แฝด ตอนที่ 8
ห้องประชุมใหญ่ชั้นบนสุดของห้างเมก้ามอลล์
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระยะๆเมื่อบอร์ดบริหารของบริษัทเมก้ามอลล์จำกัดได้รับจดหมายปิดผนึกส่งตรงถึงโต๊ะทำงานของทุกคนอย่างไม่การบอกกล่าวล่วงหน้า และยิ่งได้รู้ว่าหัวข้อสำคัญในการเรียกประชุมครั้งนี้คืออะไร ก็ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจขึ้นไปอีก เพราะคนที่เรียกพวกเขาประชุมวาระสำคัญในครั้งนี้ไม่ใช่ประธานใหญ่อย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นประธานกรรมการฝ่ายบริหารที่อำนาจรองลงมาต่างหากล่ะ
“ทำไมมันกะทันหันครับคุณแม็ก” หนึ่งในบอร์ดบริหารอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าแม็กเดินก้าวมาในห้องและไปยืนหยุดอยู่ตรงหัวโต๊ะประชุม
“ใจเย็นสิครับ รอคนสำคัญก่อน” แม็กพูดบอกเสียงเรียบก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาก จนไม่มีใครกล้าที่จะถามหรือว่าค้านอะไรออกมาอีก
“นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าแม็ก!!!” แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีคนที่แม็กรอคอยก็ปรากฏตัวขึ้น
“เมื่อกันครบแล้วผมขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันว่า ผมขอเลื่อนตำแหน่งของตัวเองจากการเป็นประธานกรรมการฝ่ายบริหารให้เป็นประธานบริษัทเมก้ามอลล์คนใหม่พร้อมกับปลดประธานคนเก่าออก มีผลนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” แม็กพูดบอกออกมาเสียงนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใดที่ต้องมาประกาศเลื่อนตำแหน่งให้กับตัวเองอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เรียกเอาเสียงฮือฮาจากบอร์ดบริหารได้เป็นอย่างดี
“แกมีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันอย่างนี้ห้ะเจ้าแม็ก!! นี่มันบริษัทของฉันนะ!!!” คุณกิติกรถามเสียงก้าว พร้อมทั้งเดินย่างสามขุมเข้ามาหาแม็กด้วยความน่ากลัว แต่ก็ติดว่าทางแม็กนั้นมีทั้งคุณกำธรและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทที่กำธรเรียกให้มาประจำที่ก่อนหน้านี้แล้ว
“สิทธิ์ของการเป็นผู้ถือหุ้นของเมก้ามอลล์แปดสิบเปอร์เซ็นยังไงล่ะครับ” แม็กกระตุกยิ้มบอกด้วยท่าทีเยาะเย้ยอย่างจงใจให้อีกคนรับรู้พร้อมกับที่โชว์เอกสารครอบครองจำนวนหุ้นทั้งแปดสิบเปอร์เซ็นของห้างเมก้ามอลล์ออกมาให้ทุกคนได้เห็นกลับตา
“นะ…นั่นมัน”
“โอ๊ะโอ…ขอโทษทีนะครับที่ผมมาช้าไปหน่อย พอดียังปรับตัวให้ชินกับประเทศไทยไม่ค่อยได้” ในขณะที่กิติกรและบอร์ดบริหารคนอื่นๆกำลังอยู่ในช่วงตกตระลึงและทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น ชายต่างชาติร่างสูงใหญ่ก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องประชุมอย่างที่ไม่ต้องมีใครเชิญ
“เสียมารยาท” แม็กพูดว่าเพื่อนตัวเองออกมาด้วยความเอือมระอา
“ขอโทษที่เสียมารยาทและทำให้ทุกคนงงกันนะครับ ผมสตีเฟน ครูส ผู้ถือหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นประธานกรรมการฝ่ายบริหารคนใหม่ของเมก้ามอลล์ครับ” ถึงแม้ว่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักอย่างแม็กหมายถึงอะไร แต่สตีฟก็ยังตีมึนทำเนียนแนะนำตัวกับบอร์ดบริหารคนอื่นอย่างร่าเริง
“แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงห้ะเจ้าแม็ก!!!” กิติกรตระหวาดก้าวเสียงดังลั่นจนคนอื่นๆที่อยู่ในห้องถึงกับผวาด้วยความเกรงกลัว เพราะพวกเขา(บอร์ดบริหาร)เข้ามาทำงานที่เมก้ามอลล์แห่งนี้นานมากจนได้รู้ได้เห็นกับความน่าเกรงขามของอดีตนายใหญ่แห่งห้างเมก้ามอลล์มากับตาของตัวเองกันแล้วทุกคน…งานนี้เริ่มไม่สนุกแล้วสิ!!
“ผมทำในสิ่งที่ควรทำ ทวงคืนในสิทธิ์ที่ควรจะเป็นของผมมาตั้งแต่แรก” แม็กแหวกการ์ดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกพร้อมกับเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับกิติกรจนคนอื่นๆ ค่อยๆถอยออกไปรวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งของห้อง
“แกหมายความว่ายังไง” เขาถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็หมายความว่าผมจะทวงคืนทุกอย่างจากคุณ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทนี้ หรือแม่ของผมที่คุณพยายามจะเก็บซ่อนไว้ก็ตาม” แม็กพูดบอกออกมาด้วยประโยคและคำพูดที่ทำให้กิติกรต้องขมวดคิ้วขุ่น
“แต่ฉันเป็นพ่อของแกนะ!”
“คุณคงจะโกหกจนลืมความเป็นจริงไปแล้วซินะ…คุณกิติกร โชคธนกิจ” แม็กเน้นย้ำชื่อและนามสกุลจริงของกิติกรในประโยคสุดท้าย
“แล้วแกจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้” เขาข่มเสียงพูดบอกด้วยความอาฆาต
“อ่อ! ถ้าเอาคืนผมก็ช่วยตามให้ถูกคนด้วยแล้วกันนะครับ เพราะผมคือ เมธากร รัตนปภากุล ไม่ใช่เมธากร โชคธรกิจ อย่างที่คุณเคยยัดเยียดให้เป็น”
“อย่าบอกนะว่าแก!!!” เขาตกใจตื่นอ้าปากค้างไปแล้วกับประโยคที่ดูเหมือนว่าจะธรรมดาสำหรับคนอื่นในห้อง แต่สำหรับเขาแล้วมันเหมือนชนักปักหลังไม่มีผิด
“ซ่อนให้มิดนะครับ เพราะถ้าผมเจอ ‘อีก’ เมื่อไหร่ละก็…หึๆ” แม็กพูดพร้อมเว้นวรรคละไว้ในฐานที่เขาคิดว่ากิติกรจะเข้าใจเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องประชุมไปอย่างที่ไม่บอกลาใครทั้งนั้น ทำเอากำธรและสตีฟเดินตามเจ้านายและเพื่อนของตัวเองกันแทบจะไม่ทัน อีกทั้งสตีฟยังนินทาเพื่อนรักอย่างแม็กไปตลอดทางด้วยว่า…เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน!!
..
..
..
“พักสักหน่อยดีมั้ยครับ” กำธรเอ่ยขึ้นหลังจากที่เดินตามแม็กเข้าห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าตัวมาหลังจากที่เดินลงไปส่งสตีฟที่มีธุระด่วนจำเป็นต้องกลับไปก่อน และเห็นว่าแม็กกำลังนั่งใช้สองมือกุมขมับของตัวเองอยู่หลังโต๊ะทำงาน
“ผมกำลังพักอยู่นี่ไง” แม็กพูดบอกพร้อมกับเอามือออกจากศีรษะและเปลี่ยนมานั่งท่าปกติ
“ผมหมายถึงพักร้อนน่ะครับ ตั้งแต่ทำงานมาผมยังไม่เคยเห็นคุณหยุดเลยนะครับ” กำธรขยายความหมายคำพูดของตัวเอง เพราะอย่างที่บอกไปว่าเขายังไม่เคยเห็นแม็กหยุดพักเลย อีกทั้งช่วงนี้ยังมีแต่เรื่องเครียดๆให้แม็กต้องคิดหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เขาจึงอยากให้เจ้านายได้พักผ่อนบ้าง ก่อนที่สุขภาพร่างกายและจิตใจจะย่ำแย่ไปกว่านี้
“…..” แม็กเองก็รับฟังอย่างเงียบๆ เพราะใจนึงเขาก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับมินและลูกบ้าง แต่อีกใจนึงเขาก็ยังวางห่วงค้ำคอที่เรียกว่า ‘งาน’ ไปไม่ได้ เพราะอะไรๆมันก็ยังไม่ลงตัวสักเท่าไหร่
“ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอกครับ ยังไงสัปดาห์หน้าคุณสตีฟก็จะเข้ามาเริ่มงานแล้ว อีกทั้งผมเองก็ยังอยู่ทั้งคนนะครับ”
“ผมว่าจะรื้อระบบงานใหม่ทั้งหมด” แม็กบอกความตั้งใจแรกของตนเองให้ลูกน้องฟัง
“ผมว่าพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าครับ ให้พวกพนักงานกับบอร์ดบริหารตั้งตัวตั้งสติกกันอีกสักพักเถอะครับ” กำธรพูดไปตามความเป็นจริงจากประสบการณ์ทำงานมาตลอดสิบกว่าปีของเขา อีกทั้งเขายังอยากที่จะมีเวลาดูความเคลื่อนไหวตามคำสั่งของแม็กก่อนหน้าที่ให้เขาคอยจับตาดูทีมบอร์ดบริหารชุดนี้ไว้ด้วย เพราะเป็นทีมนี้เป็นลูกน้องที่กิติกรจ้างมาเปลี่ยนกับบอร์ดบริหารชุดแรกเริ่มของบริษัทนี้
“…..”
“ผมว่าคุณมินเองก็คงอยากจะไปพักผ่อนเหมือนกันนะครับ ยิ่งอายุครรภ์เข้าไตรมาสสองอย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ถือเป็นช่วงที่ปลอดภัยและดีที่สุดแล้วครับ เพราะถ้าหลังจากนี้ไปก็จะเดินทางไม่สะดวกแล้วละครับ” เมื่อเห็นว่าเจ้านายมีสีหน้าลังเล กำธรก็ยกคนสำคัญของแม็กอย่างมินขึ้นมาเป็นข้ออ้างอีกแรง
“แล้วคุณว่าผมควรจะไปไหนดีล่ะ” และก็เป็นอย่างที่กำธรคาดการณ์ไว้ เพราะทันทีที่เขาพูดจบ แม็กก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อกี้นิดเดียว…นิดเดียวจริงๆ
“ไปไหว้พระขอพรดีมั้ยครับ จะได้เป็นการพักผ่อนร่างกายและฟื้นฟูจิตใจไปพร้อมๆกัน” กำธรแนะนำ เพราะคนท้องที่มีความเครียดมากอย่างมินคงจะไม่มีกิจกรรมไหนที่เหมาะไปกว่าการไปไหว้พระหรือสิ่งศักดิ์ต่างๆเพื่อขอพรแล้วล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอหยุดยาวทั้งอาทิตย์เลยก็แล้วกัน”
~ ~ ~ แฝด ~ ~ ~
“กลับมาแล้วหรอ” มินเอ่ยทักทายเสียงใสทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดสเก็ตภาพในมือ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าคนรักกลับมาแล้ว
“ดูอะไร?” แม็กทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างกันกับคนรักก่อนที่จะยกตัวมินขึ้นมานั่งอยู่บนตักตัวเองแทน
“อย่าเพิ่งกวนสิแม็ก” มินว่าเสียงง้องแง้งเมื่อแม็กทำตัวเป็นปลาหมึกกอดรัดฟัดจูบเขาไปแทบจะทั้งตัว
“เดี๋ยวนี้มึงกล้าเมินกูแล้วหรอมิน…หืม?” แม็กพูดพลางขบเม้มที่หลังคอขาวของมินจนเกิดรอยแดงจางๆ
“ก็มินไม่อยากให้มันค้างคาอ่ะ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วด้วย”
“วาดอะไรอีกล่ะ” แม็กถามพลางชะเง้อมองไปทางด้านหน้า ซึ่งพอดีกับที่มินยกขึ้นมาให้ดูพอดีหลังจากที่เจ้าตัววาดเสร็จแล้ว
“สวยมั้ย?” มินถามอย่างลุ้นๆ
“มึงแอบรับจ๊อบอีกแล้วหรอ?” แม็กถามอย่างจับผิด เพราะมินเคยหารายได้พิเศษโดยการออกแบบบ้านให้กับบริษัทของรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่งเมื่อสมัยเรียน เพราะเจ้าตัวชอบและมีความสามารถพิเศษในด้านนี้
“เปล่านะ อันนี้แบบบ้านของเราต่างหากล่ะ” มินบอกด้วยท่าทีเขินอาย
“หึ…มึงอยากอยู่บ้านหรอ”
“อื้อ มินอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่มีสวนดอกไม้กับสนามหญ้าเอาไว้ให้ลูกเราได้วิ่งเล่นด้วยไง” มินพูดบอกออกมาด้วยสีหน้าเพ้อๆอย่างมีความสุข เมื่อได้ลองวาดภาพครอบครัวที่มีทั้งเขา แม็ก และลูกน้อยของตนในจินตนาการกับอนาคตที่จะถึงข้างหน้านี้
“อืม…ก็สวยดี” แต่แม็กกลับทำให้เขาฝันสลายเมื่อเจ้าตัวให้คำตอบออกมาสั้นๆเท่านั้น
“แค่นี้เองหรอ?” มินโพล่งถามออกมาด้วยความผิดหวัง
“อืม” แม็กตอบแค่นั้นก่อนที่จะเดินหนีเข้าห้องไป
..
..
..
“มิน” แต่ระหว่างที่มินนั่งมองภาพวาดในมือด้วยความน้อยใจอยู่นั้น แม็กก็เดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“…..” แต่มินกลับกอดอกเชิดหน้าหนีด้วยความน้อยใจ
“เรื่องบ้านน่ะกูคงต้องใช้เวลาหาที่เหมาะๆก่อน แต่พรุ่งนี้กูว่างพอที่จะพามึงกับลูกเที่ยวนะ ถือว่ากูชดเชยให้ก็แล้วกัน” เขาพูดแค่นั้นก่อนที่จะหันหลังทำท่าจะเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง
“งื้อออ…แม็กน่ารักที่สุดเล๊ย!! มินรักแม็กจัง~ ตัวเล็กก็รักคุณพ่อเหมือนกันน้า~” แต่แล้วแม็กก็จำต้องหยุดยืนอยู่ที่เดิม เมื่อคนที่งอนเขาเมื่อสักครู่นี้กับลุกขึ้นมากอดพร้อมกับเอาหน้าถูหลังเขาไปมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีออดอ้อน ซึ่งแตกต่างจากท่าทางเชิดๆเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
……………………………………………………………………..TBC.