========44 ชีวิตใหม่========ท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์จะตกกลางมหาสมุทร เปนภาพที่แปลกตาจังเลยฮะ ริ้วแสงอาทิตย์ผสมกับเมฆก้อนมหึมา กลายเป็นสีีส้มอมม่วง …ขอบคลื่นกำลังกลืนแสงนั้นช้าๆจนเงาสุดท้ายหมดไป
คลื่นลมกำลังพาเรือลำนี้ และตัวผม ออกห่างจากผืนดินแห่งบาบิโลนเนีย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้จัก แต่ผมจะไม่ร้องให้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกแล้ว
ในที่สุด ผมก็เข้าใจแล้วฮะ ว่าความเจ็บปวดแท้จริงคืออะไร ความเจ็บปวดไม่ใช่รอยแผลที่ลูกค้าทำร้าย ไม่ใช่สงครามหรือมีดดาบที่น่ากลัว แต่ความเจ็บปวดแท้จริง คือสิ่งที่ทำให้หัวใจคนๆหนึ่งแตกสลาย และจำเป็นต้องละทิ้งความฝันทั้งหมดไป
….
ผมคงไม่ได้กลับไปที่บาบิโลนอีกแล้ว…ใช่ นั่นคือสิ่งที่อโดนิสพยายามบอก
ผมมองมันเป็นครั้งสุดท้าย … จนแผ่นดินสีทองแดงเหลือเพียงเส้นริ้ว และถูกคลื่นน้ำเงินโถมทับหายไป
ผมจะลืมได้ อีกซักร้อยปี? แต่ผมก็จะกลายเป็นผู้เฒ่านากัล ถ้าถึงตอนนั้น ผมจะตายรึยังนะ ? ผมจะมีหนวดขาว ยาวเฟื้อยรึเปล่า แต่ถ้าผมไม่ลืม…ผมก็ต้องตายไปพร้อมๆกับความลับอันเจ็บปวด
นั่นไม่ใช่โชคชะตา ผมบอกตัวเอง ต้องไม่ใช่แน่ๆ
อโดนิสอธิบายเรื่องทั้งหมด เรื่องท่านเซอซัส แผนการณ์ พ่อของท่านเซอซัสก็คือ กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ไซรัสมหาราช ผมขนลุกเมื่อคิด แต่ท่านเซอซัสไม่ใช่เจ้าชาย…เขาเป็น ‘ลูก’ของผู้หญฺิงธรรมดา แต่ก็เป็นลูกของไซรัส เขาจึงต้องรับใช้กษัตริย์ …ท่านเซอซัสต้องเดินทางมาเป็นไส้ศึกในวังบาบิโลนตั้งแต่ยังเล็กๆ …
ที่ผมหยุดคิดไม่ได้คือ ท่านเซอซัส ต้องทรยศท่านบาลิธงั้นหรอ? ตอนนี้อะไรๆก็ดูเป็นไปได้ ตั้งแต่ที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์สงครามบ้าๆนี่ และ ท่านเซอซัสเคยคิดจะหลอกใช้ผม แค่นั้นมันก็บีบอัดในตัวผมจนจุก
“นากัล- -ท่านเซอซัสเล่าให้ข้าฟัง เขารักเจ้านะ เขาถึงเลือกทำแบบนี้- -” อโดนิสเดินมาจับผม ที่พนักเรือ
“ช่างเถอะฮะ”
“วันหนึ่งผมจะเข้าใจเอง…” ผมมองคลื่น“ พี่ชายผมเคยพูดว่าเมื่อเราโตขึ้น ทุกๆอย่างที่เคยสงสัย ผมจะเข้าใจมันไปเอง- - จนผมอยากจะกลับไป ไม่รู้เสียใหม่ ” พี่โจมาร์พูดไว้
อโดนิสยิ้มบางๆก่อนจะลูบใหล่ผม เขาคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่ออีกแล้ว
ท่านเซอซัสบอกจะหา เนอร์กาล คนใหม่…งั้นผมคงไม่มีประโยชน์อะไรต่อแล้ว
ซักพัก เสียงพวกคนเรือโดนสั่งทำงานกันแซงแซ่ เดี๋ยวพวกเขาคงต้องเข้าไปจุดไฟใต้ท้องเรือ…อโดนิสก็ต้องทำงานเช่นกัน และผมควรจะต้องไปช่วยเขา คนบนเรือเยอะแยะเลย ฉะนั้นมันคงไม่ใช่คืนหนาวเหน็บสักเท่าไหร่
เพราะผมจะต้องอยู่ให้ได้
//////////////////////////////////////////////////////////////////
…
…….
…
…..
..
วันอาทิตย์แรก ของเดือนมีนาคม ไอหมอกได้จางลงหมดแล้ว
ถนนดินร่วนแห้ง และน้ำในทะเลสาบก็อุ่นขึ้น นี้คือสัญญาณว่า ฤดูไบไม้ผลิกำลังมา
ยอดหญ้าพริ้วสไวสู้แสงแดดในไร่ยูเทนส์ เกิดเป็นสีทองวิบวับ
ทุ่งที่เคยเงียบสงัด และหนาวเย็น เมื่อเดือนมกราคม บัดนี้ค่อยๆเปล่งสีสันของไม้นานาพันธ์ เกวียนส่งของจากถนนใหญ่เหนือแนวป่าคงจะเริ่มทยอยมาภายในเดือนนี้
ถ้ามองจากยอดเขาที่ผมกับบาลี่ยืนอยู่ จะเห็น ‘โรงสีข้าวยูเทนส์’ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ด้านหลังคือเนินเขาเล็กๆที่ผมชอบไปนอนเล่น
“หวานปากล่ะสิ ” ผมพูดกับบาลี่ ที่กำลังกินหญ้าเขียวอ่อนรื่นเริง… “บาลี่” เป็นม้าสีขาวเผือกและเป็นเพื่อนแสนดี ผมได้มันมาจากตลาดเก่า ตอนแรกๆ บาลี่ มีท่าทางอ่อนแอ แต่รู้สึกว่ามันมีบางอย่างเหมือนผม ความไม่เข้าพวก แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นม้าแกร่งที่สุดในย่านนี้ ทำสถิติลากข้าวได้ตั้งเก้าถัง
“อิ่มก็ไปกันได้แล้ว ถึงตาอาหารเย็นของข้าแล้วนะ”
…
ผมควบบาลี่กลับมาที่โรงสีข้่่าว ก็ตกเย็นแล้ว ได้กลิ่นอาหารหอมๆลอยกรุ่มกริ่มมาจากใต้หลังคากระท่อม ผมไม่รอช้า
“นากัลกลับมาแล้ว !” เสียงต้อนรับแจ่มใจ
“อะไรกันนี่!!” ผมอุทาน “ทำใมทำอาหารมากมายขนาดนี้ ?”
บนโต๊ะไม้โอ๊คยาว มีทั้ง หมูอบน้ำผึ้ง ปลานึ่ง ซอสสลัด ลูกพีช องุ่น ขนมปังอบนม และ ไวน์??
“ไวน์มาจากไหน”
“มาจากพ่อค้าชาววัง….โรงสีข้าวของเรา กลายเป็นโรงสีอันดับหนึ่งของเมือง ที่มีพ่อค้าจากตลาดวังเปอร์เซียร์มาซื้อ และ มอบรางวัลให้ พวกเราจึงได้เกวียนใหม่และถังไวน์หมัก” ผู้เฒ่าชาร์ลีกล่าวที่หัวโต๊ะ
“ สุดยอดไปเลยฮะ ผู้เฒ่า! แล้วไหนแก้วผมล่ะ ฮ่าๆๆ ”
พี่จาเว็ดเดินเข้ามาพร้อมกลิ้งถังไวน์บนพื้น “ฮ่า!! แด่โรงสียูเทนส์ เจ้านากัล!!” เขาสวมกอดผม “เป็นรางวัลที่เราทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปีเต็ม แล้วนากัล…เจ้าต้องกินมากที่สุด พวกน้องๆตกลงแล้ว ว่าจะยกหนึ่งถังให้เจ้า อีกถังให้อโดนิสตอนเขาล่องเรือกลับมา ส่วนนอกนั้น พวกข้าลุยเอง”
ผู้เฒ่าชาร์ลีหัวเราะกระแอ้ม ผมมองไปรอบๆ และเห็นรอยยิ้มของทุกคน ของพี่น้องผม จาเว็ด แท็บ รูจ และ ซาวี พวกเด็กๆชาวไร่ยูเทนส์ ที่ช่วยกันทำงานอย่างรักใคร่กลมเกลียวมา ตลอดหนึ่งปีเต็ม ของการอยู่ที่นี้- - ใช่ฮะ…ผมอยู่ที่ไร่ยูเทนส์มาหนึ่งปี อายุ 14 และ สูงขึ้น 15 เซนติเมตร
“งั้นก็มากินกันเลย…” น้องเล็กซาวีพูด เจ้าเด็กผมแดงตกกระ ที่เป็นนักโม่ข้าวที่เก่งที่สุด
“เดี๋ยวสิ” ผู้เฒ่าสั่ง เด็กๆทุกคนขยับเล็กน้อย ก่อนจะกุมมือชิดคาง หลับตา
“ขอบคุณ ชีวิต” ทั้งหมดพูดพร้อมกัน
นั่นคือสิ่งที่ผู้เฒ่าสอนให้เรานับถือ และเป็นเพียงสิ่งเดียว
“ทานแล้วนะครับ!!” พวกเราตะโกนลั่น พร้อมแย่งกันตักอาหาร
..
.
เรือกังหันแดงของอโดนิส ได้พาผมมารู้จักบ้าน บ้านจริงๆ ณ ไร่ยูเทนส์ บนเนินเขาสีเขียว…
‘บ้าน’ แบบที่ผมสมควรจะมี อโดนิสพูดอยู่บ่อยๆ แต่ยามนี้ผมไม่ค่อยสนใจว่าคนอื่นจะพูดว่าอะไรแล้วล่ะฮะ
ผมเพิ่งเรียนรู้ได้เดี๋ยวนี้เอง ว่าแค่เราทำในสิ่งที่เรามีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าถูก หรือผิด เพราะชีวิตก็เป็นสีเทาๆแบบนี้แหละ คุณบังคับโชคชะตาไม่ได้เสมอไป
ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ผมอ่านหนังสือได้แล้วฮะ โดยไม่ต้องเรียนในวังอะไรทั้งนั้น เริ่มจากที่เฒ่าชาร์ลีเอาหนังสือนิทานปลวกกินมาให้ผมเริ่มอ่าน แล้วผมก็นั่งคัดตัวอักษรตาม หนังสือนิทานเล่มนั้นรวมเอาคำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันไว้มากมาย …แต่มันก็ไม่ง่ายในทีแรก
ผมใช้เวลาหลายเดือน จุดตะเกียงกลางดึกอ่านหนังสือ ยามที่ พวกพี่น้องชาวโรงสีหลับกันหมดแล้ว
และนั้นก็คือตอนที่ผมได้อ่าน เทพนิยาย กิลกาเมช ผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย และ ประวัติศาสตร์แอสซีเรียน ต่อด้วย นิทานพื้นบ้านต่างๆ
ผมเจอแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกว่า เกิดมาเพื่อจริงๆ นอกจากยิงธนู ต่อเรือ และขี่ม้า…ใช่ฮะ ผมขี่ม้าและยิงธนูเก่งมาก หลังจากมาอยู่ยูเทนส์ การล่าสัตว์ก็จำเป็นบางครั้ง ส่วนอโดนิสก็สอนผมต่อเรือของเล่น อะไรๆที่ผมเคยคิดว่าคงทำไม่ได้ตอนเด็กๆ ผมก็ทำมันสำเร็จแล้ว …แต่ ผมมีความสุขตอนอ่านหนังสือมากที่สุด ที่สวยงามไปกว่านั้น คือผมฝันฮะ อย่างที่ไม่เคยฝันมาก่อน
“ผมมีความฝันกับคนเขาแล้วฮะ” ผมบอกอโดนิสเมื่อปลายอาทิตย์ ก่อนที่เขาจะลงเรือเที่ยวสุดท้ายของหน้าหนาว
“ผมฝันว่า ผมต่อเรือขนาดมโหฬารเลยนะ โดส แล้วบนดาดฟ้าเรือก็มีคอกหมูด้วย ส่วนท้องเรือมีห้องสมุดกว้างๆ แบบในวัง แล้วผมก็ได้อ่านทุกเล่มเลย…ผมฝันแบบนี้จริงๆนะฮะ ไม่ได้โม้…ผมเจอนิยายที่เป็นตัวผมเองในเรื่องน่ะ แล้วก็รูปวาดผมอยู่บนหลังม้า ผมยาวปลิวๆแบบโดสเลยฮะ แต่ผมเท่กว่า เพราะผมยิงธนูด้วย”
โดสหัวเราะลั่นท่าเรือ จนต้องวางหีบของลง เขากอดคอผม
“ยิงธนู ขี่ม้า อ่านหนังสือ” อโดนิสส่ายหัว “ข้านึกไม่ถึงจริงๆ แถมเจ้ายังทำกำไรมากมายให้โรงสีข้าวอีก…”
“นากัล ข้าเดาทางเจ้าไม่ถูกเลยจริงๆ …ข้าเคยคิดว่าตัวข้าเองน่ะ เหมือนใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลมแล้วนะ แต่เจ้าน่ะ …นากัล ” อโดนิสหัวเราะ ผมสีทองสะท้อนแดด “เจ้าเป็นนกตัวน้อย ที่ปลิวมาไกลมากๆกว่าที่คิดนะ…”
เขามีแววตาภูมิใจ
เดือนนี้ผมคิดถึงอโดนิสเป็นพิเศษ นึกถึงสิ่งที่โดสพูด…ใช่ ชีวิตผมคือนกน้อยที่ยังบินไม่แข็ง และปลิวไปตามสายลม
…
หลังพวกเราทานอาหารค่ำแสนสุขเสร็จ ก็ช่วยกันเก็บล้าง… เราเพิ่งส่งข้าวงวดสุดท้ายไปเมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงนี้ต้องรอเตรียมดิน ก่อนจะพร้อมหว่านเมล็ดพันธ์
“ข้าต้องอ้วนจนคราดดินไม่ไหวแน่ๆ” รูจเรอออกมาลั่น คว่ำตัวลงบนเตียงฟูก
จาเว็ดกับแท็บ จุดตะเกียง เตรียมเล่นเกมส์ลูกเต๋ากันอีกทั้งคืนแน่ๆ ผมเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นๆเข้า ก่อนจะปีนบันใดเตียงสองชั้น และล้มตัวลงนอน
========
“พี่จาเว็ดฮะ”
“หืม? ”
พี่ยกคิ้ว พี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง สูบใบชาเงียบๆ ผมเหม่อมองควันลอยออกไปในความมืด
“ทำใม? นอนไม่หลับ?”
“อือ” ผมหัวเราะหึๆขึ้นจมูก “ตั้งปีหนึ่งแล้วเนอะ ที่อโดนิสพาผมมาอยู่ที่นี้”
“ข้าอยู่ที่นี้มาสามปีแล้ว…เจ้าเพิ่งมาอยู่ได้แค่ปีเดียว แต่ทำอะไรได้มากมาย จนคนแถวหมู่บ้านไกลๆเขาล่ำรือกันหมด”
ผมหัวเราะ พลิกหมอนเล่น “เพราะผมชอบถือธนู ขี่ม้า ไปมาแบบอัศวินไง…เลยกลายเป็น นากัล ผู้พิทักษ์โรงสี”
พี่จาเว็ดอมยิ้ม ปล่อยควันใส่หน้าผม
“ ปีหน้าข้าอาจจะออกไปกับอโดนิส” พี่บอก
“ห้ะ?”
“เรือรบจากเปอร์เซียเมื่อต้นปี ก็แพ้บาบิโลนตรงฝั่งกัฟล์… รอบนี้ พระราชาจะนำทัพเอง ทางหลวงประกาศรับทหารใหม่ อายุข้าได้สิบหกพอดี ”
“แล้วโรงสีล่ะ ” ผมค้าน
“เจ้าก็ขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ไงนากัล ฝากดูแลน้องๆตอนที่ เจ้าแท็บไปหลีหญิงด้วย”
“ผมนึกว่าพี่มีความสุขที่นี้?”
“นากัลพอเกิดสงครามใหญ่ แถวนี้จะขาดแคลนมาก ข้าวทั้งหมดก็ต้องส่งเสบียงรบ ผู้เฒ่ายังไม่ได้บอกเจ้า…คนแถวนี้จะอดยาก ”
“แต่เรามีไร่! เรามีผลไม้ตั้งมามายนะพี่ ไหนจะ วัว แพะ เราแอบเก็บตุนไว้ให้มากเข้า ผมจะขยันทำงานสามเท่าเลย…เมล็ดข้าวไรย์ยังเหลือ- -”
“อย่า! อย่าขยันไปมากกว่านี้ ผู้เฒ่าไม่อยากเป็นเศรษฐีตอนหง่ำเหงือก แถมเตะปี้ปไม่ดังแล้วหรอก ฮะๆๆๆ”
ผมปาหมอนใส่พี่จาเว็ดขำๆ ถอนหายใจ
“แต่ก็ใจหาย พอพี่บอกจะไป… ”
“อโดนิสเป็นโจรสลัดอยู่แล้ว ทางหลวงจ้างเรือเขาร่วมรบ … ข้าไปเป็นทหาร ถ้ารบสำเร็จก็กลับมา อาจจะได้ทองมาเป็นชั่งก็ได้ ข้าจะลองถามอโดนิสดู เมื่อไหร่เขาจะเข้าฝั่ง?”
“เขาบอกว่าเดือนหน้า ในจดหมาย”
“อืม…” พี่จาเว็ดถุยน้ำลายออกไปนอกหน้าต่าง ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าสกปรก ผิวออกแดดของพี่เริ่มกลับมาขาวแล้ว ถ้าพี่ยังอยู่ต่อเพื่อหว่านเมล็ดข้าว ก็คงจะดำกว่านี้อีก เฉกเช่นผม
ผมไม่ขาวแล้วฮะ…ผิวของผมเป็นสีแทนอ่อนๆ ร่างกายแข็งแรง…ผมไม่ได้ใส่น้ำหอมฉุนๆของในวังมาเป็นปี จนลืมกลิ่นไปแล้ว…ผมไม่เหมือนนากัลที่ผมเคยเป็นเลยแหละ …. เพราะผมได้รู้จักความรักรูปแบบอื่น พวกเด็กๆชาวโรงสีต่างเป็นเด็กพลัดถิ่น ที่โดนอโดนิสจับมารวมตัวกันอยู่ที่นี้ แต่เราก็มอบความอบอุ่นให้กันและกันเสมอ
ใช่ บางทีผมก็ยังฝันถึงเรื่องเก่าๆ เช่นตอนรับลูกค้า ชีวิตในวัง ..คนที่ผมเคยรู้จัก ... แต่มันไม่สำคัญแล้วล่ะฮะ!! เพราะตัวตนเก่าของผมกำลังจืดจางลงไปเอง โรงสีข้าวไม่ใช่เพียงแกะเปลือกของข้าวออก มันแกะตัวตนเก่าผมออกไปด้วย
พี่จาเว็ดกรนดังออกมาจากเตียงข้างล่าง ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะจุดตะเกียง…และคว้าจดหมายเก่าเขรอะ ออกมาคลี่- -
ในแสงไฟแวววาว ผมเพ่งมองลายมือ และตัวอักษร จดหมายที่ให้ชีวิตใหม่กับผม แต่ก็ทำลายหัวใจเก่าไปเช่นกัน… ผมอ่านจนมาถึงข้อความสุดท้าย
ข้าต้องการให้นากัลมีชีวิตที่ดี และเหนือสิ่งอื่นใด มีอิสรภาพ อย่างที่เขาควรได้รับ…
ข้ารักเด็กคนนี้
เซอซัส“ขอบคุณฮะ” ผมกระซิบ
ผมพับมันกลับ จุมพิตเบาๆ “ขอบคุณชีวิต”
=========================================
ตอนหน้า 45 จบภาคหนึ่งแล้วนะคะ
... ขอบพระคุณผู้อ่านและติดตามอย่างสูงค่ะ
ขอโทษที่มาต่อช้า มีงานให้ทำตลอดไม่ว่างเลย แต่ยังจะมาเรื่อยๆนะคะ