[ 17 ]
รเณศเร่งซอยเท้าอย่างเร่งรีบเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังมาจากโถงกลางบ้าน คาดว่าป่านนี้แก้มใสคงตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบใครจึงร่ำไห้ขวัญเสียขนาดนั้น อีกอย่างผู้สูงวัยอย่างป้าอนงค์และป้าสมัยคงคุมคนงานคัดผลไม้อยู่ใต้ถุนเรือนไทยโดยมีเจ้าเปลวเป็นลูกมือช่วย เพราะวันอาทิตย์แบบนี้เจ้านั่นจึงได้หยุด แต่ถึงจะถูกไล่ให้ไปพักผ่อน คนมีน้ำใจอย่างเปลวก็ขันอาสาไปช่วยผู้สูงวัยทั้งสองอยู่ดี
เสียงแผดร้องของหนูน้อยในตอนแรกค่อยเบาเป็นเสียงสะอื้น แต่ถึงอย่างนั้นคนเมืองก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นด้วยเกรงว่าเจ้าแก้มกลมจะร้องไห้จนป่วยไข้ไปซะเปล่าๆ รเณศไปถึงโถงกลางในจังหวะที่ใครคนหนึ่งช้อนร่างนุ่มนิ่มในเปลขึ้นอุ้ม ร่างสูงใหญ่นั่นโอบอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกก่อนจะขยับโยกไปมา ก่อนจะอุ้มพาหนูน้อยไปชี้ชวนดูสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ชูว์”
“ฮึก”
เด็กน้อยยังแบะปากทำหน้าเหยเกทั้งที่ซบใบหน้าแนบไปกับแผ่นอกกว้าง
“นิ่งซะนะคนดี”
“ฮึก”
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...”
เนื้อเพลงคุ้นหูที่ได้ยินทุกเช้าเย็นดังมาจากเสียงทุ้มในลำคอของคนตรงหน้า รเณศอมยิ้มกลั้นขำที่เห็นคนในชุดลายพรางกำลังร้องเพลงชาติกล่อมหนูน้อย
ให้ตายเถอะ...ดูไม่เข้ากันเอาซะเลย
แต่เชื่อมั้ยว่าเสียงสะอึกสะอื้นของหนูน้อยในอ้อมแขนของเพลิงกลับเงียบลง ใบหน้าเด็กน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตากำลังจ้องมองเพลิงนิ่ง แก้มใสทำหน้าฉงนสนเท่ห์ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มหวานจ๋อยให้คนที่จับอุ้ม มืออันใหญ่ของเพลิงซึ่งใหญ่กว่าใบหน้าน้อยๆ ของแก้มใสกำลังเกลี่ยน้ำตาตามร่องแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา
มันเป็นภาพที่มีเสน่ห์
เพลิงคือคนที่มีบุคลิกจริงจัง มีอุดมการณ์และแน่วแน่ในการทุ่มเททำงานเพื่อป่าไม้อันเป็นที่รัก และผู้ชายจริงจังคนนี้แหละที่เป็นคนๆ เดียวกับผู้ชายที่ร้องเพลงคณะให้เขา เป็นคนที่แกล้งหลอกบอกความรู้สึกพิเศษด้วยกลอนกระซิบรัก และเป็นผู้ชายที่ร้องเพลงชาติเพื่อปลอมประโลมเด็กน้อย
“แก้มใส”
“...”
“หนูเห็นนั่นมั้ย...”
เพลิงชี้ชวนเด็กในอ้อมแขนให้ดูแนวป่าท้ายไร่ปลายดอยที่กว้างไกลสุดสายตา “ตรงท้ายไร่นั่นน่ะคือพื้นที่ป่าไม้นะ มันคือทรัพย์สมบัติที่หนูเก็บรักษานะลูก”
“...”
“หนูจำเอาไว้นะ ว่าป่าคือของขวัญจากธรรมชาติ เป็นของขวัญที่ทำให้เราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้สารพัด เพราะมันมีคุณค่าอนันต์แบบนั้น หนูจึงต้องดูแลรักษามันให้อยู่กับหนูนานๆ นะ”
รเณศยืนกอดอกนิ่งฟังเพลิงชี้ชวนให้เด็กน้อยสนใจในบทสนทนา แน่นอนว่าเนื้อความเหล่านั้นไม่ทำให้เด็กวัยยังไม่ถึงขวบเข้าใจอะไรนักหรอก แก้มใสเกาหัวยุ่งๆ ท่าทางไม่เข้าใจจนเพลิงหัวเราะน้อยๆ
“วันนี้หนูอาจจะยังไม่รู้ความ ไว้ลุงจะแวะมาเล่าให้หนูฟังบ่อยๆ นะ” แก้มใสยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างไปจับประคองใบหน้าของเพลิง
“ถ้าลุงอยู่ถึงวันที่หนูโต หนูจะเข้าใจเองว่าป่าไม้ให้อะไรกับคนเราบ้าง”
เพลิงจูบขยับเด็กน้อย
“ป่าไม้ทำให้ผมรู้จักคนๆ หนึ่ง”
คำตอบของรเณศทำให้เพลิงเอี้ยวตัวหันกลับไปมองจึงเห็นว่ารเณศยืนยิ้มให้กันอยู่ด้านหลัง
“ป่าสำหรับผมอาจจะเป็นแค่ผืนป่าที่งดงามตามธรรมชาติ แต่ป่าสำหรับเขาคือชีวิตและลมหายใจของคนๆ หนึ่ง”
“...”
“ป่าทำให้ผมเจอเขา”
รเณศรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวเมื่อเพลิงจ้องหน้าเขาแล้วยิ้ม
“เขาคือใครเหรอ”
เพลิงแกล้งถาม
“คนในเครื่องแบบ...”
รเณศเผลอกัดปากตัวเองก่อนจะต่อท้ายประโยคนั้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา “...ลายพราง”
“เขามีความสำคัญกับคุณยังไง”
คนเมืองแอบกลืนน้ำลาย
“สำคัญมาก”
“ยังไง”
“เขาเป็นหมอรักษาป่าที่รักษาหัวใจของหมอยา”รเณศพูดจบแล้วรีบเดินก้มหน้างุดๆ ปิดบังใบหน้าใบหน้าแดงก่ำด้วยการผละหนีออกไปทันทีทิ้งให้เพลิงขยับรอยยิ้มกว้างก่อนจะก้มลงไปหยอกล้อกับเด็กน้อยในอ้อมแขน
.
.
บ่ายคล้อยแล้วหลังจากที่กล่อมหนูน้อยให้นอนกลางวัน วันนี้ป้าอนงค์มีผู้ช่วยคัดผลไม้เพิ่มมาอีกคนหนึ่งซึ่งดูท่าจะแข็งขันใช้ได้จนแกต้องเอ่ยบอกผู้ช่วยในชุดลายพรางให้นั่งพักซะบ้าง หลังจากมื้อเที่ยงป้าอนงค์บอกให้คนงานและชาวบ้านแถวนั้นที่แวะมาช่วยแยกย้ายไปพักผ่อนเพราะคัดผลไม้กันเสร็จแล้ว แต่ส่วนหนึ่งยังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน รเณศมองภาพนั้นแล้วยิ้มน้อยๆ เขาไม่เคยพบเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อนเพราะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาตลอดชีวิต วิถีคนเมืองและวิถีชาวบ้านมีความแตกต่างกัน คนที่นี่ถือเรื่องน้ำใจเป็นใหญ่ มีอะไรก็แบ่งปันกัน ชีวิตเรียบง่ายไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่เป็นความเงียบที่ทำให้เขาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
รเณศเห็นเพลิงนั่งยองๆ แล้วโน้มตัวลงให้ต่ำเพื่อฟังสิ่งที่ชาวบ้านกำลังบอกเขา ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเพลิงจะเป็นที่สนใจของชาวบ้านไม่น้อย ใครๆ ต่างก็เรียกหาเขา
“ยิ้มอารมณ์อะไรขนาดนั้นฮึเจ้าเนตร”
ป้าอนงค์ซึ่งกำลังนั่งปลอกเปลือกลูกตาลเพื่อน้ำไปทำลูกตาลลอยแก้วถามขึ้น รเณศสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมาสบตากับเจ้าของบ้าน
“ไม่มีอะไรนี่ครับ”
ป้าอนงค์หรี่ตามองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ
“แกรู้มั้ยว่าตอนนี้สีหน้าแกดูดีกว่าตอนมาแรกๆ อีกนะ ตอนนั้นน่ะ สีหน้าอมทุกข์อย่างกับคนแบกโลกอยู่”
รเณศยิ้มแหย
“ตอนนี้ฉันเห็นแกมีความสุข ฉันก็ดีใจ”
รเณศยิ้มกว้างก่อนจะขยับไปกอดเอวอีกฝ่าย
“อู้ย มากอดฉันทำไม”
“ขอผมกอดหน่อยนะครับ” รเณศรัดอีกคนให้แน่นขึ้นจนแกร้องโวยวายทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบคุณนะครับป้าที่ให้ชีวิตใหม่กับผม”
คนสูงวัยถอนหายใจก่อนจะละมือมาลูบศีรษะเขา
“หมดทุกข์หมดโศกนะลูกเอ๊ย อะไรที่ผ่านมาแล้วก็แล้วกันไป ใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้มีความสุขนะเจ้าเนตร”
ความสุขงั้นหรือ? ความสุขของรเณศในตอนนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากคนในชุดลายพราง ‘ผู้ช่วยคนดีของป้าอนงค์’
รเณศสบตาป้าอนงค์นิ่ง
“ป้าครับ” เขากัดริมฝีปากตัวเองแน่น “ถ้าผมไม่เหมือนคนอื่น ป้าจะรังเกียจผมมั้ยครับ”
ป้าแกถอนหายใจแรงๆ
“แกอยากทำอะไรก็ทำเถอะ อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป แค่มันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว”
คนมีอายุรู้ทุกเรื่องของเขา แววตาปราณีคู่นี้ทำให้รเณศตื้นตันใจขึ้นมา
“ป้า”
“เอาน่า ฉันไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องของแก แต่ถ้ามันหนักหัวใครที่ไม่ได้มีผลกับชีวิตแกก็ช่างมันเถอะ แกไม่ได้ขอข้าวมันกินสักหน่อย ชีวิตคนเราตัวเราเป็นคนกำหนดอย่าให้ลมปากของคนอื่นมามีผลอะไรเลย”
รเณศยิ้มขำด้วยความโล่งใจ ระหว่างนั้นเขาสังเกตเห็นเพลิงผละออกไปรับสายโทรศัพท์ข้างนอก ก่อนที่จะเดินหน้าเครียดกลับเข้ามา ท่าทางแบบนั้นทำให้คนที่ลอบมองอยู่อย่างเขารีบปรี่เข้าไปหา คนเมืองเดินซอยเท้าตามร่างสูงที่เดินหลบไปยังซุ้มเฟื้องฟ้าข้างบ้าน เพลิงคุยโทรศัพท์อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม รเณศจึงยืนรอท่าให้ชายหนุ่มคุยธุระก่อนจะวางสายไปในที่สุด
“คุณ”
สีหน้าเคร่งเครียดของเพลิงบ่งบอกว่าธุระสำคัญในสายนั่นน่าหนักใจไม่น้อย
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
เพลิงถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะสบตาเขานิ่ง
“คนร้ายที่ลอบยิงพวกเราที่หมู่บ้านท้ายเขาฆ่าตัวตาย”
รเณศยืนอึ้งทำหน้าไม่ถูก
“แล้ว...”
“ตายคนนึง อีกคนสาหัส”
รเณศรู้สึกอ่อนแรงและหวิวในอกบอกไม่ถูก ข่าวว่าคนร้ายที่จับกุมได้นั้นถูกสอบเค้นอย่างหนักแต่พวกมันไม่ปริปากซัดทอดใครเลยนอกจากนิ่งเงียบแล้วให้การณ์ว่าคิดและลงมือทำกันเอง แต่วันดีขึ้นดีก็ลุกขึ้นมาฆ่าตัวตายซะอย่างนั้น
คนเมืองถอนหายใจเฮือกใหญ่ แวบหนึ่งเขานึกถึงรอยเลือดที่หมู่บ้านนั่น
“คุณ” เภสัชกรหนุ่มทำหน้ายุ่งยากใจ “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
เพลิงทำหน้าประหลาดใจในคำพูดของเขา
“เช้าตรู่ตอนที่ผมจะไปตามคุณที่ท้ายป่า ผมเจอรอยเลือดใหม่ๆ ที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นใหญ่โตกว่าทุกคนในหมู่บ้าน”
เพลิงทำหน้าเครียดทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าเล่าสู่กันฟัง
“พวกมันเห็นคุณมั้ย”
รเณศส่ายหน้าหวือ
“ไม่น่าครับ แต่ผมแอบได้ยินพวกเขาคุยกัน คนหนึ่งบอกว่าไม่อยากทำงานผิดกฎหมายอีกแล้ว ขณะที่อีกคนไม่เห็นด้วยซ้ำยังพูดถึงเจ้าหน้าที่ไม่ดีนัก”
“รเณศ” เพลิงเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเข้ม “ทำไมถึงพาตัวเองไปในที่อันตรายแบบนี้”
“ก็..”
เพลิงยกมือห้ามไม่ให้เขากล่าวอะไรต่อ ชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้ารเณศไปกอดไว้แนบอก
“ระวังตัว”
“คุณ”
รเณศกระซิบเสียงอู้อี้กับอกกว้าง
“สัญญากับผมว่าต่อจากนี้ไปให้ระวังตัวเองมากๆ และอย่าทำแบบนี้อีก” คนเมืองพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับอกของเพลิง
“พวกมันเป็นใครเหรอครับ”
เพลิงไม่ตอบแต่ท่าทางนิ่งเงียบแบบนั้นก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว
“คุณบอกผมให้ระวังตัว คุณเองก็ต้องระวังตัวนะ” รเณศพูดเสียงแผ่ว ขณะที่อีกฝ่ายรับคำเสียงทุ้ม เพลิงค่อยผละออกจากเขา มือใหญ่เกลี่ยใบหน้าเขาเบาๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเมื่อมองข้ามรเณศไปเห็นอะไรบางอย่าง
“นั่นควันอะไร”
รเณศเอี้ยวมองไปด้านหลังก่อนจะเห็นควันไฟลอยขึ้นท้องฟ้าจากที่ไกลๆ จำนวนควันที่พวยพุ่งขึ้นมานั่นบ่งบอกว่าบริเวณนั่นคงมีการเผาไหม้ คิดดูสิว่าขนาดมองจากที่ไกลๆ ยังเห็นได้ชัดขนาดนี้ แล้วตรงจุดเกิดเหตุนั่นจะเป็นอย่างไร คนเมืองไม่ทันได้ถามความกับเพลิงเพราะทันทีที่เห็นควันไฟชายหนุ่มรีบกระโจนขึ้นรถพร้อมกับตะโกนเรียกเจ้าเปลวเสียงดังลั่น
☘☘☘☘
เพลิงทำหน้าเครียดตอนที่สบตากับเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางแต่ละคนที่วันนี้ต้องออกมาทำหน้าที่อย่างกะทันหันในวันหยุดพักผ่อน แต่สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขาต้องยอมเรียกกำลังคนแทนที่จะให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาวันหยุดกับครอบครัว
“มีคนเห็นชาวบ้านมาหาเก็บของป่าไปขายครับ พวกมันน่าจะทิ้งก้นบุหรี่โดยไม่ได้ดับ พอดีกับที่อากาศแห้งแล้ง ไฟเลยลามติดกันไว”
เกิ้งทำหน้าไม่สู้ดีนัก
“จากไฟไหม้ธรรมดากลายเป็นไฟป่าไปแล้ว”
“กลัวแต่มันจะลุกลามไปในเพื่อที่ป่าอุทยานน่ะสิ”
พลพึมพำ
“คงต้องแบ่งเป็นสองทีม ทีมแรกไปดับไฟ อีกทีมไปทำแนวกันไฟ กันไม่ให้ลุกลามเข้าเขตป่าอุทยาน ไม่อย่างนั้นพวกสัตว์ต่างๆ จะได้รับอันตรายไปด้วย”
เพลิงวิเคราะห์ หลังจากนั้นจึงแบ่งกำลังคนตามแผนก่อนจะมุ่งหน้าเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งด้านหนึ่งของตัวหมู่บ้านที่ชาวบ้านมักเข้าไปหาของกันกำลังกลายเป็นกองเพลิง ภาพเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ต้นไม้นั่นน่ากลัวไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนอกจากความน่ากลัวคือความรู้สึกเสียดายที่เห็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้นถูกไฟไหม้จนกลายเป็นตอตะโกไปแล้วบางส่วน อีกส่วนกำลังถูกไฟลามเลียไปเรื่อย สะเก็ดไฟพุ่งกระจายไปทั่ว และหากไฟลามไปถึงกิ่งไม้ใด มันก็จะทำให้กิ่งที่ถูกแผดเผาร่วงหล่นลงสู่พื้นและลามไปติดกับหญ้า
กลายเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่ที่ไม่มีท่าทีว่าดับลงได้อย่างง่ายดาย
“ระวังตัวกันด้วยนะ”
เพลิงตะโกนบอกเจ้าหน้าที่
“ครับ”
การดับไฟป่าเป็นงานที่อันตรายถึงชีวิตหากขาดความระวังระวังยิ่งวันนี้ลมแรง การดับไฟจึงเป็นไปได้ยากลำบากเพราะแรงลมส่งผลให้ไฟไหม้ลุกลามไปเรื่อยยากที่จะดับ ดีว่านอกจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้แล้วยังมีชาวบ้านแถบนั้นพากันอาสามาช่วยทำแนวกันไฟ
“ไอ้พวกระยำสูบบุหรี่สร้างภาระให้คนอื่นดมจนเป็นโรคร้ายไม่พอ มันยังทำเลวด้วยการทิ้งก้นบุหรี่จนไฟไหม้ป่าอีก”
เปลวทำเสียงกระฟัดกระเฟียด ขณะที่เต็งพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“อย่าให้เจอ กูจะจับย่างพวกแม่งให้เป็นไก่อบฟางแน่มึง”
“โอ๊ยลูกไฟ”
ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาตอนที่ลูกไฟซึ่งเกิดจากกอไผ่ไหม้ปลิวไปทั่วจนต้องพากันหลบ แรงลมนั่นส่งผลให้เปลวไฟโหมกระพือขึ้นอย่างน่ากลัว
“ฉิบหายแล้ว”
พรานธีปออุทานดังๆ
“มีคนโดนไฟลวก”
เสียงชาวบ้านตะโกนมาจากอีกฟากหนึ่งซึ่งกำลังทำแนวกันไฟอยู่นั่นทำให้เพลิงรีบวิ่งไปดูอาการคนเจ็บอย่างว่องไว
“ผู้ช่วยระวัง”
เพลิงรีบเบี่ยงไหล่ออกอย่างเฉียดฉิวเมื่อกิ่งไม้ที่ติดไฟร่วงลงมาในระยะประชิด เขาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเบี่ยงหน้าไปอีกทาง
“ผู้ช่วยเป็นอะไรมั้ย”
คนตัวโตโบกมือไหวๆ
“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่โดน”
เจ้าหน้าที่คนอื่นพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินสะพายถังดับเพลิงไล่เลาะฉีดไปตามแนวไฟ
.
.
“ไฟไหม้ป่าน่ะ”
ป้าอนงค์พูดขึ้นตอนที่ลงมือทำอาหารมื้อเย็น มือข้างหนึ่งโคลกน้ำพริกเสียงดัง ขณะที่อีกข้างนั่นกอบเอาวัตถุดิบเทใส่ครกไปเรื่อย
“น่ากลัวอยู่นะพี่อนงค์”
ป้าสมัยซึ่งยืนคนแกงอยู่หันมาสนทนาด้วย นั่นทำให้คนที่ป้อนนมเด็กน้อยในอ้อมแขนรู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ เพราะนึกถึงใครบางคน
“เขาว่าต้นเพลิงจากฝีมือไอ้กเฬวรากท้ายหมู่บ้านบ้านสามโน่น”
“เห็นว่าอย่างนั้นนะ”
“ดูสิหาภาระให้ผู้ช่วยกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ต้องลำบากไปด้วย”
ป้าอนงค์พยักหน้าหงึกหงัก
“นี่ก็ดับมาจะสามวันแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าจะดับได้เลย”
แกพูดก่อนจะพยักพเยิดไปยังเศษผงจากการเผาไหม้ที่ปลิวลงมาเกลื่อนพื้น คิดดูว่าบ้านแกห่างจากจุดที่ไฟไหม้ตั้งหลายกิโลยังได้รับผลกระทบขนาดนี้ แล้วหมู่บ้านที่ใกล้กับต้นเพลิงจะแย่ขนาดไหน ได้ข่าวว่ามีชาวบ้านป่วยเพราะสูดดมควันไฟไปหลายคนแล้ว
“เฮ้อ ห่วงก็แต่เจ้าหน้าที่กับชาวบ้านที่ไปช่วยกันดับไฟป่านั่นแหละ ป่านนี้จะกินจะนอนกันยังไง เห็นว่าช่วยกันดับไฟทั้งวันทั้งคืน”
รเณศเม้มปากแน่นเพราะเพลิงกับเปลวหายไปแล้วสามวัน เป็นสามวันที่ทำให้รเณศอยู่ไม่สุขนักหรอก ข่าวว่าสถานการณ์มันเลวร้ายลงเรื่อยๆ ตอนนี้ไฟไหม้ลามเข้าพื้นที่ป่าอุทยานแล้ว ความเสียหายมากมายเกินจะประเมินค่าได้ ซ้ำก่อนหน้านี้พื้นที่สวนผลไม้ของชาวบ้านก็วอดวายไปแล้วไม่น้อย
“ถ้าฝนตกลงมาสักหน่อยคงจะดี”
“มันก็ยากอยู่นะพี่อนงค์ ตอนนี้อากาศมันแห้งจะแย่”
“ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไฟมันดับก่อนถึงวันเกิดผู้ช่วยแกเถอะ”
วันเกิดงั้นเหรอ?
รเณศทำหน้าสนใจพอดีกับที่ป้าอนงค์หันมายิ้มให้เขา
“อีกสี่วันจะถึงวันเกิดผู้ช่วยแกน่ะ ป้าจำได้เพราะปีที่แล้วแกมาจ้างให้ทำอาหารเพื่อไปเลี้ยงเพล ไอ้เราก็เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานอยู่แล้วเลยทำให้ฟรีร่วมทำบุญไปด้วยเลย นานๆ จะได้เห็นแกทำตัวสบายๆ สักที ได้ยินว่าแต่ละปีแกก็ไม่ว่างนักหรอก ขนาดปีที่แล้วทำบุญเลี้ยงพระเสร็จพอสายหน่อยก็พาเจ้าหน้าที่เข้าป่าไปลาดตระเวนแล้ว ไม่ได้ว่างได้เว้นกับคนอื่นเขาหรอก เห็นแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ ปีนี้ป้าเลยตั้งใจไว้ว่าอยากทำบุญเลี้ยงพระให้แกอีกสักปี”
รเณศเม้มปากแน่นนึกถึงคนในชุดลายพรางที่ป่านนี้คงจะมอมแมมไปทั้งตัว จะได้กินข้าว จะได้พักผ่อนนอนหลับบ้างหรือไม่หนอ
☘☘☘☘
“ขอบคุณมากครับลุงซอยาง”
เพลิงหันไปขอบคุณผู้นำหมู่บ้านท้ายเขาที่สองสามวันมานี้พาชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านมาช่วยชาวบ้านแถบนี้ดับไฟป่ากัน ก่อนหน้านี้ชาวบ้านแถบนี้ก็มองพวกบ้านท้ายเขากันอย่างไม่เป็นมิตรนักหรอกเพราะได้ยินข่าวเรื่องเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายในหมู่บ้านนั่น แต่พอเห็นคนท้ายเขามาช่วยกันดับไฟความรู้สึกกินแหนงแคลงใจก็เบาบางลง
เพลิงยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ซึมออกทางขมับเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ก่อนจะยกน้ำในกระบอกซึ่งลุงซอยางยื่นให้เมื่อกี้ยกดื่มอีกครั้งให้คลายกระหาย สีหน้าเหนื่อยอ่อน ท่าทางดูเหนื่อยล้าของบรรดาเจ้าหน้าที่ทำให้คนที่มองอยู่นึกเห็นใจ
เสียงสะเก็ดเปลวไฟที่แตกเป็นระยะๆ บ่งบอกว่าเพลิงไฟยังทำงานของมันได้ดีทั้งๆ ที่บรรดาเจ้าหน้าที่และชาวบ้านระดมกำลังมาช่วยกันดับ ดีว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงที่ลามไปไหม้ที่ป่าอุทยานได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าก็ต่างสูญเสียไปในกองเพลิงไม่น้อยเลย
“ผู้ช่วย”
เสียงเกิ้งตะโกนมาจากอีกฝ่ายทำให้คนที่เพิ่งได้นั่งพักขาผุดลุกขึ้น ลุงซอยางเหลือบตามองคนหนุ่มที่ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว ดูเอาเถอะเห็นผู้ช่วยแกเดินไม่หยุดตั้งแต่เช้า บรรดาเจ้าหน้าที่คนอื่นยังได้เปลี่ยนกันพัก แต่เพิ่งเห็นว่าเพลิงได้พักเหนื่อยก็ตอนที่พักดื่มน้ำเมื่อกี้นี้เท่านั้นเอง
“พบซากควายป่านอนตายในกองไฟตรงชายป่าด้านโน้นครับ”
เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนที่ทอดมองซากสัตว์ชนิดหนึ่งที่ดำเป็นตอตะโกจนแทบมองไม่เห็นเค้าโครงเดิมของมัน ใครๆ ก็รักชีวิตกันทั้งนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์ป่า มันคงจะหนีตายมาทางนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหลุดรอดไปจากเพลิงกัลป์ที่เผาคร่าชีวิตของพวกมัน
สูญเสียอย่างอื่นสามารถใช้เงินทองซื้อหามาทดแทนกันได้ แต่สูญเสียชีวิตนี่จะหาอะไรมาทดแทนกันเล่า ป่าต้องใช้เวลากว่าชั่วอายุคนในการเจริญเติบโตเพื่อให้เราคนเก็บเกี่ยวความอุดมสมบูรณ์ของมัน ไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่ต้องอาศัยความอุดมสมบูรณ์นั้นในการดำรงชีวิต และต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยกว่าจะฟื้นฟูคามหลากหลายทางชีวภาพในป่าแห่งนี้
เพลิงเหลือบตามองหน้าดินที่ดำเป็นนิลถูกไฟพลาญจนสูญเสียธาตุอาหารสำคัญ มองไปรอบกายเขาเห็นแต่ซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายนับสิบและอีกนับร้อยแปรสภาพจากสีเขียวอุดมสมบูรณ์เป็นสีดำอันธกาล กลิ่นควันไฟ กลิ่นซากความสูญเสียฟุ้งกระจายไปทั่ว
“แนวกันไฟที่ป้องกันไฟลามเข้าไปเขตอุทยานด้านหนึ่งได้ผลครับ”
“...”
“แต่ว่าไฟป่าอีกด้านดูเหมือนจะลุกลามเข้าเขตสวนผลไม้ของชาวบ้าน”
พลทำหน้ายุ่งยากใจ
“อีกอย่างป่าเราเสียพื้นที่ป่าไปเกือบร้อยไร่”
ป่านับร้อยถูกทำลายลงด้วยฝีมือของมนุษย์
เพลิงกำหมัดแน่น
“แต่เมื่อวานนี้ทางการแจ้งมาว่ากรมฝนหลวงฯ จะขึ้นทำการบินวันนี้”
เกิ้งเสริมขึ้นอย่างมีความหวัง
“ข้าได้แต่ภาวนาว่าขอให้ฝนตกลงมาทีเถอะ”
พรานธีปอลูบไปที่ลำคอซึ่งแกห้อยเหรียญบาทเอาไว้ “ป่าห่มรักของพวกเราเสียหายมามากเกินพอแล้ว”
เพลิงเงยหน้ามองท้องฟ้าตอนที่ได้บินเสียงเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านมา ลุงซอยางยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ขอให้สำเร็จที่เถอะ”
เพลิงรู้ดีตอนนี้ความหวังสุดท้ายของพวกเราคือภาวนาให้ฝนตก เพราะหากสายฝนเทลงมาเพลิงกัลป์ที่กำลังโหมแรงอยู่คงจะดับลงได้ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนอ่อนล้าเพราะสู้กับมันมาหลายวัน ถึงจะเหนื่อยแต่ไม่มีใครปริปากบ่น ทุกคนยังก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
แต่ยิ่งทำก็เหมือนยิ่งหมดแรง
เพลิงรู้ดีว่าตอนนี้พวกเรากำลังต่อสู้กับธรรมชาติ ถึงแม้สาเหตุจะมาจากการกระทำของมนุษย์แต่ตอนนี้ธรรมชาติกำลังทดสอบพวกเราอย่างไม่ปราณี สภาพอากาศแล้งแห้งที่มีแต่ลมไร้ทิศทางไม่สามารถคาดเดาทิศทางของไฟได้มันเหมือนด่านทดสอบจากธรรมชาติวซึ่งกำลังเล่มเกมกับผลการกระทำของมนุษย์
เขารู้ดีต่อให้คนเรามีพละกำลัง มีสติปัญญา หรือมีเทคโนโลยีมากมายเกิดขึ้นในทุกๆ วัน แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเอาชนะธรรมชาติได้หรอก
.
.
“สาธุ”
รเณศเหลือบตามองป้าอนงค์และบรรดาชาวบ้านที่พากันมาตั้งเต็นท์ประกอบอาหารเพื่อนำเอาเสบียงไปให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่กำลังดับไฟป่ากันอยู่ตอนนี้ เขาเห็นคนในหมู่บ้านผลัดกันมาช่วยทำกับข้าวไม่ได้ขาด จนกระทั่งใครคนหนึ่งนำเอาข่าวดีมาบอกว่าวันนี้ทางการจะทำฝนหลวงเพื่อให้ฝนตกตั้งแต่เช้า นั่นจึงทำให้เกิดเสียงสาธุดังไปทั่วเต็นท์
บ่ายแก่ๆ วันนั้นคนเมืองจึงวิ่งออกมองด้านนอกเต็นท์ก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องหน้า ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับดำมืด กลุ่มเมฆที่ลอยตัวไปมาเริ่มจับกลุ่มเป็นก้อนขนาดใหญ่สีดำมหึมา ในความดำมืดนั่น รเณศกลับเห็นแสงสว่างบางอย่าง ไม่ใช่แสงไฟหรือแสงฟ้า แต่เป็นแสงแห่งความหวังที่ทุกคนเฝ้ารอมานาน
“ฝนตกแล้ว”
เสียงใครบางคนตะโกนดังลั่น ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็พากันกรูออกมานอกเต็นท์ สายฝนที่โปรยปรายในระยะแรกกลับเริ่มหนาเม็ดแล้วตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา รเณศมองไปรอบกายเขาเห็นผู้คนต่างโห่ร้องดีใจ ไม่มีใครวิ่งเข้าเต็นท์หลบฝน แทบทุกคนต่างพากันยืนตากฝนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหัวเราะไปกับสายฝนที่ซัดกระหน่ำ
รเณศรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวและใบหน้าของเขาเปียกปอนไปหมด ไม่แน่ใจว่าเพราะน้ำฝนหรือน้ำตากันแน่ หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่างปะปนกันไป
เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าเสียใจ ตรงกันข้ามน้ำตานั้นเกิดจากความปรีติดีใจ
ดีใจ...ที่ไฟป่าจะมอดดับลงแล้ว
และดีใจ...ที่คนไกลซึ่งเขาห่วงใยกำลังจะได้
‘กลับบ้าน’.
.
เพลิงหลับตาแหงนหน้ามองท้องฟ้าเพื่อสัมผัสกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่พากันคนกอดคอโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ฝนหลวง”
พรานธีปอและลุงซอยางต่างพากันคุกเข่าก้มลงกราบพื้นดิน
มนุษย์ก็ไม่เคยเอาชนะธรรมชาติได้...เป็นความจริง แต่มีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่คิดวิธีการต่อกรกับธรรมชาติจนได้ผล ไม่ใช่เพื่ออยากเอาชนะธรรมชาติหรอก เปล่าเลย แต่เพื่อเอาชนะความลำบากยากจนของประชาชนคนบนพื้นดินเฉกเช่นพวกเราต่างหาก
☘☘☘☘
บอกแล้วว่านี่คือนิยายฟิลกู๊ด (ตามแบบฉบับเรา คิกค้ากก)
สำหรับผู้ติดตามใหม่เราลงนิยายทุกวันจันทร์นะคะ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ