คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 46
พิธีรับขวัญ
---------
เรื่องของระพีไม่ใช่เรื่องเล็ก
ตรัสและรติบอกความสัมพันธ์ทางสายเลือดของระพีกับสกุลอหัสกรให้ท่านอมราฟังในเช้าวันต่อมา หญิงชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีย่อมสงบเยือกเย็น นางรับฟังอย่างเงียบๆ พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ย
“ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
รติใจฝ่อ ไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นของเขาที่จงใจปกปิดเรื่องนี้ไว้แต่แรก
“ต้องทำพิธีรับระพีเข้าสกุลให้สมกับเป็นทายาทของอหัสกร ไหนจะเรื่องทางราชการอีก ตรัสไปจัดการให้น้องของเจ้าด้วย” ทว่าประโยคต่อมาของหญิงชรา ทำเอาคนยึดว่าความผิดทั้งหมดเป็นของตนต้องเงยหน้ามองอย่างตกตะลึง และที่น่าตะลึงยิ่งกว่าก็เห็นจะเป็นสายตาอ่อนโยนของท่านอมรา
“อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะเรียบร้อย ข้าอยากให้เจ้าทำความเข้าใจกับระพี บัดนี้เขาเป็นทายาทของอหัสกรอีกคน ส่วนรุจี...หากนางยินดีเปลี่ยนมาใช้สกุลอหัสกร ข้าก็ยินดี แต่หากนางไม่เปลี่ยน ก็ขอให้นางรู้เอาไว้ว่านางเป็นคนของอหัสกรเช่นกัน”
ความเมตตาของหญิงชราทำให้รติรู้สึกท่วมท้น อหัสกรคือที่พึ่งพิงแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข เขาได้แต่คำนับไม่รู้กี่ครั้งแทนคำขอบคุณที่มีต่อหญิงชราและสกุล
แม้จะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
ระพีเป็นเด็กฉลาดหัวไว เมื่ออธิบายแก่เขาอย่างตรงไปตรงมาว่าบิดาผู้จากไปของเขาคือบิดาของตรัส และตรัสเป็นพี่ชายต่างมารดา เขาก็ยิ้มแย้มยินดี
“หมายความว่าข้าจะมีพี่ชายเพิ่มอีกคนใช่ไหมขอรับ!”
เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ย่อมไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดมากนัก
ในขณะที่รุจี เมื่อระพีเปลี่ยนมาใช้สกุลอหัสกร นางย่อมเป็นคนเดียวที่ใช้สกุลอื่น ทั้งท่านอมรา ตรัสและรติกังวลว่านางจะคิดเล็กคิดน้อย แต่เมื่อสอบถามกับนาง เด็กหญิงกลับยิ้มอ่อนโยนแล้วส่ายหน้า
“หากข้าเปลี่ยนไปใช้สกุลอหัสกรอีกคน สกุลบริบาลของท่านปู่จะไม่เหลือแล้ว ข้าขอใช้สกุลเดิมได้ไหมเจ้าคะ แม้จะใช้สกุลอื่น แต่ข้าสัญญา ข้าจะดูแลทุกข์สุขของอหัสกรดุจสกุลตนเอง”
เป็นอันว่ารุจีจะขอใช้สกุลเดิมต่อไป
ภายหลังทำเอกสารราชการเพื่อรับรองการสืบสายทายาทของสกุลอหัสกรใหม่ ท่านอมราให้จัดพิธีรับขวัญเด็กชายระพี
พิธีทางประเพณีย่อมไม่เหมือนเรื่องราชการ
ในเอกสารจะระบุว่าบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ แต่ในพิธีรับขวัญ หากบิดามารดาเสียชีวิต ก็ย่อมต้องมีบิดามารดาเลี้ยงเป็นผู้มอบขวัญให้แก่เด็กชายระพี
แล้วจะให้ใครเป็นบิดามารดาเลี้ยงให้แก่ระพีดีเล่า?
ท่านอมรามองไปมองมา ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่าตรัสกับรติอีกแล้ว จึงสั่งให้หลานชายหลานสะใภ้รับหน้าที่
“ต...แต่ข้าเป็นพี่ของระพีนะขอรับ” รติท้วง
“เจ้าเป็นน้า” หญิงชราแย้ง คนเป็นน้าแต่ออกตัวว่าเป็นพี่ไปเมื่อครู่กะพริบตาปริบๆ รับคำตะกุกตะกัก
“ข...ขอรับ...”
“ตรัสเป็นผู้นำสกุล ส่วนเจ้า...แม้เป็นชาย แต่หากนับตามฐานะแล้วก็เป็นภรรยาของตรัส สถานะพวกเจ้าเหมาะสม อายุอานามก็เหมาะสม หรือเจ้าจะให้ข้าเป็นบิดามารดาเลี้ยงของระพี? อายุข้าปูนนี้แล้ว จะอยู่เลี้ยงได้อีกสักกี่ปีเล่า”
“ต...แต่...” รติไม่รู้จะแย้งอย่างไร เหลือบมองสามีที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ข้างกายก็พบว่าตรัสก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างไม่ทุกข์ร้อน หนำซ้ำยังพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงชราทุกคำ
“อีกอย่าง ระพีมีสายเลือดของเจ้าครึ่งหนึ่ง มีสายเลือดของตรัสครึ่งหนึ่ง ไม่ให้พวกเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ในพิธีรับขวัญ แล้วจะให้พุดกรองเป็นรึไร”
พูดอีกก็ยิ่งถูกอีก ตรัสพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่รติแย้งไม่ออก สองย่าหลานเห็นพ้องต้องกัน คนอยากแย้งเลยกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ
ท้ายที่สุด ในพิธีรับขวัญระพี ก็มีตรัสและรติเป็นบิดามารดาเลี้ยงทำพิธีมอบขวัญให้เด็กชาย
พิธีรับขวัญเป็นงานรื่นเริงประเภทหนึ่ง ย่อมมีแขกเหรื่อมาร่วมงาน แม้ไม่คับคั่งเท่างานมงคลสมรส แต่ในเรือนอหัสกรก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่รู้จักมักจี่กับท่านอมราและสกุลอหัสกร
“ตอนงานแต่ง หน้าอย่างกับถูกบังคับ แล้วดูหมอตรัสในงานนี้สิ หน้าชื่นตาบานรับน้องชายของภรรยามาเป็นทายาทของสกุลด้วยแหน่ะ! สงสัยจะรักกันเสียแล้ว!”
“ได้ยินว่าเป็นน้องคนละแม่ของหมอตรัสด้วยนะ อ่า...ข้าชักงง”
“ไม่รู้น้องคนละแม่จริงหรือไม่ อาจจะเป็นน้องภรรยา แต่อยากจะรับเข้าสกุลก็เลยบอกว่าน้องคนละแม่!”
“แสดงว่ารักภรรยามากเลยสินะ”
“ไม่รักอย่างไรไหว ข้าได้ยินว่าตอนแรกกิจการร้านยาอหัสกรร่อแร่เต็มทน แต่กลับมารุ่งเรืองได้ก็เพราะผงสมุนไพร แล้วผงนั่นก็ฝีมือภรรยาของหมอตรัสทั้งนั้น!”
“พูดเป็นเล่นไป! ร้านยาอหัสกรน่ะหรือร่อแร่”
“ใช่ซี ข้ายังคิดเลยว่าร้านยากิจการไม่ดี ยังจะแต่งงานรับภาระมาเพิ่ม ที่ไหนได้! หลังแต่ง ภรรยาพลิกวิกฤตร้านยาเฉย!”
“แต่ผงสมุนไพรนั่นก็ดีจริงๆ ตอนแรกข้าก็ไม่คิดจะซื้อ แต่เดินผ่านร้านยาอหัสกรบ่อยๆ เห็นภรรยาหมอตรัสทักทายข้าดี พอมีผงสมุนไพรมาขายราคาไม่แพง ก็เลยช่วยซื้อ ใครจะคิด! ฤดูหนาวที่ผ่านมา ลูกๆข้าไม่ป่วยเลยสักคนเพราะผงสมุนไพรนั่นแล!”
“แล้วดูเถอะ ฤดูเปลี่ยนก็ไม่ทู่ซี้ขายของเดิมๆ รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ขายสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ เมียข้ายังซื้อมาลอง เด้งดึ๋งเชียวล่ะ” แล้ววงสนทนาก็หัวเราะครืนตามประสาผู้ชาย ตบท้ายด้วยใครคนหนึ่งพูดสำทับ
“นับว่าหมอตรัสโชคดีจริงๆ ภรรยาทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไม่รักไม่หลงก็ตาบอดแล้ว”
เสียงพูดคุยของบรรดาแขกย่อมดังไปถึงหูเจ้าภาพ บางเรื่องพอได้ยินแล้วควรทำเป็นลมผ่านหู แต่บางเรื่องได้ยินแล้วก็พลอยให้พยักหน้าเห็นด้วยใจเป็นสุข
ตรัสนั้นหน้าชื่นตาบานกว่าเดิมมากนัก ภรรยาเป็นหน้าตาของสามีโดยแท้ แม้รติจะไม่ใช่หญิงสาว ไม่สวยงามผุดผาด แต่ความฉลาดเฉลียว ความสามารถของรติเป็นที่ประจักษ์ ในขณะที่ท่านอมราเองก็ได้ยินคำชื่นชมหลานสะใภ้ นางมิได้มีปฏิกริยาโดยตรง แต่ก็จับสังเกตหลานชายและหลานสะใภ้อย่างเงียบๆ
ตรัสเปลี่ยนไปจริงอย่างที่ผู้คนพูดกัน จากเจ้าบ่าวหน้าตาหงุดหงิดในวันแต่งงาน จนกระทั่งวันนี้กลับมองภรรยาด้วยความรักใคร่ กับเจ้าสาวผู้แสนร่าเริงยิ้มแย้มหน้าเป็น จนวันนี้เป็นภรรยาที่มองสามีด้วยสายตาเทิดทูนเต็มหัวใจ
แต่ก็แค่มอง
หญิงชราเพิ่งตระหนักก็เวลานี้
ตรัสและรติไม่ค่อยแสดงออกต่อหน้าธารกำนัล ว่าพวกเขารู้สึกต่อกันเช่นไร หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
เรื่องนี้ชักน่าห่วง
คราวรสนา ทุกอย่างคลี่คลายโดยง่ายเพราะนางมิได้มีใจปรารถนาในตัวตรัสแต่แรก แต่หากเป็นผู้อื่นที่หมายมาดต้องการตรัสหรือรติ หากเป็นใครสักคนที่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาเพื่อแทรกกลางเล่า
อาศัยว่าทั้งสองไม่แสดงออกต่อกัน อาศัยว่าทั้งสองไม่แสดงความสัมพันธ์ให้เป็นที่ประจักษ์
ท่านอมรากังวลใจ
และในฐานะญาติผู้ใหญ่ของอหัสกร จะอยู่เฉยได้อย่างไรกัน!
--------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
--------
ตอนหน้า ท่านย่าจะมาสอนรติให้มัดใจหลานชายแกค่ะ (แกไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ใจหลานแกโดนมัดดิ้นไม่หลุดนานแล้วนะคะ ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ เจอกันวันพุธ