“ไอ้เหี้ย!!! มึงหายหัวไปไหนมาห๊ะ ไอ้ควายเอ๊ย มึงรู้มั้ยว่ากูกลัวแค่ไหน” ไม่รู้ว่ามือผมไปกำคอเสื้อมันได้ยังไง ไม่รู้ว่าเผลอตะโกนตอนไหน และพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัวสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ รู้แค่ว่าผมกลัว กลัวการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
ผมจ้องตาโตๆของมันในระยะประชิด โดยอาศัยการเขย่งอย่างมากทีเดียว กว่าหัวของผมจะไปอยู่ในระดับเดียวกับคางมัน รู้สึกอยากชกหน้าขาวๆให้แม่งเป็นรอย ดวงตาคมกล้าสีดำดูจะตกใจกับการกระทำของผมไม่น้อย
แต่ไม่นานมันก็กลายเป็นดวงตาขี้เล่นวาววับ นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวผลักมันออก และแม่เจ้า คนมายืนดูอะไรกัน ชิบหายละกู ผมส่งยิ้มแหยๆให้ทุกคนอย่างทั่วถึงแล้วรีบเข็นรถไปที่ช่องจ่ายเงิน ผมพยายามสูดลมหายใจให้ถึงปอด พยายามไล่ภาพของอดีตออกจากความคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมทิ้งไม่ได้คือความรู้สึก อายยยยย กูอายยยย สมาคมแม่บ้านคงได้นินทากันไปสามบ้านแปดบ้าน
“หนุ่มนักศึกษาทะเลาะวิวาทกลางคาร์ฟูร์สาเหตุเพราะคิดว่าถูกเพื่อนทิ้ง”
“ด่าแล้วหนีหรอมึง ห๊ะ” ไอ้ตัวต้นเหตุมันตามมาติดๆแต่ไม่คิดจะหยิบของขึ้นมาวางให้พี่แคชเชียร์คิดเงิน ผมเลยต้องก้มๆเงยๆอยู่คนเดียว
“เสือก” ผมหงุดหงิด ทั้งหงุดหงิดมันแต่มากกว่านั้นผมกำลังโมโหตัวเองที่อารมณ์ปรวนแปรแมร่งกว่าผู้หญิงมีวันนั้นของเดือน ผมไม่ชอบที่ไอ้ภูมิมันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผม ไม่อยากให้หัวใจสั่นไหวเพียงเพราะเห็นมันยิ้ม ผมไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังมีต่อมัน ได้โปรดเถอะ ผมชอบผู้หญิง ชอบผู้หญิงจริงๆนะ
“ทั้งหมดสี่พันสามร้อยเก้าสิบเจ็ดบาท ห้าสิบสตางค์คะ” เสียงพี่สาวแคชเชียร์ปลุกผมออกจากโลกบ้าๆปัญญาอ่อน ไอ้ภูมิยื่นธนบัตรใบละพันห้าใบให้พี่แคชเชียร์ อะไรวะแค่ผักกับผงชูรส ปาไปสี่พันเลยหรอ แม่งบวกค่าแอร์กับค่าบันไดเลื่อนด้วยป่ะวะ พาลครับพาล
รับเงินทอนเสร็จมันก็ช่วยผมยกถุงใส่ลงรถเข็น โอ๊ะ ผมไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยผีคุณชายออกแล้ว เออดีหัดช่วยกูบ้างไรบ้าง แม่งเงินเดือนก็ไม่ได้ต้องมาคอยรับใช้มันงกๆ
มาคิดๆดูแล้ว ผมยอมให้พวกไอ้แทนเห็นคลิปติงต๊องนั่นกับการทนเป็นเบ๊ไอ้ภูมิอันไหนมันอัปปรีย์กว่ากัน หรือผมจะแข็งข้อกับไอ้ภูมิดี มันอยากทำอะไรก็ปล่อยมันทำไป ช่างหัวมัน แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นไอ้สิ่งที่ผมทำมาก็เสียเปล่าอ่ะดิ ไม่ได้ๆทนหน่อยพีมเดี๋ยวก็จะครบเดือนแล้ว สู้โว๊ยยยย
…………………………………………………….
กว่าจะขนของเสร็จไหนจะจัดเข้าตู้เย็นอีกเล่นเอาลิ้นแทบห้อย เหนื่อยสัด และแล้วก็มาถึงวินาทีชีวิตครับนั่นก็คือการหุงข้าว มันต้องใส่ข้าวหรือใส่น้ำก่อนวะ แล้วใส่น้ำเยอะแค่ไหน หม้อหุงข้าวมันใช้ยังไงต้องตั้งเวลาเหมือนไมโครเวฟป่ะ ไม่ต้องหรอกมั้ง เสร็จจากทำสงครามกับหม้อหุงข้าวผมก็มาเปิดศึกกับการทำกับข้าวให้ท่านชายเสวย
เมนูวันนี้ได้แก่ ไข่เจียวหมูสับ ยำปลากระป๋อง ผัดผัก ผมทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าเทพสุดๆแล้วอยู่บ้านอย่างมากผมแค่เคยเป็นลูกมือหั่นอะไรเล็กๆน้อยๆให้แม่ ผมทำได้นะกับข้าวคือถ้าให้ทำอะไรง่ายๆอาหารที่ใครๆก็ทำได้ แต่ผมไม่ชอบ ขี้เกียจ ก็ถ้าจะให้กูทำกินเองแล้วกูจะจ้างแม่บ้านมาทำแป๊ะอะไร อีกอย่างหนุ่มหล่อวัยขบเผาะอย่างผมจะให้ทำกับข้าว เฮอะ หายากครับถ้าไม่ใช่พวกเรียนคหกรรมหรือใจรัก
เดชะบุญว่าเครื่องครัวมันมีแต่ของดีๆเทฟล่อนยกครัวเลยไม่ต้องห่วงเรื่องไหม้หรือติดกระทะ ไม่ต้องใส่น้ำมันเยอะ ดูแลทำความสะอาดง่ายราวกับมีเวทมนต์ และหากคุณโทรมาภายในสามสิบนาทีนี้ เรายินดีขายในราคาแปดร้อยบาดแต่เดี๋ยวก่อนหากคุณ…
พอแระๆมึงจะเยอะไปแล้วพีม แต่เหมือนเครื่องครัวมันไม่เคยผ่านการใช้งานเลย นี่แหละที่เค้าเรียกว่ามีไว้ประดับฝาบ้าน
โอเคหุงข้าวก็เสร็จแล้ว กับข้าวก็เสร็จแล้วไปเรียกสามีมากินได้แล้ว เฮ้ย ไม่ใช่ๆไปเรียกไอ้ภูมิมากินได้แล้ว
“อ่ะ” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ได้เวลากลับบ้านซะที แต่พอจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไอ้ภูมิก็ยื่นถุงอะไรไม่รู้มาตรงหน้า ตั้งแต่กลับมามันกับผมยังไม่คุยกันเลยครับ “อ่ะ” คือคำแรก
“อะไร” คือคำที่สอง ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ ไม่อยากมองหน้าด้วยรู้สึกโมโหไม่หายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเคืองมันไปทำไม
“มึงเป็นญาติกับเจ้าหนูจำไมรึไงห๊ะ ถามได้ถามดีอยากรู้ก็เปิดดูสิวะ” ผมรับถุงกระดาษใบโตลายสวยมาแล้วก้มลงส่องของในถุง งูยางป่ะวะหรือตุ๊กแกปลอม แต่ไม่ใช่ครับในนั้นมีเสื้อกับกางเกง บ๊อกเซอร์ก็มีกางเกงในก็มา เฮ้ย รู้ไซส์กูได้ไงวะ
“เสื้อ? กางเกง?”
“เห็นเป็นปืนลูกซองรึเปล่าละ มีเสื้อผ้าแล้วก็ไปอาบน้ำซักที เหม็น แหวะ”
“มึงไปเอามาจากไหน”
“คงไปขอบริจาคมามั้ง” มันพูดเสียงห้วนๆแต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะผมกลับรู้สึกอยากจะยิ้มยังไงก็ไม่รู้ ลืมไปเลยว่าเคยเคืองมัน แมร่งใจง่ายวะพีม
“ที่มึงหายไปเพราะไปซื้อของพวกนี้มาให้กูหรอวะ” เคยได้ของขวัญ ของฝากดีๆแพงๆกว่านี้มาก็เยอะแต่ผมไม่เคยดีใจเท่าครั้งนี้เลย มันเกิดอะไรกับผมกันแน่นะ
“อย่าถามมากได้มั้ย กูหิวข้าว” เขินอะดิ๊ คึคึ
“หิวก็ไปกินดิ กูทำเสร็จแล้ว”
“มึงต้องกินด้วยเกิดวางยากูขึ้นมาทำไง” กำลังอารมณ์ดี หมดกันความสุนทรีย์ มันบ้ารึเปล่าคิดได้ยังไงว่าผมจะวางยามัน
“มึงอย่าบ้าภูมิไม่มีใครคิดชั่วๆแบบมึงหรอก อีกอย่างกูจะไปเอายาอะไรจากไหนมาวางมึง ปัญญาอ่อนแระสัด” มันตบหัวผม ข้อหาอะไรไม่รู้ ตบคืนเลยแมร่ง
“มึงกล้าตบหัวกูหรอ” ตาคมๆของมันลุกวาวน่ากลัวแต่ทำไงได้มันเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กชั่นเวลาเราโดนตบหัวก็ต้องโต้กลับ ก็ผมตบไปแล้วอ่ะมันเอาคืนมาไม่ได้แล้ว
“เออดิ ทีมึงยังตบกูเลย” ตอนนี้ผมเริ่มก้าวถอยหลังมันก็สาวเท้าก้าวตาม
“หนอยไอ้เตี้ย กูทำดีด้วยหน่อย แมร่งซ่าส์ใช่มั้ย” ผมไม่รอให้มันลากผมไปกระทืบ เลยรีบใส่เกียร์หมาวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างว่องไว ฮ้ารอดตัวไป หึหึ
ผมหันมองกระจกในห้องน้ำ เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มสดใสอยู่ในกระจกบานนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขารู้สึกดีขนาดนี้หรืออาจจะเป็นเพราะผู้ชายอีกคน ที่ยืนทุบประตูห้องน้ำเสียงดัง พร้อมกับตะโกนสั่งลั่นว่าให้เวลาอาบน้ำแค่สิบนาที ไม่อย่างนั้นจะพังประตูเข้ามาฆ่าหมกส้วม
แต่แล้วเขาก็หุบยิ้มลงเมื่อนึกถึงโลกของความเป็นจริง พร้อมกับคำว่า
มันเป็นไปไม่ได้ ผมสะบัดหัวพยายามไล่บรรดาความคิดบ้าๆออกไปจากสมอง กูคือไอ้พีมนักศึกษาปีสอง กูเป็นผู้ชายธรรมดาที่บังเอิญซวยเลยกลายมาเป็นเบ๊ไอ้ภูมิ ผู้ชายที่ขี้โมโหเอาแต่ใจ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลง เราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ใช่ นั่นแหละสิ่งที่ผมควรจะคิดและรู้สึก อย่างงั้นเหรอ
แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบโกหกตัวเองว่ะผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จด้วยชุดใหม่เอี่ยมอ่องชนิดที่ผงซักฟอกยังไม่ได้ผ่านป้ายราคาก็ดึงกันสดๆตอนจะใส่ ผมรู้แล้วว่าไอ้เงินสี่พันกว่ามันค่าอะไร ไม่ใช่ค่าหมูหมากาไก่แต่เป็นราคาเสื้อผ้าของผมนี่เอง
“ช้า ลีลา โยกโย้” ไอ้ภูมิเงยหน้าจากจานข้าวมาเหวี่ยงผม โด่ ไหนบอกกลัวกูวางยาไงกินไม่รอเลยนะ ผมนั่งลงตรงข้ามมันรู้สึกดีเหมือนกันที่มีคนกินกับข้าวฝีมือเรา
“ภูมิมึงรู้ได้ไงว่าเอ่อ คือกูหมายถึงมึงเก่งเนอะซื้อให้กูได้พอดี ขอบคุณนะ” แม้จะกระดากที่ต้องพูดแต่ผมก็ควรจะขอบคุณมันที่อุตส่าห์ไปซื้อหาเครื่องนุ่งห่มมาให้ แถมได้ไซส์ที่พอดีเป๊ะ สุดยอดๆ
“กางเกงในนะหรอ มึงใส่พอดีหรอ”
“อือ ทำไมวะ”
“ไซส์เด็กเล็กที่สุดแล้วนะ หึหึ ลูกหนอน” ครวย สัด เห็บหมาเอาคำขอบคุณกูคืนมาแต่ดูเหมือนว่ามันจะพออกพอใจซะเหลือเกินที่ได้ถากถางผมในประเด็นนี้ ฮึ่มใจร่มๆไว้พีม พุธโธ พุธโธ ยุบหนอพองหนอ ปากหมาหนออย่าแคร์หนอ
“อร่อยมั้ยมึง”ผมกัดฟันถามก่อนที่จะเผลอกัดหัวมันขาด
“ไม่รู้กูลิ้นจระเข้”
“จระเข้หรือเหี้ย”เย้ดเข้ผมเก็บแต้มคืนแล้วหนึ่งดอกมึงชงมาเองนะเฟ้ย มันตวัดตาโตๆดุๆขึ้นมองผม ผมยักคิ้วให้มันแล้วเริ่มลงมือกินข้าวฝีมือตัวเอง
“พรวด!!!แค่ก แค่ก ใครทำรถขนเกลือคว่ำในจานผัดผักกูวะ!!!” ผมคายผัดผักคำแรกทิ้งแทบไม่ทัน ต้องรีบคว้าแก้วน้ำมากระเดือกล้างปากอย่างเร่งด่วน นี่มันผัดผักหรือผัดเกลือ ผมใส่น้ำปลานิดเดียวเองนะเว้ย ทำไมมันเค็มงี้วะ
แล้วนี่มันข้าวสวยหรือโดโซะเคี้ยวแล้วกรุบกรอบเชียวแมร่งแข็งเหมือนยังไม่ได้หุงเลย แต่ทำไมไอ้ภูมิถึงได้กินแบบหน้าตาเฉยขนาดนั้นหรือมันลิ้นจระเข้จริงๆ มันเลิกคิ้วมองแล้วก็กินต่อ ผมรีบคว้ามือมันแล้วดึงช้อนออกจากมือขาวๆนั่น
“อะไรของมึงห๊ะ อยากตายใช่มั้ย ปล่อยกูจะกินข้าว”
“ไม่ต้องกินแล้วรสชาติส้นตีนขนาดนี้ มึงไม่ต้องกลัวกูเสียใจหรอกไปกินข้างนอกเหอะกูเลี้ยงเอง” ผมรู้สึกผิดโคตรๆ จริงๆนะ ผมจ้องตามันพยายามสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกผิดที่มันล้นปรี่อยู่ในทุกซอกหลืบหัวใจ โธ่พ่อคุณลิ้นมึงฉาบด้วยยางมะตอยรึไงถึงแดกอาหารพวกนี้ลงไปได้
“ปล่อยมือกูได้รึยัง เมื่อย”
“หะ หา อ๋อ เออๆโทษที”ผมรีบปล่อยมือไอ้ภูมิเหมือนเป็นของร้อนต้องห้าม “มึงกินเข้าไปได้ยังไงวะ”
“ทำไม ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนิ”
“แต่มันเหี้ยมากเลยนะเว้ย กูขอโทษนะ ไปกินข้างนอกกัน” เป็นครั้งแรกที่ผมมีความตั้งใจอยากจะหัดทำกับข้าว อย่างน้อยก็เพื่อจะไถ่โทษให้ไอ้ภูมิ ที่อุตส่าห์กินอาหารรสชาติชั้นต่ำโดยไม่ปริปากโวยวายซักคำ ถ้าเป็นผมนะพ่อจะสั่งฆ่าแมร่งซักเจ็ดชั่วโครต
“งั้นไปบ้านมึง”“ห๊ะ”
“ไอ้คิวบอกกูว่าบ้านมึงเปิดร้านกาแฟ กูจะไปดื่มกาแฟ” ไอ้คิว มึงดัดหลังกูไอ้ฟายมึงไปให้ประวัติกูกับบุคคลต้องห้ามทำไม ไอ้เพื่อนnegative
“เอ่อ ไม่ดีมั้งกูว่า คือแบบเราเพิ่งรู้จักกันจะให้พาเข้าบ้านเลยมันก็ยังไงๆอยู่” ไอ้ภูมิขมวดคิ้วเอียงคอมองผมแบบงงสุดชีวิต “เอ่อ กูหมายความว่า…” ว่ากูพูดเหี้ยอะไรออกไป กู้ข้อมูลคืนได้มั้ยวะ ดีนะที่ไอ้ภูมิมันงง เกิดมันตีความหมายออกละมึงเอ๊ย อายกันแบบไม่ได้ผุดได้เกิด
และยังคิดถึงเธอนะ อ๊ะ อ๊ะ ชีวิตที่มีเธอ
วันคืนเหล่านั้นช่างมีความหมาย
วอนท้องทะเล ขอบฟ้าแสนไกลบอกเธอได้ไหม
ยังคอยย๊าฮู้ เสียงโทรศัพท์ช่วยชีวิต ผมรีบควานหาโทรศัพท์ตัวเองเมื่อคืนผมวางไว้ไหนวะ อยู่ไหนๆ แต่ทำไมมันดังมาจากใกล้ๆ ยู้ฮู้
พี่ตูนอยู่ไหน ผมกำลังจะหันไปถามไอ้ภูมิว่าเห็นโทรศัพท์ผมมั้ย อ้าว มันกดรับโทรศัพท์พลางเลิกคิ้วมองว่าผมหาอะไร
เฮ้ย เสียงเพลงเมื่อกี้มาจากไอโฟนมันหรอครับ คุณชายฟังบอดี้ด้วยแถมใช้เพลงเรียกเข้าเดียวกันกับผม กูคิดนะกูคิด คิดว่าควรลำดับความอายความง่าวของตัวเองจากไหนไปไหนดี
“ครับแยม มีไร”
“ ผมอยู่ห้อง”
“ อืม ว่าง”
“ได้ เดี๋ยวผมไปรับ แล้วเจอกัน”มันวางโทรศัพท์เสร็จก็หันมามองหน้าผม พลางทำหน้าครุ่นคิดอะไรซักอย่างเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าจะหิ้วผมไปด้วยดีมั้ย ผมจึงรีบตัดไฟแต่ต้นลม
“กูว่ามึงคงไม่ได้ดื่มกาแฟหรอก ไปแดกนมเหอะ” ผมยักคิ้วให้มัน แล้วไปหากระเป๋าตังกับโทรศัพท์เพื่อกลับบ้านดีกว่า
“กูกลับแล้วนะ บาย”มันทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สนใจคำบอกลาของผม เดินเข้าห้องนอนเฉยเลย ป๊าดดกูไม่ใช่สัมพะเวสีนะมึง ช่วยมองเห็นหัวกูบ้าง ตอนแรกว่าจะเก็บจานล้างให้ ไม่ทำแมร่งแล้วเดี๋ยวแม่บ้านก็ขึ้นมาทำ
ผมปิดประตูพร้อมกับ ผมเป่าปากโล่งอก รอดไปได้อย่างหวุดหวิดแฮะ ถ้าเกิดไอ้ภูมิมันมาที่บ้าน ผมต้องประสาทแดกแน่ๆ แค่หนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน ผมก็จะบ้าแล้วอย่าให้ต้องมาอาศัยอากาศหายใจใกล้ๆกันนานกว่านี้เลย
ไม่ใช่ว่ารำคาญหรือโกรธเกลียดมัน แต่ผมไม่อยากจะสับสนไปมากกว่านี้ ขอเวลาไปสำรวจความคิด ความรู้สึกตัวเองหน่อยแล้วกัน ถึงผมจะเป็นคนที่เข้าใจตัวเองยอมรับความจริงได้แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ
แต่เหมือนจะมีเสียงเล็กๆจากที่ไกลแสนไกลคอยกระซิบผมตลอดทางกลับบ้านว่า
“ถ้าเจอคนที่ใช่ หัวใจมันจะอ่อนเอง”ผมเจอคนที่ใช่แล้วใช่มั้ย หัวใจของผมถึงไม่มีแรงต้านทานมันเอาซะเลย
TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
……………………………………………………
ไม่มีคำแก้ตัวในการหายหัวคะ หุหุ ด่าได้แช่งได้แต่ห้ามสาปเพราะเค้าเหม็นสาบอยู่แล้ว กร๊ากกก
เห็นมีคนชอบเรื่องนี้ก็ขอบคุณจริงๆนะจ๊ะทุกคน ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ คงไม่ดองนานแบบนี้อีกแล้ว(มั้ง) ตอนที่แล้วคู่แทนฟ่างได้รับกระแสตอบรับดีมาก ทำให้ไม่เป็นที่พอใจต่อไอ้ภูมิ มันเหวี่ยงคะกลัวคนอ่านจะรักคนอื่นมากกว่ามัน เด็กขี้อิจฉา
ปล นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างจะยืดเยื้อ(มาก)ต้องทำใจกันหน่อยนะคะ สุดท้ายขอบคุณคนอ่านทุกๆคนคร๊า จุ๊บุๆ
