เสียงวิ่งตึงตังลงบันไดและเสียงเปิดประตูห้องน้องเล็กของบริษัททำเอาคนสองคนที่ยังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่ภายในห้องต้องหยุดชะงัก ด้วยท่าทีที่ล่อแหลมเสียเหลือเกินเมื่อตอนนี้วายุเอามือข้างหนึ่งไปฉุดกระชากคอเสื้อของไอ้เตี้ยขึ้นมาใกล้ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังเอื้อมมือไปที่เป้าคนตัวสูงกว่า หมายตาจะเล่นจุดยุทธศาสตร์ที่ใครคิดว่ามีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ทำได้กันล่ะ! ไอ้ผึ้งคนนี้แหละจะกำไข่ไอ้ตำรวจหน้าตากวนตีนนี่ให้เป็นหมันเลยคอยดู!!
“ไอ้ผึ้ง!!! / ไอ้ห่าผึ้ง!!!/ น้องผึ้ง!!! / เอื้องผึ้ง!!!” เสียงร้องประสานเสียงของสี่หนุ่มที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูมาพร้อมอาการอ้าปากค้าง...
เอื้องผึ้งเอี้ยวตัวหันไปมองผู้มาใหม่พร้อมศีรษะของตำรวจหนุ่ม ที่เอียงมองหาที่มาของเสียงประสานที่จู่ๆก็ดังขึ้นด้วยความสงสัยเช่นกัน
“เอ่อ...ไอ้ผึ้งพี่ขอโทษ ได้ยินเสียงดังเอะอะก็เลยรีบออกมาดูเฉยๆ...ไม่คิดว่าแกจะกำลัง...” ชายหนุ่มผมยาวประบ่าที่ยืนอยู่คนแรกเอ่ยขึ้น
“ใช่ๆ...ไม่คิดว่าแกกับ...ผู้ชายคนนั้นจะกำลังอะซาบาลาเฮ่กันอยู่ โทษที...งั้นเดี๋ยวฉันไปนอนก่อนแล้ว” หนุ่มตัวสูงผอมที่ยืนถัดมาเอ่ยต่อ เอื้องผึ้งหันไปมองสบตากับหนุ่มตำรวจตรงหน้าแบบไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างรีบกระโจนออกห่างราวแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่มันไม่ยอมดูดให้อยู่ใกล้กันอย่างไรอย่างนั้น
“เดี๋ยว!...พี่ฉัตร พี่ซัน...คือมันไม่ใช่...” เอื้องผึ้งยกมือปรามพี่สองคนแรก ที่รู้เลยว่าในสมองคงจะกำลังจินตนาการถึงฉากสุดบรรเจิดอะไรซักอย่างที่คงมีเขาร่วมแสดงอยู่ด้วยแน่ๆ เผลอๆอาจมีอีตาหน้าดุนี่อยู่ด้วยก็ได้...แค่นึกเขาก็เสียวไส้แล้ว
“น้องผึ้ง...วันหลังจะทำอะไรก็ล็อกประตูก่อนสิ” หนุ่มร่างเตี้ยผิวขาวพอกันกับเอื้องผึ้งซึ่งยืนเป็นคนที่สามเอ่ยถัดมา
“พี่รัก ไปกันใหญ่แล้ว...! ”
“หรือว่าผึ้ง...อยากโชว์!!!” ตบท้ายด้วยคำพูดกำกวมของหนุ่มคนที่สี่ เจ้าของฉายาทะลึ่งหน้าหยก ที่คราวนี้ทะลึ่งเสียจนเอื้องผึ้งอยากผูกคอตาย
“สาบานได้พี่เตย...ว่าผึ้งแค่พยายามป้องกันตัวเองจากไอ้หนุ่มโรคจิตที่มันมาปีนเข้าห้องผึ้งเฉยๆอ่ะ!!!” เอื้องผึ้งรีบลนลานกุเรื่องโยนอึไปให้ไอ้คนตัวสูงที่ยืนทำหน้าเอ๋อใส่เขาอยู่ข้างๆเป็นที่เรียบร้อย
...สมน้ำหน้า...ที่อยู่ตรงนี้ก็พรรคพวกเขาทั้งนั้น ให้มันรู้ไปสิว่าพวกพี่ๆจะเข้าข้างไอ้หนุ่มแปลกหน้านี่มากกว่าเขา
“เดี๋ยวสิไอ้หนู...ว่าใครเป็นหนุ่มโรคจิตวะ” วายุชักเริ่มยั้วะเพราะจู่ๆก็โดนโยนบทบาทตำแหน่งหนุ่มโรคจิตปีนเข้าห้องกระเทยมาให้แบบไม่มีเตี๊ยม มันน่ารู้สึกภาคภูมิใจมั้ยล่ะ “...นี่ฉันเป็นตำ...”
พูดได้แค่นั้นร่างสูงใหญ่ก็โดนเด็กแก่แดดตัวเตี้ยกว่าโน้มคอลงมาเอาปิดปาก...แต่ปิดแค่ปากยังไม่พอไอ้หนุ่มหน้ามลนี่ยังช่วยเขาปิดจมูกเข้าให้อีกต่างหาก...
...เฮ้ย จะอุดปากกันก็ไม่ว่า...แต่ช่วยลงมาต่ำๆหน่อยได้มั้ยวะ...กูหายใจไม่ออกโว้ย!
“แกนี่มันโรคจิตจริงๆเลยนะ...ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย ก็ยังจะส่งจดหมายรักมาให้อยู่นั่นล่ะ ลงไปเลยไป๊! มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย...ไปไป๊ ชิ่ว...” ไม่ใช่แค่ชิ่วด้วยปาก แต่เอื้องผึ้งยังช่วยสมนาคุณไล่ด้วยมือให้ร่างสูงใหญ่ปีนลงไปที่ขอบหน้าต่างด้านนอกด้วย
...นี่แค่ชั้นสอง ตกลงไปอย่างมากก็คงแค่แขนเดาะ...แต่ก็ดีกว่าดันให้ไอ้หมอนี่มันกลับออกไปทางเดิม เดี๋ยวพวกพี่ๆก็รู้หมดว่าจริงๆแล้วไอ้โรคจิตนี่ไม่ได้ปีนเข้าห้องเขามา แต่เป็นเขาที่ไขกุญแจเปิดบ้านให้มันเข้ามาด้วยตัวเองเลยต่างหาก...
“เฮ้ย...เดี๋ยวสิ จะให้กูไต่ตามขอบหน้าต่างเหมือนโจรลงไปแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย...” พอร่างสูงใหญ่ออกมายืนอยู่บนขอบหน้าต่างอย่างหมิ่นเหม่เรียบร้อยแล้วเอื้องผึ้งก็เอามือที่อุดปากอุดจมูกอีกฝ่ายออก แต่ดูสิไม่ทันไรก็เริ่มส่งเสียงโวยวายออกมาอีกแล้ว...นี่เขาคิดผิดหรือคิดถูกวะที่ปล่อยให้มันไต่หน้าต่างลงไป น่าจะผลักให้มันลอยลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องใช้ลิฟท์เลยมากกว่า...
“แล้วคุณอยากจะกลับเข้ามาในห้องผมแล้ววัดดวงกับปืนพี่ซัน หรืออยากจะกลับลงไปง่ายๆแบบไม่ต้องเหนื่อยวะครับ...” เอื้องผึ้งกัดฟันพูดตอบโต้กับไอ้หน้าดุ ทันเห็นมันพยายามจะต่อปากต่อคำกับเขาอีกไม่ยอมจบซักทีเอื้องผึ้งเลยตัดปัญหา เลื่อนหน้าต่างบานแก้วปิดฉับ ล็อกลงกลอนแล้วดึงม่านเข้ามาชิดกันเป็นอันจบกระบวนการ
ได้ยินเสียงอะไรก็อกแก็กๆอยู่กับบานแก้วด้านนอกแต่เด็กหนุ่มก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินยิ้มแหยๆเข้ามาหาพี่อีกสี่คนที่เดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาหาเขาแล้วช่วยกันมองอย่างจับผิด
“อย่าให้รู้นะ...ว่าแอบลักลอบได้เสียกับไอ้หนุ่มนั่นในบริษัทพี่แล้วมาโกหกกันอ่ะ” ฉัตรฟ้า ผู้ก่อตั้งสตูดิโอรับจัดงานแต่งงานแห่งนี้เสยผมยุ่งๆขึ้นไปบนศีรษะ แล้วเอ่ยถามสมาชิกสตูดิโอที่อายุน้อยที่สุดเสียงต่ำ
“พี่ฉัตร...ผึ้งสาบานเลยว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่จริงจิ๊ง...” เด็กหนุ่มผิวเนียนยกมือมาโบกเพื่อช่วยในการปฏิเสธข้อกล่าวหา
“ขึ้นเสียงสูง แสดงว่าโกหกนะผึ้ง” สายตาจับผิดคู่ที่สองส่งมาจาก ซันเซ็ต อดีตนายแบบดาวรุ่งที่ร่วงลงมาจากฟ้าเพราะข่าวทำผู้หญิงท้อง...แถมไม่ใช่ท้องธรรมดานะ ท้องลูกแฝดอีกต่างหาก...
“แต่จากการสันนิษฐาน...มันอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่ผึ้งว่าก็ได้นะพี่ซัน เพราะข้าวของกระจัดกระจายเหมือนคนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก...มากกว่าคนกำลังมีเรื่องปลุกปล้ำกันอยู่ภายในห้อง...” น้ำเสียงจ้องจับผิดของคนที่สามเป็นของ เตยหอม หนุ่มเหนือผิวขาวที่มีพรสวรรค์ทางด้านการทำอาหารทั้งไทยและเทศ โดยเฉพาะอาหารชาววังนี่ยิ่งถนัดเป็นพิเศษ ดวงตากลมๆกวาดมองสภาพห้องคนที่อายุน้อยสุดอย่างสังเกตการณ์
“เอ้อ...พี่ซัน ก็อย่างที่พี่เตยว่านั่นแหละ ผึ้งเพิ่งกลับมาจากข้างนอก พอดีคืนนี้ร้านคาราโอเกะที่ผึ้งไปทำงานมันเกิดเสียอยู่พักใหญ่ ผึ้งเลยโดนขอร้องให้ช่วยซ่อมให้ เสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลย” รอยยิ้มแห่ะๆของเจ้าตัวส่งไปอ้อนพี่ๆทั้งสี่ ขอร้องด้วยแววตาว่าเชื่อเถอะนะ ซาลาเปาไส้หมูแดงกับหมูสับไข่เค็มเป็นพยานให้ผึ้งได้!
“พี่ฉัตร พี่ซัน เตย...เชื่อน้องมันเถอะ กลับไปนอนกันได้แล้ว นี่มันตีสามแล้วนะ...ตีห้าพี่ซันต้องตื่นมาแต่งหน้าเจ้าสาวเขาไม่ใช่รึไง...” น้ำเสียงนุ่มนวลของ ดอกรัก ยังคงช่วยคลี่คลายเรื่องต่างๆได้เหมือนเดิม รอยยิ้มหวานๆของดอกรักทำให้เอื้องผึ้งอยากจะเข้าไปกอดพี่ชายคนนี้ แล้วบอกขอบคุณซักล้านทีที่ยอมเข้าข้างเขาบ้าง
“รักไม่ต้องเข้าข้างน้อง...นี่แอบไปทำงานอะไรเสี่ยงๆมาอีกแล้วใช่มั้ยบอกพี่มา” ซันเซ็ตยังไม่หยุดการไต่สวน จำเลยตัวน้อยจึงค่อยๆหดลงเหลือสองขนาดแค่สองนิ้วแล้ว
“ที่พวกพี่ถามกันเนี่ย ก็เพราะเป็นห่วง...เรามีงานมีการทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วนะ เงินเดือนพี่ก็ให้พอๆกันกับทุกคน แล้วทำไมยังไม่เลิกไปเป็นนักสืบอะไรนั่นอีก...” ฉัตรฟ้าพูดต่อ ส่ายหน้าระอากับความดื้อรั้นของเจ้าตัว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยด้วยกัน จนยันเปิดบริษัทร่วมกันได้แล้วก็ยังไม่เลิกนิสัยความดื้อนี้อีก
“ไม่ใช่นักสืบ...เขาเรียกสายตำรวจ” เอื้องผึ้งเถียงเสียงอ่อย
“จะอะไรก็ช่าง...แต่มันก็งานอันตราย พี่ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะผึ้งที่ผึ้งจะรับทำงาน ไม่เห็นแก่พวกพี่ก็เห็นแก่พี่สาวแท้ๆของเราอีกสองคนบ้าง วันนี้ยังโทรมาถามเมื่อตอนเย็นเลยว่าผึ้งไปไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์...พี่เอื้องฟ้ากับพี่เอื้องคำเขาเป็นห่วงเรามากนะรู้มั้ย” ซันเซ็ตจี้จุดอ่อน รู้ดีนักล่ะว่าถ้าอ้างใครไม่ได้ให้ยกชื่อพี่สาวฝาแฝดของเจ้าตัวมาอ้าง เพราะชีวิตนี้รุ่นน้องตรงหน้าไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากพี่สาวฝาแฝดสองคนที่อยู่ลำปาง ซึ่งเอื้องผึ้งจะคอยดูแลเป็นอย่างดีเพราะเป็นลูกชายคนเดียวที่ได้มาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
“...เอ่อ...จริงเหรอพี่ซัน งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผึ้งจะโทรกลับไปหาพี่ๆเขาเอง...ผึ้งขอโทษนะพี่ฉัตร สัญญา! ว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายจริงๆแล้ว...” เด็กหนุ่มยกมือพนมไหว้รุ่นพี่ที่มหาลัยที่ตัวเองรักดังพี่ชายแท้ๆ ทั้งฉัตรฟ้าและซันเซ็ตเอื้อมมือมาลูบหัวเอื้องผึ้งกันคนละทีก่อนจะส่ายหน้าระอากับใบหน้าขี้อ้อนบวกแววตาน่าสงสารนั่น
“ก็เห็นพูดว่างานสุดท้ายมาเป็นรอบที่สี่สิบสามแล้วนะน้องผึ้ง...” เตยหอมยังไม่หยุดแซว
“พอแล้วน่ะ...กลับห้องไปนอนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันกับนายต้องออกไปที่โรงแรมพร้อมกันแต่เช้านะอย่าลืม...” ดอกรักย้ำความจำเพื่อน เตยหอมทำหน้าเหลอพลางพยักหน้าอย่างจำใจเดินกลับ
“เอ้อ...แล้วพรีเซ้นท์เทชั่นงานแต่งของพรุ่งนี้น่ะเสร็จรึยังผึ้ง...ถ้าเสร็จแล้วพรุ่งนี้แปดโมงพี่จะได้เอาซีดีไปที่ห้องจัดเลี้ยงเสียเลย” ก่อนออกจากห้องเตยหอมยังคงรั้งแขนเอาไว้ที่กรอบประตู แล้วเอี้ยวหน้ามาถามเจ้าของห้องที่ยืนอยู่ท่ามกลางไฟสีส้มสลัวๆ
“สะ...เสร็จแล้วครับ เหลือแก้เพลงอีกนิดนึง...รับรอง สวยเช้ง...” เอื้องผึ้งตอบตะกุกตะกัก ยกมือที่มีนิ้วชี้กับนิ้วโป้งแตะกันแล้วกรีดนิ้วที่เหลือออกเป็นรูปพัดไปให้ช่างทำขนมประจำบริษัท เตยหอมพยักหน้ารับรู้แล้วยกนิ้วโป้งกลับมาให้เป็นเชิงว่า ‘ดีมาก!’ ในขณะที่เจ้าของห้องแทบอยากจะนั่งแปะลงไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น...
...ซวยแล้วตู...พรีเซ้นท์เทชั่นอะไรที่ว่านั่นเขายังไม่ได้เริ่มทำเลยต่างหาก อ๊าก...เส้นตายพรุ่งนี้แปดโมง! คืนนี้เขาคงไม่ต้องนงไม่ต้องนอนมันแล้วล่ะไอ้เอื้องผึ้งเอ๊ย...
นี่สินะ...ผลกรรมของการรับทำงานซ้อนน่ะ!!
ฝ่ายวายุ เขากระโดดลงจากบานเกล็ดหน้าต่างถึงพื้นได้อย่างสวยงาม มือปัดเช็ดเศษฝุ่นกับกระเป๋ากางเกงสีเทาตุ่นๆแบบไม่อินังขังขอบ ดวงตาดุคมกริบเงยมองไปที่ห้องๆหนึ่งที่เขาเพิ่งปีนออกมา...ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนเขาเป็นไอ้หนุ่มกลัดมันที่ย่องเข้าห้องสาว แล้วโดนพ่อแม่สาวเจ้าจับได้เลยแฮะ...
...ผึ้งหวาน...เอื้องผึ้ง...ลูกพ่อชาตรีกับแม่เอื้อง...
...เราต้องได้เจอกันอีกแน่!...
...แล้วฉันจะเอาคืนเรื่องโจรโรคจิตเสียให้เจ็บแสบเลยคอยดู!...ไอ้เด็กเวรเอ๊ย...
มือหนาล้วงลงไปในกระเป๋า สัมผัสถึงแฮนดรีไดรฟ์อันจิ๋วเย็นๆที่นอนนิ่งอยู่ที่นั่น ใกล้ๆกันก็เป็นการ์ดพลาสติก ชายหนุ่มหยิบมันออกมาส่องกับแสงไฟ...อ่านหัวข้อการ์ดด้านบนว่า...
...ประเทศไทย Kingdom of Thailand... ...ใบอนุญาตขับรถ Driving License...
...นายดารินทร์ บุศวรรณ... อายุถ้านับจากวันเกิดปีนี้ก็...24 ปีพอดี
เฮ้ย!!! หน้าแบบนั้นน่ะนะอายุ 24 !!! วายุต้องเพ่งสายตาลงมองไปที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ในรูปถ่ายติดบัตรอีกที รูปนี้แลดูไม่ต่างจากเด็กม.ต้นที่เพิ่งถ่ายรูปทำบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกในชีวิตเลยซักนิด...สงสัยคงผ่านการศัลยกรรมมาอย่างโชกโชนแล้วแน่ๆ ทั้งตาสองชั้น เหลาคาง เสริมจมูก...นี่คงจะไปฉีดผิวมาอีกอย่างด้วยแน่ๆ...นมยังไม่ได้ทำ...แต่ไอ้ตรงนั้นนี่คงจะตัดทิ้งแล้วสินะ ถึงได้แต๊บไว้เนียนเหลือเกิน...
คิดมาถึงตรงนี้ความคิดก็หยุดชะงัก...
...คิดบ้าอะไรวะไอ้วายุ!!! ทำงานสิโว้ยทำงาน!!!...
...ไปนึกจินตนาการตรงนั้นของไอ้เด็กนั่นไปเพื่อ?!...
เจ้าของรถบิ๊กไบค์คันใหญ่สีดำมะเมื่อมตบหัวตัวเองผ่านหมวกกันน็อคแบบเต็มใบแรงๆ เพื่อเป็นการไล่สติให้คืนกลับเข้าที่ ภาพผิวขาวๆ ตัวหอมๆ ปากมันๆเยิ้มลิปสติกสีชมพูอ่อนนั่นต้องไม่มีวนเวียนให้เขาเห็นตอนขับรถโดยเด็ดขาด...ไม่งั้นมีสิทธิ์เขาได้เสยล้อหน้าเข้ากับเสาไฟฟ้าที่สี่แยกนั่นแน่!!!
------------------------------ - - - --- - -- - - -- - -
ฮี่ฮี่ เค้าคึกอ่ะตัวเอง ลงตอนสองต่อเลยอ่ะ