บทที่ 186 The Key Keeper
“ลุงว่าไงนะครับ!”
กันต์เอ่ยออกมาอย่างตกใจ เขาจะกลั้นหายใจตอนที่ได้ยินประโยคนั้น การไม่มีจักระสำหรับผู้เล่นเกมก็คงเหมือนคนที่ไม่มีแขนไม่มีขา เฟี๊ยตจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“ไอ้หนุ่มนั่นถูกสาปให้กลายเป็นหินนานเกินไป ความจริงมันน่าจะตายไปตั้งแต่โดนคำสาปแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะใช้เวทย์อะไรสักอย่างเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นหินไปเสียเอง มันเลยรอดชีวิตมาได้ เพราะคำสาปนั่นไม่สามารถสาปวัตถุที่มีสภาพเป็นหินอยู่ก่อนแล้ว ไอ้หนุ่มนี่คงฉลาดอยู่ไม่น้อย” หัสดินพูดออกมาพลางมองไปที่ร่างของเฟี๊ยตที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ในขณะนี้
“แต่เป็นโชคร้ายของมันที่ไพ่เวทย์มนต์ใบนั้นมันแรงมาก ดูเหมือนมันจะเป็นไพ่ที่เอาไว้สาปคนอื่นมากกว่าจะใช้สาปตัวเอง คำสาปนั่นทำให้สมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายมันผิดปรกติ ธาตุดินที่มหาศาลของมันจึงยังตรึงร่างของมันไว้ทั้งๆ ที่คำสาปหมดฤทธิ์ไปนานแล้ว” ชายวัยกลางคนคนนั้นเอ่ยต่อจนจบถ้อยความ
“ลุงช่วยรักษาเพื่อนผมไม่ได้เหรอครับ ลุงน่าจะปรับสมดุลจักระได้” กันต์พูดขึ้นอย่างมีความหวัง ทั้งๆ ที่ในใจเขารู้ดีว่าความหวังที่มีมันริบหรี่เหลือเกิน
“ข้าช่วยปรับสมดุลมันได้ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อช่วยชีวิตมันนี่แหละ เอ็งคิดเหรอว่าถ้าข้าไม่ช่วย ไอ้หนุ่มสองคนนี้จะรอด ฮ่าฮ่า” ลุงหัสดินพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ
“อ๊าว ถ้างั้นก็แปลว่าเพื่อนผมจะหายใช่ไหมครับ”
“วันนี้ข้าปรับสมดุลจักระให้มันได้ แต่ข้าคงไม่อยู่คอยปรับให้มันตลอดไป วิธีที่ดีที่สุดคือปิดมันไว้ เพราะถ้าเปิดธาตุใช้จักระเมื่อไหร่ มันก็จะกลายสภาพเป็นอย่างที่เอ็งเห็นอยู่นี้” ลุงพูดเนิบๆ
“ปิด?” กันต์เอ่ยเสียงสูงขึ้นอย่างไม่มั่นใจ
“ใช่ ข้าจะปิดประตูจักระทั้งสิบของไอ้หนุ่มนี่เอาไว้ เพราะตอนนี้ระบบจักระในร่างกายมันรวนไปหมดแล้ว ถ้ามันยังใช้จักระอยู่อีก มันก็จะกลายสภาพเป็นหินอย่างที่เห็น” ลุงหัสดินพูดออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปทางไอสีซีเมนท์ที่แผ่ผุ่งออกมาตลอดเวลา ณ ขณะนี้
“อย่างนี้ เพื่อนผมไม่เหมือนตายทั้งเป็นเลยเหรอครับ ไม่มีจักระแล้วจะเล่นเกมนี้ต่อไปได้ยังไง” กันต์พูดพึมพำ
“เพื่อนเอ็งต้องเรียนรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากการ์ด เพราะการ์ดนั้นสามารถใช้เพียงจิตควบคุม ไม่จำเป็นต้องใช้จักระเสมอไป ข้าจะสอนให้มันตลอดเวลาที่มันพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ที่เหลือหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวมันเองแล้วหละ” หัสดินพูดพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา
“ข้าว่าไอ้เด็กหนุ่มคู่นี้ยังไปได้อีกไกล พวกมันมีคุณสมบัติพิเศษที่หาได้ยากในคนธรรมดาทั่วไป คนหนึ่งมีพลังจักระที่ไร้ขีดจำกัด ส่วนอีกคนก็มีพลังสติปัญญาที่ไม่เป็นรองใคร วันหนึ่งถ้าพวกมันดึงเอาพรสวรรค์เหล่านี้มาใช้ได้อย่างเต็มที่ สายตาจากทั้งโลกใบนี้จะจับจ้องมาที่พวกมันทั้งสองคน” กันต์ที่นิ่งฟังอยู่ขณะนั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกผ่านคำพูดใดออกไป เขาเพียงแต่มองไปที่ร่างของชายทั้งสองอย่างครุ่นคิดเท่านั้น
“เอ็งชื่อว่าอะไรนะ” ลุงคนนั้นเอ่ยขึ้นมาหลังจากตกไปในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง
“กันต์ครับ” เขาตอบออกมาอย่างงงๆ
“กันต์ เอ็งตั้งใจฟังข้าให้ดีนะ สิ่งที่ข้ากำลังใจพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก มันเป็นเหมือนกุญแจที่จะปลดผนึกความไร้ขีดจำกัดของเพื่อนสองคนของเอ็ง ข้ายังไม่สามารถบอกกับพวกมันโดยตรงได้ในตอนนี้ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่สมควร เร่งเวลาไปตอนนี้ก็จะมีแต่ผลเสียเปล่าๆ” กันต์แทบจะกลั้นลมหายใจเมื่อได้ยินประโยคฝากฝังนั่น
“ตอนนี้ไอ้เด็กสีดำนั่นเหมือนเครื่องจักรทรงพลังขนาดยักษ์ เต็มไปด้วยพลังอำนาจและเรี่ยวแรง ส่วนไอ้เด็กสีขาวนั่นเป็นมันสมองของเครื่องจักรนั้น สมองกลที่จะขับเคลื่อนพลังที่ไร้เทียมทาน ส่วนเอ็ง เอ็งจะเป็นคนที่ถือกุญแจที่จะบังคับให้เครื่องจักรนั้นทำงานได้ พวกเอ็งสามคนต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงจะก้าวข้ามขีดจำกัดที่พวกเอ็งกำลังถูกกีดกันนี้อยู่ได้”
“ครับ!” กันต์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากที่ถ่ายทอดคำสั่งเรียบร้อยหมดแล้ว ลุงหัสดินลุกเดินนำกันต์ไปที่แท่นตรงหน้าร่างของชายทั้งสองคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือซ้ายและมือขวาควบคุมไอสีดำและฝุ่นผงสีขาวที่กระจายอยู่บนอากาศเหล่านั้น ขณะนี้ร่างกายของเพื่อนชายทั้งสองของกันต์ดูปรกติเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เค้าโครงใบหน้ากลับมามีสีเลือดตามปรกติ สภาพความดำมืดของธันหายไป และลักษณะแข็งทื่อเป็นหินของเฟี๊ยตก็หายไปเช่นกัน กันต์จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างกึ่งดีใจกึ่งตื่นเต้น คาดเดาได้ยากเหลือเกินว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้นจะเป็นไปในรูปแบบใด
ชายผู้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นั้นเริ่มวาดมือของตนไปบนอากาศเบื้องหน้า ไอสีดำและละอองสีขาวค่อยๆ เคลื่อนตัวไปมาราวกับมันเป็นโลหะที่เคลื่อนที่ไปตามแม่เหล็กอย่างใดอย่างนั้น สสารเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปมาอย่างยากจะคาดเดาทิศทางได้ ขณะนั้นเอง ร่างกายของเฟี๊ยตและธันก็ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นเป็นรอยของเส้นอะไรสักอย่างหนึ่งเต็มไปทั่วทั้งร่างกาย ลักษณะของมันเหมือนจะเป็นเส้นจักระอะไรอย่างนั้นตามการเดาของกันต์ หลังจากนั้น ลุงหัสดินก็กวาดมือไปมาอีก พร้อมกับไอสีดำและฝุ่นผงสีขาวที่เคลื่อนที่ไปยังเส้นสายเรืองแสงเหล่านั้น พร้อมกับค่อยๆ ซึมหายไปในร่างกายของคนทั้งคู่ทีละช้าๆ ราวกับของเหลวที่ค่อยๆ ถูกซึมซับไปในเนื้อผ้าสะอาดอย่างนั้น
ในตอนที่กันต์กำลังสนใจในร่างกายของเพื่อนทั้งสองคนตรงหน้าอยู่นั้น ลุงหัสดินก็หันมาและเริ่มอธิบายสิ่งที่เป็นความลับของเรื่องราวทั้งหมดนั้น ชายผู้นั้นควบคุมการเคลื่อนไหวของจักระของเฟี๊ยตและธันได้อย่างอิสระ โดยทยอยถ่ายทอดให้กันต์อย่างเป็นลำดับ ถึงแม้ว่าชายทั้งคู่นั้นจะเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศแห่งการต่อสู้ แต่ดูเหมือนเฟี๊ยตและธันจะยังเป็นเพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน ชายทั้งสองยังต้องผ่านการฝึกฝนและรอคอยให้ถึงเวลาที่จะระเบิดความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ และกันต์ได้รับหน้าที่ในการเฝ้ามองและถือกุญแจดอกสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดนี้
“ไอ้หนุ่ม เอ็งมีหน้าที่เปิดเผยความลับเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และถ้าเวลานั้นไม่มาถึง เอ็งก็ปล่อยให้ความลับนี้ตายไปพร้อมกับเอ็ง ตัวเอ็งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเพื่อนทั้งสองของเอ็งคู่นั้น ผิดเวลาไปแม้แต่น้อย พลังที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะกลับมาฆ่าไอ้หนุ่มสองคนนั้น จงทำตัวเป็นผู้รักษากุญแจให้ดีที่สุด เอาตัวรอดและรักษาชีวิตไว้จนถึงวันที่เหมาะสม เพราะถ้าเอ็งตายไปก่อน ความสามารถที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาที่เปรียบเทียบนั้นก็จะตายไปพร้อมกับร่างกายของเอ็ง เอ็งจงจำคำข้าไว้ให้ดี”
ลุงหัสดินหันมาสำทับกับกันต์อย่างหนักแน่น ลุงคนนั้นบีบไหล่เขาไว้อย่างฝากฝัง เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นห้ามจดบันทึกด้วยวิธีการใดทั้งปวง เพราะมันอาจจะรั่วไหลไปถึงผู้ประสงค์ร้ายได้ เขามีหน้าที่ใช้ความจำที่มีทั้งหมดอยู่ตอนนี้หล่อหลอมกุญแจของความสามารถลึกลับนั้นในเวลาที่จำกัด ความหวังของเฟี๊ยตและธันทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูกเก็บงำไว้ในความทรงจำของเขา ณ เวลานั้นเอง
“เฟี๊ยต”
“หืมม”
“มึงต้องไม่ตาย”
“อืมม”
“กูไม่ยอมให้มึงตาย”
“อืออ”
“เพราะ...”
“เพราะ...”
เหตุผลที่อยู่ท้ายประโยคนั้นกล่าวไว้ว่าอะไรก็ดูเหมือนจะเกินขอบเขตที่เภสัชกรหนุ่มจะรับรู้เสียแล้ว การรับรู้ของเขาล่องลอยและไม่พร้อมสักเท่าไหร่ตลอดเวลาที่ต้องคำสาปร้ายนั้น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยอยู่กลางอากาศ มันเบาบางและไม่อาจจับต้องได้ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้ เรื่องราวดำเนินผ่านไปอย่างไร เขาก็ไม่รู้ สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่อย่างเจือจางในความทรงจำของเขานั้น คือเสียงจากคนคนหนึ่งที่เขาแสนจะคุ้นเคย คุ้นเคยจนเขาไม่ได้แยกแยะหาสิ่งเท็จจริงใดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น ราวกับว่ามันจะเคลื่อนไหวไปอย่างอ้อยอิ่งหยอกล้อไปกับอนุสติของเขาที่โบยบินไปอย่างไร้ทิศทาง
ฮื่ออออ ฮื่ออออ ฮื่ออออ
เสียงหายใจรัวแรงดังขึ้นในอรุณรุ่งของเช้าวันนั้น เฟี๊ยตดันกายตัวเองลุกขึ้นบนเตียงที่ผ้าปูที่นอนชุ่มไปด้วยเหงื่อตามรอยร่างกายของเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งตั้งสติก่อนจะค่อยๆ ปรับลมหายใจตัวเองให้ปรกติที่สุด ความทรงจำล่าสุดคือ เขากลายเป็นหินจากคำสาปของเจ้าเต่าตัวนั้น เรื่องราวหลังจากนั้นประติดประต่อกันเกินกว่าจะจับใจความได้ เขาไม่รู้ว่าเวลาเหล่านั้นผ่านมานานเท่าไหร่ และเรื่องราวในนั้นสิ้นสุดลง ณ จุดไหน เขาก้มลงมองนาฬิกาเรือนเดิมที่อยู่บนข้อมือ ก่อนจะถอนหายใจมาอย่างโล่งอก หน้าปัดของมันยังแสดงสถานะการเล่นเกมของเขาอยู่ นั่นหมายความว่า เขายังไม่ตายในเกมนี้แน่นอน
เฟี๊ยตขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างปวดหัว เมื่อพยายามจะเค้นความทรงจำเพื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขากลายเป็นหิน แต่ก็จนปัญญา เขาจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากนั้น
ไม่สิ
“กูไม่ยอมให้มึงตาย”
นี่คือสิ่งเดียวที่เขาจำได้ ภายใต้ความเลือนรางเหล่านั้น