ใจยักษ์ 37
“เอามือมึงออกไปเดี๋ยวนี้!” สมิธผลักอกคนที่กำลังคุกคามส่วนสงวนของตนออกอย่างแรง ลูคัสผงะถอยห่างเล็กน้อยตามแรงผลัก มือที่สาวแก่นกายให้อีกคนหยุดชะงักแต่สองนิ้วเรียวของเขายังไม่หลุดออกจากช่องทางรัดนุ่ม
“อย่าดื้อน่า แต่ก่อนยังพูดง่ายกว่านี้นี่มิทตี้” ลูคัสฉีกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีแม้จะโดนคนอายุน้อยกว่าขัดขืนจนน่าหงุดหงิด แต่เขาเลือกจะปล่อยผ่านแล้วขยับตัวไปจูบซับใบหูอีกคนแทน ถึงแม้จะโดนมือขาวๆทั้งสองข้างนั้นยันอกกว้างเขาไว้ ซึ่งแรงของสมิธก็ต้านทานการกระทำเขาไม่ได้อยู่ดี
“กูไม่ได้พูดง่ายแต่กูโดนมึงบังคับต่างหาก แล้วก็เลิกเรียกกูด้วยชื่อทุเรศๆแบบนั้นสักที!” สมิธตีสีหน้ายุ่ง เบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากบางที่กำลังขบเม้นไปตามใบหูเขาอย่างไม่ลดละ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ว่าตอนนี้แขนขาเขาเริ่มอ่อนแรง เสียววูบไปทั่วท้องน้อยไม่หยุด
ไอ้ปีศาจนี่เล่นจู่โจมจุดอ่อนไหวที่สุดของเขาน่ะสิ!
“ไม่เลิก น่ารักดีออก...พี่ชอบ” ลูคัสกระซิบเย้าชิดใบหูจนสมิธขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เขาชอบที่จะเห็นสมิธแสดงสีหน้าต่างๆมากกว่าทำเป็นเฉยชาหรือทำประชดในสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนัก
“ถ้าอย่างนั้นกูเรียกมึงว่า‘ไอ้นรก’ เพราะ ‘กูชอบ’ ได้ไหมล่ะ” สมิธเน้นชื่อเรียกใหม่ของลูคัสเสียงหยัน เขาสบตาสีเขียวเข้มตรงๆในดวงตามีแววท้าทายที่มักจะทำให้ลูคัสตบะแตกทนไม่ไหวก่อนเสมอ สมิธทำใจว่าครั้งนี้ถ้าไม่โดนตบจนปากฉีกก็ต้องโดนทารุณกรรมด้วยสารพัดวิธีต่างๆตามแบบฉบับของมัน
“ก็ได้นะ” สมิธชะงักค้างกับคำตอบง่ายๆและรอยยิ้มบนหน้าคมหวานนั่น ไม่คิดว่ามันจะยอมง่ายขนาดนี้แม้ตอนแรกจะเห็นหัวคิ้วเข้มกระตุกแล้วก็ตาม แต่ประโยคต่อมาจากอีกคนก็ทำสมิธเม้มริมฝีปากแน่นอย่างพยายามเก็บอารมณ์ คิดถูกจริงๆนั่นแหละว่ายอมง่ายๆแบบนี้ไม่ใช่ตัวมันเลย
“เรียกได้ แต่ว่า...หนึ่งคำต่อสิบน้ำนะ เพราะพี่จะถือว่านั่นเป็นคำเรียกแสดงความรักจากนาย” ลูคัสฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่คนอายุน้อยกว่า เมื้อกี้คือเขาเกือบจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าขาวแต่สากจากหนวดแล้วจริงๆ แต่ใจอีกด้านก็สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนจากจะตบเป็นดูดแรงๆลงบนต้นคอสวยแทน เขาจะใช้แต่ความรุนแรงกับสมิธเหมือนเดิมไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เด็กน้อยทนไม่ไหวจนเตลิดหนีเขาไปอีกนั่นแหละ ครั้งนี้เขาต้องรีบจับแมวดื้อตัวนี้ให้อยู่ ‘ของๆเขา’ เขาต้องได้คืน
“ฝันไปเถอะ! อึก!...ขยับทำเหี้ยไร เอานิ้วออกไป!” สมิธขยับตัวหนีจากการรุกรานของนิ้วเรียวอีกคน แต่แทนที่ลูคัสจะทำตามคำพูดของสมิธ เขากลับสอดนิ้วที่สามเข้าไปอีกนิ้วสร้างความเจ็บปวดที่ช่องทางนั้นให้อีกคน
นิ้วเรียวยาวทั้งสามขยับเข้าออกช้าๆสลับหมุนควงกระแทกจุดกระสันเป็นระยะสอดรับกับจังหวะการสาวชักแก่นกาย สมิธถึงกับหมดเรี่ยวแรงจะต้านทาน แอลกอฮอลล์ในเลือดยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นตัวเร็วเป็นพิเศษ
“เป็นเด็กดีของพี่ แล้วพี่จะไม่ทำอะไร” จบประโยคลูคัสก็ทาบทับริมฝีปากบางลงสัมผัสกับริมฝีปากของอีกคน สมิธเม้มริมฝีปากแน่นไม่อยากให้อีกคนได้เชยชิมน้ำหวานจากริมฝีปากเขา ลูคัสที่รู้อยู่แล้วว่าอีกคนต้องไม่ยอมให้เขาง่ายๆ มือเรียวที่ชักรูดแก่นกายให้อีกคนอยู่เปลี่ยนไปลูบวนส่วนปลายพร้อมใช้นิ้วโป้งขยี้ตามรอยแยกหยักด้วยน้ำหนักพอดีมือ สมิธถึงกับเผลอหลุดร้องครางด้วยความเสียวอย่างทนไม่ไหว
ลูคัสอาศัยจังหวะนั้นรีบสอดลิ้นเข้าไปเชยชิดความหวานในริมฝีปากอีกคนทันที เขาส่งลิ้นไปทักทายกับลิ้นเด็กน้อยที่พยายามหลบเลี่ยงเขา ริมฝีปากบางขบเม้มอย่างเร่าร้อนหื่นกระหาย มือทั้งสองข้างยังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม สมิธที่โดนจู่โจมทั้งบนและล่างอย่างหนักก็ถึงขีดจำกัด ไม่นานสมิธน้อยก็พรั่งพรูหยาดน้ำไปถึงฝั่งฝัน
“แฮ่กๆๆ” ลูคัสถอนริมฝีปากออกมองคนใต้ร่างที่หอบหนัก ดวงตาหยาดเยิ้มและริมฝีปากที่แดงเจ่อ มันทำให้ปวดหนึบไปทั้งส่วนล่าง อยากสอดตัวตนเข้าไปแล้วกระแทกลงหนักๆให้อีกคนตัวสั่นคลอนเหมือนเมื่อครั้งก่อน
แต่ร่างกายของสมิธคงจะรองรับอารมณ์เขาตอนนี้ไม่ไหว ช่องทางรักยังบวมแดงและมีเลือดซึมออกมาหน่อยๆ
ความต้องการเขามีมากและอึดกว่าคนทั่วๆไป ถ้าเขาทำไม่ว่าอย่างไรสมิธคงไปฟื้นโรงพยาบาลแน่ๆ
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นทศกัณฐ์ก็จะมีข้ออ้างกีดกันเขาอีกน่ะสิ
ใครจะไปยอม!
ชึบ! ลูคัสถอนนิ้วที่เปียกชื้นออกจากช่องทางนุ่มช้าๆ เขายืดตัวลุกออกจากเตียงส่งเสียงทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับความโป่งพองที่ดุนดันกางเกงอยู่อย่างรวดเร็ว แม้จะเสียดายมากแต่เพื่อแผนการระยะยาวเขาต้องยอมปล่อยเด็กน้อยไปก่อน
“พักผ่อนซะ อาทิตย์หน้าเจอกัน”
++++++++++++++++++++++++++++++
“ยักษ์ ไม่ว่ายังไงน้องก็จะช่วยพี่สมิธนะ” ผมเอ่ยบอกทศกัณฐ์พลางก้าวขึ้นเตียงลงไปนอนเคียงข้างร่างหนาที่นอนพิงหัวเตียงรออยู่ก่อนแล้ว
“อืม แต่ลุคไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ เขาฉลาดและเหี้ยมโหดกว่าที่น้องคิด” ทศกัณฐ์เคลื่อนตัวลงมานอนดีๆ เขาสอดแขนใต้คอผมพร้อมรั้งเอวให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของเขา ผมกอดตอบเขาหลวมๆ
“ถ้าอย่างนั้นเรามาร่วมมือกันช่วยพี่สมิธนะ” ผมนอนตะแคงข้างหันไปส่งสายตาที่ทศกัณฐ์มักใจอ่อนเสมอให้เขา
“หึ ไม่ต้องมาส่งสายตาอ้อนเลย เรื่องนี้ต้องคิดให้รอบคอบและอีกอย่างเราต้องถามไอ้สมิธด้วยว่าอยากให้เราช่วยรึเปล่า” ที่ทศกัณฐ์พูดก็มีเหตุผล แต่ผมรู้ว่าพี่สมิธต้องการความช่วยเหลือ แววตาเขามันฟ้องเพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก อาจจะจริงอย่างที่ทศกัณฐ์ว่าที่ฮาล์นคนพี่นั้นเหี้ยมโหด พี่สมิธจึงไม่อยากให้คนอื่นมาเดือดร้อน
แต่ผมจะยอมให้พี่สมิธโดนรังแกฝ่ายเดียวได้อย่างไร เขาเป็นพี่ชายที่ผมรัก และอีกอย่างที่เขาต้องกลับไปสู่วังวนของคนๆนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากผมด้วย
“อื้อ แต่ว่านะยักษ์ คนอย่างพี่สมิธถ้าไม่ไหวจริงๆเขาไม่มีทางเอ่ยปากแน่”
“ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว พี่จะจัดการเอง...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับมัน ไม่ได้กักขังอิสรภาพ เราจึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องเขาตรงๆได้ น้องอย่าลืมว่าไอ้สมิธก็เป็นคนของเขาตั้งแต่แรก พี่ต่างหากที่ไปแย่งชิงมันมาจากเขา”ทศกัณฐ์ลูบหัวผมเบาๆอย่างปลอบโยน เมื่อกี้ผมอาจแสดงสีหน้ากังวลมากเกินไปล่ะมั้ง
“โห พวกเหมือนรักสามเศร้า” ผมแกล้งพูดติดตลกเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึมครึมจนเกินไป แม้ทศกัณฐ์จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เรื่องนี้เขาก็คงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“ปกติพี่เป็นคนไม่สนใจใคร แต่วันนั้นพี่ทนดูไม่ได้จริงๆ เป็นครั้งแรกที่พี่ทำเพื่อคนอื่น แถมเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอีก แต่นั่นก็เป็นการหักหลังพี่ชายตัวเอง” ทศกัณฐ์ยิ้มเศร้า เขาคงนึกถึงวันที่ได้เจอกับพี่สมิธครั้งแรก
“พี่ทำดีแล้ว อย่างน้อยพี่ก็ได้เพื่อนที่ดีที่สุดมา” ผมตบหลังมือหนาเบาๆ ทศกัณฐ์จึงโน้มหน้ามาจูบหน้าผากผมแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“แล้วตอนนี้พี่ก็ได้น้องกลับคืนมา”
.
.
.
.
.
“สวัสดี คุณเหรันต์”ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งๆของเขาทำเสียงผมสะดุดไปหนึ่งจังหวะ
“สะสวัสดีครับ พี่กล้า” ผมยกมือไหว้พี่รหัสตัวเอง ผมยิ้มแหยๆให้รู้สึกปั้นหน้าไม่ถูกกับท่าทางของเขา ทำไมต้องพูดทางการแบบประชดขนาดนั้นด้วยวะ
“รู้จักชื่อผมด้วยหรอ” เขากอดอกเลิกคิ้วมองกวนๆ ข้างหลังเขามีเพื่อนยืนคอยอยู่สองคน นี่ถึงขนาดมายืนดักรอผมเลิกเรียน อาจจะมีเรื่องสำคัญก็ได้
“รู้ครับ ก็พี่เป็นพี่รหัสผม”
“ก็ยังดีที่คุณยังจำได้ ผมคิดว่าคุณน่าจะลืมทั้งสายรหัสด้วยซ้ำ” ผมเหวอไปนิดนึง กัดแรงใช่เล่น
“อ่า...ครับ”
“วันเสาร์นี้คุณพอจะมีเวลาว่างไหม เฮียบลูนัดเลี้ยงสายที่ร้านมาว สี่ทุ่มตรง ถ้าคุณมีอารมณ์ว่าง ก็ช่วยมาด้วยละกัน” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับเพื่อนเลย ผมยังไม่ทันได้ยกมือไหว้ด้วยซ้ำ
“อิรันต์ พี่กล้าเขาปากจัดเว่อร์ จิกมึงซะพรุน” ไอ้ท็อฟฟี่ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู
“มึงไปทำอะไรให้พี่เขาโกรธรึเปล่าวะ” ไอ้อ๋องก็โผล่หน้าเข้ามาเสือกในวงสนทนา
“ยิ่งโดยเฉพาะคำว่า ‘มีอารมณ์ว่าง’นะมึง เขาด่ามึงเรื่องปีที่แล้วชัดๆ” เก่งเปรยขึ้นแต่พุ่งกระแทกอกผมเต็มๆ ผมเคยเล่าไปแล้วใช่ไหมครับที่เฮียบลูพี่ซีเนียร์ปีที่แล้ว(พี่บัณฑิตปีนี้)นัดเลี้ยงสายแล้วผมก็โดดแบบไร้เหตุผล ซึ่งร้านที่นัดก็ไอ้ร้านมาวนี่แหละครับ
“แล้วมึงจะไปป่ะ”
“เขาพูดขนาดนี้ก็ต้องไปแหละ” ผมเอ่ยตอบไอ้ท็อฟฟี่ แต่เมฆที่ยืนเงียบๆมาตั้งนานก็เอ่ยขึ้น
“แล้วผัวมึงจะให้ไปหรอ” ผมนิ่งไปหลายวินาที นั่นสิตอนนี้ผมมีผู้คุมอยู่นี่หว่า
“ก็คงให้ไปแหละ” ล่ะมั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
“ไม่ให้ไป” ทศกัณฐ์ปฎิเสธแทบจะทันทีที่ผมเอ่ยปาก
“ต้องไปจริงๆ น้องเบี้ยวพี่เขาบ่อยแล้ว ยักษ์อย่าไร้เหตุผลดิ” ผมเอาคางเกยไหล่หนาอ้อนๆ ทศกัณฐ์วางไอแพดที่ดูหุ้นอยู่ลงบนโต๊ะแล้วหันมามองหน้าผมตรงๆ แววตาเขาไม่ได้อ่อนลงเลย
“มันเป็นร้านเหล้าและดึก พี่เป็นห่วงมาก เหตุผลแค่นี้พอไหม” สายตาจริงจังของเขาทำผมพูดไม่ออก ก็รู้ว่าห่วงอ่ะ แต่มันก็จำเป็นวุ้ย ลำบากใจไอ้คนกลางอย่างผมเนี่ย
“น้องสัญญาจะไม่ดื่มเหล้า” ผมหาทางออกที่น่าจะดีสำหรับทั้งสองฝ่าย
“ไม่มีทาง ไอ้พวกรุ่นพี่ยังไงเขาก็ต้องบังคับให้ดื่ม” อันนี้น่าจะจริงอย่างที่ทศกัณฐ์ว่าครับ พี่กล้าแกยิ่งดูแค้นๆผมอยู่ อย่างน้อยก็เพียวสิบวิฯ เป็นอย่างต่ำ
“แล้วจะให้น้องทำยังไง”
“ก็ไม่ต้องไป”
“ยักษ์อ่า ไม่เอาแบบนี้ดิ ไปเฝ้าเลยไหมล่ะ” ผมโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิดอะไร แต่อีกคนกลับตอบรับคำพูดผมอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขารอให้ผมเอ่ยปากไว้อยู่แล้ว
“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
++++++++++++++++++++++
วันเสาร์
ยืนอยู่ที่หน้าร้านมาวข้างๆยักษ์ปักหลั่น อีกสิบนาทีจะสี่ทุ่ม เราตกลงกันว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืน และทศกัณฐ์จะไม่เข้ามายุ่งกับผมถ้าไม่จำเป็น
เมื่อเดินเข้าไปในร้านเราก็แยกกันไปคนละทาง ทศกัณฐ์บอกว่าเขานัดพี่ดีออกมานั่งเป็นเพื่อน ผมก็เบาใจเพราะไม่อยากให้เขาต้องนั่งรออยู่คนเดียว ผมกวาดสายตาทีเดียวก็เจอกลุ่มพี่บลู เป็นพี่บัณฑิตกลุ่มเขาที่นัดน้องสายตัวเองมาเลี้ยง ต่อโต๊ะยาวหลายตัวคนเยอะมากจนเป็นจุดเด่น ผมก้าวเข้าไปหาพวกเขาด้วยความมั่นใจ
“พี่ๆสวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้รอบโต๊ะพร้อมฉีกยิ้มให้ทุกคน รู้จักหรือไม่ก็ต้องทำไว้ก่อน
“น้อง...ใครวะครับ” พี่คนหนึ่งที่ผมจำได้ว่าเป็นเพื่อนพี่บลูมองหน้าผมงงๆ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่เขาจะจำผมไม่ได้ เพราะตัวผมก็ไม่ค่อยโผล่ศีรษะไปเข้าร่วมกิจกรรมเวลาพี่เขาอยู่สักเท่าไหร่
“นี่รันต์ น้องสายไอ้บลูไงไอ้ห่าเนม” พี่ผู้ชายอีกคนที่นั่งใกล้ๆกันพูดขึ้น พี่ผู้ชายคนนั้นก็ครุ่นคิดไปสักพักก่อนจะนึกออก
“อ๋ออออ เฟรชชี่ที่โดดเลี้ยงสายไอ้บลูนี่เอง” ถ้าพี่จะจำได้แบบนี้ ไม่ต้องนึกขึ้นมาก็ได้นะครับ
“ไม่ได้เฟรชชี่แล้วครับ เฟรชชี่ชื่อนัท” ผมเอ่ยตอบยิ้มๆแต่ทำเอาเงียบกริบทั้งวง
นี่ผมพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ
“จะยืนค้ำหัวเถียงรุ่นพี่อีกนานไหม นั่งสิ” เสียงพี่กล้าดังขึ้นที่มุมหนึ่ง ผมจึงเดินไปนั่งลงที่ว่างข้างๆเขา นัทที่นั่งถัดจากพี่กล้าผมก็ยกยิ้มทักทายให้เขาบางๆ เหลือบเห็นไอ้เก่งกับท็อฟฟี่ยกมือให้เล็กน้อย
“อ้าวรันต์ มาแล้ว ไอ้กล้าเจ๋งนี่หว่าไปเรียกน้องมาได้” พี่บลูที่เพื่งเดินมาอีกทางเห็นผมเข้าจึงเอ่ยทัก สงสัยพึ่งไปเข้าห้องน้ำมา
“เหลือใครยังไม่มาวะ” เพื่อนพี่บลูที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มถามขึ้น
“เหลือไอ้ออยน้องกูอ่ะ” พี่บลูเอ่ยตอบ
“ฮ่า คิดถึงน้องออยสุดสวยชะมัด” พี่ผู้หญิงคนนั้นพูดยิ้มๆพร้อมทำหน้าตาแปลกๆ
“พอเลยเชี่ยฟ้า อย่าลากน้องไปเบี้ยนกับมึง” พี่คนหนึ่งผลักหัวพี่ฟ้าหยอกๆ จากนั้นพี่เขาก็ให้น้องๆสั่งอาหารกันเต็มที่ มีอาหารบางส่วนเริ่มทะยอยมาเสิร์ฟจากที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้
“สวัสดีค่ะพี่ๆ ออยขอโทษที่มาสายน้าพอดีรถติดอ่ะ” พี่ออยเดินเข้ามาตอนเกือยสี่ทุ่มครึ่งด้วยท่าทางรีบๆ พร้อมกับฉีกยิ้มหวานที่ทำเอาผู้ชายและผู้หญิง(บางคน)อ่อนระทวย
“ตอนที่ผมมาจากบ้านก็รถไม่ติดนะ เจ๊มาจากเส้นไหน” พี่กล้าเอ่ยถามพี่ออยที่ทรุดนั่งข้างผม
“กูก็มาเส้นเดียวกับมึงนั่นแหละ แต่กูขี้อยู่เลยอ้างเหตุผลที่ดูดีหน่อย จบนะ” พี่ออยว่าเชิดๆสะบัดผมไม่แคร์สื่อ
“ว่าไงรันต์ หายหน้าหายตาเลยนะลูก” พี่ออยเปลี่ยนเป้าหมายมาคุยกับผมแทน ผมได้แต่ยิ้มให้ เธอชอบเรียกผมเป็นลูกแบบนี้แหละ
“ก็พี่ออยไปฝึกงานก็ต้องไม่เห็นรันต์สิครับ”
“หรอ”ทำไมรู้สึกได้ยินเสียงประสานจากทั้งสองข้างชอบกล
ใช้เวลาไม่นานหลังจากทานอาหารกันพอประมาณ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ก็เต็มโต๊ะ เสียงพูดคุยเล่าประสบการณ์ต่างๆก็เริ่มดังขึ้น จนกระทั่งวกมาเข้าสู่การรับน้องสาย ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นท็อฟฟี่และเก่งช่วยน้องดื่ม
กูโดนแน่ๆ
“มาถึงสายสุดท้าย สายไอ้บลู...” ผมอยากมูฟตัวเองออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยได้ไหม
“ปีหนึ่ง รายงานตัว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นไม่ดังและไม่เบาจนเกินไปแต่ก็ดูน่าเกรงขาม นัทลุกขึ้นรายงานตัว พี่เขาก็พยักหน้าให้นัทนั่งลงพร้อมแก้วทรงสูงสีอำพันเต็มแก้วถูกยื่นมาตรงหน้า
“สามสิบวิฯ” พี่บลูเอ่ยนิ่งๆ จากนั้นก็มีเสียงโห่จากพี่ๆดังขึ้นมา
“โห่ไรวะ พวกกูให้นางเป็นนาที น้อยไปป่าว”
“น้องมันจะไม่ไหว” พี่บลูว่าเรียบๆ แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่
“พี่มันมีไว้ทำไม ทำไมไม่ช่วยน้อง”แล้วก็มีอีกหลายๆเสียงสนับสนุนประโยคเมื่อกี้ขึ้นมา เจ๊ออยกำลังจะยกมือขออนุญาตช่วยน้องแต่ผมรีบตะครุบมือพี่ไว้แล้วเอ่ยปากเอง
“ขออนุญาตช่วยน้องครับ”
“ว้าว ดูซิว่าใครขอช่วยน้อง” พี่จูเนียร์คนหนึ่งพูดขึ้น ถ้าจำไม่ผิดนั่นเป็นเพื่อนของพี่กล้า
“จะช่วยเท่าไหร่” พี่บลูพูดยิ้มๆเหมือนพอใจ
“เอ่อ สิบ...ห้าวิฯ”
“น้อยไปเปล่า ห้าวิน้องนัทก็จะไม่ไหวแล้ว” กูนี่สิไม่ไหว ผมเงียบไม่พูดอะไร เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำแล้วล่ะ
“น่าๆพวกมึง อย่าแกล้งน้องกู สิบห้าก็สิบห้า เอาสิรันต์” พี่บลูส่งอีกแก้วมาทางผม นัทขอเริ่มก่อน พวกพี่ๆก็ส่งเสียงเชียร์นับกันเสียงดัง นัทกระดกชิวๆจนครบเวลาตามที่พี่นับ หน้าเขาแดงปลั่ง ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
กูตายแน่ๆ
“เอาล่ะ มาถึงคนสุดท้ายที่เรารอคอย”พี่ครามพื่อนพี่บลูพูดขึ้นด้วยความสมใจ แหม่ได้ทีขี่แพะไล่กันดีเนอะ
“ถ้าพร้อมก็ยกเลย” พี่กล้าที่นั่งข้างๆเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่เรียกความมั่นใจ ก่อนจะคว้าแก้วยกขึ้นกระดก อย่างรวดเร็ว ผมนับในใจค่อยๆจิบให้น้อยและช้าที่สุด เมื่อครบเวลาผมจะยกแก้วออกจากปากแต่กลับโดนมือปริศนายันก้นแก้วผมไว้ให้ดื่มต่ออึกใหญ่จนผมแทบสำลักมือนั้นจึงผละออกไป
ผมสะบัดหน้านิดๆรู้สึกมึนงง และโลกหมุนตลอดเวลา แทบจะฟังพวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ไอ้กล้า ไปแกล้งน้องมันทำไมวะ”
“มันจิบไปนิดเดียวเองเจ๊”
“นิวเดียวบ้านมึงสิ เหลือค่อนแก้วเนี่ย”
ผมมึนๆและเวียนหัวอย่างหนัก รู้สึกผะอืดผะอมอยากจะอาเจียน เลยพยายามลุกขึ้นเงียบๆคนเดียว แต่ก็เหมือนจะเซล้มลงอีก
หมับ! แขนหนาของใครบางคนสอดเข้าพยุงเอวผมเพื่อให้ผมทรงตัวได้ ผมหันไปมองแต่ผมมันซ้อนๆกันมองไม่ค่อยชัด กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่หอมจัดจนฉุนทำให้ผมย่นจมูกนิดๆเพราะเวียนหัวหนักกว่าเดิม
“เดี๋ยวหนูพารันต์ไปเข้าห้องน้ำนะคะพี่” ผมรู้สึกเหมือนมีใครพาเดินไปที่ไหนสักแห่ง ได้ยินเสียงพูดอยู่ใกล้ๆหูแต่ผมฟังไม่ได้ศัพท์สักเท่าไหร่
“มึง อ้วกออกให้หมดเลยนะ จะได้ดีขึ้น” สัมผัสลูบหลังผมไม่เบานักทำให้ผมรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา มือผมควานหาโถตามสัญชาตญาณก่อนจะอ้วกออกมาจนแสบคอไปหมด ผมอ้วกอยู่นานจนรู้สึกดีขึ้นแต่ก็ยังมึนหัวอยู่
มีคนพยุงผมไปล้างหน้าและบ้วนปาก ผมยืนอยู่นิ่งๆสักพักจึงรู้สึกดีขึ้น มองไปที่คนที่ยืนอยู่เคียงข้างก็เป็นไอ้ท็อฟฟี่อย่างที่คิดจริงๆ
“อ่ะ ดื่มสักหน่อยจะได้รู้สึกดีขึ้น” มันยื่นขวดโซดามาให้ ผมก้รับมาดื่มโดยไม่อิดออด
“ขอบใจ”
“เออ กูโคตรสงสารมึงค่ะดอก แต่อย่าโกรธอะไรพี่เขาเลย เขาก็แกล้งแรงแบบนี้ไปตามธรรมเนียมแหละ”
“ไม่ได้โกรธ” แต่กูจำ
“กูเห็นพี่ทศ มึงไปนั่งกับพี่เขาก่อนดีไหม กลับตอนนี้พี่เขาจะเข้าใจผิดเอา”
“อืม”
ท็อฟฟี่กับผมพากันเดินออกจากห้องน้ำ มันพาผมเดินไปอีกทาง แต่อยู่ๆแผ่นหลังกว้างของท็อฟฟี่ก็หยุดลงกะทันหัน
“อิรันต์ งานเข้าค่ะ” ผมขมวดคิ้วมุ่นและลากสายตาตามที่ท็อฟฟี่มองอยู่
ตรงนั้นมีผู้ชายนั่งดื่มบนโซฟาอยู่สองคน และมีผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งนั่งอยู่...บนตักแฟนผม
“เอาไง ตบไหมมึง” ผมไม่ตอบท็อฟฟี่แต่เดินตรงไปยังที่ทศกัณฐ์นั่งอยู่ทันที
“ยักษ์”ทศกัณฐ์หันมามองตามเสียงเรียกพร้อมๆกับที่ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นกระเด็นออกจากตักทศกัณฐ์พอดิบพอดี
“เสร็จแล้วหรอ” ผมส่ายหน้า เขาจึงขยับที่ให้ผมนั่ง ผมก็ทรุดลงนั่ง...บนตักแฟนผม โดยไม่อิดออด พิงหลังกับอกแกร่งอย่างต้องการพัก แขนหนาก็โอบเอวผมหลวมๆไว้กันตก
“เมารึยัง” เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบชิดหู
“เมา” ผมพลิกตัวหันหน้าเข้าหาเขา สองแขนโอบรอบคอแกร่งพร้อมกลับซุกหน้าไถจมูกกับบ่าเขาอย่างที่ชอบทำ
“กลับเลยไหม?” ทศกัณฐ์ถามพลางลูบหลังให้ผมไปด้วย
“ยัง ว่าแต่...เขาเป็นใครหรอ” ปากผมถามทศกัณฐ์ แต่สายตาผมหันไปมองพร้อมฉีกยิ้มบางๆให้บุคคลแปลกหน้าที่ย้ายไปนั่งข้างพี่ดีแล้ว เขาที่จ้องพวกผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมมองกลับก็หน้าเครียดขมึงใส่ผมทันที
“น้องไอ้เซนท์ ชื่อซี” ทศกัณฐ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“อ๋อหรอ แล้วทำไมเขาถึงมานั่งตักพี่ได้ล่ะ”
“เขาล้ม พี่เลยรับไว้” ผมพยักหน้ารับรู้
“ผมชื่อรันต์นะครับ” ผมยิ้มแล้วแนะนำตัวกับอีกคน
“ซีครับ”
“คุณ ไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ครับ” เขาตอบห้วนๆตัดบทแล้วยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม
“โชคดีจังเลยนะครับที่คุณล้มใส่แฟนผมพอดี ไม่อย่างนั้นคงเจ็บตัวแย่” แก้วที่เขายกขึ้นดื่มชะงักไป เขาวางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดัง พี่ดีหันไปมองดุๆ ทศกัณฐ์ก็มองด้วยความไม่ชอบใจ แต่ผมเพียงยิ้มให้เขา
“ผมกลับก่อนนะ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
“รันต์พี่ขอโทษแทนซีด้วย” พี่ดีเอ่ยขอโทษแทนคนที่จากไปแล้ว
“พี่ดีจะขอโทษทำไม มันเป็นอุบัติเหตุนี่ครับ อย่าคิดมากเลย รันต์ไม่ถือสา”
“อืม”
“ยักษ์ เดี๋ยวน้องจะไปหารุ่นพี่ก่อนนะ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับ” ผมหันมาพูดกับอีกคนที่นั่งทับเขาอยู่ ทศกัณฐ์พยักหน้าพร้อมยื่นหน้ามาหอมแก้มผมหนึ่งฟอด
“อ้าว ยังไม่กลับหรอครับคุณซี” ผมเดินมาทางห้องน้ำแล้วเอ่ยทักอีกคนที่กำลังล้างมือที่อ้างล้างหน้าอยู่ เขาหันมามองผมด้วยสายตาทิ่มแทงเสียยิ่งกว่ามีดอีก
“นายจงใจใช่ไหม” เขากัดฟันถามออกมา
“ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนพูดคำนั้น ฉลาดล้มได้ถูกที่ดีนะครับ ที่ว่างขนาดนั้นสะดุดอากาศล้มหรอ” ผมพูดยิ้มๆ เอาตรงๆตอนที่เห็นภาพเขานั่งอยู่บนตักทศกัณฐ์ก็ทำผมพูดไม่ออกเหมือนกัน ตอนนั้นสัญชาตญาณผมบอกว่าไม่ควรปล่อยผ่านไปง่ายๆ อาจจะเพราะผมเมาผมเลยกล้าทำตัวหน้าไม่อายแบบนั้นล่ะมั้ง
ที่ผมเดินมาเจอเขาตรงนี้ก็ไม่ได้บังเอิญหรอกนะ
“เหอะ! แล้วยังไงอย่างน้อยผมก็ไม่ตีสองหน้าเก่งเหมือนนาย”
“แต่คนตีสองหน้าเก่งอย่างผมก็เป็นคนที่ได้เขามานอนกอดทุกคืนนะครับ ไม่เหมือนบางคน พยายามสำออยแทบตายแต่ก็ได้แค่นั้น”
“แก ถ้าพี่ทศกัณฐ์รู้ว่าแกเป็นคนแบบนี้เขาจะว่ายังไง”
“เขาก็จะหอมแก้มผมสองฟอดแล้วถามว่าอยากได้อะไรน่ะสิครับ” ซีกัดฟันกรอดกำมือแน่น แต่สิ่งที่ผมพูดให้เขามันก็จริงทุกอย่างนี่ครับ
“ผมเตือนว่าอย่าพยายามล้ำเส้นให้มันมากเกินไป ผมทำได้มากกว่านี้อีก ต่อให้คุณเป็นน้องพี่เซนท์ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ” พูดจบผมก็เดินออกมาเลย
เอ...หรือว่าผมจะว่าเขาเกินไปนะ
ช่างเถอะ ใครบอกให้เขามองแฟนผมด้วยสายตาแบบนั้นกันล่ะ สายตานั้นผมทำได้คนเดียว
ผมเดินไปโต๊ะพี่ๆ นั่งดื่มน้ำอัดลมเงียบๆฟังพวกเขาคุยกัน พี่ปีสูงก็ไม่ได้บังคับให้ผมดื่มอีก ท็อฟฟี่มองผมเหมือนจะถามเรื่องที่เกิดขึ้น ผมจึงยิ้มและยกนิ้วโอเคให้มัน มันเลยพยักหน้าตอบกลับมา ผมนั่งอีกสิบนาทีก็ขอตัวกลับโดยอ้างว่าเมา พวกเขาก็ยอมให้ผมกลับแต่โดยดี
ผมออกมานอกร้านแล้วโทรบอกทศกัณฐ์ เขาบอกให้ผมไปรอที่รถ เขาขอเคลียร์บิลก่อน ผมยืนพิงรถเงียบๆกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นคนที่ผมพึ่งไปวางท่าใส่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล เขาคงยังไม่เห็นผม แต่ถ้าหันมาก็จะเจอผมเต็มๆเลยล่ะ
“ยุงกัดไหม” ร่างหนาที่เดินมาถึงตัวผมก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง และเป็นจังหวะเดียวกับที่ซีหันมาทางนี้พอดี อาจเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงทศกัณฐ์
“โอ๊ย! เจ็บขา” อยู่ๆโรคขาเจ็บก็เกิดขึ้นกะทันหัน ผมแกล้งทรุดตัวตรงๆแบบว่ารู้แน่ๆว่าแกล้ง แต่ทศกัณฐ์ก็เลือกที่จะตามน้ำเล่นละครไปกับผม เขารีบสอดแขนพยุงผมไม่ให้ล้ม ปลดล็อกรถเปิดประตูแล้วจับผมให้นั่งลงบนเบาะหนังนุ่มๆ โดยหันเท้าออกมานอกรถ
“เจ็บข้างไหน” ทศกัณฐ์ทรุดเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง ผมชี้มั่วๆไปที่เท้าขวา เขาก็จับขาผมพาดตักตัวเอง ถอดรองเท้าผมออกอย่างเบามือราวกับกลัวว่าทำทำแรงไปขาผมมันจะหักซะอย่างนั้น เขานวดๆคลึงๆให้ผมอยู่สักพักก่อนจะเงยหน้าพูดกับผม
“อาจจะพลิกนิดหน่อย น้องทนเจ็บนะ กลับห้องไปพี่จะเอายานวดให้” ร่างสูงบอกยิ้มๆ ดวงตาสีเขียวซีดทอประกายแวววับอย่างรู้ทัน
“อื้อ ขอบคุณครับ” ผมโน้มตัวไปจูบหน้าผากเขาหนักๆหนึ่งทีที่ยอมตามใจ
ก็นั่นแหละครับ ถ้าทศกัณฐ์ตามผมไม่ทัน ผมไม่เอาเขามาทำ...แฟนหรอก
+++++++++++++++++++++++++
แอบมาดึกๆ คิดถึงทุกคนนะ แต่มอเลื่อนสอบมันเลยไม่ว่างยืดเยื้อเป็นเดือนแบบนี้แหละ รอหน่อยเน้อ จุ๊ฟฟฟฟ