ตอนที่ 41
“ สีหน้าของคนรวยมันจะประมานนี้เองเหรอวะ ” ท่าทางน่าหมั่นไส้ของน้องเดย์กำลังยกมือขึ้นลูบคางตัวเองแล้วเอียงซ้ายเอียงขวาพิจารณาใบหน้าของตนผ่านกระจกที่ตกแต่งของส่วนบาร์ มือข้างนึงถือเงินเป็นหมื่นกำมันไว้แน่นก่อนจะถอนหายใจแล้วคลี่นับมันทีละใบด้วยความเชื่องช้าก่อนจะพับเก็บมันใส่กระเป๋าไป แต่ก็ไม่วายหันมาพูดอวดคนที่นั่งอยู่อย่างเจแล้วก็น้องอัยย์ที่ก็ยืนมองอยู่ข้างๆแบบเซ็งๆ “ ขอบคุณมากนะครับสำหรับเงิน ”
“ กูฝากสักทีอัยย์ ” เจพูดแบบนั้นและไม่ต้องรอนานเท้าของน้องอัยย์ก็ถีบเข้าไปด้านหลังของน้องเดย์แบบเต็มๆ อีกคนที่ก็เซไปจนเกือบล้มแต่ถึงอย่างงั้นก็มีแต่เสียงหัวเราะของความสุขที่ได้เป็นผู้ชนะในการพนันครั้งนี้
“ มีความสุขจริงโว้ยยยยยย ฮ่าๆ ”
“ อย่าลืมเลี้ยงหนมพี่เมดนะเว้ยน้องเดย์ ” ผมบอกอีกคนก็ยื่นมือทั้งสองข้างมาหยิกแก้มด้วยรอยยิ้มแบบตาปิดก่อนจะพูด
“ ได้เลยจ้า พี่จะเหมาร้านเครปทั้งร้านให้หนูเมดก็ย่อมได้ ”
“ หมั่นไส้ชิบหายไอ้สัด ” เจพูดยิ้มๆ มือยกเบียร์ในขวดตรงหน้าขึ้นกินแล้ววางด้วยความรู้สึกเซ็งอย่างที่สุด แต่มันก็ไม่แปลกหรอก ลงทุนพนันไปตั้งห้าพันในฝั่งที่คิดว่าตัวเองต้องชนะแน่นอน แต่สุดท้ายต้องมาแพ้แบบนี้ เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกเซ็งเป็นธรรมดา
“ กูแม่งยอมลงทุนห้าพันเพราะเชื่อใจเด็กวิวแท้ๆ ” น้องอัยย์ว่าก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วตอนนั้นมือของน้องเดย์ก็กอดคอเพื่อนสนิทไว้
“ เพื่อนรัก คนที่มึงไม่ควรเชื่อที่สุดคือ เด็กวิว จำไว้นะ เพราะมันชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าใครๆก็ต้องเป็นแบบมัน มันหึงไอ้พี่เจแบบงี่เง่า พี่เมดก็เลยต้องหึงสัดพี่ตามแบบงี่เง่า แต่มันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อพี่เมดกู น่ารัก ใจดี มีเหตุผลขนาดนั้น เนอะพี่เมดของน้องเดย์เนอะ ” ท้ายประโยคที่หันมายิ้มให้ผมที่ก็ต้องหลุดยิ้มทันทีก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ เลียจนหน้าแข้งไอ้เมดเนียนไปหมดแล้วสัดเดย์ ” เจบอก แต่เหมือนอีกคนจะได้สนใจอะไรทำได้แค่ยักไหล่แบบเหนือกว่าเท่านั้น ก็คงอย่างที่ใครเคยบอก ถ้าเราชนะเราจะทำอะไรก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงเราก็ชนะ “ แล้วทำไมมึงถึงคิดว่าไอ้เมดมันจะไม่หึง ”
“ เออ อันนี้กูก็อยากรู้ ” ผมบอกก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมอีกคนคิดไม่เหมือนคนอื่น ทั้งๆที่ถ้ามองไปในแง่ของความเป็นจริงก็แทบจะเป็นไปไมได้ถึงเรื่องที่ผมจะไม่หึง ไม่มีใครนั่งนิ่งในตอนที่โดนคู่นอนเก่าของแฟนพูดอวดได้หรอก ขนาดผมยังอยากจะลุกขึ้นแล้วถามว่า ‘ มึงเป็นอะไรมากมั้ย ’ ตั้งหลายครั้ง
“ หรือเพราะว่ามึงวางแผนกับเฮียเอาไว้ ” น้องอัยย์หันไปมองเพื่อนตัวเอง “ คนชั่วๆอย่างมึง มันต้องใช่แน่ ”
“ เป็นไปได้ ” เจจ้องอีกคนที่ทำทีเป็นถอนหายใจก่อนจะตอบ
“ ถ้าพวกมึงใช้สมองที่มีอยู่น้อยนิดใคร่ครวญดูสักนิดว่า ถ้าเกิดกูแค่ไปบอกกว่าจะทำ สัดพี่มันจะยอมทำมั้ยกับการที่พวกเราไปเล่นกับความรู้สึกของพี่เมด แฟนสุดที่รักของมัน ” ผายมือมาทางผมก่อนจะเอียงมองหน้าเจทีนึงแล้วก็น้องอัยย์อีกทีนึง “ ดีไม่ดีมันจะมาจัดการพวกมึงอีก ที่มาพูดให้พี่เมดฟังว่าเซลล์ขายเหล้าเคยเป็นคู่นอนมันจริงมั้ย ”
“ ก็จริงของมึง ” น้องอัยย์คิดตามแล้วพยักหน้ารับ “ แล้วทำไมมึงถึงมั่นใจนักวะ ว่าพี่เมดจะไม่หึง ”
“ แล้วมันมีอะไรต้องหึง พวกมึงคิดว่าสัดพี่มันจะทำให้พี่เมดเสียใจเหรอวะ ทั้งๆที่มันก็รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง มันก็ต้องเลือกที่จะปกป้องพี่เมดก่อนสิ จริงมั้ย ” น้องเดย์ถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไม่ฉลาดเลยพวกมึง คิดง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ ยกตัวอย่างเช่นมึงพี่เจ สมมุติว่าพี่เบลแฟนเก่ามึงอีกคนมาเจอมึงโดยบังเอิญในตอนที่มึงอยู่กับเด็กวิว แล้วพี่เบลเค้าก็มากอดแขนมึงแบบว่า ‘ เจเป็นยังไงบ้าง พาน้องมากินข้าวเหรอคะ ’ ” คนพูดออกท่าทางไปจับแขนน้องอัยย์ทำท่าทางไม่ต่างจากผู้หญิงจนผมหลุดหัวเราะ
“ ขนลุกไอ้สัดเดย์ ” คนโดนกอดบอกก่อนจะดึงมือตัวเองออกทำท่าทางเหมือนรังเกียจ
“ นั่นแหละ ถ้าเป็นมึง มึงจะพูดอะไรในตอนนั้น มึงก็ต้องพูดว่า ‘ เบลมาคนเดียวเหรอ เจมากับแฟนชื่อวิวนะ ’ มึงต้องพูดแบบนี้เพื่อให้แฟนมึงรู้สึกว่า เราไม่ได้เกรงใจแฟนเก่าจนไม่กล้าแนะนำเค้ากับแฟนใหม่จริงมั้ย มึงต้องทำให้เค้ามั่นใจว่าเราไม่ได้แคร์เค้าเลย แล้วในกรณีสัดพี่ที่รักที่หลงพี่เมดขนาดนั้น มันก็ต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไง ตอนที่เจอกัน เพื่อให้พี่เมดรู้สึกว่า มันไม่ได้สนใจเซลล์คนนั้นแล้ว ซึ่งมันก็ต้องแสดงออกแบบชัดเจนในระดับนึงอะ ”
“ จากใจนะ ” เจพูดขึ้นหลังจากอีกคนพูดจบ “ อยู่ๆมึงก็ฉลาดขึ้นมา กูแม่งไม่ค่อยชินเลย ”
“ สัด ” ผมหลดหัวเราะออกกับคำสบถของน้องเดย์ “ แต่มันเป็นเรื่องปกติของคนมีความรักเปล่าวะ กูแค่คิดว่าถ้ากูมีคนที่จริงจังด้วย กูก็คงทำแบบนี้ กูคงไม่อยากจะให้เค้าคิดมากเรื่องเก่าๆกับกู เพราะปัจจุบันกูก็รักแค่เค้าอะ ”
“ เฉียบ ” เจยกนิ้วโป้งให้น้องที่ก็กอดอกตัวเองแล้วเชิดหน้าขึ้นทันที
“ หล่อเลยกู ”
“ งั้นเฮียก็ต้องรักซ้อมากเลยอะดิจริงมั้ย ไม่งั้นจะปกป้องพี่เมดจากทุกความรู้สึกที่จะทำให้พี่เมดเสียใจได้อย่างไรกัน ” เสียงล้อที่มาพร้อมกับแววตาของคนทั้งสามคนที่หันมายิ้มล้อเลียนผมที่ก็ทำทีเป็นหันไปมองทางอื่นแบบไมได้สนใจอะไร ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง ก่อนจะทำทีเป็นเขียนงานไปเรื่อย
“ ทำเป็นไม่สน แต่แก้มแดงไปหมดแล้วครับคุณเมด ” เจแซว ผมก็หันไปมองด้วยหางตาก่อนจะพูดหยิบกระดาษที่อยู่แถวนั้นขึ้นมาพัดหน้าตัวเอง
“ ร้อน ”
“ เปลี่ยนมุกบ้างพี่เมด ” น้องเดย์บอกก่อนจะยักคิ้วยิ้มๆ “ ทางที่ดีบอกออกมาเลย อะไรของพวกมึงว่ะ กูเขินนะไอ้สัด ”
“ เหรอ ” ผมหันไปตอบรับคำพูดของน้อง “ งั้น... เออ กูเขินนะเว้ย พวกมึงแม่งเลิกมองกูได้แล้ว ใจจะหลุดออกจากอกแล้วตอนนี้ ยิ่งพูดยิ่งมีความสุขไอ้สัด ” บอกแบบนั้นเสียงดัง ก่อนเสียงหัวเราะของคนทั้งสามคนจะดังขึ้นมาเพราะไม่คิดว่าผมจะทำตามความคิดเห็นของน้องเดย์
แต่จริงๆมันก็รู้สึกแบบนั้น ยิ่งได้ฟังคำพูดที่ว่า ‘ ก็เพราะรักมาก เลยอยากปกป้องจากทุกความรู้สึกที่จะทำให้
เสียใจ ’ แล้วพอคิดถึงการกระทำทุกอย่าง หัวใจของผมมันก็ฟูขึ้นมาไม่ต่างอะไรกับลูกโป่งถูกเป่าลมที่ล่องลอยไปในอากาศ มีความสุขมากจนอยากจะเดินขึ้นไปบนห้อง แล้วกอดคนที่ตอนนี้คงนั่งดูหนังอยู่ หอมแก้มอาฟสักสิบฟอด ถ้าไม่ติดว่าอาฟคงลำบากเก็กหน้านิ่งๆแล้วด่าว่า ‘ เป็นเหี้ยอะไร ’ ทั้งๆที่ในใจมันคงเต้นแรง ผมคงทำไปแล้ว
“ แต่กูถามจริง มึงไม่หึงเหรอวะเมด ” คำถามของเจที่หันมาถามกันแบบขมวดคิ้วตอนที่น้องสองคนตรงหน้าเราเดินออกไปจัดเหล้าที่บาร์อีกฝั่ง “ กูไปเล่าน้องมึง มันยังบอกไม่เชื่อเลยว่ามึงจะไม่หึง ”
“ ก็มันไม่มีอะไรให้หึงไง แล้วมึงจะให้กูไปหึงอะไรมันวะ ”
“ แล้วมิกิไม่ยั่วไอ้อาฟเหรอ ” เจหันมาถามผมเพื่อความมั่นใจ วางขวดเบียร์ที่ถืออยู่ลงก่อนจะหันมามองหน้าผม “ กูว่ามันน่าจะพูดอะไรกับมึงนะเมด ตอนกูไปเรียกไอ้อาฟลงมาก็เห็นท่าทางมันเหมือนรออยู่แล้วที่จะให้อาฟออกไป ทางจะได้สะดวก ”
“ มันก็พูด แต่ก่อนหน้านั้นที่อาฟมันแนะนำกูกับเค้า มันก็ชัดเจนไงว่ากูเป็นใคร กูเลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องหึง แล้วเรื่องที่มันอวดแต่ละเรื่อง ก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าหึง คือ ง่ายๆว่าดวงมึงกับดวงน้องอัยย์จะเสียทรัพย์มากกว่า ”
“ สัด ” เจสบถก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดเบาๆ “ คงจะจริงของมึง โคตรเหี้ย ไม่มันส์เลย ”
“ อย่าให้ชีวิตกูต้องมันส์มากเลย แค่นี้ก็พอแล้ว ให้กูได้ใช้ชีวิตสงบๆบ้าง วันรับมือกับไอ้เชี้ยอาฟกูก็จะตายแล้ว ”
คนที่ไม่รู้ผีจะเข้าผีจะออกตอนไหน วันไหนอารมณ์ดีมากๆก็ชอบมาทำให้ผมใจเต้นแรง แล้วอย่าคิดไปแกล้งกลับเพราะไม่มีทางที่จะชนะแน่ แล้วบางทีก็ชอบมากอดมาหอมกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่นับคำพูดคำจาที่ชอบทำให้หงุดหงิดจนอยากจะต่อยนับครั้งไม่ถ้วน
ยอมรับเลยว่าเป็นคนที่รับมือด้วยยาก ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือหัวใจ ชวนให้ทั้งรักทั้งเกลียดตลอดเวลา
“ แต่ก็ดีแล้วที่มึงไม่งี่เง่า อดีตก็ส่วนอดีตอย่าเอามารวมกับปัจจุบัน ” ประโยคที่พูดขึ้นราวกับบ่นของคนข้างตัวชวนให้ผมชะงักสิ่งที่คิดจะทำไปทันที อยู่ๆคำถามที่ผมอยากรู้มันก็ผุดขึ้น
“ มึงถามหน่อย ”
“ ว่า ”
“ เวลาที่อาฟโกรธมากๆมันเป็นยังไงวะ ”
“ ถามทำไมวะ ” เจหันมาถามยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ คือกูไม่หึงอาฟก็จริง แต่นั่นเพราะอาฟมันก็ให้ความชัดเจนกับกูมากๆเลยไง มันแนะนำกูว่ากูเป็นแฟน แล้วเรื่องที่อีกคนอวดมันก็อดีตทั้งนั้น ก่อนคบกับกูอีก คุยกันก็มีแต่เรื่องงาน แล้วแบบนั้นกูจะไปหึงอะไร จะหึงที่มันเคยเอากับเค้ากูว่ามันงี่เง่าเปล่าว่ะ ”
“ ก็จริง ”
“ แต่คุณมิกิก็พูดนะ ว่ากูยังไม่เคยทะเลาะกับอาฟแบบแรงๆ อย่ามั่นใจว่าจะควบคุมอาฟได้ทุกอย่าง อย่าคิดว่าแค่อาฟให้ความสำคัญแล้วคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ”
“ ขู่เหมือนรู้จักเพื่อนกูดีทั้งๆที่ก็แค่เอากันอย่างเดียวไม่เคยรู้จักนิสัยลึกๆสักนิด ” เจพูดพลางส่ายหน้าไป “ ฟังนะเมด อาฟเป็นไงมึงคนที่คบรู้ดีที่สุด อย่าฟังคนอื่นให้มากเพราะไม่เคยมีใครมาอยู่ในฐานะเดียวกับมึง ทุกคนเป็นแค่คู่นอนที่รู้จักมันแค่ผิวเผิน ”
“ อื้ม ” ผมพยักรับคำพูดของอีกคนที่บอก
“ แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไมว่าตอนไอ้อาฟโกรธมากๆเป็นยังไง ”
“ ก็อยากรู้ มึงสนิทกับอาฟมาตั้งแต่เด็ก มึงน่าจะเคยเห็นว่ามันเป็นยังไง ”
“ มึงเลยอยากรู้ว่าเวลาไอ้อาฟโกรธมากๆมันจะเป็นยังไง ”
“ จะเตรียมพร้อมรับมือ ? ”
“ หึ ” ผมส่ายหน้าเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางรับมือคนอย่างมันได้หรอก อย่างตอนพี่ต่อเซ ลล์ขายเหล้าที่พูดแซวผมนิดหน่อย มันก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ มีเหตุผลยังไงก็เอาไม่อยู่สักอย่าง “ กูจะได้ระวังตัวไม่ทำให้มันโมโหแบบขีดสุดต่างหาก ”
“ เอาจริงๆกูก็ไม่เคยเห็นหรอก ”
“ อ้าว ” ผ่อนตัวเองลงพร้อมคำพูดนั้นอย่างฉับพลัน เจก็ถึงขึ้นหลุดหัวเราะ
“ มากสุดที่กูเคยเห็นก็แค่เข้าไปต่อยเพื่อนจนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแต่นั่นก็เด็กแบบเลือดร้อนทะเลาะกับเพื่อน แต่ถ้าโกรธขีดสุดเพราะการหึงหวงกูไม่เคยเห็นหรอก ” เจพูดก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ แต่เรื่องแบบนี้มันก็อยู่ที่ว่าใครเป็นคนทำให้โกรธไม่ใช่เหรอวะ บางทีเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นคนที่รักมากๆทำให้เจ็บ มันก็ต้องเจ็บแล้วก็โกรธมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ”
“ อื้ม ” ตอบรับเสียงเบาก่อนจะถอนหายใจออกมา ช่วงเวลาหนึ่งในตอนนั้นผมกลืนน้ำลายอย่างตกประหม่าทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีเรื่องทำผิดอะไร
“ เพราะมันจริงจังกับมึงเป็นคนแรก กูเลยไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันโกรธมึงสุดๆจะเป็นไง แต่ถ้ามึงอยากรู้กูลองสิ กูก็อยากเห็นเหมือนกัน ” เจที่ยิ้มให้ผมที่ตอนนั้นก็ได้แต่สบถออกไป
“ สัด ” ไม่แปลกเลยที่พวกมึงจะคบกันได้ เหี้ยเหมือนกันมาจริงๆ
“ แล้วนี่คิดยังไงถึงมาทำงานข้างล่างวะพี่เมด ” น้องอัยย์ที่เดินเข้ามาจัดเหล้าอยู่ตรงหน้าพวกผมถามขึ้นมา มันคงดูแปลกตาอยู่ไม่น้อย ทั้งๆที่ปกติผมชอบนั่งทำงานอยู่คนเดียวแบบเงียบๆบนชั้นสาม แต่วันนี้กลับพางานตัวเองมานั่งในผับที่เปิดเพลงเสียงดังแบบนี้
“ อาฟมันดูหนัง แล้วพี่เมดโคตรไม่มีสมาธิเลย ทำงานสามวิ หันไปดูหนังอีกครึ่งชั่วโมง นี่แค่พิมพ์วันหยุดวันลาของพนักงานจะได้เก็บไว้จ่ายเงินเดือนยังไม่เสร็จเลย ทั้งๆที่พี่ซองก็เขียนมาให้หมดแล้ว ” หยิบกระดาษหลักฐานขึ้นมา ผมส่ายหน้าไปมากับตัวเอง ก่อนจะเริ่มตั้งใจทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ
“ อยู่ข้างล่างยังมีสมาธิมากกว่าว่างั้น ”
“ ไม่รู้ แต่ตั้งแต่ลงมายังไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลย มัวคุยกับพวกมึงเนี้ย” ผมบอกเสียงดุแต่เหมือนจะมีแค่รอยยิ้มที่ส่งกลับมาให้ ก่อนที่เจจะบอก
“ งั้นก็เชิญทำงานของคุณเลขาต่อเลยครับ พวกผมไม่กวนละ ”
“ เดี๋ยวพักแล้วไปกินหมูตุ๋นกันพี่เมด น้องเดย์เลี้ยงเอง ”
“ จัดไป ” ชี้นิ้วไปที่หน้าน้องเป็นอันตอบตกลง น้องเดย์ที่หันไปมองเพื่อนข้างๆ ก่อนจะหันกลับมาเจที่นั่งข้างผม
“ ส่วนมึงสองคนก็อดไปนะ เพราะกูจะไปเดทกับพี่เมดแค่สองคน ฮิฮิ ”
“ โทรหาไอ้อาฟแปป หมั่นไส้มึงสัดเดย์ ” แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมือถือขึ้นมาโทรจริงๆแต่อย่างใด ทุกคนจะแยกย้ายออกไปทำงาน แล้วตอนนั้นผมก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นทำงานอย่างที่ตั้งใจเสียที
บรรยากาศในซอยข้างผับที่มีแต่ของกินยังคงคึกคักแม้จะเป็นช่วงเวลาห้าทุ่ม ผมมองไปรอบๆเหมือนทุกทีในใจที่ถามตัวเองว่าจะกินอะไรดีแต่สุดท้ายก็หย่อนตัวเองลงนั่งที่ร้านหมูตุ๋นร้านเดิมแทบทุกครั้งที่มา
“ น้องเมด วันนี้กินอะไร ” ป้าเจ้าของร้านเอ่ยทักกัน จากที่ไม่รู้จักในครั้งแรกแต่ตอนนี้สนิทกันจนเอ่ยเรียกทุกครั้งที่เห็นหน้า “ เหมือนเดิมมั้ย ”
“ ครับผม เหมือนเดิม ” ผมบอกก่อนจะหันไปหาน้องเดย์ “ น้องเดย์เอาอะไร ”
“ เอาเหมือนพี่เมดครับ ”
“ สองเลยครับ ขอกระดูกอ่อนเยอะๆเลยนะครับป้า ” ยิ้มกว้างให้อีกทีเธอก็พยักหน้ารับก่อนที่ผมจะเดินมานั่งตรงโต๊ะตัวประจำ “ อยากกินเตาฮวยนมสดมะพร้าวอ่อนวะน้องเดย์ ”
“ เดี๋ยวกินหมูตุ๋นเสร็จเราไปกินกัน ”
“ เครปก็อยากกิน ”
“ ถามจริงนะ กินหรือยัดวะพี่เมด ” น้องเอ่ยถามผมก็ได้แต่ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหาเจ้าของผับที่ตอนนี้ก็หายเงียบไปเลยเพราะมัวแต่จดจ่อกับหนังเรื่องโปรด
“ ว่าไง ” ปลายสายที่ตอบรับ ผมก็ทำทีเป็นปรับเสียงจริงจัง
“ นี่คือเสียงตอบรับอัตโนมัติ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้า.. ” มือถือถูกตัดสายไปตั้งแต่ยังพูดไม่ทันจบ ดึงมือถือออกมาดูหน้าจอที่ถูกตัดสาย ทั้งผมแล้วก็น้องเดย์ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ผมกดโทรออกไปอีกครั้ง แล้วตอนที่มันรับ ผมก็ไม่ต้องรอให้มันพูดอะไรทั้ง “ ไอ้สัด ”
“ ว่างมากก็ขึ้นมาหากูเมด ”
“ ไม่ไปเว้ย ” ผมบอก “ คนอุตส่าห์จะโทรไปถามว่าจะกินอะไร จะได้ซื้อไปให้ ตัดสายกูเฉย แกล้งเล่นนิดเดียว ”
“ นี่ไม่ได้อยู่ข้างล่าง ” อาฟถาม ผมเดาว่ามันต้องหันไปมองกล้องวงจรปิดตอนที่ถามประโยคนั้นกับผม “ นี่มึงอยู่ไหน ”
“ มากินหมู่ตุ๋นกับน้องเดย์ที่ซอยข้างๆ มึงจะกินอะไรมั้ยกูจะซื้อเข้าไปให้ ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรทั้งนั้นถ้าให้เดาอีก อาฟคงอยู่ในอารมณ์ที่เรียกว่า ไม่พอใจเป็นแน่ “ อาฟ ”
“ เอาอะไรก็ได้ ” ผมพูดคำตอบของอีกคนออกมาพร้อมคำตอบที่ได้ฟัง เอาจริงๆก็ไม่ต้องโทรไปถามหรอก เพราะทุกครั้งที่ถามก็คำตอบเดิมคือ ‘ อะไรก็ได้ ’
“ มึงไม่มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษนะ ”
“ มึง ”
“ ว่า ” ถามกลับเพราะรู้สึกเหมือนโดนเรียก แต่ปลายสายก็แค่เงียบ ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจที่บอกกันว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม “ ว่าไง อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย เอาขนมโตเกียวเปล่า ”
“ มึง ”
“ อะไรวะ เรียกกูอยู่นั่น ” ขมวดคิ้วกับเสียงเรียกครั้งที่สองก่อนจะคลายลงตอนที่ได้คำตอบ
“ กูไม่ได้เรียกมึง กูตอบคำถามที่มึงถาม กูอยากกินมึงเป็นพิเศษ ”
“ ไปตายนะอาฟ ” ผมบอกมันแค่นั้นแต่ก็ยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับนั่งฟังปลายสายหัวเราะอยู่แบบนั้นสักพัก “ เดี๋ยวซื้อเข้าไปให้แล้วกัน แค่นี้แหละครับ ”
“ เสร็จแล้วก็รีบมา ”
“ มีอะไรรึเปล่าวะ ” ถามออกไปเพราะคิดว่าเรื่องงาน แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่
“ กูไม่ชอบให้ที่นั่งข้างกูมันว่าง ” เป็นแค่คนปากแข็งคนนึงที่ฟอร์มจัดเสมอ ผมถอนหายใจออกกมาในตอนนั้น แกล้งตอบกลับไปแบบทำทีเป็นไม่รู้ว่าประโยคนั้นมันหมายถึง ‘ เหงา ขึ้นมานั่งด้วยกันหน่อย ’
“ เดี๋ยวกูโทรไปบอกเจให้ขึ้นไปนั่งเป็นเพื่อนมึง ”
“ ได้ ” อีกคนบอก “ แต่กูอยากให้เป็นมึงมากกว่านะ ”
“ กูยอมมึงแล้วอารยะ ” เอื้อมมือปิดหน้าตัวเองที่กำลังเขินจนตกเป็นเป้าสายตาของคนตรงหน้าที่ตอนแรกก้มลงไปเล่นเกมส์อยู่แท้ๆ ผมพูดเสียงเบาๆกับปลายสาย “ แพ้มึงทุกทีเลยสัด ”
“ รีบมา ”
“ ครับผม ขอกินสามสิบนาที ” เสียงอื้มที่ตอบรับ ผมกดวางสายลงในตอนนั้นน้องเดย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ปิดมือถือเตรียมแซวกันทันที
“ หวานกันจริงเว้ย ”
“ น้องเดย์เรียกความกวนตีนว่าหวานเหรอวะ ” ผมถามน้องก็หัวเราะ
“ ก็หวานแบบสัดพี่กับพี่เมดไง มันเป็นสไตส์เว้ย ” หมูตุ๋นถูกยกมาเสิร์ฟหลังที่อีกคนตอบ เนื้อหมูชิ้นนุ่มที่เห็นกระดูกอ่อนสีขาวลอยอยู่เต็มชามจำกัดความได้ว่าจัดเต็มอย่างที่สั่ง ผมเช็ดช้อนตะเกียบส่งไปให้น้องก่อนจะทำให้ตัวเอง “ น่ากินสัดๆ ”
“ ถ่ายลงไอจีดีกว่า ” ผมยกมือถือขึ้นมา ก่อนจะกดอัพลงไอจีสตอรี่ของตัวเอง กดจิ้มอยู่สักพักก่อนจะปิดหน้าจอแล้วเริ่มกินของที่อยู่ตรงหน้า น้ำซุปที่ตักเข้าปากพร้อมกับชิ้นเนื้อหมู บอกได้คำเดียวเลยว่า ‘ อร่อยสุดๆ ’
“ อร่อยมากเลยวะ ” น้องเดย์บอกก่อนจะซัดเข้าไปคำใหญ่ “ อยากกินข้าวเปล่าด้วยอะพี่เมด ”
“ แปปนึงนะ ” บอกน้องก่อนจะหันไปสั่งข้าวเปล่าเพิ่มให้อีกถ้วย
“ พี่สะใภ้ของน้องเดย์น่ารักที่สุด ” ผมหลุดยิ้มตอนที่น้องเรียกแบบนั้น ไปๆมาก็ชักจะชินกับคำนั้น ทั้งๆที่ตอนแรก ผมว่ามันแปลกอยู่เหมือนกันเพราะตัวเองก็เป็นผู้ชาย แต่พอทุกครั้งที่เห็นน้องเดย์เรียกแล้วยิ้มตาปิดให้กัน มันทำให้รู้สึกแค่ว่า น้องเดย์ก็ยอมรับผมในฐานะแฟนของพี่ชาย เพราะงั้นก็ไม่ควรมีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่ชอบ “ เออ พี่เมด เดย์คุยกับแม่เรื่องหมูตุ๋นกับลูกมันแล้วนะ แม่บอกกว่าให้เอาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านได้เลย ”
“ เหรอ ” ชะงักตะเกียบที่กำลังจะกินอยู่ทันที ผมยิ้มให้น้องที่ยักคิ้วให้
รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก สำหรับสิ่งที่ได้ยิน ผมแอบคิดหาทางออกเรื่องนี้กับน้องเดย์มาสักพักแล้ว เพราะว่าลูกหมูตุ๋นมันก็เริ่มโต ความน่ารักของลูกแมวพันธุ์ผสมเปอร์เซียชวนให้พนักงานในผับ เข้ามาขอจะเอาไปเลี้ยงกันแทบทุกวัน บ้างก็บอกจะเอาไปให้แฟน และอีกสารพัดเหตุผล แต่ผมไม่ค่อยอยากจะให้เท่าไหร่ เพราะกลัวว่าคนเอาไปแล้ว จะเลี้ยงไม่ดี น้องเดย์เลยอาสาจะไปถามแม่ตัวเองที่ก็เลี้ยงแมวสองตัวอยู่แล้วที่บ้าน แล้วผลสรุปที่ได้ มันก็คือข่าวดี
“ น้องเดย์นะพี่เมด นวดขาแม่อยู่สองชั่วโมง แต่สุดท้ายแม่ใจอ่อนจะเลี้ยงเพราะเห็นหน้าไอ้หมูตุ๋นที่เดย์เคยถ่ายไว้อะ ”
“ ไอ้หมูตุ๋นมันน่ารักไง กลมๆอ้วนๆน่าฟัดแก้มจะตายไป ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ ดล่งอกไปที อยู่บ้านน้องเดย์ ยังไงก็ไว้ใจได้ว่าจะเลี้ยงดูอย่างดีอยู่แล้ว ”
“ พี่เมดก็ไปหามันได้บ่อยๆเลยด้วย เพราะมันก็เหมือนบ้านพี่เมด ”
“ มันจะไปเหมือนได้ไงวะน้องเดย์ ”
“ แล้วมันจะไม่เหมือนยังไงวะ พี่เมดเป็นแฟนแฟนสัดพี่ งั้นเราก็ต้องเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันสิ ”
‘ ถามพ่อแม่มึงก่อนมั้ย ว่าจะยอมรับกูเปล่า ’ ผมตอบน้องในใจ ก่อนจะส่งไปแค่ยิ้มแห้งๆ
ผมไม่เคยมีประสบการณ์การไปหาพ่อแม่แฟนมาก่อน ครั้งเดียวที่เคยถูกแนะนำก็ไม่ใช่คำว่าแฟน ตอนคบกับบินแล้วตอนนั้นเราเผลอไปเจอญาติมันซึ่งก็เป็นพี่สาวพ่อ วันนั้นบินแนะนำกับเธอแค่ว่า ผมเป็นรูมเมท แล้วให้เหตุผลที่ไม่พาไปหาครอบครัวแค่ว่า ‘ พ่อแม่บินเป็นคนเชื้อจีน เค้ายอมรับเมดที่เป็นผู้ชายไม่ได้หรอก ไปก็เสียใจเปล่าๆ ไม่ต้องไปหรอก แอบคบกันไปแบบนี้แหละ สบายใจดี ’
คำอธิบายที่ได้ฟังตอนนั้น เพราะทั้งรักและหลงมันอย่างที่สุด ผมเลยคิดแค่ว่ามันคงจริง บินคงกำลังปกป้องความรู้สึกของผมอยู่ ทั้งๆที่จริง ถ้าลองคิดให้ดี ผมเองในตอนนั้นก็ชวนมันไปที่บ้าน แนะนำกับพ่อ บอกกับเค้าว่า ผมรักคนคนนี้ แม้พ่อจะบอกว่า ไม่ชอบ แต่ผมก็ยังดื้อ แล้วบอกกับเค้าแค่ว่า ไม่ว่าจะยังไงก็จะรัก จะพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่ารักกันจริง แล้วทำให้พ่อชอบเค้าให้ได้ ผมที่เลือกพยายามฝ่าฟันเพื่อรักของเรา แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน บินเลือกที่จะไม่พยายามอะไร ในเรื่องของเราสักอย่างเดียว
เหมือนผมไม่ได้สำคัญ เป็นคนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ในอนาคต
“ โง่จริงๆ ไอ้สัดเมด ตอนนั้นก็เสือกคิดว่าเค้ารักอยู่ได้ ” ผมส่ายหน้าไปมากับตัวเองตอนที่คิดถึงเรื่องอดีตที่เหมือนจะหาข้อดีในตัวอีกฝ่ายไม่เจอ ผมรู้สึกตัวเองโง่ แล้วทุกครั้งที่นึกถึงหน้าผู้ชายคนนั้น ผมจะรู้สึกว่าเกลียดมัน เกลียดจนไม่อยากจะพูดหรืนึกถึง
“ พี่เมดว่าไงนะ ”
“ เปล่าๆ ” ผมส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้อีกคนที่ก็ตักข้าวกินกับหมูตุ๋นเข้าไปคำโต
“ เดี๋ยวอีกไม่นานสัดพี่มันก็ต้องพาพี่เมดเข้าบ้านไปแนะนำแน่นอน เชื่อน้องเดย์ ” ท่าทางมั่นใจที่ออกมาทางสีหน้า “ คิดถึงหน้าแม่ไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง ตอนที่เจอหน้าพี่เมด ต้องอึ้งแดก ”
“ พูดอะอไรแบบนั้นวะ นั่นแม่นะเว้ย ” ผมว่าก่อนจะหลุดหัวเราะ “ แล้วอาฟมันเคยพาใครเข้าบ้านมั้ยวะน้องเดย์ ”
“ ไม่เคย ” อีกคนส่ายหน้า “ มันเป็นกฏของพี่บ้าน ไม่จริงจังไม่ต้องพาเข้ามา แม่บอกไว้ ”
“ แล้วที่บ้านเป็นยังไงวะ แบบ พ่อแม่ ความสัมพันธ์ของครอบครัว ” คนโดนถามเหล่มองผมยิ้มๆ ก่อนจะตักข้าวกินต่อ
“ หลอกถามเหรอพี่เมด ”
“ นิดนึง ” พูดเสียงเบาน้องก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ ก็ถ้าถามว่าลูกรักแม่คือใคร ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า น้องเดย์ แต่ถ้าถามว่าลูกรักพ่อคือใคร ไม่ค่อยมั่นใจแต่คิดว่าน่าจะรักสัดพี่มากกว่าน้องเดย์ละนะ อื้มมม “ อีกคนลากเสียงเหมือนกำลังพยายามคิดว่าจะแนะนำครอบครัวตัวเองยังไงดี “ พ่อเป็นคนเงียบๆ เหมือนดุแต่ใจดีนะ ให้อิสระทางความคิดเต็มที่เลย แม่ก็เหมือนกันแต่เค้าจะเข้มงวดเป็นเรื่องๆเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น แต่บ้านน้องเดย์มีแต่คนดีนะ ไม่ต้องห่วง เห็นพี่เมดบุ๊ปรับรองต้องรักเลย ”
“ เหรอ ” ไม่อยากจะบอกเลยว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างงั้น ยิ่งพาผู้ชายเข้าบ้านยิ่งไม่ง่ายเลย มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันง่ายแบบนั้น
“ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกพี่เมด สัดพี่มันไม่สนใครอยู่แล้ว ต่อให้พ่อแม่ไม่ชอบพี่เมด มันก็รักพี่เมดอยู่ดี ไอ้สัดพี่มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่แคร์ไม่สนใครทั้งนั้น เหมือนประเทศที่ปกครองตนเอง แต่ก็มีบ้างที่มีปัญหาและต้องเข้าไปพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่าแล้วนั่นก็คือพ่อนั่นเอง ”
“ ช่วงนี้ดูมีความรู้นะเราน่ะ เปรียบเทียบอะไรก็ดูเป็นหลักเป็นการ ดีๆ แสดงว่าสมองเริ่มพัฒนาแล้ว ” ผมแซวอีกคนเล่นๆ ตอนที่ก้มหน้าลงกินอาหารตรงหน้าต่อ น้องเดย์ก็นิ่งไปก่อนจะเอียงหน้าถาม
“ เอ๊ะ ? นี่ด่าถูกมั้ย ”
“ บ้าน่า ชมทั้งนั้น ” หลุดหัวเราะออกมากับคนตรงหน้าผมก็พูดปัด “ รีบกินๆ เดี๋ยวพี่เมดจะไปต่อคิวซื้อข้าวให้อาฟอีก ”
“ เมียที่ดี ” ยกนิ้วให้กันแค่นั้นแต่ผมก็เลือกที่จะไม่เถียงอะไรอีกคนในยืดยาวกว่านั้น