่อ
“โนะอิ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่ขอให้รู้ไว้อย่าง… ถ้าเมื่อไหร่ที่หมอนั่นเจ็บ คนที่จะตายก็คือฉัน
หวังว่าคำพูดของฉันในวันนี้คงช่วยให้นายมีสติยับยั้งชั่งใจได้บ้าง อย่าบังคับให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับนาย”
คำพูดทิ้งท้ายที่ประธานซีเนียร์ได้แต่เก็บงำไว้ในใจ ใช่… ไม่อยากเป็นศัตรูกับซุย
แต่ก็ไม่อยากถูกแย่งของรักไปเหมือนกัน เค้าจะทนได้แค่ไหนถ้าต้องเห็นเด็กนั่นเดินลอยหน้าลอยตา
คู่กับซุย ไม่มีทาง!
วันเปิดหอ… รุ่นพี่ปีสามส่วนหนึ่งแบ่งกลุ่มน้องๆพาทัวร์รอบหอ หอไฟเป็นหอที่เล็กที่สุด มีสี่ชั้น
ชั้นล่างเป็นส่วนหอประชุม ห้องคอมมอนรูม และห้องครัว สามชั้นเป็นหอพัก สาเหตุที่มันเล็กที่สุด
เพราะบังคับให้นักเรียนปีหนึ่งต้องอยู่ด้วยกันห้องละสามคน จากจำนวนทั้งสิ้นสามสิบหกห้อง
แต่ยังดีที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบและมีห้องน้ำในตัว ถ้าได้ขึ้นปีสองอยู่หอลมที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้อยู่ห้องคู่
และพอขึ้นซีเนียร์แล้วก็จะได้อยู่ห้องเดี่ยวในหอที่ใหญ่ที่สุดคือหอน้ำ
หลังจากอธิบายกฎระเบียบของหอพักและนัดแนะวันรับน้องแล้ว พี่ปีสามก็อนุญาตให้น้องๆเข้าห้อง
และพักผ่อนตามใจชอบ
ห้อง 301…
คาโอรุจัดของเข้าตู้ แต่สายตายังเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนตลอด
คนหนึ่งตั้งแต่ถูกรุ่นพี่ปีสามสังคายนาโทษ มันก็เอาแต่เกาะขอบหน้าต่างจ้องหอลมตาไม่กระพริบ
ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งเช็คอุปกรณ์ในกระเป๋าพก ทำยังกะจะออกไปรบอย่างนั้นแหละ
“นี่ไทกิ… นายรู้จักกับพวกรุ่นพี่ด้วยเหรอ” คาโอรุจัดของเสร็จแล้วก็เข้าไปคุยกับคนที่คุยง่ายที่สุด
“ก็นิดหน่อย เคยเจอกันช่วงรายงานตัว ก็แค่นั้น” ไทกิตัดสินใจไม่บอก อันที่จริงซุยมันพูดถูก
เค้าควรสงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง ไม่งั้นก็อาจมีคนอื่นที่ต้องเดือดร้อนเพราะเค้าอีก โดยเฉพาะมัน…
“ปีสองที่มาวันนี้ คือสามสมาชิกที่เหลือของกลุ่มพิเศษ”
“เหรอ… แล้วไง?” ไทกิวางคางเกยลงบนขอบหน้าต่าง รอฟังเพื่อนใหม่ป้อนเมมโมรี่ใส่หัว
“คนที่ใส่แว่นตา วางมาดนิ่งๆ ท่าทางหงุดหงิดๆนั่นคือ รุ่นพี่ โอคุจิ มาซาฮิโกะ เป็นลูกชายเจ้าอาวาส
ศาลเจ้านันเซย์ ที่ฮิโรชิม่า”
“เป็นพระเหรอ” ไทกิซักต่อ พวกสมาชิกปีสองท่าทางจะน่าสนใจกว่าพวกปีสามแฮะ
“เปล่าหรอก… แต่ก็ทำงานหลายๆอย่างคล้ายพวกนักบวช เค้าเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก
อยู่ในกลุ่มมีหน้าที่หาข้อมูลข่าวสาร และก็เป็นคนที่ทำงานไม่เคยพลาดด้วย ส่วนคนที่เข้ามาห้ามนาย…
คาชิระ มิสึกิ… คนนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งการเรียนหรือกีฬาก็อยู่ในขั้นธรรมดา
แต่น่าแปลกที่คนธรรมดาอย่างเค้ากลับได้เข้าร่วมในกลุ่มสมาชิกพิเศษ”
“อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก”
เสียงเปรยจากคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงของตัวเองมาตลอด ตาสีทองเงยขึ้นมาสบกับเพื่อนร่วมห้อง
ทั้งสอง หน้าตามันชวนกวนโอ๊ยแต่ก็ดูน่ารักดี มันเสยผมสีทองสีเดียวกับดวงตาจนยุ่ง แล้วพูดต่อ
“คนที่ดูธรรมดาที่สุดนั่นแหละ เป็นคนที่อันตรายที่สุด”
ไทกิพยักหน้าเห็นด้วย… บทเรียนที่ผ่านมาสอนให้เค้าเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้
คนที่ดูไร้พิษสงนั่นแหละคือจอมทำลายล้างที่น่ากลัวที่สุด
“ฉันเองก็สงสัยมานานแล้ว ว่าคนที่เอาแต่เงียบมาตลอดอย่างนายมีพิษสงอะไรจะมาโชว์พวกฉัน”
คาโอรุท้ากันเห็นๆ เด็กเรียนอย่างไอ้หมอนี่ก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้ มันเหมือนเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
แต่จริงๆคงอันตรายกว่าที่เห็น
“ฉันก็แค่นักเรียน ม.ปลายธรรมดา ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรจะไปโชว์พวกนายหรอก”
ว่าแล้วเจ้าคนที่ย้ำคำว่าตัวเองธรรมดาที่สุดก็เผ่นหนีออกจากห้องพร้อมสัมภาระในกระเป๋าพก
“ฉันว่าหมอนี่มันต้องโกหกแหงๆ ขนาดชื่อยังไม่ยอมบอกเลย” คาโอรุเปรย
“ฉันว่าทุกคนก็คงมีเรื่องที่ไม่อยากบอกคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก” ไทกิเสริม
“นั่นมันก็จริง” คาโอรุไหวไหล่ “แล้วนายกับประธานปีสองนั่นล่ะ มีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”
ไทกิช้อนตามองเพื่อนร่วมห้อง อุตส่าห์ไม่พูดถึงแล้ว มันก็ยังเซ้าซี้จะถามให้ได้
“ไม่เกี่ยวกับนาย”
นั่นไง… ได้โอกาสใช้มุกของลูกพี่ซะเลย
“ฉันก็ถามเผื่อไปอย่างนั้น แล้วนายรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว เทนโนะ ซุย เป็นใคร”
ไทกิกำมือข้างหนึ่งไว้แน่น พยายามสะกดตัวเองไม่ให้แสดงออกว่าสนใจ
“ลูกชายคนที่สามจากห้าของนักคุ้มกันมือหนึ่ง พวกนี้เพื่อเงินทำได้ทุกอย่าง จะดีหรือเลวไม่สน
ขอแค่มีเงินมากพอก็ซื้อชีวิตพวกเค้าได้ ตามที่รู้มาลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีชื่อเสียง
หรือไม่ก็เป็นคนสำคัญระดับประเทศ”
คาโอรุหยุดเว้นวรรคนิดนึง พร้อมกับแอบอมยิ้มตอนที่เห็นไทกิเริ่มจะสนใจ
“แต่… ปัญหามันอยู่ที่หุ้นส่วนธุรกิจของบ้านนี้น่ะสิ …เทนโนะกับไฮบาระ…
ตระกูลนักคุ้มกันจับมือกับตระกูลนักฆ่า จะว่าแปลกก็แปลก แต่พวกเค้ามีผลประโยชน์ค้ำจุนกันอยู่
ถึงทำงานด้วยกันได้ ตามข้อตกลงของสองคนตระกูลจะไม่รับงานซ้ำซ้อน
นั่นหมายความว่าถ้าลูกค้าจ้างวานให้เทนโนะเป็นบอดี้การ์ด ไฮบาระก็จะไม่มีสิทธิ์แตะต้องคนๆนั้น
จนกว่าจะหมดสัญญาภารกิจ แต่มันก็มีข้อแม้อยู่บ้าง”
“อะไร?” ไทกิเผลอไหลตัวเข้ามานั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ข้อตกลงมันก็แค่ลมปาก และนักฆ่ามันก็เป็นนักฆ่าอยู่วันยังค่ำ คนทำงานเสี่ยงตาย
ก็ต้องมีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แล้วนายคิดว่าไฮบาระจะซื่อสัตย์ต่อเทนโนะแค่ไหนล่ะ”
ไทกิเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “งั้นรุ่นพี่โนะอิก็จ้องเล่นงานซุยอยู่น่ะสิ”
“นายเนี่ยจะเรียกว่าบื้อหรือบ้าดีนะ” คาโอรุหัวเราะร่วน “วันนี้นายก็เห็นแล้ว รุ่นพี่โนะอิแคร์รุ่นพี่ซุยของนาย
ยังกะอะไรดี บางทีผลประโยชน์มันก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึก พูดขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องให้ฉันสาธยายนะว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกแค่ไหน คนมันรักมากก็หวงมาก เท่าที่รู้มาคนในความคุ้มครองของซุย
หลังจากหมดสัญญาจ้างไม่เคยมีใครตายดีสักคน ยิ่งตอนนี้ฉันได้ข่าวว่าซุยรับงานสำคัญมาชิ้นหนึ่ง
รู้สึกจะเป็นงานลับที่เกี่ยวพันกับองค์กรอันตรายระดับโลกด้วย”
ไทกิลุกขึ้นจากกรอบหน้าต่างช้าๆ บางทีรูมเมทที่เพิ่งเผ่นออกไปเมื่อกี้มันอาจจะทำถูกแล้วก็ได้
ที่ไม่มานั่งฟังหมอนี่พล่าม
“ฉันเองก็ชักจะสงสัยเหมือนกันว่านายเป็นใครกันแน่คาโอรุ ขนาดงานลับที่เค้าไม่อยากให้รู้
นายก็ยังสู่รู้มาจนได้”
ไทกิเดินออกจากห้องอย่างหงุดหงิด แต่ก็ถูกเพื่อนผู้หวังดีหยุดไว้ด้วยประโยคแถมท้าย
“นายไม่มีอะไรกับเทนโนะก็แล้วไป แต่ถ้ามีล่ะก็… ระวังไฮบาระ โนะอิ ปีสามไว้ให้ดีก็แล้วกัน
เพราะหมอนั่นเป็นนักฆ่าโดยสายเลือด เค้าไม่ปล่อยนายไว้แน่ ถ้านายไปยุ่งเกี่ยวกับเทนโนะ”
“อ๋อ… เหรอ” ไทกิแสยะยิ้มเยือกเย็น สัญชาตญาณเก่ากำลังหวนคืนมาในจิตใต้สำนึก
“ไอ้นักฆ่าโดยสายเลือดเนี่ย ฉันเจอมาจนเอียนแล้ว ถ้าคิดว่าแน่จริงก็เชิญมาหาเรื่องฉันได้ทุกเมื่อ
ฉันไม่หนีอยู่แล้ว”
จอมปัญหาเผ่นหนีออกจากห้อง เดินไปเรื่อยๆตามทางเดินริมทะเลสาบ แล้วก็มานั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียว
ที่ใต้สะพาน
“ขอฉันคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
เสียงที่ดังมาใกล้ขัดจังหวะคนกำลังใช้ความคิด ไทกิโยนก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย ไปซะ… ฉันขี้เกียจมีเรื่องกับพวกปีสาม” ไทกิทุ่มก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก
คราวนี้เล่นลูกใหญ่จนน้ำแตกกระจายเป็นฝอย แสดงว่ามันกำลังไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
“นายคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ไอ้ท่ากระบิดกระบวนงอนเป็นผู้หญิงเนี่ย เลิกเถอะ… มันไม่เข้าท่า”
ซุยทิ้งตัวนั่งข้างๆ มันเลยถลึงตาพรืดเข้าใส่ หนอย… ทำให้เค้าหงุดหงิดยังไม่พอ
ยังมีหน้ามาซ้ำเติมกันอีก มันน่านัก
“ใช่สิ… ฉันมันขี้งอน น่าเบื่อ น่ารำคาญสำหรับนาย แล้วนายจะมายุ่งกับฉันทำไม”
“ก็มันเป็น…”
“หน้าที่!” ไทกิสวนคำพร้อมทำสีหน้าเจ็บปวด เค้าก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้
คนอย่างมันก็แค่บอดี้การ์ดรับจ้าง ทำทุกอย่างก็เพราะเงินทั้งนั้น
ถ้าเป็นไปได้มันก็คงไม่อยากมายุ่งกับเค้าหรอก
ใช่สิ… คนสติดีที่ไหนจะอยากพัวพันกับ ‘Red Rose’ บ้าชะมัด…
“ไทกิ” มือใหญ่โอบไหล่คนตัวเล็กเข้ามาใกล้ กลิ่นไออุ่นๆเริ่มทำให้คนใจแข็งลังเล
“สำหรับฉันหน้าที่ก็คือชีวิต ฉันไม่มีวันละทิ้งหน้าที่ และยิ่งไม่มีวันทิ้งนาย ตราบใดที่เรายังอยู่ในภารกิจ
ขอให้เชื่อใจฉันหน่อยได้มั้ย”
ไทกิมองหน้ารุ่นพี่คนสำคัญ ก่อนจะถอนใจเบาๆ
“อันที่จริงถ้านายลำบากใจ ฉันจะคุยกับแม่ขอให้ยกเลิกภารกิจนี้ก็ได้
ฉันก็ไม่ได้อยากมีบอดี้การ์ดซะหน่อย ฉันดูแลตัวเองได้”
“ดูแลตัวเองแบบยาจกข้างถนนเนี่ยนะ” ซุยหัวเราะ จนยาจกข้างถนนต้องหันมาค้อน
“ฉันเป็นยาจกข้างถนน ก็ยังดีกว่าเป็นมหาราชาแล้วถูกกักอยู่ในกรงขัง จะทำอะไรก็มีคนคอยทำให้
ขนาดจะคิดก็ยังมีคนคอยคิดให้ ไม่เคยมีใครถามว่าฉันอยากเป็นอะไรหรืออยากทำอะไร
พวกเค้ากำหนดทางเดินไว้ให้ฉันหมด ขีดเส้นตายเพียงเส้นเดียวโดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกหรือปฏิเสธ
ถึงจะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก อย่างนายเอง…
สักวันหนึ่งก็ต้องไปจากชีวิตฉัน”
“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ” ซุยยืนยันให้มันฟังอีกรอบ
“นายคิดง่ายเกินไปแล้ว ถ้ายมทูตเริ่มเคลื่อนไหว นายก็ต้องถอนตัว ฉันเชื่อว่าที่บ้านนายต้องสั่งแบบนั้นแน่ นายยังไม่รู้จัก Death Flowers ดีพอ แต่ฉันน่ะรู้ซึ้งเลยล่ะ ถ้า White Lily หรือ Black Sakura
ออกตามล่าฉันด้วยตัวเองเมื่อไหร่ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง ถึงตอนนั้นฉันก็จะสู้จนกว่าจะมีคนตายไปข้างหนึ่ง”
“ฉันบอกแล้วไง… ว่าจะไม่ปล่อยให้นายตายจนกว่าจะเสร็จภารกิจ” ซุยย้ำคำอย่างหนักแน่นอีกรอบ
แต่จะเข้าหัวมันสักนิดหรือก็เปล่า เมื่อมันยังเอาแต่ทำหน้าเครียด สองมือกอดเข่าไว้แน่น
“ฉันถึงบอกไงล่ะว่านายคิดง่ายเกินไป อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะซุย อย่างนายไม่ต้องถึงมือสามยมทูตหรอก
แค่องครักษ์พิทักษ์ยมทูต นายก็สู้พวกมันไม่ได้แล้ว”
“งั้นเหรอ… งั้นถ้าฉันจะให้นายเทียบระหว่างฉันกับ Red Rose ล่ะ ระดับต่างกันแค่ไหน”
คำถามนี้เล่นงานคนกำลังเครียดให้ยิ่งเครียดหนัก ไทกิหันมาจ้องหน้าคนขี้เก๊กเขม็ง
แต่พอเห็นมันมุ่งมั่นขนาดนี้เค้าก็ได้แต่ปลง
“ต่างกันลิบลับเหมือนหิ่งห้อยกับพระจันทร์บนฟ้านั่นแหละ”
“จะบอกว่านายเก่งกว่าฉันงั้นสิ”
“ถึงไม่บอกนายก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว ฉายากุหลาบสีเลือดไม่ได้เป็นเพราะความฟลุ้ก
ยมทูตก็ไม่ใช่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกเล่นๆด้วย ทุกคนถูกฝึกให้มีสัญชาตญาณในการฆ่าแ
ละล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อันที่จริง Red Rose ไม่เคยต้องการการปกป้องจากใคร
เพราะตัวมันเองนั่นแหละที่เป็นตัวอันตรายที่สุด”
นัยน์ตาสีแดงเย็นชาแข็งกร้าว ยามที่มันสาธยายถึงความร้ายกาจของตัวเอง
ดวงตาสีดำสนิทของซุยไล่มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ส่ายหน้า
“ฉันก็ยังมองไม่เห็นว่า Red Rose จะมีพิษสงตรงไหน ก็แค่เด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนหนึ่ง”
คำพูดของมันทำให้คนที่กำลังเครียดจัดเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็ยังแน่วแน่
ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ถึงปากมันจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นภาระ แต่ไทกิก็รู้ว่าซุยตั้งใจจะพิทักษ์เค้าอย่างจริงใจ
แขนเล็กๆเลยเริ่มลามปามขึ้นไปกอดไหล่รุ่นพี่คนสำคัญบ้าง
“แล้วเด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนนี้ทำให้นายต้องปวดหัวกี่ครั้งแล้วล่ะ จำไม่ได้เหรอซุย”
“จำไม่ได้หรอก… ขี้เกียจจะจำ ขอแค่นายอย่าทำให้ฉันต้องปวดหัวมากกว่านี้ก็พอแล้ว อ้อ…
และอีกอย่างนะ เวลาอยู่ด้วยกันที่โรงเรียน นายช่วยกรุณาเรียกฉันว่ารุ่นพี่ได้มั้ย”
ไทกิยิ้มขำ ท่าทางมันจะลำบากใจจริงๆแฮะถึงต้องลงทุนอ้อนวอนเค้าขนาดนี้ งั้นถ้าไม่ช่วยก็คงไม่ได้
ขืนแกล้งมากๆเดี๋ยวมันจะกลุ้มจนช้ำในตายไปซะก่อน
“นายไม่อยากให้พี่โนะอิหึงล่ะสิ เอางั้นก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากมีปัญหากับใครในโรงเรียนหรอก
แค่ศัตรูนอกโรงเรียนก็มีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าได้งั้นฉันก็จะขอบใจเลยล่ะ และจะยิ่งขอบใจมากขึ้นถ้านายจะหัดสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ไม่ก่อเรื่องให้ฉันต้องลำบากใจอีก”
“จะพยายาม” เสียงไอ้ตัวปัญหาเริ่มแผ่วลง
“ส่วนเรื่องโนะอิ…”
ซุยเว้นวรรค ไทกิก็รีบยกมือขึ้นอุดหู เพราะไม่อยากฟังมันพล่ามถึงคนรัก
“บ้านเราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน ก็แค่นั้น”
ซุยทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้ใครคนบางคนนั่งยิ้มระรื่นกับสายน้ำของเค้าคนเดียว.....