:: ไม่เกรียนที่ 25 End :: From This Moment On...“หึหึ”
ไอ้หมอกหัวเราะเหล่ตามองไอ้ฝันที่กัดปากกลั้นยิ้ม
“ไงล่ะ”
ผมกระแทกไหล่เพื่อนสาวเบาๆ อย่างสนิทสนม
ไอ้ฝันไม่พูดอะไร..
ผมกับไอ้หมอกมองตากันยิ้มๆ พลางถอนหายใจโล่งอก
ไม่รู้สิครับมันรู้สึกโล่ง..
ทั้งเรื่องตัวเอง ทั้งเรื่องไอ้ฝัน
ทุกๆ เรื่อง..
“มึงไปส่งฝันเถอะ กูเดินกลับเอง”
ผมเอ่ยบอกมันเบาๆ ไอ้หมอกตั้งท่าจะพูดคำว่า ‘ไม่เอา’ แต่ผมขัดขึ้นก่อน
“กูอยากเดินกินลมชมวิว มึงก็รู้นี่นา กูชอบแบบนั้น”
ไอ้หมอกย่นหน้า
“วิวบ้าอะไร นี่มันตลาด แล้วก็อีกตั้งไกลกว่าจะถึงซอยเข้าบ้าน”
มันมองหน้าผม
“ ‘ดิ้ล ฟังนะ ยังไงเราก็จะคบกันต่อไป ไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา กูรักแม่ แต่ก็รักมึงด้วย ในที่สุด แม่เขาก็จะยอมรับความจริงข้อนี้ ถ้าเรามั่นคงพอ มึงเชื่อเถอะ..”
ไม่รู้เพราะน้ำเสียงหนักแน่นหรือสายตาเว้าวอนคู่นั้น ทำให้ผมยอมซ้อนท้ายรถมันในที่สุด
เราเลยไปส่งไอ้ฝันก่อน จากนั้นก็ยูเทิร์นกลับบ้าน..
‘บ้าน’
แปลกที่ผมรู้สึกอยากกลับบ้านมากกว่าทุกวัน
และน่าประหลาดใจนักที่หลังจากรู้สึกโกรธพ่ออย่างที่สุด ผมพบว่ายังสามารถรักพ่อมากขึ้นกว่าเดิมได้อีก..
I’m going to the place where ..love and feeling good.. don’t ever cost a thing. ที่บ้าน.. เราได้รับความรักและความรู้สึกดีๆ โดยไม่ต้องมีอะไรไปแลก
ผมแอบยิ้ม นึกถึงเนื้อเพลง Home ของ Daughtry ที่ร้องบ่อยๆ และรู้ซึ้งแล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร
.
.
ไอ้หมอกชะลอรถที่หน้าบ้านผม เพื่อให้ผมได้ลงก่อนที่มันจะเลยไปจอดหน้าบ้านตัวเอง
คุณนายแม่หมอกที่ยืนเสวนากับคุณป้าอีกคนซึ่งผมเห็นแต่ด้านหลังปรายตาว่างเปล่ามามอง
แน่นอนเธอไม่ชอบใจเหมือนเดิม แต่ก็คงตัดสินใจว่าจะไม่โวยวาย
บางทีสิ่งที่สองพ่อของผมพูดไปเมื่อวานคงส่งไปถึงเธอได้บ้างกระมัง?
ผมพยักหน้าขอบใจหมอก มันพยักหน้าตอบ ดับเครื่องและค่อยๆ เดินเข้าบ้าน
“นี่หมอกจำได้ไหม?”
คุณนายแม่หมอกเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน พยักพเยิดไปทางคนที่เธอคุยด้วย
“อ้าว เฮ้ย! คุณยาย สวัสดีครับ ไปไงมาไงนี่ครับ มาเยี่ยมคุณแม่ถึงที่นี่เลยหรือ?”
ไอ้หมอกยกมือไหว้บุคคลนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อุ๊ย เปล่าเลย นี่มาเจอด้วยความบังเอิญแท้ๆ ยายมาเยี่ยมลูกกับหลาน เขาย้ายจากเชียงใหม่มาที่นี่ล่ะ นี่มาครั้งแรกเลยหลง จะลงมาถามทาง ดูซิเจอยัยพัดเข้าพอดี โลกมันกลมจริงๆ”
ปากผมเริ่มจะอ้าค้าง ขี้หูพากันหลีกทางให้เสียงจาก ‘คุณยาย’ ส่งผ่านเข้าไปในโสตประสาท..
ให้สมองผมประมวลผล..
“เดี๋ยวนี้มีเครื่องกรุงเทพฯ-หาดใหญ่ ยายเพิ่งรู้นะเนี่ย ลงเครื่องแล้วให้คนรถเขาเช่ารถขับมาชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ดีเลยที่ยัยพัดอยู่แถวนี้ด้วย เวลามาเยี่ยมลูกจะได้แวะหา”
ยะ..เยี่ยมลูกรึ?
ผมทวนคำระหว่างที่คุณนายแม่หมอกและคุณยายนิรนามสวมกอดกันอีกครั้งด้วยความคิดถึง
“พัดคิดถึงพี่ณีย์มานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ย้ายมาก็ยังไม่เคยได้กลับเชียงใหม่เลย ป่านนี้คงหนาวแล้ว”
“เห้อ ฉันก็คิดถึงเธอ เธอเป็นทั้งลูกทั้งน้อง ทั้ง โอ๊ย ฉันรักเธอรองจากลูกฉันเลย!”
ไอ้หมอกหันมามองผมพลางเลิกคิ้ว มันคงแปลกใจว่าทำไมผมยังไม่เข้าบ้าน
“เอ่อ คุณยายเข้าไปในบ้านดีไหมครับมาเหนื่อยๆ”
“จริงด้วยค่ะ พัดตื่นเต้นจนลืมเชิญพี่ณีย์เลย”
“ยังไม่ได้ๆ ต้องไปหาลูกก่อน เดี๋ยวเจอบ้านลูกแล้วจะมาแวะหาเธอเลยล่ะนะ”
“โธ่พี่ณีย์ ต้องมานะคะ”
“มาอยู่แล้วครอบครัวเจียงกับทัศนศุภกฤษณ์ก็เหมือนญาติกันนั่นแหละ น้องไม้กับคุณทิวเขาก็ไปตีกอล์ฟด้วยกันบ่อยไป”
คราวนี้เป็นไอ้หมอกที่อ้าปากค้าง..
“ขอโทษครับ ยายณีย์นามสกุล เอ่อ อะไรนะครับ..”
แม้เห็นจากหลัง ผมก็จินตนาการได้ถึงใบหน้าที่ภาคภูมิ
“ทัศนศุภกฤษณ์จ้ะ! ยายชื่อทัศนีย์ ทัศนศุภกฤษณ์”
สวรรค์โปรด..
ไอ้หมอกหันขวับมามองผม พลางทวนคำ
“ทัศนศุภกฤษณ์หรือครับ..?”
“อ่า เมื่อกี้พี่ณีย์บอกว่าหลงทาง ไม่ทราบบ้านลูกเลขที่เท่าไหร่ ถนนอะไรล่ะค่ะ เผื่อช่วยได้ แต่พัดก็ยังไม่ค่อยรู้จักหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
มือเรียวเต็มไปด้วยกำไลหยิบเศษกระดาษมากางออก
“ไอดิลบอกว่าซอยร่วมใจพัฒนา เลขที่ 4”
…
“ใครบอกนะคะ..?”
คุณนายแม่หมอกเลิกคิ้ว
ร่างสมส่วนแม้สูงวัยจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยอย่างร่าเริง
“อ้อ หลานน่ะ หลานชื่อไอดิล”
เมื่อผู้ฟังเบิ่งตาอย่างตกใจ ผู้พูดจึงเสริม
“ชื่อเล่นเขาแปลกๆ หน่อย แต่ชื่อจริงเขาไพเราะเชียวนะ ชื่อกวีกานต์ -กวีกานต์ สิริรัตน์ ทัศนศุภกฤษณ์-!”
จึ๋ย..
มือผมถือกระเป๋านักเรียนค้าง ยืนนิ่งราวกับถูกสะกดไว้..
ย่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เมื่อเช้าเรายังเพิ่งคุยโทรศัพท์กัน?
ขณะที่คุณนายแม่หมอกมองมาทางผมอย่างอึ้งสนิท ก็เป็นผลให้ร่างที่หันหลังอยู่ฉงนและหันกลับมามองผมบ้างในที่สุด..
แน่นอน..
เธอไม่รู้จักผม
นานเป็นสิบปีแล้วนับตั้งแต่เธอเห็นผมครั้งสุดท้าย
แต่ผมสิจำได้ ผมจำได้แล้ว..
ย่าไม่เปลี่ยนไปมากเลย ดูอ่อนกว่าวัยเหมือนกันกับยายผม แม้จะแก่กว่าพอประมาณ
คุณหญิงทัศนีย์ ทัศนศุภกฤษณ์
“ย่า..”
ผมเอ่ยเบาๆ
ปากเธอค่อยๆ เผยอ พิจารณาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไอดิลหรือ..?”
เธอเดินตรงมาหาผม มือจับหน้าจับบ่า
“นี่คือไอดิลหรือ?”
ผมแปลกใจ ที่แววตาจริงใจคู่นั้นดูใจดีมีเมตตาไม่น้อยไปกว่ายายของผม ในขณะที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมองย่าเป็นแม่สามีใจร้าย
ผมค่อยๆ พยักหน้ารับ และถามตะกุกตะกัก
“มะ..มาได้ยังไงครับ?”
รอยยิ้มในแววตาดูชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนเก้อเขินก่อนจะอธิบาย
“ก็..ก็หลานโทรมาว่าทะเลาะกับพ่อ คุยกับหลานเสร็จย่าเลยรีบโทรหาตาทัศน์ว่ามันเรื่องอะไรกัน ตาทัศน์เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเพราะเรื่องในอดีต ย่าเลยอยากจะมาหาหลาน รีบนั่งเครื่องมาเลย อยากจะ.. จะบอกหลานว่าอย่าโกรธพ่อ ตอนนั้นเขาเป็นวัยรุ่น เขาแค่งี่เง่า หล่อใส ไร้สติ และเขา..เขาเขารักหลานกันมากจริงๆ”
ยากเหลือเกินที่ผมจะหาคำใดมาพูดได้ จึงบอกเพียง..
“ผมไม่โกรธแล้วฮะ เราเข้าใจกันแล้ว..”
ย่ายิ้มกว้างอย่างดีใจ
“ดีจริง ว่าแต่เราโตเป็นหนุ่ม หน้าตาน่ารักขนาดนี้เลย ย่าขอกอดหน่อยเถอะ”
ผมจะว่าไงได้ล่ะ หน้าผมพยักลงเบาๆอีกครั้ง ก่อนที่ร่างจะถูกโอบเข้าไปในอ้อมกอด
“พ่ออยู่ไหน.. อยู่ไหนล่ะ?”
ย่ากระซิบถาม
“พ่อหล่อไปทำงานครับ ส่วนพ่อน่ารักน่าจะเขียนหนังสืออยู่ในบ้าน แล้วตากับยายก็อยู่ที่บ้านด้วยกันครับตอนนี้”
ย่าปล่อยผมจากวงแขน
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ เห็นว่าครั้งสุดท้ายอยู่ที่ริโอ เดอ จาเนโร”
“แบกแดดครับ”
ผมแก้
“แต่ก็กลับมาแล้ว”
จู่ๆ เสียงลึกลับ? ก็มาขัดจังหวะการสนทนาของเรา
“พี่ณีย์..คะ พี่ณีย์จะบอกว่าน้องทัศน์ น้องทัศน์อยู่ที่นี่หรือคะ..”
คุณนายแม่หมอกเริ่มจะลมจับ
ผมใคร่ครวญดูท่าแล้วเธอคงไม่ทันสังเกตจริงๆ ว่าพ่อผมชื่ออะไร นามสกุลอะไร
ก็เธอเรียกรวมๆ ว่าครอบครัวเกย์มาตลอด..
ย่าคลายผมออกจากวงแขนและหันไปหาคุณนายแม่หมอก
“ใช่สิ เธอยังจำเขาได้รึเปล่า คงลืมสินะ เราไปเจอกันแต่ที่ร้านประจำ ก็ไม่ค่อยได้พาตาทัศน์ไปด้วย แถมตอนนั้นเขาก็ยังอยู่ม.ต้นอยู่เลย เขาโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว และย้ายมาอยู่ที่นี่แหละ กับแฟนเขาชื่อเกรย์..”
คราวนี้เธอเข่าอ่อน ทรุดลงจริงๆ จนไอ้หมอกต้องประคองไว้
“แม่ครับ ใจเย็นๆ..”
“น้องทัศน์เป็นเกย์หรือคะพี่ณีย์!?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของย่าเลือนไปแวบหนึ่ง ผมจับตามอง ว่าเธอจะว่าอย่างไร..
“ไอดิล หลานกับพ่ออยู่บ้านหลังนี้หรือ?”
เธอมองเข้าไปในบ้าน ที่ซึ่งในที่สุดคนในบ้านสามชีวิตก็ได้เดินออกมาตามเสียงที่พวกเขาได้ยินออกมาหน้าประตู
พ่อน่ารักที่มือยังจับปากกายืนค้างอยู่หน้าบ้านเมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่กับใคร
ส่วนตากับยายก็กำลังวิเคราะห์ผลบอลกันอย่างเมามัน (ห๊ะ?)
ย่ามองบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามคนของผมก่อนที่จะพยักพเยิดไปทางคุณนายแม่หมอก
“เพื่อนบ้านกันสินะ?”
“เอ่อ ก็.. ก็ไม่เชิงฮะ”
ผมบอกความจริง เพราะไม่อาจให้นิยาม ‘เพื่อนบ้าน’ กับคุณนายแม่หมอกและครอบครัวผม
ถ้าคนที่อยู่บ้านข้างกันล่ะก็ ใช่
แต่..เพื่อน
คงไม่มั้ง..
พ่อน่ารักสูดลมหายใจเข้าและค่อยๆเดินออกมาสู่ลานบ้าน
แม้ในระยะนี้ผมก็เห็นความเคลือบแคลงของพ่อน่ารักที่นึกสงสัยว่าย่าจะไปร่วมทัพกับคุณนายแม่หมอกรึเปล่า
ถ้าส่งโทรจิตได้ผมก็จะบอกพ่อน่ารักว่า เดินมามั่นๆเลยพ่อ ไม่ต้องกลัว ผมได้ย่ามาเป็นพวกแล้ว!
ย่าหันไปมองตามเสียงฝีเท้าและสบตากันกับพ่อน่ารัก
มือเรียวนั้นเหน็บปากกาไว้ในกระเป๋า และยกมขึ้นไหว้
ย่าผมมอง..
อาจจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับมองผม แต่ก็ต้องยอมรับว่านานมากแล้วเหมือนกันที่เธอไม่ได้เห็นภรรยาของลูกชาย
มือใส่กำไลยกมือรับไหว้
“ใช่ ตาทัศน์หรือน้องทัศน์ของเธออยู่ที่นี่แหละยัยพัด นี่เกรย์ ..เมียเขา”
พ่อน่ารักเงยขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ
ส่วนผมอมยิ้ม..
ไม่ว่าจะมองในแง่ของเหตุผลหรือกองกำลังสนับสนุน พวกผมเหนือกว่าเห็นๆ!
ย่ามาได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ
“ไม่ได้เตรียมต้อนรับ พอดีทัศน์ไม่ได้บอกว่าคุณแม่จะมา ผม.. ถ้ายังไงก็เชิญเข้ามาพักผ่อนในบ้านก่อนนะครับ”
พ่อน่ารักเชื้อเชิญและเปิดประตูรั้ว
ย่าผมยิ้มบางๆ
“งั้นฉันเข้าบ้านก่อนนะยัยพัด เดี๋ยวมาคุยด้วย”
.
.
“ทำไมแม่ไม่บอกผมเลยว่าจะมา ผมจะได้ไปรอรับ นี่มาเองเลย!?”
พ่อหล่อโวยมารดาเมื่อกลับมาถึงบ้าน พลางสำรวจร่องรอยความเสียหายจนย่าผมหัวเราะชอบใจ
“ก็วางสายเสร็จรีบให้เด็กโทรจองตั๋วไฟลท์เที่ยงเลย นี่ดีนะเครื่องไม่เต็มเลยได้มา แล้วพ่อเราก็ช่วยจัดการเรื่องเช่ารถให้ แต่เขาติดงานที่ปรึกษา มาด้วยไม่ได้ แม่เลยมากับคุณธีรเดช”
ย่าพยักเพยิดไปทางหน้าบ้านที่มีคนขับรถนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน
พ่อหล่อถอนใจ ย่าผมเพ่งมอง
“ทำไม ไม่ดีใจหรือไง เมื่อก่อนแม่ก็ไปหาเราที่หอบ่อยไป?”
“ไอ้ดีใจน่ะดีใจครับ แต่นี่ไม่ใช่บ้านกับหอผม แล้วแม่ก็มีอายุแล้วด้วย ไม่อยากให้เหนื่อย เป็นลมเป็นแล้งไปทำยังไงครับ?”
“แม่อยากมาหาไอดิล..”
ย่าผมเสียงอ่อนๆ..
พ่อหล่อชะงักไป เหลือบตามามองผมและคุกเข่าลง เอามือแตะหน้าขามารดา
“ทีหลังบอกผมสิครับ ผมจะไปรับ หรือไม่..ก็จะพาไอดิลไปเยี่ยม”
พ่อหล่อเหลือบมามองผมอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจว่าผมจะยอมไปหรือเปล่า..
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรย่าก็ขัดขึ้น
“แม่ขอออกไปหายัยพัดหน่อยนะ ไม่รู้เป็นลมไปรึยัง”
พ่อหล่อฉงน
“ยัยพัด? ใครครับ”
ย่าหัวเราะหึหึ
“นี่มัวแต่ทำสงครามกันรึยังไง ข้างบ้านเราเขาย้ายมาจากเชียงใหม่ ไม่รู้เหรอ”
“ทราบครับ ลูกชายบ้านนั้นเป็น อืม.. เป็นเพื่อนกับไอดิล”
พ่อหล่อเหลือบมามองผมอีกแล้ว อะไรนักหนาครับนี่
“อ้อ ก็ดีที่ลูกยังเป็นมิตรกัน”
ย่าผมตบมือ
“แต่นั่นน่ะบ้านยัยพัด คุณพัดชากับคุณไม้มิ่ง เจียง ไง เขาเคยเป็นลูกน้องพ่อเรา จำไม่ได้รึไง”
พ่อหล่อส่ายหน้า
“ไม่ค่อยได้หรอกครับ ผมไม่ค่อยสนใจ”
“นั่นแหละ เขาเคยเจอเราที่เชียงใหม่ แต่ก็คงจำไม่ได้หรอก ไม่กี่ครั้งเอง ตอนนั้นเรายังกว่านี้ตั้งเยอะด้วย”
“ผมก็จำไม่ได้ครับ”
พ่อหล่อพยักหน้ารับ “เฮ้อ กลายเป็นคนโปรดของแม่ซะงั้น”
จากนั้น พ่อหล่อจึงโดนซักละเอียดถึงสัมพันธภาพของเราสองบ้าน
และนั่นก็ทำให้ย่าเดินฉับๆ แคล่วคล่องไม่สมวัยออกไปหน้าบ้าน
ณ อีกฝั่งกำแพงคุณนายแม่หมอกนั่งดมยาดมอยู่
“ไง ยังจะเชิญเข้าบ้านรึเปล่า?”
“พี่ณีย์..”
เธอทำเสียงทอดอาลัยแบบผู้หญิงคนนี้กำลังหมดแรง..
แต่ก็ออกมาเปิดประตูรั้ว
ย่าผมจึงเดินออกจากบ้านผมเข้าไปสู่บ้านเธอและนั่งลงที่เก้าอี้สนามที่ซึ่งคุณนายพัดชานั่งอยู่คนเดียวก่อนหน้า
เมื่อได้ยินเสียงย่า ไอ้หมอกจึงรีบวิ่งออกมาจากบ้าน มันคงอยากเกาะติดสถานการณ์
.
.
“ได้ข่าวว่า..ไม่ค่อยเข้ากันได้ดีรึ?”
ย่าพยักพเยิดมาทางบ้านผม คุณนายแม่หมอกเม้มปากและถอนใจราวกับประดังด้วยความรู้สึกมากมายแต่ก็ยังสุภาพต่อย่า
“พี่ณีย์ยอม..ยอมได้ยังไงคะ?”
เธอถอนใจแรงอีกครั้ง
“น้องทัศน์ น้องทัศน์เป็น.. เป็น..”
“เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักผู้ชายอีกคน”
ไอ้หมอกเปรยข้ามกำแพงมาให้ผมได้ยิน ทำเอาคุณนายแม่ต้องหันไปถลึงตามอง เมื่อรู้ตัวว่าย่าอยู่ด้วยจึงค่อยๆ อ่อนลง
ทว่า ย่ายังคงมองน้องคนสนิทด้วยสายตาอาทร
“ทัศน์ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนเลยและก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีด้วย”
ย่าผมเล่าเสียงเนิบๆ
“พอเขาเข้ามาบอกตอนแรก ฉัน.. ฉันแทบจะคลั่งแน่ะ มันอับอาย เจ็บปวด ใจสลาย แล้วก็ไม่อยากเชื่อ”
“นั่นสิคะ แล้วพี่ณีย์ยอมได้ยังไง พี่ณีย์ต้องไม่ชอบ พัดรู้ พัด..”
“ใช่ ฉันไม่ได้ชอบหรอก”
ย่าพยักหน้ารับ
“ฉันไม่ดีใจเลย ฉันน่ะอยากเลือกให้ลูกชายเขามีครอบครัวปกติ ไม่ได้อยากได้ตาเกรย์มาเป็นสะใภ้ แทนที่จะเป็นสาวสวย ชาติตระกูลดี การศึกษาสูงอย่างที่หวัง ตาเกรย์จบแค่ปริญญาตรีเท่านั้น การงานก็ไม่ได้มั่นคง ส่วนตาทัศน์จบโทวิศวกรรมจากเยอรมนี ที่จริงก็คงจะเรียนเอกเป็นดร.ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าอยากจะกลับมาดูแลลูกเมีย ที่จริงตาเกรย์ออกแนวขัดขวางความเจริญของลูกชายฉันด้วยซ้ำ”
ย่าผมพูดสีหน้าเรียบเฉยและตรงไปตรงมา
พ่อน่ารักไม่ได้มีท่าทีเสียใจ เมื่อผมหันไปมอง..
พ่อน่ารักเป็นคนยอมรับความจริงเสมอ
“ส่วนหลาน ฉันก็ไม่ได้อยากได้เด็กที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันอยากได้คนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันจริงๆ”
ย่าพูดต่อ
และผมเองก็ยอมรับความจริงเช่นกัน..
“แต่ฉันยอม..
ฉันยอมให้เขาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวแบบนี้ด้วยเหตุผลแค่สามข้อเท่านั้น
หนึ่ง ตาเกรย์เป็นคนดี เป็นคนจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักคนบนโลก ไม่เกี่ยวอดีตที่เขาเคยเป็นนะ แต่โดยเนื้อแท้เขาเป็นแบบนั้น สอง พวกเขารักกันอย่างแท้จริง และสาม นี่คือสิ่งที่จะทำให้ลูกชายฉันมีความสุข..”
ย่าผมถอนใจมองคุณนายแม่หมอก
“หลานฉัน..ไอดิล ฉันไม่เคยได้เห็นเขามานานและเกือบจะไม่ได้เห็นแล้วเพราะยึดถือทิฐิ ฉันมาที่นี่วันนี้เพราะไม่อยากพลาดอีกแล้ว ฉันมันคนแก่ ไม่รู้จะมีเวลาเหลือนานเท่าไหร่ ฉันถึงอยากทำสิ่งที่ควรทำบ้าง”
คุณนายแม่หมอกส่ายหน้าเบาๆ ย่าผมแตะแขนรุ่นน้อง
“ถ้าคุณจะสวดมนต์อ้อนวอนขอความสุข จงอย่าขอให้ตัวเอง จงขอให้คนที่คุณรัก
และทัศน์ ก็เป็นคนที่ฉันรัก ฉันจึงอยากให้เขามีความสุข ผู้หญิงคนนึงในบ้านที่เธอเกลียดก็มีแนวคิดอย่างนี้เหมือนกัน เขาถ่ายทอดมันมาให้ฉัน โดยที่ไม่ได้บอกเป็นคำพูดหรอกนะ”
ย่าผมยักไหล่
ผู้หญิงคนนึงในบ้านผม.. บ้านผมมีผู้หญิงคนเดียว
คงเป็นยายผมนั่นเอง..
คุณนายแม่หมอกย่นคิ้ว
“แล้วถ้าเขาอยู่ด้วยกันไป แล้วโดนสังคมดูถูกล่ะคะ ก็คงไม่มีความสุขหรอก”
ย่าผมยิ้มนิดๆ
“เธอหมายความว่า.. โดนอย่างที่เธอทำกับลูกชายและหลานชายฉันน่ะหรือ?"
ใบหน้าคุณนายแม่หมอกมีสีเข้มขึ้นและเมินมองไปทางอื่น
"ฉันไม่รู้หรอกเรื่องนั้น และฉันเองก็ไม่ชอบ ไม่อยากให้เป็น แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง"
ย่าผมพูดต่อ
"เธออยากจะช่วยไหมล่ะยัยพัด? ลองเริ่มที่ตัวเองดีไหม เลิกดูถูกคนเหล่านี้สักที บางทีเมื่อเธอหยุด เมื่อคนอื่นๆไม่มีต้นแบบ มันก็คงจะค่อยๆหมด ค่อยๆเลือน และก็จะหายไปเอง แล้วมันก็คงมีวันหนึ่งที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ถึงแม้จะอยู่บนพื้นฐานของหัวใจที่ต่างกัน”
บ๊ะ ย่า!
“โธ่พี่ณีย์ พัดโดนสั่งสอนจนจะบรรลุธรรมอยู่แล้ว คือพัด.. พัดไม่ได้เกลียดอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่ว่า.. แต่..”
เธอหันไปมองไอ้หมอก..
“นี่มันลูกชาย ลูกชายคนเดียวของพัด..”
เธอน้ำตาตกจนผมสงสาร
หมอกก็เสียใจไม่ต่างกัน
ย่าผมเอามือลูบผมดำขลับของเธออย่างอ่อนโยน
“ฉันรู้ว่าเธอรักลูก แม่ทุกคนรักลูกทั้งนั้น ฉันเชื่อว่าสิ่งที่แม่ทุกคนปรารถนาคือลูกตัวเองเป็นคนดีและมีความสุข เธอลองคิดดูนะ ถ้าหากว่าลูกของเธอเป็นได้ทั้งสองอย่างนั้นแล้ว เธอมีอะไรต้องเสียใจหรือ?”
คุณนายแม่หมอกเงยหน้าขึ้น
“แต่..ถ้าลูกเป็นเกย์ พัดไม่มีลูกสะใภ้ ไม่มีหลาน นั่นลูกชายคนเดียวของพัดนะคะ”
“ฉันเห็นใจ”
ย่าผมมองอย่างจริงจังให้รู้ว่าหมายความตามนั้น
“แต่นั่นล่ะ ที่เธอต้องถามตัวเอง ว่าจริงๆแล้วเธอรักอะไร เธอรักลูกเธอ หรือเธอรักสะใภ้ที่เธอยังไม่รู้จัก หลานที่ยังไม่เกิด ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเธอ หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ อะไรกันแน่ที่เธอรัก”
“พัดไม่อยากให้ลูก..แปลก..หรือ..คนเขาจะว่า แล้ว..”
คุณพัดชาสะอื้นเบาๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ย่ายังคงน้ำเสียงมั่นคง
“ถ้าลูกเธอรับไม่ได้ สักวันเขาจะเดินออกไปเอง ถ้าเขาไม่มีความสุขกับมัน เขาจะไม่ทนกับมันหรอก สักวัน มันก็จะจบลง..”
ย่ามองไอ้หมอกแล้วกลับมามองผมข้ามกำแพง
“ฉันไม่ได้สนับสนุนให้ลูกชายเธอมารักหลานชายฉัน ไม่มีใครสนับสนุนทั้งนั้น แต่ถ้าเขารักแล้ว ถ้าเขาทนมันได้ ถ้าความสุขของเขามันมากกว่าความทุกข์ทั้งหมด เธอควรจะยินดีและชื่นชมในความเข้มแข็งสัตย์ซื่อของเขา”
.
.
การสนทนาจบลงโดยไม่มีบทสรุป ผมจัดห้องตัวเองให้ยายในเย็นวันนั้นและจัดห้องนั่งเล่นส่วนหนึ่งให้เป็นที่นอนของลุงธีรเดช ส่วนตัวเองย้ายไปนอนกับพ่อทั้งสอง
“พ่อฮะ พ่อว่าคุณนายแม่หมอกจะว่ายังไงบ้าง?”
ผมที่นอนพื้นหน้าเตียงเปรยถามพ่อๆ บนเตียง
“ไม่รู้สิ แต่ลูกอย่าไปคิดอะไรมากเลย ลูกยังเด็ก หนทางชีวิตอีกยาวไกล บางทีที่สุดแล้ว คนที่ใช่ตอนนี้อาจไม่ใช่ในอนาคตก็ได้ ใครคนหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปก่อน”
พ่อน่ารักตอบเสียงงัวเงีย
ผมพยักหน้า
ผมกับไอ้หมอกเพิ่งอายุสิบเจ็ด มันก็อีกยาวไกลจริงๆ ถ้าเราไปตามสเต็ปของชีวิตได้ครบ
“แต่ยังไงก็ตาม พยายามอยู่กับวันนี้แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดเถอะ รู้สึกดีต่อกันก็พยายามทำดีต่อกัน ให้มันเหมาะสม ต่อไปจะได้ไม่ต้องเสียใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
พ่อน่ารักบอกง่วงๆ นอนบนท่อนแขนพ่อหล่อเหมือนเคย ผมจึงล้อขำๆ
“เสาไฟไหนดีฮะ?”
แล้วก็ได้รับหมอนข้างมาเป็นการตอบแทน
…………………………………………………………………………….
เหมือนเช่นทุกวัน..
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นทิวสน แสงสีส้มสาดสะท้อนทั่วบริเวณในยามเช้า
พ่อน่ารักกับยายช่วยกันทำอาหาร ตาอ่านข่าวสารบ้านเมือง พ่อหล่อเตรียมตัวไปทำงาน ผมออกมารดน้ำต้นไม้
ละอองน้ำเกาะพราวบนยอดหญ้า ผมสูดกลิ่นสดชื่นเข้าไปเต็มปอด ร้องเพลงเบาๆ
“The miles are getting longer.. it seems the closer I get to you
I’ve not always been the best man or friend for you
But your love remains ‘true’
And I don’t know why..
You always seem to give me ‘another try’ ”
ต้นไม้ได้ฟังมันคงจะงอกงามดีนะ ผมคิดขำๆ มองดอกพุดสีขาวชูช่อ
“So I’m going home
Back to the place where I belong
Where your love has always been enough for me..”
ผมหันขวับไปข้างหลัง เพราะไอ้ท่อนล่าสุดนี่ไม่ได้ออกจากปากตัวเอง
ใบหน้าคุ้นเคยอยู่อีกฝั่งกำแพง หมอกยิ้มน้อยๆ.. ชื่อมันช่างเข้ากับบรรยากาศยามเช้าจริงๆ
ผมยิ้มน้อยๆ ตอบ แต่แอบด่ามัน
“เสียมารยาท”
ไอ้หมอกหัวเราะ
“เมื่อคืนทำไมไม่ตอบเลย”
ห๊ะ?
ผมงงงวย เมื่อคืน? ตอนไหน?
“ก็กูไปเคาะหน้าต่างห้อง บอกว่าคิดถึงแล้วก็ฝันดีไง”
มันตอบสายตาแห่งคำถาม
เหยด..
“ย่ากูนะที่นอนห้องนั้น”
ผมบอกมันเบาๆ
.
.
ผมเก็บสายยางรดน้ำกำลังจะเดินเข้าบ้านก็พอดีกันกับพ่อน่ารักที่ถือค้อนเดินสวนออกมา
“อ้าว พ่อไปไหนฮะ?”
ไร้เสียงตอบกลับใดๆ จากเกรียนนัมเบอร์วัน
ร่างเล็กเพียงเดินดุ่มๆ ไปที่ต้นมะยมข้างบ้าน เหน็บค้อนไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเริ่มต้นปีนขึ้นไป
ผมกับไอ้หมอกพร้อมใจกันยืนมองว่าพ่อน่ารักจะทำอะไรอีก
ปรากฏว่าพ่อท่านไต่ไปตามกิ่งมะยมที่ยื่นไปยังหน้าต่างห้องนอนผม แล้วแงะป้าย No Entry และ Staff Only โยนลงมาเบื้องล่าง ก่อนใช้ค้อนงัดตะปูที่ตอกแผ่นไม้ปิดตายหน้าต่างให้หลุดออก
หน้าต่างห้องนอนผมถูกดึงเปิดรับแสงสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน..
“พ่อ..”
ผมพึมพำเบาๆ
และไอ้หมอกทำหน้าราวกับว่าพ่อน่ารักนั้นได้ยกผมใส่พานให้มันเรียบร้อยแล้ว
ร่างเกรียนกระโดดตุ๊บกลับลงมายังพื้นดิน และเบรกสีหน้าหยาดเยิ้มของคนอีกฝั่งกำแพง
“ไม่ได้หมายความว่าให้นายปีนหาลูกฉัน แต่มันหมายความว่าถ้านายจะมาหาเขา ให้ไปขอเข้าทางประตู”
พ่อน่ารักบอกสั้นๆ ในมือยังถือค้อนไว้ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างนักเลง ไอ้หมอกผิวปากหวือ
เราสองคนได้แต่มองหน้ากันยิ้มๆ
ได้แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว!
.........................................................................................
[/b]
ต่อกระทู้ด้านล่าง เพราะข้อความเกินครับ