ปฏิญญาที่ ๖เจ้าน้องน้อยที่รักของรำไพ
ช่วงนี้ใจเจ้าดูจักสุขี
รอยยิ้มหวานพาอบอุ่นทั่วแดนตรี
นัยน์ตามีประกายความสุขสันต์องค์สุริเยนทร์ไทวะทรงทอดพระเนตรมองน้องร่วมอุทรทั้งสองด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง... ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น
ศศิน อนุชาของพระองค์ดูมีความสุขและมีรอยยิ้มที่ดูไม่ฝืนเหมือนปกติอยู่บ่อยครั้ง แม้จะยังดูไม่ค่อยสบายนักก็ตามที...
ส่วนหญิงศร... นับวันยิ่งดูเหม่อลอยราวกับนางอยู่ในห้วงฝัน บางครั้งก็ดูทุกข์ใจราวกับมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นกับนาง... ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างก็ปกติดี
หรือไม่ปกติกันนะ...
แต่เอาเถอะ... ไม่ว่าจะเกิดอะไร มันก็คงเป็นเรื่องรวมที่ทำให้หญิงศรได้รับบทเรียนบางอย่างบ้าง... ก่อนที่จะเสียนิสัยไปมากกว่านี้
ถ้านางไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่... ล่ะนะ
พระองค์อดไม่ได้ที่จะเบนพระเนตรไปมองเจ้าชายต่างถิ่น... นี่ก็แปลก แม้จะดูนิ่ง ๆ เหมือนกับปกติ แต่บรรยากาศรอบ ๆ นั้นไม่เย็นชาเหมือนตอนที่ได้พบกันครั้งแรก... แล้วก็อยู่ไม่ค่อยห่างจากศศินนักด้วย
หรือว่าเราคิดมากไปเองนะ...
อืม... อย่างไรก็ตาม ถ้าศศิธรดวงน้อยของข้ามีความสุข นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดแล้ว
องค์ชายใหญ่แห่งแดนดินก้มพักตร์ลงทำงานของพระองค์ต่อด้วยรอยยิ้ม แม้จะทรงเคืองพระทัยเล็ก ๆ ที่เจ้าชายต่างถิ่นมาใกล้ชิดกับอนุชาของตน
แต่ถ้าศศินมีรอยยิ้ม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว...
แม้เสด็จพ่อจะต้องการผลักไสดวงจันทร์ของพระองค์ไปให้พ้นจากสายตา... แต่พระองค์จะทรงรั้งเอาไว้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
พระองค์มีน้องชายร่วมอุทรเพียงคนเดียว... มีน้องคนนี้คนเดียวที่มาฉุดรั้งให้พระองค์ต้องเติบใหญ่ มาเป็นกำลังให้พระองค์รู้ว่าต้องสู้เพื่อปกป้องน้องชายผู้อ่อนแอ มิให้ใครมารังแกเขาได้... เหมือนครั้งยังเยาว์ ที่น้องชายร่วมบิดารวมหัวกันมาแกล้งน้องน้อยที่ไร้กำลัง
นึกแล้วโมโหในความอ่อนแอของตนในครานั้นยิ่งนัก ถ้าเพียงพระองค์ตั้งพระทัยฝึกฝนมากกว่านั้น ซ้อมให้มากอีกสักหน่อย ศศินคงไม่ได้รับบาดแผลให้ปวดพระทัย... เป็นแผลใจจนถึงวันนี้
เคราะห์ดี ที่ไม่เป็นแผลเป็นให้มีราคี
“เจ้าพี่สุริเยนทร์พะยะค่ะ”เพียงแค่เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ เรียกความสนใจของพระองค์ได้ชะงักยิ่งนัก “น้องเรียงแผ่นงานให้เสด็จแล้วนะพะยะค่ะ”
“งั้นหรือ... ขอบใจเจ้ามา ศศิน”รอยยิ้มอบอุ่นคลี่ส่งให้จากใจ “มานี่หน่อยสิ น้องพี่”
ร่างบางก้าวเข้ามายืนข้างเสด็จพี่ของตนตามคำเรียกขาน ดวงหน้ามนเอียงน้อย ๆ เชิงสงสัย
“ศศิน...”กรแกร่งโอบรั้งร่างเล็กให้ทรุดลงมานั่งบนพระเพลา พระพักตร์หล่อเหลาเกยไหล่เล็ก “น้องรักของพี่... ช่วงนี้เจ้ายังมีสุขดีใช่ไหม”
“พะยะค่ะ เสด็จพี่ น้องมีความสุขดี”ทั้งนัยน์ตา ทั้งดวงหน้า บ่งบอกถึงความสุขที่มี มิได้ทรงโปปดเลยแม้เพียงน้อย
“ดีแล้ว... ดีจริง ๆ ที่น้องยังมีความสุข”เสียงพึมพำในลำคอแผ่วเบา พระหัตถ์หนาแตะที่หน้าผาก ที่ลำคอของน้องชาย “ไข้ก็ไม่มีแล้วสินะ”
“พะยะค่ะ น้องแข็งแรงดีแล้ว”
นาสิกโด่งสูดความหอมที่แก้มนุ่ม ก่อนที่จะทรงปล่อยร่างของอนุชาออกจากอ้อมกร ศศินผินหน้าไปหอมแก้มเชษฐาของตนเบา ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้น
“อะไรที่น้องทำแล้วมีความสุข ก็ทำมันต่อไปนะ ศศินคคนานต์”เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พี่จะคอยเป็นกำลังให้น้อง คอยปกป้องน้องตลอดไป”
“พะยะค่ะ เสด็จพี่”
แขนเรียวโอบกอดร่างของผู้เป็นพี่แน่น แล้วเดินออกจากห้องอักษรไปอย่างเงียบ ๆ
บรรยากาศอันอบอุ่นอบอวนอยู่ในห้องนี้ ความรัก ความห่วงใยที่พี่ชายที่มีให้แก่น้องชายช่างเป็นสิ่งที่น่าปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ ศศินคคนานต์อบอุ่นใจยิ่งนัก เมื่อเขารู้สึกว่าเขามีพระเชษฐาที่แสนดีถึงสององค์
องค์หนึ่ง... พี่ชายร่วมอุทร ผู้คอยช่วยเหลือเขาอยู่ลับ ๆ เสมอ คอยประคองให้ผ่านวันเวลาที่หม่นหมอง คอยยื่นมือมาฉุดรั้งตนเอาไว้เวลาที่กำลังจะล้มลง ให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
องค์หนึ่ง... รัชทายาทแห่งแดนไกล ผู้มาเยือน คอยพูดคุย รับฟังความนัยน์ที่เก็บไว้ และปลอบโยนเขายามเสียใจ
พี่ชายที่แสนดี
องค์ศรวิษฐารู้สึกราวกับมีไฟมาสุมอกทุกคราที่เห็นภาพของคนที่พระนางหลงรักนั้น พูดคุยหยอกล้อกับอนุชาของพระนางเอง
อยากจะเข้าไปกระชากเจ้าน้องออกจากมือใหญ่นั้น เอาตัวเจ้าน้องไปให้ไกลสุดหล้า มิให้ได้พบเจอกันอีก...
แต่นั่นก็เป็นได้เพียงแค่ความคิดที่อยู่ภายในจิตใจเท่านั้น
พระนางจักทำกิริยาไม่งามเช่นนั้นให้เจ้าชายรพีธรณินเห็นมิได้เป็นอันขาด...
ควรจะทำอย่างไรดีนะ... จะทำอย่างไรให้พระองค์หันมาสนพระทัยในตัวของพระนาง... มิใช่เอาพระทัยใส่แต่เจ้าน้องศศินเช่นนี้
ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินกว่าจะแก้ไข...
สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงศรวิษฐานั้นแลดูเครียดขึงจนเหล่านางกำนัลหวาดผวา... ด้วยเกรงว่าพระอารมณ์ของพระนางจะระเบิดออกมาในไม่ช้า
เมื่อถึงเวลานั้น... พวกนางคงแย่
นางกำนัลทั้งหลายได้แต่หลบไปอยู่ในมุมเล็ก ๆ ไม่ให้เป็นที่เกะกะสายพระเนตรของผู้เป็นนาย หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวแทบทุกวินาที
สวรรค์ โปรดอย่าให้พระนางโกรธาไปมากกว่านี้เลย เห็นแก่บ่าวตาดำ ๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ
เจ้าหญิงศรวิษฐาทรงลุกขึ้นจากที่ประทับ เสด็จออกน้องตำหนักไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาตกใจของเหล่าข้าราชบริพาร
พระนางจะไปไหนกัน... ถึงแม้จะสงสัยและใคร่รู้กันสักเพียงไร แต่ก็มิมีใครกล้าพอที่จะตามเสด็จพระนางไป แม้เพียงสักคน
พระนางทรงก้าวเดินตรงไปยังตำหนักเล็ก ๆ ที่ร่มรื่นอย่างตำหนักปักษาธร ตำหนักของเจ้าน้องของพระนางเองด้วยพระพักตร์เรียบเฉย
“ศศิน...”เสียงหวานตรัสเรียกอนุชาที่กำลังนั่งโขกหมากรุกกับทหารองครักษ์คนสนิทอยู่ในสวนงาม “มีเวลาพอจะคุยกับพี่สักหน่อยไหม”
“พะยะค่ะ เจ้าพี่”ร่างเพรียววางมือจากสิ่งที่กระทำอยู่ลง ลุกขึ้นตามพระพี่นางของตนไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของเหล่าข้าราชบริพารที่รับใช้พระองค์มานาน
เจ้าหญิงศรวิษฐาเสด็จนำเจ้าน้องของพระองค์มายังสระน้ำหลังตำหนัก พระนางประทับยืนนิ่งเหม่อมองไปยังบัวหลวงและเหล่าภุมราที่โบยบิน
“เจ้าคิดอย่างไรกับเจ้าชายรพี ศศิน น้องพี่”พระนางทรงเปรยถามเบา ๆ กับอนุชาองค์น้อย “เจ้ารักพระองค์ใช่หรือไม่”
“มิได้เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ เจ้าพี่”เจ้าจันทราเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “องค์รพีธรณินเปรียบเสมือนพระเชษฐาของกระหม่อมพะยะค่ะ”
“แล้วเจ้าเข้าไปใกล้ชิดกับพระองค์ด้วยเหตุใด”ศรวิษฐาตวาดลั่น ดวงเนตรสวยฉายแววกราดเกรี้ยวอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าเจ้าไม่ได้คิดอันใดกับพระองค์”
“น้องไม่ได้คิดอะไรกับองค์ชายจริง ๆ พะยะค่ะ เจ้าพี่”ศศินยืนยันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “องค์รพีเปรียบเสมือนพระเชษฐาของน้อง น้องมิเคยคิดเกินเลยกับพระองค์พะยะค่ะ”
“ข้าไม่เชื่อ!!!!!!”
“เจ้าพี่...”
“ถ้าเจ้ามิได้คิดอะไร เช่นนั้นเจ้าจงถอยห่างออกมาจากพระองค์ อย่าเข้าใกล้พระองค์อีก”พระนางกดเสียงเย็นชาใส่เจ้าน้อง ทั้งที่ทรงรู้อยู่เต็มอุระว่าผู้ที่เข้าหามาใช่เจ้าน้องของพระนาง แต่เป็นตัวของเจ้าชายรพีธรณิน... แต่จักให้ทรงทำพระทัยได้อย่างไรว่าบุรุษที่พระนางหลงรักนั้นใส่พระทัยกับอนุชาที่ไม่มีอะไรเลยอย่างศศินคคนานต์ “ออกมาให้ห่างพระองค์ อย่าให้พระองค์ได้เห็นเจ้าแม้เพียงเส้นผม”
“...”ศีตภาดวงน้อยเม้มโอษฐ์แน่น แม้จะทรงชื่นชม และยินดีที่เจ้าชายเมืองแม่มาพูดคุย มาคอยดูแลเล็ก ๆ แต่... จะเห็นเขาดีกว่าสายโลหิตของตนคงมิได้ “พะยะ...”
“เจ้าคิดจะทำอะไร ศรวิษฐา”ยังไม่ทันที่เจ้าปักษาธรจักได้ให้คำมั่นกับดารกา สหัสรังสีผู้เรืองฤทธิ์ก็ก้าวเข้ามาขัดเสียก่อน ด้วยสีพระพักตร์ที่น้อยครั้งจะได้เห็น... สีพระพักตร์ที่แสดงถึงความโกรธเคืองพระทัย ที่แม่จะพยายามเก็บซ่อน แต่ก็ไม่มิด “เจ้าคิดจะบีบบังคับเจ้าน้องให้ทำอันใดอีกกัน”
“เจ้าพี่สุริเยนทร์... ก็ศศินจักแย่งองค์รพีไปจากน้อง น้องไม่ยอมหรอกนะเพคะ”เจ้าหญิงองค์งานทูลฟ้องแก่เชษฐาของพระนาง แต่เล็ก แต่น้อย ด้วยความที่เป็นขนิษฐา จึงทำให้พระนางถูกตามพระทัย และทรงได้ทุกอย่างที่ประสงค์มาตลอด และครั้งนี้ก็จักต้องเป็นเช่นนั้น “เจ้าพี่ต้องจัดการให้น้องนะเพคะ”
“เจ้าสมควรจะรู้ตัวได้แล้วนะ ศรวิษฐา เลิกทำตัวเป็นเด็กน้อยอมมือเสียที อย่างไรเจ้าชายก็ต้องทรงเลือกเจ้าไปอยู่ดี ในวันนี้พระองค์จะทรงพูดคุยกับเจ้าน้อง แต่ก็เพียงในวันนี้ ในช่วงนี้ มิใช่ตลอดไป”องค์สุริเยนทร์ทรงติเจ้าน้องนางเสียงเข้ม “เจ้าควรมีใจที่เอื้อเฟื้อบ้าง หญิงศร เจ้าควรรู้ว่าองค์รพีของเจ้าเป็นองค์รัชทายาท อีกไม่นานต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าพระองค์มิได้มีเจ้าเพียงคนเดียว”
“เจ้าพี่!!”เจ้าหญิงน้อยแผดเสียงลั่นตำหนักที่เงียบงันจนข้ารับใช้ต้องพากันออกมาแอบดู ด้วยความที่พระเชษฐาของพระนางนั้น มิเคยสักคราที่จะไม่เข้าข้างพระนาง แต่มาวันนี้กลับเข้าข้างอนุชาผู้โง่เง่า ทำไม ทำไมกัน! “เจ้าพี่ทรงติน้อง เจ้าพี่ไม่ทรงรักน้องแล้ว”
“เจ้าพี่หญิง”ศศินเอื้อมมือไปแตะบ่าของผู้เป็นภคินี แต่กลับถูกพระนางปัดออกแล้วหันวรกายมาผลักองค์จนล้มลง
“เพราะเจ้า เพราะเจ้าคนเดียว เจ้าเอาความรักของเจ้าพี่ไปจากข้า เจ้าเอาทุกอย่างไปจากข้า ข้าเกลียดเจ้า ศศินคคนานต์ ข้าเกลียดเจ้า”เสียงแหลมสูงของสตรีตะโกนในหน้าของเจ้าจันทร ก่อนที่ร่างเพรียวของดารกาจักวิ่งหายไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาเลย
“เจ้าพี่...”
หยาดน้ำตาไหลหยดที่หางเนตร เจ็บปวดเหลือแสนที่ถูกภคินีที่รักยิ่งบอกเกลียดเช่นนี้... สุริเยนทร์ไทวะที่เห็นพระอนุชาเสียพระทัย ก็ได้แต่โอบกอดร่างของน้องน้อยเอาไว้เพื่อปลอบโยน..
พระองค์ไม่ควรจะเกิดมาจริง ๆ######################
มาต่อให้แล้วค้าา
แต่ไม่มีใครทายถูกนะคะ คณะที่คนเขียนเรียนอยู่ 5555
เฉลยคือ เทคนิคการแพทย์ ค่ะ ^^ // คำใบ้คือ ราชาวดี อันนี้ถ้ารู้ก็รู้กันเลยล่ะค่ะ 5555
ผลสอบออกมาผ่านหมด ลงฉลองก่อนหมดวัน แฮ่