เฮ้อ..............เขียนนานมากกกกกกกกกกกกกกค่ะ
แล้วก็ ไม่ค่อยได้อย่างใจเท่าไหร่ด้วย สงสัยพล็อตแบบนี้อาจจะวนเวียนกลับมาอีกในอนาคตเพราะคนเขียนยังต้องพัฒนาอีก
ยังไงท่านไหนหลงเข้ามาก็ติได้ตามสบายเลยนะคะ มีข้อแนะนำก็ใส่มาเต็มที่เลย รับได้ทุกอย่างค่ะ
แปะด้วยความไม่มั่นใจอย่างแรง กร้ากกกกกกกกกกกกกกกส์ เอาวุ้ย ฮึบๆ
......................
เรื่องเล่าจากความฝัน
:ลูบคมมังกร
ฮ่องกง ปี 1962
แก๊งค์มังกรแดง
“พี่หมิน ได้ตัวมันมาแล้วพี่”
“แก้มัดมัน แล้วพวกแกออกไปได้” ...............................
ย้อนกลับไปเช้าตรู่สองวันก่อน
“พี่หมิน คนของเราเจ็บ 7 ตาย 2 สูญหายไป 1 ครับ”
“พวกไหน?” เสียงทุ้มต่ำราบเรียบดังเอื่อยๆออกมาจากปากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในสูทสีขาวบริสุทธิ์จนทำให้ทั้งห้องใหญ่ทึบทึมนั้นเหมือนกับจะสว่างเรืองรองไปด้วย ร่างนั้นยืนเท้าแขนทั้งสองกับกรอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอกราวกับกำลังชื่นชมกับธรรมชาติและเสียงนกร้องเพลงยามเช้า
“เอ่อ.....”
“พวกแกมีเวลานับจากตอนนี้ ยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าหาคำตอบมาไม่ได้ พี่คงต้องรายงานมาดาม”
“พี่หมิน!!!”สิ้นเสียงประสานกันของอาเล่ยที่เปรียบเสมือนมือขวากับลูกน้องที่เข้ามารายงานผลหลังงานล้มเหลว แถมยังถึงกับสูญเสียชีวิตของลูกน้องไป ร่างที่ยังคงความสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการว่าร้อนรนสักนิดจึงหันกลับมาช้าๆ แล้วค่อยๆกราดสายตาจับไปยังใบหน้าลูกน้องที่มายืนเรียงกันไปทีละคน
“คงรู้นะ ว่าจะเป็นไง มาดามไม่ได้ใจดีแบบพี่ อย่างน้อยพวกแกต้องหาข่าวมาให้ได้ ชีวิตที่เสียไป ไม่ว่าจะจากแก๊งค์อื่น หรือจากตำรวจ เราต้องเอาคืน”
“อาเล่ย ไม่ต้องออกไป แกสอบสวนพวกข้างในให้หมด ดูให้ละเอียด นอกจากหนึ่งคนที่สูญหายมีใครหายไปตามตัวไม่ได้ และมีใครที่รู้กำหนดการณ์ส่งของแล้วตอนนี้ติดต่อไม่ได้บ้าง ได้ผลยังไงรายงานพี่ทันที” สั่งเสร็จจ้าวหมินก็สาวท้าวก้าวออกจากห้อง
“พี่หมินจะไปไหนพี่”
“ไปโรงพยาบาล คนของเราบาดเจ็บตั้งเจ็ดคน พี่ต้องไปเยี่ยมดูอาการ”
“ให้ผมคุ้มกันนะพี่” ร่างสูงในชุดขาวไม่เสียเวลาชะงักฝีเท้าสักนิดเมื่อยกมือขึ้นโบกปฏิเสธ
จากเวลานั้นอีกสามชั่วโมง ลูกน้องอีกรายหนึ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลหลังจากทีมแพทย์พยายามยื้อชีวิตไว้เต็มที่ ภายใต้สีหน้าท่าทางเรียบเฉย แท้จริงจ้าวหมินเริ่มรู้สึกร้อนใจ เขาเป็นเด็กกำพร้าและมาดามจ้าวรับเขามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ให้เขาใช้สกุลจ้าว ตั้งแต่อายุสิบขวบ ตอนที่เขาเริ่มจะแน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักของมูลนิธิจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
สิบหกปีในฐานะคุณชายของสกุลจ้าวและหนึ่งในผู้มีสิทธิสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์มังกรแดง จ้าวหมินพยายามทำตัวให้ดีที่สุด เก่งที่สุด ให้สมกับโอกาสที่มาดามจ้าวหยิบยื่นให้
ตั้งแต่เรียนจบแล้วเข้ามารับตำแหน่งในแก๊งค์ ไม่มีสักครั้งที่งานที่อยู่ในมือจะเกิดความผิดพลาดร้ายแรง ยิ่งผิดพลาดจนถึงขั้นสูญเสียชีวิตลูกน้องทีเดียวถึงสามคน ทำให้จิตใจที่ตัวเองเชื่อมาตลอดว่าแกร่งดั่งหินผาคลอนแคลน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใจแข็งพอจะรายงานความผิดพลาดให้มาดามรู้ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นห่วงลูกน้องที่ขึ้นตรงกับตัวเอง แต่ที่ทำให้จ้าวหมินละอายแก่ใจ.....
ใช่ เขากลัวสายตาผิดหวังจากมาดามผู้เป็นเสมือนแม่พระประจำชีวิต......“เจอตัวอาปิงแล้วพี่ คนที่ตอนแรกมันตกน้ำที่ท่าเรือแล้วรายงานว่าสูญหายน่ะครับ”
“ดี สอบมันรึยัง”
“เรียบร้อยพี่ มันบอกว่ามันสงสัยว่าจะเป็นคนจากแก๊งค์ธนูเพลิง”
“หืม......แก๊งค์จากเซี่ยงไฮ้”
“ครับพี่หมิน อาปิงมันว่ามันเห็นรอยสักรูปธนูที่ต้นแขนของไอ้คนที่ยิงมันจนตกน้ำ แล้วมันก็บอกว่าจำหน้าไอ้ตัวหัวหน้าได้ด้วยนะพี่”
“ให้ช่างของเราวาดรูปตามคำบอกของอาปิง แล้วควานหาตัวมาให้ได้ โดยเฉพาะไอ้ตัวหัวหน้า อย่าให้มีรอยขีดข่วน เราต้องการข้อมูลจากมัน”
เสียงกระดิ่งกระเบื้องเคลือบดังระรัวขึ้นเป็นจังหวะกระชั้นตามอารมณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งประมุขของคฤหาสน์ ร่างระหงในชุดคลุมหลังอาบน้ำผ้าไหมเนื้อดีสีแดงสดของเผยผิวขาวราวงาช้าง ในท่านั่งหลังตรงสง่างามอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ผิวเนียนละมุนและใบหน้าที่หากไม่สังเกตจะไม่มีทางพบริ้วรอยแห่งวัยเลยสักนิดขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจเล็กน้อยในความไม่ทันใจของคนสนิท“มาแล้วค่ะมาดาม”
“เรียกอาซื่อมาพบฉันที”
“เอ่อ....คือ”
“พูดมา อย่าอ้ำๆอึ้งๆ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ” สายตาคมกริบจับจ้องไปนี่ดวงตาของสาวใช้คนสนิทผ่านเงาสะท้อนจากกระจกทันที
“คุณชายน้อยยังไม่ตื่นเลยค่ะมาดาม”
“นี่ยังไง เพราะอาซื่อเป็นแบบนี้ ฉันถึงปล่อยมือไม่ได้”
“โธ่.....มาดามคะ คุณชายน้อยเพิ่งกลับมาฮ่องกงไม่ถึงสามวัน คงยังปรับเวลาไม่ได้”
“เสี่ยวหลาน!! เธออย่านึกว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นว่าลูกรักของเธอทำอะไรลงไปบ้าง ไม่ตื่นก็ต้องปลุก เดี๋ยวนี้!!”น้ำเสียงกราดเกรี้ยวที่ไม่ได้ใช้กับคนสนิทบ่อยนักดังลอดจากริมฝีปากบางเฉียบ ผู้รับคำสั่งที่เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าสาวใช้ก็ถึงกับสะดุ้ง รีบย่อตัวรับคำแล้วออกไปทำตามคำสั่งทันที
จากนั้นอีกไม่ทันชั่วน้ำเดือด เสียงปึงปังก็ดังแว่วมาจากปีกซ้ายของคฤหาสน์สีแดงอิฐที่กินเนื้อที่เฉพาะอาคารหลักกว่าสองไร่ เสียงตึงตังดังอยู่เพียงชั่วครู่ ร่างสูงโปร่งการเคลื่อนไหวประเปรียวก็เดินลากขาผ่านประตูไม้ที่เปิดอ้ากว้างตกแต่งด้วยม่านกำมะหยี่สีแดงเข้มเดินดิ้นทองเข้ามาในห้อง กวาดตามองชั่วครู่ไม่เห็นร่างของประมุขคฤหาสน์ คุณชายน้อยของคฤหาสน์จึงก้าวผ่านม่านกำมะหยี่อีกชั้นที่กั้นส่วนด้านนอกกับส่วนแต่งตัวเข้าไป
“แม่จ๋า....อืม.....หอมจังเลย....” พอก้าวเข้าไปถึงตัวร่างประเปรียวนั้นก็ทรุดตัวลงโอบแขนไปรอบเอวของผู้ที่กำลังแตะแต้มเรียวปากด้วยพู่กันให้เป็นสีแดงสดอยู่พอดี ก่อนจะวางศีรษะลงกับตักนิ่มอย่างออดอ้อน
“ไม่ต้องมาอ้อนแม่ ทำอะไรตามอำเภอใจไม่ปรึกษาแม่สักนิด อาซื่อยังเห็นว่าแม่สำคัญอยู่มั้ย” น้ำเสียงตัดพ้อดังจากริมฝีปากของร่างระหง ในขณะที่ฝ่ามือที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวดั่งลำเทียนกับเล็บที่ตัดแต่งอย่างดีเคลือบสีแดงสดไม่ต่างจากริมฝีปากละจากพู่กันที่กำลังวาดลงบนริมฝีปากมาลูบไล้บนกลุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มเหลือบทองของลูกชายคนเดียว
“โธ่.......แม่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า....ผมอยากจะลงมือด้วยตัวเอง แซมโตแล้วนะจ๊ะแม่จ๋า แม่อย่าห้ามแซมเลยนะ ให้แซมได้ทำถึงที่สุดก่อน....นะจ๊ะแม่”
“ตกลง แต่ถ้าเรื่องไม่เป็นไปอย่างที่ลูกคิด อาซื่อก็ต้องปล่อยวางนะลูก”
“ขอบคุณครับแม่ ใครว่าแม่ผมดุกัน ทั้งใจดีทั้งสวยที่สุดในโลกเลยนะเนี่ย” ได้รับคำอนุญาตแบบไม่ค่อยเต็มใจ แซมมวล หรืออาซื่อก็โหย่งตัวขึ้นจูบหนักๆที่สองข้างแก้มของผู้หญิงสวยที่สุดในโลกที่ปล่อยให้เสียงหัวเราะเบาๆที่คนนอกไม่เคยได้ยินหลุดออกมาจนได้
.............................
“พี่หมิน ได้ตัวมันมาแล้วพี่”
“แก้มัดมัน แล้วพวกแกออกไปได้” สิ้นคำสั่งจากจ้าวหมิน เรือนร่างโปร่งในกางเกงยีนส์สีซีดมีรอยขาดตรงปลายขาทั้งสองข้างกับเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทปล่อยชายที่ถูกจับมัดทั้งแขนทั้งขาจนอยู่ในสภาพตัวงอเข่าทั้งสองชิดอก ก็ถูกปล่อยลงกับพื้น
อาเล่ยจัดการก้าวเข้ามาแก้เชือกที่มัดแขนและขาติดกับลำตัวออกตามคำสั่ง แต่ยังคงทิ้งผ้าปิดปากและปิดตาจนใบหน้าเปื้อนฝุ่นและร่องรอยบวมช้ำใต้โหนกแก้มขวาโผล่ออกมาให้เห็นแต่ปลายคางแหลม ผิวแก้มสีแดงเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่กลางแดดจ้า และผมสีน้ำตาลทอง....เหมือนพวกลูกครึ่ง
รอจนทั้งมือขวาและลูกน้องออกไปจนหมด ร่างสูงในชุดคลุมหลังอาบน้ำสีขาวบริสุทธิ์จึงเดินตามไปปิดพร้อมลงล็อคประตู แล้วเดินกลับมาพิจารณาเรือนร่างที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติจนชิด
จ้าวหมินเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว แล้วค่อยๆรินรดลงไปบนใบหน้าของร่างที่ยังไม่ได้สติที่กองอยู่บนพื้น
ร่างนั้นสะดุ้งขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงสายน้ำเย็นจัด แต่อาการดิ้นรนที่จ้าวหมินคาดว่าจะได้เห็นกลับไม่มี มีเพียงอาการสะดุ้งขึ้นครั้งเดียว แล้วพอมีสติรู้ตัวก็พลิกตัวจนอยู่ในท่านั่งเหยียดขา บิดตัวซ้ายทีขวาทีเหมือนต้องการขับไล่อาการเมื่อยขบ ไม่ได้ส่งเสียงประท้วงใดๆสักนิด
จ้าวหมินถอยไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาปลายเตียงเงียบๆหันหน้าจับตามองการกระทำของร่างโปร่งผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกที่เข้าจู่โจมแล้วชิงของตัดหน้าคู่ค้ารายใหญ่ไปได้ รวมถึงทำให้คนของเขาบาดเจ็บถึงหกคน เสียชีวิตรวมแล้วสามคนอย่างสนใจ
ร่างนั้นยกมือที่เป็นอิสระดึงผ้าปิดปากให้เลื่อนลงมากองอยู่ที่ลำคอระหง ก่อนจะเอื้อมมือปลดผ้าปิดตาออกง่ายๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับจ้าวหมินที่นั่งไขว่ห้างแผ่นหลังเหยียดตรงมองตรงมาจากปลายเตียง
เพียงได้สบตา ฝ่ายที่ต้องสะกดอารมณ์เก็บอาการให้นิ่งที่สุดกลับเป็นจ้าวหมิน
แค่สบตา.....เหมือนมีแรงผลักจากภายในทำให้อยากจะตรงเข้าไปหา ไปประคองให้ขึ้นมานั่งบนเตียงให้สบาย อยากจะช่วยซับน้ำที่ไหลเปรอะเปื้อนตั้งแต่ศีรษะจนลามเลยถึงใบหน้าสีทองแดงนั้นให้อย่างเบามือสายตาสองคู่ประสานกันนิ่ง ไม่มีฝ่ายใดยอมเอ่ยปากส่งเสียงออกมาก่อน ราวกับเสือสองตัวที่กำลังช่วงชิงจังหวะได้เปรียบ หากฝ่ายใดเผยช่องว่างให้คู่ต่อสู้ อึดใจแห่งความตายคงมาถึงในทันที
“ยินดีที่ได้พบ......คุณชายจ้าว” สุดท้ายร่างที่นั่งชันเข่าเท้าแขนทั้งสองไปด้านหลังก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน“แกเป็นใคร”
“แล้วคุณอยากให้เป็นใครล่ะ”
“หึๆ นั่นสินะ.....” จ้าวหมินสูดลมหายใจเข้ายาวแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้กระจกที่สูงจรดเพดาน หยิบเอาขวดแก้วเจียระไนบรรจุของเหลวสีอำพันออกมาพร้อมแก้วใบหนาอีกสองใบ
“บรั่นดีหน่อยมั้ย”
“หนาวๆอย่างนี้บรั่นดีสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” คำตอบถูกส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ถ้าสายตาของจ้าวหมินไม่หลอกตัวเอง มันเต็มไปด้วยการยั่วเย้า
“ก็แล้วถ้าผมบอกว่าอยากให้คุณเป็นอะไร คุณจะเป็นสิ่งนั้นสำหรับผมได้รึเปล่าล่ะ” ร่างสูงในชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาทรุดตัวลงส่งแก้วที่มีบรั่นดีอยู่หนึ่งในสามให้ร่างที่พื้น ไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบใบหน้าเรียวจากโหนกแก้มบวมช้ำจนถึงปลายคางเรียวแหลมอย่างเบามือ อะไรบางอย่างในสัมผัสของเชลยยิ่งทำให้จ้าวหมินรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
อาคันตุกะผู้ไม่ยอมทำตัวเหมือนเชลยยกแก้วเนื้อหนาขึ้นแตะปากเหมือนชิมรสชาติของเหลวในแก้ว ยื่นปลายลิ้นออกมาแตะที่ริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะกระดกข้อมืออีกครั้งเทบรั่นดีในแก้วลงคอรวดเดียว ในขณะที่จ้าวหมินเองก็กระดกหมดในครั้งเดียวเช่นกัน หากสายตากลับไม่ละไปจากใบหน้าของเชลยตรงหน้าแม้เสี้ยวนาที
“มันก็ขึ้นกับข้อเสนอของคุณคืออะไร คุณชายจ้าว..... ยิ่งสิ่งมีค่ามาก เงื่อนไขย่อมสูงตามไปด้วย” คราวนี้แววตาที่เงยสบเต็มไปด้วยความท้าทาย
จ้าวหมินอ่านสารที่อีกฝ่ายสื่อมาได้ทะลุปรุโปร่ง.....ถ้าเขากล้าพอ ก็เข้ามารับไปได้เลย“งั้นคำถามใหม่....ของอยู่ไหน” จ้าวหมินเลือกที่จะถอย ร่างสูงถอยไปนั่งไขว่ห้างลงที่ปลายเตียงเหมือนเดิม ก่อนจะป้อนคำถามใหม่
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เรามาแลกกัน ถ้าคุณตอบหนึ่งคำถาม ผมก็จะตอบคุณหนึ่งคำถาม ยื่นหมูยื่นแมวแบบนี้แฟร์ดี คุณว่ามั้ย”
“คุณไม่น่าจะให้ผมต้องย้ำนะ ว่าคุณอยู่ในฐานะอะไร คุณไม่มีสิทธิ์ต่อรอง ตอบคำถามมาดีกว่า”
ร่างโปร่งของคนที่ตกเป็นเชลยยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาบริเวณไรผม สายตาที่กราดไปทั่วห้องในทีแรกเบนกลับมาจับจ้องที่ใบหน้าของร่างในชุดคลุมขาว ลมหายใจหอบสะท้อนถี่เร็ว
“นี่.....ทำไมคุณมีสองคนล่ะ คุณชาย..จ้าว.......คุณ....วางยา...”“รู้ตัวช้าจริง.......มานอนบนเตียงดีๆดีกว่า” จ้าวหมินก้าวไปพยุงตัวคนที่ทำท่าจะนอนลงบนพื้นให้นอนลงบนเตียงช้าๆ
“ยา....อะไร”
“แค่ส่วนผสมบางอย่างที่จะช่วยให้คุณคายความลับออกมาง่ายขึ้นโดยไม่รู้สึกผิดเท่านั้นเอง.......อ๊ะ!!”ร่างหอบสะท้านที่เห็นว่าอ่อนแรงอยู่เมื่อครู่พลิกกลับมาอยู่ด้านบน พร้อมกับใช้เข่าทั้งสองข้างกดลงบนข้อพับเข่าของจ้าวหมินบังคับให้อยู่ในท่าคลาน ก่อนจะดึงลวดที่ซ่อนอยู่ในหัวเข็มขัดออกมาพันรอบคอของคนที่เพิ่งถูกบังคับให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว
“หะ........หะ........คุณ....ระ ร้ายยยยยย มาก.....หะ....หะ.....”
“ถ้าคุณไม่อยากฆ่าผม ก็เอาลวดนี่ออกไปดีกว่า มือคุณสั่นออกขนาดนี้ ถ้าพลาดขึ้นมามันจะยุ่ง” น้ำเสียงจากร่างในชุดคลุมขาวยังคงเรียบเรื่อย ราวกับไม่ตระหนักถึงเงามัจจุราช
“ของอยู่ที่ไหน”
“โกดังยี่สิบสี่....อื้อ...หยะ หยุดถามเดี๋ยวนี้นะ...” มือที่รั้งลวดสองข้างกระตุกเกร็งเป็นระยะ ทำให้คนป้อนคำถามแทบจะกลั้นหายใจ แต่สีหน้าที่เห็นผ่านกระจกบานเล็กหัวเตียงกลับนิ่งสนิท ในขณะที่สีหน้าของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังและมีอาวุธสังหารในมือกลับร้อนรน ทั้งแววตาสับสนและเหงื่อที่ซึมออกมาจนแทบจะเป็นน้ำ
“หัวหน้าของคุณคือใคร”
“มะ ไม่......มี” ประกายตาของผู้ตกเป็นเชลยสะท้อนแสงแวววับ
“แปลว่าคุณคือหัวหน้าใหญ่ของแก๊งค์ธนูเพลิงงั้นสิ.....แปลก”
“ไม่ใช่.....หะ......บอกให้หยุดถามไงเล่า......”
จังหวะที่เหงื่อหยดหนึ่งไหลเข้าตาของร่างด้านหลัง จ้าวหมินที่จับตาดูอยู่ก็เหยียดมือหยิบโคลท์ .38 ใต้หมอนแล้วพลิกตัวจ่อปากกระบอกเข้ากับขมับของคนที่เบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึงพร้อมทั้งปลดห้ามไกทันที แรงจากการขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้ลวดที่ทาบอยู่กับลำคอบาดเนื้อจนเลือดซึมออกมาเป็นสาย
“ไม่!!!! อย่าเป็นอะไรนะ” แทนที่คนถูกจ่อด้วยปืนจะพยายามหนีห่างหรือแม้แต่หยุดนิ่งเพราะตกใจ ปฏิกิริยาของร่างโปร่งที่ชื้นเหงื่อกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ร่างนั้นยื่นมือสั่นเทิ้มแตะลงบนรอยแผลด้านหน้าลำคอหนาแผ่วเบา ใช้ปลายนิ้วของตัวเองเช็ดซับของเหลวสีแดงเข้มที่ซึมออกมาช้าๆนั่น ก่อนจะกดไว้แน่น
“...............?............”
“ห้ามเลือด...หะ......รีบห้ามเลือดสิ เร็วเข้า.......หะ.....เลือด...ไหลใหญ่แล้ว....”
จ้าวหมินปล่อยปืนในมือให้ตกลงกับพื้นเตียง แล้วรั้งร่างโปร่งที่กำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัวเข้ามากอดไว้แน่น
“หึๆ คุณชื่ออะไร”
“เยี่ยนซื่อ........จ้าว.....เยี่ยนซื่อ......”
“ฮะ!?!” จ้าวหมินดันร่างชื้นเหงื่อออกแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาทันที ริมฝีปากสีแดงสดสั่นสะท้าน แววตาเด็ดเดี่ยวนั่นก็มีความหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างซ่อนเร้น
“จ้าวเยี่ยนซื่อ......เป็นคนของแก๊งค์ไหน”
“......มังกรแดง......”
“ตำแหน่งล่ะ” คนที่ถือว่าตัวเองเหนือกว่าเริ่มมีสีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่คนตอบคำถามพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามตัวเองไม่ให้พูดความจริง
“ผู้สืบทอด......พอแล้ว.....ผม....ผมเป็นลูกแท้ๆของมาดามจ้าว มาดามจ้าวคนเดียวกับคุณนั่นแหละ”
“......คุณเป็นใครกันแน่”
“เป็นคนรักของคุณชายจ้าว.....อ๊ะ!!” มือที่ทาบอยู่กับอกเปลือยเพราะชุดคลุมถูกดึงรั้งจนเลื่อนหลุดมากองอยู่ตรงเอวถูกเจ้าของดึงกลับไปปิดปากตัวเองกะทันหัน ในขณะที่ร่องรอยของความเข้าใจบางอย่างจุดขึ้นในดวงตาของจ้าวหมิน
“คุณแม่.......มาดามส่งคุณมาเรอะ”
“ไม่ใช่......ผมทำทั้งหมดเอง ผมวางแผนทั้งหมด”
“เพื่ออะไร”
“เพื่อ......รัก....ผมรักคุณ”
...................................................
///แปะๆๆๆๆ///
เสียงปลดล๊อคประตูจากด้านนอกดังขึ้นตามด้วยเสียงปรบมือดังๆสามสี่ครั้ง ก่อนที่ร่างระหงของมาดามจ้าวในชุดยาวสีดำสนิทจะก้าวผ่านประตูเข้ามา “แม่.....///คุณแม่!!”
“อาหมิน แม่ยินดีแนะนำให้รู้จักน้องชายของลูก.....อาซื่อ”
“น้องชาย........”
ร่างโปร่งที่ยังคงสั่นสะท้านในอ้อมกอดเบียดซุกเข้าหาจนแนบแน่น แขนสองข้างเกาะเกี่ยวกับพี่ชายจนต่อให้คนถูกกอดพยายามอย่างไรก็ไม่มีทางจะผละห่างได้ และระหว่างที่จ้าวหมินยังไม่กล้าสบตากับผู้ที่เป็นเสมือนแม่พระของชีวิต ก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาปนหอบดังให้พอได้ยินกันสองคน
“พี่หมิน....ต้องเป็นพี่ชายของผม เป็นผู้สืบทอดเหมือนกับผม......แล้วก็เป็นคนรักของผม ผมเชื่อ....ว่าเก่งอย่างพี่ ต้องทำหน้าที่ทั้งหมดได้ดีแน่ๆ โดยเฉพาะหน้าที่ของคนรัก....อ้อ พี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะผมจะไม่ยอมปล่อยพี่ไปแน่....”
.......................................
...........(จบค่ะ)................. ปล.ไม่มั่นใจเรยเอยยยย
ปล.อีกครั้ง ภาพประกอบจากพี่มาร์คขา ขอได้รับความขอบคุณจากข้าพเจ้านะเจ้าคร้าาาา คริคริ