ตอนที่ 8
ไม่ทันที่รถคันใหญ่จะได้จอดสนิทดี ร่างบางก็รีบกระเด้งตัวขึ้นออกจากอ้อมแขนแกร่ง ที่ถูกจับกุมสะโพกมนเล็กๆมาตลอดทาง คนตัวสูงได้แต่ยิ้มกรุ่มกริ่มปนกับความเก้อเขินเล็กน้อย ไม่นานบอลก็ปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อโดนโยทักเข้า
“ผีเข้าเรอะเมิง นั่งยิ้มคนเดียวอยู่ได้” โยพูดน้ำเสียงยังคงงัวเงีย ก็เล่นนั่งหลับซบคนข้างๆจนไหล่ชามาตลอดทางแล้วนิ เคนไหวไหล่เล็กน้อยเพราะอาการด้านชาที่กัดกินไหล่ซ้ายของเขาไปหมดแล้ว
“แล้วเมิงเสือกอะไรด้วย” ไม่พูดเปล่ามือหนาก็ตบที่ง้อนเล็กๆของอีกฝ่ายทันที ไวเท่ากับความคิดโยหลบได้ทันซะก่อนอย่างรู้ทัน แต่คนที่รับไปเต็มๆคือเคนที่รับศอกและตัวของโยที่เอี้ยวหลบฝ่ามืออรหันของบอลไปเต็มประตู ถึงจะจุแต่เคนก็ฝืนยิ้มแห้งๆก่อนจะตบที่ง้อนของคนตัวเล็กแทนบอล
“ไอ่เชี่ยโย แมร่ง หลบมาไม่ดูเลยนะเมิง” เคนพูดดุร่างบาง ก่อนจะมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าบูดบึ้ง มือเล็กพลางลูบท้ายทอยตัวเองอย่างไม่พอใจ โยส่งเสียงบ่นเบาๆอยู่ในลำคอ ทำให้เคนอดอมยิ้มไม่ได้
“ฮ่าๆ ขอบใจว่ะไอ่เคน เมิงนี่รู้ใจกูจริงๆ” ทั้งบอลและเคนต่างพร้อมใจหัวเราะร่าอย่างมีความสุข นัยน์ตาคมมองเหม่อออกไปนอกกระจก ปล่อยให้ความคิดที่ลอยเคว้งไปไกล มีเพียงรอยยิ้มจางๆที่มุมปากเรียวเท่านั้น
เคนลูบปุยผมสีนิลเบาอย่างห่วงใย ก็คนที่นั่งอยู่ข้างกายขี้งอนไม่ต่างกะลูกแมวตัวเล็กๆเลยสักนิด ถ้าโยมันรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วในใจเขาคิดยังไงกับคนตรงหน้านี้เกินกว่าเพื่อน แล้วมันจะทำยังไง มันจะยอมรับหรือปฏิเสธเขาก็ไม่อาจะเดาได้เลย แต่ถ้าเป็นอย่างหลังเขาก็ขอเลือกที่จะเป็นคนแอบรักฝ่ายเดียวตลอดไปดีกว่าต้องเห็นโยจากเขาไป
รถคันใหญ่จากไปทิ้งเหลือไว้แต่ฝุ่นควันสีเทากับเด็กหนุ่มสองคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถไม่กี่นาทีที่ผ่านมา คนตัวเล็กบิดตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยเป็นพิษจากที่นั่งเกร็งมาตลอดทางนั้นเอง เกี๊ยวมุ่งหน้าเดินกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ลงรถไม่กี่สิบก้าว เพราะมัวแต่เผลอใจคิดถึงใครบางคนจนลืมสังเกตไปว่ามีคนๆหนึ่งที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง
“หวัดดีแม่ พ่อ” ร่างบางที่เหนื่อยอ่อนยกมือไหว้เร็วก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้กลมตัวเล็ก พลางก้มหน้าก้มตาถอดถุงเท้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“หวัดดีครับน้าดา น้าพงษ์” เสียงทุ้มที่คุ้นหูกับน้ำเสียงที่เน้นหนักตรงชื่อของบุคคลที่เอ่ยเรียกทำให้คนตัวเล็กรีบเงยหน้า หันควับไปหาต้นเสียง
“อ้าว โอมแม่เราบอกแล้วสินะ เข้ามาก่อนๆ” แล้วแม่ก็กวักมือเรียกไอ่โอมเข้ามาในร้าน นี่มันเรื่องอะไรกัน ไอ่โอมมันมาทำอะไรที่บ้านผมอีกล่ะเนี่ย แถมตะกี้มันยังหลอกล้อชื่อพ่อชื่อแม่ผมต่อหน้าต่อตา
“เห็นว่าแม่เค้าจะไปสองสามวันใช่มั้ย” ร่างสูงพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของตนเอามือแตะหลังโอมอย่างเอ็นดู
“พ่อ ไอ่โอมมันมาทำไรที่บ้านเราง่ะ” มือเล็กกระตุกชายเสื้อผู้เป็นพ่อเบาๆ ก่อนจะกระซิบถามด้วยความสงสัย สายตาก็ยังคงไม่ละจากร่างสูงที่ยืนคุยกับแม่ของตนอย่างออกรส
“อ้าว ยังไม่รู้อีกเหรอ น้าเพ็ญเค้าไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัดสองสามวันกว่าจะกลับ ก็เลยฝากลูกชายเค้าไว้ที่บ้านเราไง” พ่อพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
“อะไรน๊า” ร่างบางเผลอร้องเสียงลั่น จนแม่กับไอ่โอมที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันมามอง
“ตกอกตกใจอะไรนักหนา ไป๊ๆ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้มากินข้าว” พ่อดันหลังเล็กที่ลุกขึ้นอย่างอิดออด คนตัวเล็กทำหน้ามุ้ยส่งเสียงกะฟืดกะฟัดอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่กระทืบบันไดขึ้นไปทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงจะไม่พอใจเท่าไรที่มีแขกมาร่วมอาศัยที่บ้านด้วย
“ไอ่ลูกคนนี้ จริงๆเลยน่า เฮ้อ... อย่าไปสนใจเลยเกี๊ยวมันก็เป็นยังงี้แหละ แม่เราเอาเสื้อผ้ามาให้แล้วนะ ขนเอาไปไว้ที่ห้องเกี๊ยวมันได้เลย ห้องหับมันมีน้อยคงต้องนอนห้องเดียวก็ลูกน้าไปก่อน อยู่ได้ใช่มั้ยน่ะเรา” แค่อยู่บ้านเดียวกะไอ่โอมผมก็ว่าชริปหายแล้วยังจะให้ผมนอนห้องเดียวกับมันอีก แม่นะแม่ คนตัวเล็กที่แอบฟังอยู่ด้านบนแอบน้อยใจนิดๆที่จู่ๆก็โดนแย่งความสำคัญไป
“ครับ บ้านน้าก็เหมือนบ้านผมอยู่ได้อยู่แล้ว” โอมก้มหัวให้ก่อนจะยิ้มบางๆ มือหนาหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตนก้าวขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของเกี๊ยว บ้านไม่เหมือนกันได้ไงก็มันเป็นตึกแถวก็ต้องเหมือนกันนี่เนอะ
“ทำไมถึงได้ซวยยังงี้ว้า...จะอยู่สงบๆไม่ได้เล้ย บ้านช่องอยู่คนเดียวไม่ได้รึไงว่ะถึงต้องมาเกาะบ้านคนอื่นอยู่เนี่ย” ร่างบางบ่นกระปอดกระแปดตามลำพังภายในห้องนอนที่เปิดประตูแง้มไว้
“ว่าไง มีอะไรไม่พอใจรึเปล่า” นัยน์ตาคู่สวยมองผู้มาใหม่ที่หอบข้าวของเข้ามาในห้องตัวเอง ก็ถึงกับแอบขนลุกเล็กน้อยกับสายตาที่ดูคลุมเครือของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมาทางตน
“อะ เอ่อ ก็ไม่มีไรนิ” เสียงหวานดูสั่นเครือเล็กน้อยอย่างคนประหม่า ร่างบางรีบคว้าเสื้อยืดที่แขวนหน้าตู้เสื้อผ้ามาสวมอย่างรวดเร็ว จะยืนอวดก้างให้ไอ่โอมมันดูผมก็คงไม่กล้าไปเทียบของมันหรอก ขาเล็กรีบก้าวเร็วออกจากห้อง เกี๊ยวแทรกตัวผ่านร่างสูงที่ยืนขวางหน้าประตูออกมา เล่นเอาเสียวไปตามๆกัน
“หึหึ” โอมยิ้มกริ่มพลางหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะหันไปจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง ในเมื่อได้มาอยู่ในห้องนอนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้มาเยือนอีกครั้ง ภายในใจมันก็พองโตจนไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว
ร่างสูงเดินสำรวจรอบๆห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ข้าวของที่รกรุงรังกระจัดกระจายเต็มห้องทำให้ห้องนี้ดูไม่ต่างจากห้องเก็บของสักเท่าไร บนโต๊ะเขียนหนังสือก็มีแต่แผ่นกระดาษวางเกลื้อนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปการ์ตูนหรือรูปเหมือนจริงก็ทำเอาคนที่ถือวิสาสะค้นเผลอชื่นชมในฝีมือของเจ้าของห้องไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูสะดุดตากว่าเศษกระดาษที่กองถมบนโต๊ะ มันเป็นสมุดเล่มเดียวที่วางอยู่
ยังไงก็เสียมรรยาทค้นห้องมันแล้ว จะกลัวอะไรอีก ร่างสูงหยิบสมุดเล่มนั้นมาก่อนจะเอนหลังพิงหมอนใบโตบนที่นอนนุ่มๆ พอคิดว่าตรงนี้เป็นที่ๆร่างบางนอนอยู่ทุกวันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มือหนาพลิกหน้ากระดาษเพื่อสำรวจดูภายในมันก็เป็นสมุดวาดเล่นธรรมดา แต่ภายในนั้นเป็นรูปคนๆหนึ่งซ้ำกันแทบจะทุกหน้า รูปเด็กผู้หญิงถักเปียผมยาวทำให้เดาไม่ยากว่านี่คงเป็นขิง เพื่อนร่วมชั้นที่ไอ่เกี๊ยวมันแอบชอบอยู่ รู้ก็ทั้งรู้ว่าไอ่เกี๊ยวมันชอบแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะแกล้งให้มันผิดหวัง ก็เพราะไม่ชอบเวลาที่มันมองขิงด้วยสายตาที่ผมไม่เคยได้จากมัน จนตอนนี้ก็แทบจะไม่เห็นมันคุยกับขิงเท่าไร ไอ่เกี๊ยวไม่รู้หรอกว่าความรักมันเป็นแบบไหน กูจะสอนให้เมิงรู้เองว่าความรักที่แท้จริงน่ะมันเป็นยังไง (โอม)
ร่างสูงที่กำลังเปิดสมุดดูจนลืมเวลา ในที่สุดก็มาถึงหน้าสุดท้ายที่เดาว่าต้องเป็นรูปขิงไม่ก็ตัวการ์ตูนแน่ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเพราะมันกลับเป็นรูปใครบางคนที่ถูกวาดจากด้านหลัง ผู้ชายในรูปนี้เป็นใคร ยิ่งดูรูปนี้นานเท่าไรความสงสัยก็เพิ่มพูนขึ้นในจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะรูปภาพที่คล้ายกับยังวาดไม่เสร็จก็เลยดูไม่ออกว่าเป็นรูปของใครกันแน่
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้ากับเสียงบ่นอุบอิบของคนที่คุ้นเคยที่ดังทำให้รู้ว่าเจ้าของห้องกำลังขึ้นบันไดมาแน่ๆ คนตัวสูงรีบวางสมุดไว้เช่นเดิมก่อนจะเอนตัวลงนอนแสร้งทำเป็นหลับก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้ามาภายใน
“ไอ่เชี่ยโอมโว้ย ไปแดรกข้าว” ผมแหกปากสุดเสียงตะโกนเรียกไอ่โอมที่มันนอนสบายอยู่บนเตียงผม ทำยังกะอยู่บ้านตัวเองเลยไอ่นิ คำว่า เกรงใจ น่ะสะกดเป็นมั้ยว่ะ ต้องลำบากผมขึ้นมาตามมันอีก ชักจะเกินไปแล้วนะว้อย
“เหี้ย หลับเป็นตายเลยนะเมิง จะแดรกข้าวมั้ย” มือเล็กเขย่าตัวคนที่นอนอยู่ ผมแหกปากขนาดนั้นมันยังไม่ตื่น ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนว่ะเนี่ย
หวืด~!!
ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวก็จะไอ่โอมมันกระชากคอเสื้อลงไปจนล้มไปนอนจมกับเตียง แถมไอ่นิมันยังโดดมานั่งคร่อมผมอีก
“ไอ่เชี่ยโอม ลุกไปนะโว้ย” ผมแหกปากลั่น พยายามผลักอกมันออกไปแต่มันก็ไม่เห็นจะขยับเขยื้อนเลยสักนิด
“เมิงกล้าหาเรื่องกูเหรอ” มือหนากำคอเสื้อยืดของอีกฝ่ายแน่น นัยน์ตาคมที่ประสานกับอีกฝ่ายใกล้จนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
“อะ เอ่อ” มันเป็นเชี่ยไรของมันอีกว่ะเนี่ย สายตาคมที่มองลึกเข้ามาที่นัยน์ตาของอีกฝ่ายก็เริ่มทำเอาหัวใจอ่อนยวบลงทุกที
“กูบอกให้เลี้ยงซ้ายๆ เห็นมั้ยหนึ่งศูนย์แล้วเนี่ย เวร” อ้าว ไอ่ห่านิละเมอน่ากลัวพอๆกะตอนมันตื่นเลย แถมมันจ้องผมตาไม่กระพริบยังงี้ใครจะไปรู้ว่ามันละเมอเล่า มือหนากระชากคอเสื้อร่างบางแรงก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นต้อง... ย๊ากกก” ผมก็เลยเข่าไปที่ท้องมันเต็มที่ จะใส่เบาๆเดี๋ยวมันจะไม่ตื่นผมเลยออกแรงเยอะหน่อยขอกำไรด้วยเล็กน้อย ก๊ากๆเจอเตะฟรี
“โอ๊ยย” ผมมองไอ่เชี่ยโอมนอนงอขดอยู่ข้างๆ สงสัยจะรู้สึกตัวแร่ะสินะเมิง
“ไอ่เชี่ยเตะกูไมว่ะ” ดวงหน้าคมบูดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยปากด่าร่างบางที่ยืนเท้าเอวอยู่ข้างๆเตียง
“ก็กูเรียกเมิงแล้วเสือกไม่ตื่นเองนี่หว่าช่วยไม่ได้ ข้าวนะจะแดรกมั้ย จะแดรกก็รีบๆลงไป หิวเว้ย” คนตัวเล็กพูดยาวเหยียดจนอีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เถียงต่อก็ทิ้งให้ร่างสูงนอนจุอยู่คนเดียว
“กะจะแกล้งซะหน่อย ไหงเป็นงี้ไปได้ว่ะ” โอมพึมพำกับตัวเองพลางอมยิ้มก่อนจะเดินตามร่างบางไปแต่โดยดี
“กลับข้าวอร่อยมั้ยล่ะ ไม่รู้จะสู้ฝีมือแม่เราได้รึเปล่า” ผู้หญิงคนเดียวของบ้านตอนนี้เอ่ยกับแขกที่ไม่เคยร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันมาก่อน
“อร่อยเหมือนๆกันครับ ถ้ามาอยู่ที่นี้หลายวันผมต้องอ้วนแน่ๆ เหอะๆ” โอมพูดแกมหัวเราะ มีเพียงแต่ร่างบางที่นั่งเงียบตักข้าวเข้าปากอย่างคนไม่ได้กินข้าวมา 3 วัน ถ้ามาอยู่ที่นี้หลายวันผมต้องอ้วนแน่ๆ เชอะ คนตัวเล็กแอบทำเสียงล้อเลียนอยู่ในใจ นัยน์ตาคู่สวยมองร่างสูงแบบไม่พอใจ
“พ่อ!!!ขอข้าวอีก” เกี๊ยวเอ่ยปากหนักแน่น ก่อนจะยื่นจานข้าวที่เบาโหวงไปให้ผู้เป็นพ่อ
“แหะ วันนี้มาแปลกกินข้าวไม่พูดไม่จาแถมขอเติมด้วย ปกติเห็นกินข้าวเท่าแมวดมนี่” พ่อพูดแซวพลางยื่นจานข้าวใบเดิมที่เต็มไปด้วยข้าวสวยพูนๆมาให้คนตัวเล็ก
คนตัวเล็กยังคงไม่สนใจ(เพราะน้อยใจ)จ้วงข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่องชนิดที่ว่าหายใจทางผิวหนังกันไปเลย ไม่ได้ไปแข่งกินทีวีแชมป์เปี้ยนนะเว้ย ใช่สิ ตอนนี้ผมมันก็แค่หมาหัวเน่าพอลูกคนอื่นมาค้างที่บ้านแค่สองสามวันก็ลืมผมแล้วใช่มั้ยล่ะ
พอกินข้าวเสร็จหน้าที่เก็บจานไปล้างก็ตกเป็นของผมเช่นทุกๆวัน ต่างกันตรงที่วันนี้มีไอ่โอมมานั่งกินด้วย กับข้าวก็เพิ่มขึ้นแล้วจานก็เลยเยอะตามไปด้วย ผมหอบถ้วยจานกองเบ้อเริ่มไปไว้ที่อ่างล้างจานอย่างทุลักทุเล เพราะมันคนเดียวเลยงานผมเลยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“กูช่วย” อยู่ดีๆไอ่โอมก็เดินมาช่วยผมยกจานไปไว้หลังบ้าน จะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรแล้วทำไมผมถึงไม่ชอบขี้หน้ามันก็ไม่รู้
“ไม่ต้อง กูทำเองได้” น้อยครั้งที่จะเห็นมันทำดีด้วย ผมเลยรู้สึกขัดๆทำตัวไม่ค่อยถูกเลยแฮ่ะ
“เอ่อน่า... จานเยอะขนาดนี้เมิงล้างคนเดียวไม่ไหวหรอก” คนตัวสูงเอ่ยขณะบีบน้ำยาล้างจานใส่ในน้ำ แล้วตีมือเบาๆจนเกิดฟองสบู่ฟูฟ่อง
“...” ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพราะปกติผมก็ไม่ค่อยได้คุยกะมันเท่าไร มือหนึ่งถือสก๊อตไบท์อีกมือหนึ่งถือจานผมขัดๆถูๆจานจนสะอาดหวังใจว่าจะล้างจานให้เสร็จเร็วๆ อยู่เงียบๆกับไอ่โอมสองคนยังงี้มันอึดอัดไงก็ไม่รู้
“นี่...” สองเสียงที่ดังประสานพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ผมก็กะจะชวนมันคุยสักหน่อยไอ่นี่มันก็ดันพูดขึ้นมา ทีตะกี้เงียบตั้งนานทำไมไม่พูดว่ะ
“เมิงพูดก่อนเหอะ” ผมบอกไอ่โอม ทั้งทีไม่ได้มองหน้าในมือก็กำลังล้างจานอย่างเมามัน
“มะ ไม่มีไร ว่าแต่... ตะกี้เมิงจะพูดอะไรนะ” แล้วมันก็ถามผมกลับจนได้ กูก็ไม่รู้จะชวนเมิงพูดอะไรเหมือนกัน
“อะ อ้อ กูกะจะถามว่าแม่เมิงไปงานศพใครเหรอ เออ ใช่ๆๆ แม่เมิงไปงานศพใคร” ผมพยายามทำหน้าอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่รู้จะเนียนรึเปล่า มือก็พยายามควานหาจานในกะละมังที่เหลือน้อยเต็มที จานตั้งเยอะไม่น่าเชื่อว่าผมเพิ่งล้างได้แปบเดียวก็จะหมดแล้ว
“ญาติห่างๆของแม่เค้ามั้ง กูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ่โอมตอบสายตาเหม่อลอยเหมือนกำลังใช้ความคิด
“เหรอ เออ” ถ้ามันตอบว่างานศพพี่ ป้า น้า อา ผมก็พอจะเนียนถามต่อได้อีก แต่ขนาดงานศพใครมันยังไม่รู้ผมก็หมดหนทางแล้ว
แล้วความเงียบก็กลับมาครอบคลุมพื้นที่อีกครั้ง ผมรีบควานหาจานในกะละมังที่มีฟองน้ำยาล้างจานลอยอยู่เต็มไปหมด คงเป็นจังหวะเดียวกันที่ไอ่โอมมันควานหาจานด้วยมั้ง ผมเลยไปจับโดนมือมันเข้า พอมันหันมามองหน้าผมเท่านั้นแหละรีบชักมือออกมาแทบไม่ทัน ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจนี่เออ
“มะ เมิงเคยเล่นฟองสบู่มั้ย” ผมพยายามชวนมันคุยเรื่องอื่น
“ห๋า ฟองสบู่เชี่ยไรของเมิง” ดูท่ามันคงจะไม่เคยเล่นจริงๆแฮ่ะ
“เกิดมาได้ไงว่ะเนี่ยไม่เคยเล่นฟองสบู่” ร่างบางบ่นอุบอิบ มือเล็กก็ตีฟองสบู่ในกะละมังเล่น
“ว่าไงนะ” แล้วคนตัวสูงก็เอียงตัวมาหาร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักเชิงว่าได้ยินไม่ถนัด
“อะ อ่อ กูจะสอนเมิงให้ก็ได้” ผมใช้ปลายนิ้วชี้แตะกับปลายนิ้วโป้งให้มันดูเป็นรูปวงกลม ไม่เหมือนก็คล้าย แล้วก็จุ่มมือลงไปในกะละมังที่มีน้ำผสมกับน้ำยาล้างจานอยู่ก่อน พอยกมือขึ้นมาตรงช่วงนิ้วชี้กะนิ้วโป้งที่มันเป็นวงกลมมันก็จะมีฟองใสๆติดขึ้นมาเป็นแผ่นบางๆด้วย
“เป่าดูดิ” ผมยื่นมือข้างที่จุ่มในกะละมังไปทางมัน ไอ่โอมทำหน้างงเล็กน้อยแล้วก็โน้มตัวลงมาเป่าตรงรูวงกลมระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งที่ผมทำไว้
“เวร เป่าเบาๆดิว่ะ เป่าแรงมันก็แตกหมด” ร่างเล็กบ่นเป็นกระสัยก่อนจะจุ่มมือลงไปในกะละมังอีกครั้ง
“ก็เมิงบอกให้เป่า กูก็เป่าไม่ได้บอกว่าให้เป่าเบาๆนี่หว่า” โอมแก้ตัวพลางฉีกยิ้มทะเล้นให้กับคนตัวเล็ก
“เดี๋ยวโปรทำให้ดูเอง” ริมฝีปากบางอ้าออกนิดๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางปากเบาๆ เป็นผลให้ฟองสบู่วงกลมลอยละล่องขึ้นไปในอากาศแต่แค่เพียงไม่ถึงอึกใจมันก็แตกสลายไปอย่างน่าเสียดาย
“ยังงี้เหรอ” โอมยื่นมือไปให้คนตัวเล็กดู แต่มันก็ดูไม่ค่อยจะเป็นวงกลมตามที่เจ้าตัวอยากจะให้เป็นเท่าไร
“ไม่ใช่ยังง๊าน แบบนี้โว้ย” ว่าแล้วร่างบางก็จับมือแกร่งให้เข้ารูปโดยที่หารู้ไม่ว่า อันที่จริงก็เป็นแผนของโอมนั่นแหละแค่อยากจะสัมผัสมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายก็เท่านั้น แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันเป่าฟองสบู่เล่นจนลืมเวลา
“โอ๊ย...” ไม่รู้ไปเป่าอีท่าไหนฟองน้ำยาล้างจานมันถึงกระเด็นเข้าตาผมได้ แสบชริปจะตาบอดมั้ยเนี่ย
“เฮ๊ย เข้าตาเหรอ อย่าเอามือไปขยี้ดิ เดี๋ยวแมร่งได้แสบตากว่าเดิมหรอก” ร่างสูงปัดมือเล็กที่กำลังจะขยี้ตาตัวเอง โอมรีบล้างมือจนสะอาดก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็กอย่างรีบร้อน
“เอามือออกดิว่ะ” โอมส่งเสียงดุเบาๆ ก่อนจะใช่มือแกร่งเชยคางแหลมขึ้นมา ร่างสูงโน้มตัวลงต่ำก่อนจะจ้องดวงหน้ามนที่หลับตาปี๋ มือเล็กที่สะกิดแขนเขาเป็นระยะทำให้รู้ว่าเจ้าตัวเองคงจะแสบตาอยู่ไม่น้อย
“แสบ” คนตัวเล็กเอ่ย น้ำเสียงที่แผ่วเบาทวีคุณความกังวลให้อีกฝ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“มานี่” โอมคว้าข้อมือเล็กมา ขณะที่อีกมือก็วักน้ำสะอาดเพื่อล้างที่ตาของอีกฝ่ายอย่างห่วงใย
“ไหนลืมตาดิ” โอมออกคำสั่ง พลางยื่นหน้าเข้าไปไกลร่างบางจนแทบจะชนกัน มือหนาเชยคางของอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มงุดให้เงยขึ้นเพื่อจะได้เห็นชัดๆ แผงขนตาสีดำสนิทกระพริบถี่ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้น ดูเหมือนร่างบางจะตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้เขาเกินไปแล้ว แต่คนตัวเล็กกลับไม่ไหวติ่งเหมือนถูกสะกดให้ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หัวใจมันเต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะ
“อะ เอ่อ เมิงไม่ต้องทำแร่ะ รีบๆไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวกูทำเอง” ร่างสูงเองก็เผลอใจจ้องคนตัวเล็กอยู่นาน ก่อนจะรีบผลักเกี๊ยวออกห่างกายเพราะขอบตาที่แดงระเรื่อทำให้เขารู้สึกสงสารคนตรงหน้า เกี๊ยวที่ดูตื่นๆเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วรีบวิ่งออกไป ทิ้งให้โอมยืนอยู่คนเดียว
“ทำบ้าอะไรเนี่ย เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ร่างสูงพึมพำกับตัวเองก่อนจะล้างจานที่เหลืออยู่จนเสร็จ โอมยิ้มที่มุมปากอย่างเก้อเขินเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เมื่อกี้ก็ทำเอาหัวใจของเขาแทบหยุดเต้น เพราะคนซุ่มซ่ามแท้ๆที่ทำให้เขาเป็นได้มากถึงขนาดนี้
พอขึ้นไปในห้องผมจะทำยังไงดี ควรจะทำตัวแบบไหนถึงจะเป็นปกติมากที่สุด ในเมื่อคืนนี้ผมต้องนอนเตียงเดียวกับเจ้ากระต่ายน้อยนั่นมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ มันรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงเกี๊ยวมันจะไม่รู้สึกอะไรเลยแค่นี้ผมก็สุขใจมากเกินพอแล้ว (โอม)
เสียงเปิดประตูที่ดังทำลายความเงียบทำให้ร่างบางที่นั่งหันหลังอยู่กับโต๊ะเขียนการบ้านหันมามองก่อนจะรีบหันควับกลับไปที่เดิม ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างไร้สาเหตุ คงจะอายเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นจนทำให้เสียฟอร์มซะมากกว่า ผิดกับอีกฝ่ายที่ดีใจจนเนื้อเต้นทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว
ต่างคนก็ต่างไม่พูดอะไร โอมเลยคว้าผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักเสียงเปิดน้ำที่ดังทำให้คนข้างนอกรู้ว่าคนข้างในคงกำลังอาบน้ำอยู่แน่ๆ
“เฮ้อ...” ร่างบางแอบถอนหายใจแรง คืนนี้หนีไปนอนห้องพ่อกับแม่ดีกว่า ให้นอนกับไอ่โอมผมไม่เอาด้วยหรอก
ปังๆๆ
“พ่อเปิดประตูหน่อย” เสียงหวานที่ตะโกนเรียก มือเล็กทุบประตูตรงหน้ารัวขณะที่แขนเล็กอีกข้างก็หอบหมอนกับผ้าห่มมาพะรุงพะรัง
“อ้าว เกี๊ยว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยงัวเงีย แต่พอเปิดประตูมาเท่านั้นร่างบางก็รีบแทรกตัวเข้าไปในห้องทันที
“เฮ๊ยๆ จะไปไหน” แต่ก็ไม่เร็วเท่ากับมือของพ่อที่คว้าคอเสื้อเล็กได้ทัน
“ก็จะมานอนกะพ่อกะแม่ไง ไม่ได้เหรอ” ร่างบางเอ่ยพลางชักสีหน้าเตรียมจะงอน
“ไม่ได้ๆ โตแล้วก็ต้องไปนอนห้องตัวเองนู้น” แล้วพ่อก็ดันหลังเล็กไล่ออกมาจากห้อง แต่ก็ต้องออกแรงกว่าจะลากลูกชายของตนออกไปได้
“ไม่เอา ผมจะนอนกับพ่อ” คนตัวเล็กยังดื้อดึง พยายามดันตัวเองเข้าไปในห้องให้ได้
“เอ๊ะ ยังไงเนี่ย พ่อกับแม่จะจู๋จี๋กันเอ็งไม่อยากมีน้องก็คนอื่นบ้างรึไง” ผู้เป็นพ่องัดไม้ตายออกมาใช้แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไร
“ค่อยมีน้องวันอื่นก็ได้ ผมรอได้” ผมพยายามดันตัวเองเข้าไปในห้องแต่ก็สู้แรงของพ่อที่ดันหน้าผากผมไว้ไม่ได้
“แต่พ่อรอไม่ไหว ไปนอนห้องตัวเองไป๊” ผู้เป็นพ่อออกปากไล่ก่อนจะรีบปิดประตูทิ้งให้คนตัวเล็กยืนลำพังอยู่ภายนอก
“พ่อก็ผมขอนอนด้วยคนซี่” คนตัวเล็กทุบประตูอีกครั้ง พลางพูดจาหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้าแต่ดูเหมือนคนในห้องจะไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้น สุดท้ายคนตัวเล็กก็ต้องเดินคอตกกลับไปที่ห้องตัวเองพร้อมกับความผิดหวัง
“อ้าว นึกว่าหนีไปนอนกะน้าพงษ์แล้วซะอีก” เสียงทุ้มเอ่ยเย้ยยันคนตัวเล็กที่เดินเข้ามาในห้อง ผมสีนิลที่เปียกชื้นมีน้ำเม็ดใสเกาะประปรายทำให้รู้ว่าคนที่นั่งบนเตียงคงจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ปะ เปล่าซะหน่อยกูแค่ไปเอาหมอนมาเพิ่มต่างหากเล่า” ทั้งๆที่รู้ว่าแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่ผมไม่ยอมเสียฟอร์มต่อหน้ามันหรอก ผมเปล่ากลัวมันซะหน่อย
“เหรอ” ร่างสูงลอบมองคนตัวเล็กที่ทำหน้ายุ่งๆแต่กลับน่ารักไปอีกแบบ รู้มั้ยว่าทำใครเค้าใจสั่นจนจะคลั่งอยู่แล้ว (โอม)
“แล้วนั่นเมิงจะทำอะไร” คนตัวสูงเอ่ยถามเพราะอดสงสัยไม่ได้ก็ที่อีกฝ่ายกำลังปูที่นอนกับพื้นนี่มันหมายความว่ายังไงกัน
“กะ ก็กูจะนอนข้างล่างไง เมิงจะได้นอนสบายๆ เตียงมันเล็ก อะ เออ ดูดิเตียงเล็กขนาดนี้จะนอนเบียดกันได้ไง” คนตัวเล็กในชุดนอนที่เบาสบายยืนอยู่กลางที่นอนของตัวเอง ในมือเล็กก็ถือหมอนใบโตแน่น ฝืนสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่เห็นมันจะเล็กตรงไหน กูว่า...เมิงกลัว เลยไม่กล้านอนกะกูมากกว่า ใช่มั้ยล่ะ” ยิ่งกดดันก็ทำให้อีกฝ่ายเดือดปุดๆ เรื่องยังงี้ดูถูกกันไม่ได้ ผมกลัวมันซะที่ไหน แล้วทำไมต้องกลัวด้วย
“เปล่าซะหน่อย” ร่างสูงจ้องคนตัวเล็กเขม็งอย่างแน่วแน่ ยิ่งมองผ่านเสื้อผ้าบางๆนั่นก็ทำให้เอาชักอยากจะสัมผัสเนื้อตัวนิ่มๆของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นถ้าเมิงแน่จริงก็นอนเตียงของเมิงสิ” คำท้าทายดูเหมือนจะใช้ได้ผลกับนิสัยไม่ยอมแพ้ใครของร่างบาง
“ก็ได้” ร่างบางพลั้งปากตอบตกลงแบบไม่ทันคิดเพราะอารมณ์วูบวามไม่ยอมใครแท้ๆที่ทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากอยู่หลายต่อหลายครั้ง
“หึหึ” พอเกี๊ยวตอบตกลงก็ทำเอาโอมอดหัวเราะไม่ได้ เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
“ขำอะไรของเมิง” ยิ่งมองหน้าที่ทะเล้นๆของอีกฝ่าย ก็ทำเอาคนตัวเล็กโมโหขึ้นมาง่ายๆ
“เปล่านิ ไม่ต้องกลัวหรอก กูจะบอกว่า กูนอนข้างล่างเองก็ได้” โอมพูดแกมหัวเราะ ไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าหัวเราะนักหนา
“ก็ดี๊ ตามใจเมิงละกัน” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ซุกตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบปิดตาหลับไม่สนใจอีกคนที่อยู่ในห้อง
พรึบ~!!
ไม่นานแสงไฟที่เคยสว่างก็ถูกปิดลง มีเพียงแสงจันทร์เลือนลางที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องถึงจะมองเห็นไม่ชัดเจนเท่ากับตอนที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ แต่ก็พอเดาได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง
ร่างสูงเอนหลังนอนกับฟูกที่นอนที่ปูกับพื้น ผิดกับอีกคนที่เบิกตาโพลงในความมืดเฝ้าดูการกระทำของอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้
“ฝันดีนะ” โอมเอ่ยกับคนตัวเล็ก เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่
เกี๊ยวรีบมุดตัวเองเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความตกใจ ไอ่โอมมันรู้ได้ไงว่าผมแอบมองมันอยู่ (แล้วไปแอบมองคนอื่นเค้าทำไมก็ชวนขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันเลยสิ)
ทำไมผมถึงยอมทิ้งโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับมันทั้งๆที่มีน้อยอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ผมเองก็นึกเสียดายอยู่ในใจ แต่จะทำไงได้ ผมกลัวว่าจะเผลอทำอะไรมันเข้า ผมคงทนไม่ได้จะจะเห็นมันเกลียดผม ไม่มองหน้าผม ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ถึงตอนนี้ผมจะทรมานแทบคลั่งเพราะทำได้แค่นอนห้องเดียวกับมัน แต่กลับไม่สามารถทำตามที่หัวใจต้องการได้เลย (โอม)
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ผมเลยนอนสบายโดยไร้เสียงปลุกมารบกวน พอตื่นมาไอ่โอมมันก็หายไปแล้ว ผ้าห่มที่เคยนอนซุกเมื่อคืนก็ไปตกอยู่ปลายเตียง ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะหาววอดรับเช้าวันใหม่หนึ่งที พอตื่นปุบไอ่ท้องเจ้ากรรมมันก็ส่งเสียงร้องทันที เมื่องานกินข้าวเย็นไปเยอะเหมือนกัน ไหงวันนี้มันหิวแต่เช้าเลยว่ะเนี่ย
ผมเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันตามปกติ แต่ด้วยความที่ใช้ห้องน้ำข้างบนคนเดียวเลยลืมล็อกกลอนประตูห้องน้ำเพราะความเคยตัว
“เฮ๊ย” ร่างบางที่กำลังสระผมพริ้มตาฮัมเพลงอย่างมีความสุข ก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะเสียงของใครบางคนที่จู่ๆก็โผงผางเข้ามาในห้องน้ำแบบไม่ได้รับอนุญาต
ภาพตรงหน้าที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาทั้งสองฝ่ายถึงกับยืนอึ้งไปตามๆกันก่อนที่ร่างบางจะรู้ตัวแล้วรีบดันอีกฝ่ายออกจากบริเวณห้องน้ำตามด้วยเสียงกระแทกประตูดัง หัวใจดวงน้อยที่เต้นตึกตัก พร้อมกับดวงหน้ามนที่แดงระเรื่อทันที ใครจะไปรู้ว่าไอ่โอมมันจะพรวดพลาดเข้ามาในห้องน้ำแบบนั้น
“เกี๊ยว เอามาเถอะกูไม่ไหวแล้ว” คนตัวสูงที่ยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอกพลางส่งเสียงเว้าว้อน น้ำเสียงที่แหบพร่ากระเส้าทำเอาคนฟังถึงกับรีบใส่เสื้อผ้าอย่างลุกลี้ลุกลัน
ไอ่โอมมันเห็นอะไรต่ออะไรของผมหมดเลย แล้วยังงี้ผมจะท้องมั้ยเนี่ย (ถ้าจะท้องคงท้องกะไอ่บอลไปนอนแร่ะ รายนั้นเห็นบ่อยกว่า) เสือกเข้ามาในห้องน้ำอะไรตอนนี้ว่ะ เสียงทุบประตูด้านหน้ายังคงดังไม่หยุดหย่อนจนในที่สุดร่างบางก็ยอมเปิดประตูให้กับอีกฝ่าย
“เชี่ย กว่าจะเปิดได้ ไม่รอให้กูเยี่ยวราดหน้าห้องน้ำเลยว่ะ” คนตัวสูงเอ่ยรัวก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“เสือกมาปวดเยี่ยวตอนกูอาบน้ำเองนี่หว่า ห้องน้ำข้างล่างก็มีทำไมไม่ใช้เล่า” แล้วร่างบางก็บ่นอุบอย่างไม่พอใจ มือเล็กถือผ้าขนหนูผืนใหญ่ขยี้ผมที่เปียกชื้นของตัวเอง
แล้วโอมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ นัยน์ตาคมลอบมองคนตัวเล็กที่นั่งเช็ดผมอยู่บนเตียงนุ่ม ขายาวก้าวออกไปจากห้องโดยทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งงงกับการกระทำนั้น ไอ่เชี่ยนิ... โพล่มาก็เล่นเอาใจหาย จะไปทีก็ทำยังกะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขอโทษกูสักคำก็ไม่มี เดี๋ยว พ่อทนไม่ไหวก็ก้านคอให้ซะหรอก
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙