ทันทีที่ผมเดินมานั่งที่โต๊ะประจำ เพื่อรอสอบวิชาแรก ไอ้คิวก็มองผมด้วยสายตาทิ่มแทงที่แสนกระแดะ มันผิวปากก่อนจะแกว่งปากหาส้นตีน
“แค่เขาบอกรัก ก็ใจอ่อนยอมนอนทอดกายให้เขาเชยชม เมื่อเขาดอมดมชมจนสมใจ ก็สิ้นไร้ค่าไร้ราคา บทกวีในหลวง นิรันดร” กูจะเปลี่ยนชื่อมึงจากนายนิรันดร เป็นนาย ตายตอนนี้
ผมได้แต่ส่ายหน้าปลงๆให้กับอาการเพ้อหนักของมัน ปล่อยมันพล่ามไปเถอะพูดกับหมาหมาเลียปากเปล่าๆ แม้ใจจริงผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันว่า กูกับไอ้ภูมิยังไม่ได้ผ่านพิธีกรรมชุบตัวโว๊ยยยยยยย
ก็แค่………………..>o<
“ใช่ซี้ เดี๋ยวนี้มีเบนซ์ มีบีเอ็มมาตามรับตามส่ง รถเต่าเก่าๆของกูก็ไร้ความหมาย” ที่ไอ้คิวมันแซวผมออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้ได้ เพราะเพื่อนคนอื่นๆกำลังขะมักเขม้นติวหนังสือหลักสูตรเร่งรัด สิบนาทีก่อนเข้าห้องสอบ หึ มัวแต่วินนิ่ง ตีดอท เป็นไงละพวกมึง
“มันก็เป็นธรรมดาแหละมึง สมัยนี้เงินทองมันหายาก อะไรดีกูก็ต้องคว้าไว้ก่อน จะให้มาจมปลักกับมึงก็ไม่ได้หรอกนะคิว ฮะๆ”
“แหม๊มมมม ทีเมื่อก่อนหน้าไอ้ภูมิมึงก็แทบไม่อยากจะมอง แต่เดี๋ยวนี้…หึ… มึงมันใจง่าย ไอ้แคระ”
“ใจง่ายตรงไหน กูออกจะหวงเนื้อหวงตัว ให้โอกาสมันเริ่มจากจีบ”
“ระวังมันไม่ง้อกูจะขำให้” ผมลุกขึ้นผลักหัวไอ้คิว ก่อนจะลากมันขึ้นลานประหาร สู้โว้ยยยย
ผมออกมาจากห้องสอบแบบเบลอๆ ข้อสอบไม่ยากครับ แค่ผมอ่านโจทย์ไม่ค่อยจะรู้เรื่องแค่นั้นเอง โจทย์ก็เป็นภาษาไทยนี่แหละ แต่โคตรงงชิบหายไม่รู้จะต้องการอะไรจากชายไทยอย่างผม
ไอ้คิวมันออกมานั่งฟุบดมยาดมโป๊ยเซียนรอผมตั้งแต่ยี่สิบนาทีที่แล้ว ผมไม่แปลกใจที่คิวออกจากห้องสอบเร็ว แต่ที่ทำให้ผมใจเต้นแปลกๆเพราะโต๊ะประจำไม่ได้มีไอ้คิวแค่คนเดียว แต่มีไอ้ภูมินั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย
“ไงมึง สอบเสร็จแล้วหรอวะ” ผมเอ่ยทักมัน แล้วเลือกนั่งฝั่งไอ้คิว
“อืม ไงทำได้มั้ย”
“ก็ได้บ้าง แล้วมึงละ หน้าบานเลยนะไอ่สัด”
“บานเพราะเจอหน้ามึงต่างหากไอ้เตี้ย”
“……………………..”
“……………………..”
“อ้าวเหรอ นึกว่ามีกูคนเดียวที่ดีใจเวลาเจอหน้ามึง” แกล้งทำเหมือนพูดเล่น แต่ขอโทษ กูพูดจากความรู้สึกจริงๆทุกคำครับ แมนป๊ะล๊า ไอ้ภูมิขำพรืดเมื่อเจอผมหยอดกลับ
“มึงสองตัวช่วยออกจากโลกสีชมพูอมม่วง มาดูสภาพกูหน่อยได้มั้ย” ไอ้คิวงัวเงียนั่งตาปรือเอายาดมยัดรูจมูก สภาพศพของมันอนาถมากครับ ผมเพิ่งรู้ว่าการสอบก็ฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้เหมือนกัน
สอบเสร็จเหนื่อยๆ ก็ได้เวลาหม่ำๆข้าว ซึ่งวันนี้พวกผมได้รับการบังคับให้ไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เป็นสารสั่งจากไอ้ฟ่างใครหน้าไหนก็ห้ามขัด
“กว่าจะเสด็จมาได้นะพวกมึง” ไอ้มิคทักเสียงห้วนๆ สงสัยมันจะมึนข้อสอบ
“เชี่ยภูมิ เช้าถึงเย็นถึงเลยนะมึง ไม่พาเพื่อนกูไปจดทะเบียนเลยละ” ไอ้เชนยักคิ้ว ยิ้มกวนตีนให้ภูมิทันที ที่พวกผมหย่อนก้นลงนั่ง ไอ้ภูมิมันก็ยิ้มรับไปตามประสา และไอ้เชนก็ได้นิ้วกลางจากผมไปตามระเบียบ
ไอ้แทนกับข้าวฟ่างกำลังเดินถือขวดน้ำมา ส่วนคนอื่นๆไปซื้อข้าวมั้ง มีแค่ไอ้เชนกับไอ้มิคที่นั่งเป็นผีเฝ้าโต๊ะ
“อ้าวคิว ไอ้คิว” ไอ้แทนเขย่าไหล่ไอ้คิวที่แนบหน้าลงกับโต๊ะ “มันเป็นไรพีม”
“เมาข้อสอบ” ไอ้แทนส่ายหน้าขำๆแถมเคาะหัวไอ้คิวอีก พวกไอ้เบียร์ที่ไปซื้อข้าวกลับมา พวกผมก็เปลี่ยนกันไปซื้อบ้าง ไอ้ภูมิก็ทำเนียนเอาแขนพาดคอผมเฉยเลย กูหนัก
ปกติอยู่กันห้าคนก็เสียงดัง นี่เก้าคนโต๊ะผมเลยเหมือนตลาดแตก ตอนแรกก็เหมือนจะเครียดอยู่หรอกนะไอ้เรื่องสอบ แต่ซักพักก็เปลี่ยนโหมดอารมณ์เร็วมาก
“สอบเสร็จฉลองที่ไหนวะ” เสียงนี้มาจากบุคคลที่ทำเหมือนจะตายเพราะข้อสอบเมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ แต่ตอนนี้มันกลับสู่สภาวะปกติแล้ว
“เชี่ยคิว นี่เพิ่งสอบวันแรกนะมึง”
“กูวางแผนล่วงหน้าไง เพื่ออนาคต”
“กูก็ไม่รู้ ไปไหนดีวะพวกมึง”
“ผับพี่ไนล์”
“ไม่เอาวะ กูอยากแดกจนเมาแล้วนอนได้เลย อ๋อ กูรู้แล้ว” ไอ้คิวหันมายิ้มปีศาจให้ภูมิ
“อะไร” ไอ้ภูมิเหมือนจะรู้ชะตาว่า ราหูกำลังจะแดกคอมัน
“ไปห้องมึงนะภูมิ ห้ามปฏิเสธ ไม่งั้นกูจะยึดเพื่อนกูคืน” ไม่ได้หมายถึงกูใช่มั้ย กูไม่เกี่ยวใช่มั้ย
“เออๆ ก็ไปสิ”
“แม๊ ว่าง่ายวะ มีแววว่าจะถูกเมียข่มนะมึงเนี่ย ฮ่าๆ” ไอ้คิวหันไปแท็กมือหัวเราะสะใจกับไอ้มิค ไอ้ภูมิก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเชี่ยคิวกับเวรมิคอยู่สุดโต๊ะอีกฝั่ง
“เออ มึงพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้วคิว ไอ้ภูมิไอ้พีมตกลงว่าตอนนี้ พวกมึงสองตัวมีความสัมพันธ์แบบไหน อยู่ในฐานะอะไรวะ” ไอ้มิคยื่นตะเกียบมาจ่อที่ปากผม เป็นไมค์มาสัมภาษณ์ว่างั้น มึงว้อนใช่มั้ย ได้ กูจัดให้
“คือผมเป็นผู้ชาย พูดมากไปภูมิอาจจะเสียหายน่ะครับ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องครับ ก็คุยๆกันอยู่ครับ” ไอ้เบียร์ถึงกับขำจนสำลักความเทพในการเป็นเซเลปของผม ได้อีกนะกู
“แล้วเมื่อไรจะถึงจะเรียกว่าแฟนละครับ”
“ก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต”
“ได้ข่าวว่าถูกน้องกูหิ้วขึ้นคอนโดจริงมั้ยครับ” ไอ้ฟ่างก็เอาด้วย
“ไม่จริงครับ”
“โกหก!!!”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูโกหก”
“เพราะดีเอ็นเอที่อยู่บนหนังหน้ามึงมันฟ้อง” ทั้งโต๊ะฮากับการปรักปรำของไอ้มิค
“หึหึ เชี่ยมิค กูไม่ได้ทำใครท้อง”
“ไอ้ภูมิ มึงมีอะไรจะพูดอีกมั้ย”ทุกคนหันไปจ้องไอ้ภูมิว่ามันจะรับมุกรึเปล่า รวมทั้งผมที่นั่งอยู่ข้างๆมัน
“ไม่มีครับ พีมเค้าพูดไปหมดแล้ว”“สาดดดดดดดดดดดด” ไอ้คิวเป่าปากถูกใจอย่างกับเชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก หึ มึงเอาเชือกไปดึงไอ้แมวฟ้าให้ขึ้นมาจากที่สี่ของตารางก่อนเถอะแล้วค่อยมาฝัน เพราะปีนี้ผีชูถ้วยเว้ย
“ตอนแรกก็ไอ้แทนกับไอ้ฟ่าง ตอนนี้ก็ไอ้ภูมิกับไอ้พีม ดีแล้วๆพวกมึงรักกันน่ะดีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาแย่งสาวๆจากกู ผู้หญิงทั้งมหาลัยก็จะเป็นของกูคนเดียว ฮ่าๆ มึงไม่เอาบ้างหรอเบียร์ ไอ้เชนไอ้คิวก็เหลือ เลือกเลย”
ตีนเบอร์สี่สิบกว่าๆ หกข้างพุ่งไปที่ไอ้มิค ส่วนไอ้เบียร์ ไอ้คิว ไอ้เชนมองหน้ากันแล้วหันไปโก่งคออ้วกคนละทาง
“จะว่าไปพวกมึงน่ารักดีวะ กูไม่เคยเห็นไอ้ภูมิเป็นแบบนี้เลยนะพีม มันยิ้มบ่อยมาก รู้ตัวมั้ยไอ่สัด” ไอ้เบียร์ผลักหัวไอ้ภูมิเอนมาพิงที่ไหล่ผม ผมเลยโน้มหน้าไปมองหน้ามัน ไอ้ภูมิกำลังยิ้มอยู่จริงๆด้วย มันถูกพวกนั้นรุมแซวไปอีกหลายฉาด ผมเลยช่วยภูมิด้วยการยกมือขึ้นบังหน้ามันไว้
“กูถามจริงๆเถอะภูมิ มึงชอบไอ้พีมตรงไหนวะ เตี้ยก็เตี้ย ปากก็หมา หน้าตาก็จืดๆ ดีหน่อยว่าขาว” หลายปีที่เราคบหากันมา ในสายตามึงกูดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอปัน
“กูไม่รู้ ไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่ากูชอบพีม”“ฮิ้วววววววววววว” พวกผีห่าซาตานร้องระงมโหยหวน ตบโต๊ะ โห่แซวอย่างถูกใจ ไอ้ฟ่างอินจัดเป็นหนักถึงขั้นยืนขึ้นปรบมือให้น้องชาย จนไอ้แทนต้องรีบดึงให้แฟนมันนั่งลง
ส่วนผมได้แต่นั่งก้มหน้ากินข้าวขาหมูเงียบๆ กูไม่น่าช่วยมึงเล้ยยยย
บางทีมึงก็ทำให้หัวใจกูทำงานหนักเกินไป รู้มั้ยภูมิ ……………………………………………
วันนี้ภูมิหอบหนังสือมาติวที่บ้านผม พรุ่งนี้จะสอบตัวสุดท้ายแล้ว แถมเรียนอีกไม่กี่วันก็หยุดยาว ปีใหม่แล้วโว๊ยยย และที่มันต้องถ่อมาอ่านไกลขนาดนี้เพราะมันบอกว่าบ้านผมร่มรื่น ต้นไม้เยอะ อากาศดีทำให้สมอง(โล่ง)โปร่ง สบาย
อ่านหนังสือในบรรยากาศแบบนี้ทำให้จำสูตรได้ง่ายและที่สำคัญยังสามาถจีบผมได้ถนัดๆอีกด้วย มันก็ช่างคิดได้แต่ก็ดีเหมือนกันผมก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว มีมันมาอยู่เป็นเพื่อนก็ดี
ผมต้องยกโซฟานุ่มๆในห้องนั่งเล่นให้คุณชายเขานั่ง ส่วนผมก็นอนทะเลาะกับ verb adverbอยู่แทบเท้าคุณเขา เด็กศิลกรรมกับภาษาอังกฤษไม่ใช่ของคู่กันต้องทำใจ
ส่วนเด็กวิศวะ แค่เห็นหนังสือที่มันหอบมาผมก็แทบอ้วก ปกหนังสือเรียนของมันผมยังอ่านไม่ออก แม่งเรียนอะไรกันวะ เรียนทำไมนักหนา ซื้อข้าวต้องใช้สูตรรึไง
วันนี้ภูมิใส่แว่นด้วย แปลกตาดี หล่อกระซวกไส้ แบบนี้ต้องไม่ให้มันใส่ออกนอกบ้าน ฮ่าๆ
“อ่านไปดิ มองหน้าทำไม หน้ากูไม่มีสูตรฟิสิกส์นะเว้ย” ปกติผมก็อ่านหนังสือไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ยิ่งรู้สึกว่ามีคนจ้องก็ยิ่งประหม่า ผมแหงนหน้าขึ้นมาด่าไอ้ภูมิที่เอาแต่มองหน้าผม แม่งมองบ่อย มองนานแล้วนะมึง เดี๋ยวกูคิดค่าชั่วโมงเลยนิ
“หน้าจืดๆอย่ามาทำเป็นหวง”
“เออ อย่าให้กูหล่อแบบมึงบ้างละกัน กูจะส่งชิงโชคโออิชิไปเกาหลี กูจะไปทำศัลยกรรม”
“ทำไปก็เท่านั้น เสียดายยาสลบเปล่าๆ หึหึ”
“เออ อ่านไปเลยนะมึง เชี่ยภูมิ” ได้ทีขี่บีเอ็มไล่เลยนะ ผมไม่อยากต่อปากกับมัน เลยกลับไปนอนกลิ้งวิวาทกับแกรมม่าเหมือนเดิม
“ภูมิๆ ไอ้ in กับ เหี้ย at เวลาใช้กับสถานที่มันใช้ต่างกันยังไงวะ” ใครจะหาว่าผมโง่ผมก็ไม่โกรธครับ ไอไม่ถูกกับอิ้งลิช ไอ ด้อน แคร์
“หืม ไหนเอามาดูซิ” ผมลุกขึ้นขยับไปนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆตีนไอ้ภูมิ มันวางหนังสือเล่มยักษ์ลงก่อนจะเอาหนังสือภาษาอังกฤษของผมไปดู มันก้มลงมองหน้าผมแล้วยิ้ม คงดูถูกดูแคลนที่ผมโง่แถมยังต้องนั่งกับพื้นส่วนมันฉลาดเป็นคนชนชั้นสูงนั่งสบายอยู่บนโซฟา เฮอะ เพราะกูเสียสละหรอกไอ่ฟาย
“in มันใช้กับสถานที่ใหญ่ๆ ส่วน at ใช้กับสถานที่เล็กๆ”
“ยังไงอ่ะ”
“ก็ประมาน in Bangkok in England พวกเมือง จังหวัด ประเทศ”
“อ๋ออออ”
“ส่วน at ก็ใช้กับบ้าน หมู่บ้าน อย่าง at home ประมาณนี้”
“อ๋อออ”
“ที่อ๋อเนี่ย มึงเข้าใจมั้ยเตี้ย”
“ก็นิดนึง แต่มึงเก่งวะ”
“กูไม่ได้เก่ง แต่เรื่องนี้ รู้สึกว่ากูจะเรียนตอนอยู่ ป.5 มั้ง” ฉึก เหมือนถูกมีดปักลงกลางอก เจ็บกว่าถูกด่าว่าโง่อีกครับ หนอยไอ้คุณชายมึงหลอกด่ากู
ตอนป.5 ผมยังวิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำที่เชียงใหม่อยู่เลย จำได้ลางๆว่าเคยเรียนนะ แต่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยยึดติดกับอดีตไงครับ เลยทิ้งๆลืมๆมันไปบ้าง
กร๊ากกกกกก
“ภูมิ ทำไมมึงถึงเรียนวิศวะ”
“ไม่รู้”
“อ้าว”
“แล้วมึงละ ทำไมเรียนศิลปกรรม”
“ก็กูชอบศิลปะ ชอบวาดรูป มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย บอกกูมา ทำไมมึงถึงเรียนวิศวะ”
“ที่กูเรียนวิศวะเพราะว่ากู......”
“………...........”
“หึหึ ทำไมมึงต้องทำหน้าอยากรู้ขนาดนั้นด้วยพีม”
“ก็กูอยากรู้ ทีกูยังยอมมึงง่ายๆเลย บอกมา เร็วๆ”
“ที่กูเรียนวิศวะเพราะ……”
“เพราะ………….”
“กูกรอกรหัสคณะผิด”“ห๊า!!!!!!” OoO
แม่เจ้า
กรณีแบบนี้ก็มีหรือนี่ ผมมองหน้าไอ้ภูมิด้วยความอึ้งสุดชีวิต แต่มันแค่ยิ้มชิลล์ๆผมฝากถึงน้องๆทุกคน ที่กำลังจะเอนทรานซ์ในปีนี้ด้วยนะครับ
จำเรื่องนี้ไว้เป็นวิทยาทาน ว่าตอนกรอกรหัสคณะหรือพูดง่ายๆคือขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด ก็ช่วยละเอียดรอบคอบมากๆ ดูให้ดีๆว่าลงถูกคณะรึเปล่าอย่าทำเหมือนผู้ชายคนนี้ แต่คะแนนมันต้องสูงมากแน่ๆ ขนาดลงผิดยังติดวิศวะ
“แล้วจริงๆมึงอยากเรียนอะไรวะ”
“ถ่ายภาพ”
“ว่าว สุโค่ย หล่อ รวย ติส ติดเซอร์ ครบสูตร” มันหัวเราะพร้อมกับยื่นมือมาผลักหัวผมแทบหงายหลัง ภูมิถอดแว่นตาออกแล้วนวดคลึงหัวตา
“แล้วเรียนวิศวะ ยากป่ะ” ผมยังทำตัวเป็นพิธีกรเรียลลิตี้ซักประวัติไอ้ภูมิต่อไป
“ยาก”
“พวกมึงเก่งเนอะ เป็นกูคงตายคาหนังสือแน่ๆ ฮะๆ”
“พูดดีนิ” มันยิ้มอีกแล้ว เวลาภูมิยิ้มมันดูสว่างสดใสน่ามอง อยากให้มันยิ้มแบบนี้บ่อยๆ^^ยิ้มให้ผมบ่อยๆแบบนี้ สงสัยผมคงเผลอจ้องมันมากเกินไป จนภูมิก้มลงมาสบตาด้วย มันยื่นมือขาวๆมาแนบกับแก้มของผม ก่อนที่หน้าหล่อใสเจ้าของรอยยิ้มที่ผมชอบนักชอบหนาจะโน้มลงมาใกล้
ผมเริ่มเห็นหน้าภูมิไม่ชัดเพราะมันอยู่ใกล้จนเกินไป ผมหลับตาเมื่อรับรู้ว่าปลายจมูกเราสัมผัสกัน จมูกโด่งคมนั้นเอียงกดลงกับแก้มของผม และไม่นานความรู้สึกนุ่มๆอุ่นๆก็ประทับลงกับริมฝีปากของผม มันไม่ได้อุ่นแค่กาย แต่ความรู้สึกอบอุ่นนั้นยังผ่านลึกลงไปถึงหัวใจ
จูบกันแล้ว ผมกับภูมิ เราจูบกันไปแล้ว TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
…………………………………………….
อ่านเองยังเขินเองคะ แอร๊ยยย นี่มันอะไรกันคะ หนุ่มๆสมัยนี้เค้าไวไฟแบบนี้แล้วหรอเนี่ย ตอนหน้าจัดหนักๆเลยซะดีมั้ยฮึ ฮ่าๆๆๆ บ้าหรอ นิยายเค้าใสๆนะตัว
อ๊อ น้องพีมฝากมาบอกว่า เล่นตัวได้แค่นี้จริงๆคร้าบบ จีบกันยังไม่ถึงสามวันมันจะยอมเป็นแฟนภูมิแล้วอ่ะ ไวดีจริงๆ แล้วพบกันใหม่ปีหน้านะคะ^__^