สืบรัก彡คดีที่6
ดวงอาทิตย์สีเหลืองสดมาพร้อมกับแสงแดดรำไรในยามรุ่งสาง เป็นสัญญาณของการตื่นนอนทว่าสำหรับผมและน้องชายคนเล็กไม่ใช่ หมัดขวาตรงเหวี่ยงเข้าหาใบหน้าของคู่ต่อสู้โดยไม่มีการออมแรงเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เบี่ยงตัวหลบพร้อมยกขาขึ้นเตะสูงจนคนโจมตีต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัง
ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก้าวเข้าไปประชิดในจังหวะนั้นแล้วปล่อยหมัดซ้ายขวาใส่น้องชายตัวเอง แน่นอนว่าด้วยทักษะและเซ้นส์ทางด้านกีฬาทำให้ฝ่ายนั้นสามารถมองการเคลื่อนไหวของผมออกและหลบหมัดได้หมด
โป๊ยกั๊กหรือน้องชายคนสุดท้องของผมปัดหมัดที่เข้าปะทะออกก่อนพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับใช้ศอกโจมตี ผมรีบกระโดดไปข้างหลังเพื่อเว้นระยะห่างมากขึ้น
ศอกเมื่อครู่ถ้าเป็นคนอื่นมีได้แผลไปแล้ว
“เก่งขึ้นอีกแล้วนะ”ผมเอ่ยปากชมโดยสายตายังคงจับจ้องไปยังโป๊ยกั๊ก การต่อสู้นี้ยังไม่จบขืนผมประมาทคงไม่จบลงที่แผลถลอก
“พี่เองก็เก่งขึ้นมากกว่าครั้งก่อนที่เจอกันอีก ไปฝึกมาตอนไหนกัน”โป๊ยกั๊กถามกลับบ้าง พวกเรายังคงเว้นระยะห่างเพื่อรอดูเชิงว่าใครจะเป็นคนเปิดฉากบุกก่อน
“ตอนนออกไปทำคดีละมั้ง”ผมเองไม่มั่นใจนักหรอกว่าฝีมือเพิ่มขึ้นรึเปล่า
ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดจะบอกว่าตัวเองเก่งแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ
“ทางการส่งคดียากๆให้พี่ทำอีกแล้วสินะ”
“อย่าพูดแบบนั้น คดีง่ายๆก็มีส่งมา”
“ทำกันเองไม่ได้เลยรึไง”โป๊กกั๊กพูดเสียงดัง
“โดนจับขึ้นมาพี่ไม่ช่วยนะ”ผมแกล้งพูดไปอย่างงั้น ถ้าน้องชายผมถูกจับขึ้นมาจริงๆผมคงเป็นคนแรกที่วิ่งไปจัดการ
“ผมรู้ว่าพี่ไม่ปล่อยผมไว้หรอก”
“รู้ดี”ผมยิ้มพลางลดการป้องกันลง
“เสร็จผมล่ะ”โป๊ยกั๊กเองก็รู้ว่าผมลดการป้องกันลงจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ลูกแตะอันแรกผมเบี่ยงตัวหลบได้ไม่ยากนักทว่าลูกแตะอีกข้างกลับเฉียดหน้าท้องผมไปไม่กี่นิ้ว
โป๊ยกั๊กส่งลูกแตะมาอีกระลอกหนึ่งซึ่งผมเองก็เพ่งสมาธิไปกับการมองการเคลื่อนไหวและอาศัยช่วงว่างเล็กๆหลังจากเตะเสร็จใช้มือข้างนึงจับขาอีกฝ่ายแล้วบิดหมุนจนร่างกายเซใกล้ล้ม ผมคว้าแขนโป๊ยกั๊กเพื่อกันไม่ให้ล้มและเมื่อเขาทรงตัวได้แล้วผมจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วใช้นิ้วดีดหน้าฝากนั่นเบาๆ
“พี่ชนะ”ผมยิ้มระหว่างบอก
“...ตัวแค่นี้เอาแรงมาจากไหนเนี่ย”โป๊กกั๊กนิ่งไปสักพักก่อนจะบ่นกลับมา
เป็นอย่างที่น้องชายผมว่า หากเทียบรูปร่างผมกับโป๊ยกั๊กนั้นต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก โป๊ยกั๊กทั้งสูงกว่า ตัวใหญ่กว่าและมีเซ้นด้านกีฬามากกว่า ส่วนผมแม้จะไม่ได้ผอมแห้งแต่ก็ไม่ได้บึกบึนนัก มีกล้ามก็จริงทว่าไม่ได้มากมายขนาดจะโชว์ใครได้
“การเคลื่อนไหวเราก็ดีขึ้นเยอะนี่ จังหวะขาเหมือนคาราเต้เลย”จากการฝึกซ้อมต่อสู้เมื่อครู่ผมเห็นการเคลื่อนไหวของโป๊ยกั๊กค่อนข้างชัดเจน
“อ้อ คงเพราะต้องไปช่วยทีมคาราเต้แข่งเลยติดมา”อีกฝ่ายตอบตรงๆไม่มีการปิดบัง
น้องชายผมคนนี้ด้วยความที่มีเซ้นเรื่องการเคลื่อนไหวเป็นยอดประกอบกับทักษะด้านกีฬาที่ไม่ว่าจะเป็นกี่ฬาอะไรก็สามารถเล่นได้ทำให้ถูกแย่งชิงตัวตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน แต่โป๊ยกั๊กเป็นคนที่ไม่ชอบความยุ่งยากเลยไม่เข้าชมรมไหนจริงจัง
ถ้าแค่ให้ไปช่วยแข่งก็ไม่มีปัญหาเลยมีหลายชมรมเข้ามาขอร้องให้ไปช่วยแข่งนับไม่ถ้วน
เรื่องพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กคือการพูดคุยกับตัวเองอีกคนในกระจกได้ แม้จะเป็นตัวเองแต่กลับมีทั้งบุคลิกและนิสัยที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างโป๊ยกั๊กที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก มีเซ้นและทักษะด้านกีฬาดี เวลามีเรื่องก็ไม่แพ้ใครแต่หากเป็นโป๊ยกั๊กในกระจกจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่สู้คน
เป็นบุคลิกซึ่งต่างราวกับเป็นคนละคน
บางครั้งตัวตนในกระจกจะสลับออกมาเป็นตัวจริงซึ่งครอบครัวเราจะเรียนเขาว่าก้านพลู ผมเองก็เคยเจออยู่บ่อยๆ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นโป๊ยกั๊กหรือก้านพลูก็ยังคงเป็นน้องผมอยู่ดี
ถึงตัวโป๊ยกั๊กเองจะไม่ค่อยชอบตัวตนที่อ่อนแอของก้านพลูในกระจกก็ตาม แต่ผมคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เขายอมรับตัวตนทั้งสองบุคลิกของตัวเอง
“โอ๊ะ ป่านนี้แล้ว?”ผมถึงกับตาโตเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา8โมงครึ่งบนหน้าปัด
ผมว่าตัวเองตื่นมาซ้อมกับโป๊ยกั๊กตอน6โมงครึ่งนะ แล้วทำไมแป๊บๆถึงกลายเป็น8โมงครึ่งไปได้ก็ไม่รู้
“กี่โมงแล้วพี่”โป๊ยกั๊กถามบ้าง
“8โมงครึ่ง มีเรียนกี่โมง?”ผมถามกลับ
“วันนี้โรงเรียนหยุด พี่เถอะสายแล้วนี่จะไม่เป็นไรเหรอ”
“ไม่เป็นไร ไม่มีรูดบัตรหรอก”หน่วยสืบสวนคดีพิเศษไม่เหมือนกับหน่วยอื่นๆ พวกเราต่างเป็นอิสระกว่า และเพราะความเป็นอิสระเหล่านั้นทำให้พวกเราสามารถจัดการคดีต่างๆได้โดยง่าย
ไม่มีข้อจำกัดด้านวิธีการ
ไม่มีการผูกมัดด้านเวลา
จะทำอะไรหรือใช้วิธีไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคน
“แลสบายจัง ถ้าผมเรียนจบแล้วไปสมัครพี่อย่าลืมรับผมด้วยล่ะ”โป๊ยกั๊กพูดติดตลก
“พี่ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น”การจะรับใครเข้ามาต้องฝ่ายการอนุมัติจากหัวหน้าซะก่อน
“เป็นถึงรองหัวหน้าจะไม่มีอำนาจได้ไง”
“แลอยากมาอยู่นะโป๊ยกั๊ก”
“แค่เห็นพี่ดูชอบงานนี้เลยอยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจเท่านั้นเอง”
“มันเหมาะกับพี่และพลังที่มี”ผมตอบไปตามตรง หน่วยสืบสวนพิเศษนี้เหมาะกับผมมากกว่าที่อื่น
ก่อนหน้าจะมาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษผมเคยอยู่กับทางการด้านบัญชีมาก่อนและด้วยผลงานที่มีแต่กลับยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ดูเตะตาหัวหน้าไพลสันต์เข้าจึงเรียกให้ผมไปเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งผมสามารถเป็นตัวเองได้มากกว่าตอนอยู่กับทางการส่งผลให้ผลงานโดดเด่นขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถูกเลื่อนให้เป็รรองหัวหน้าทั้งที่ทำงานมาได้เพียงไม่กี่ปี
น่าแปลกที่คนในหน่วยกลับเห็นด้วยหมด
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเหมาะจะเป็นรอง บรรยากาศรอบๆตัวผมช่วยให้งานยากๆง่ายลง
พูดตรงๆว่าผมไม่เข้าใจสักนิดว่าพูดถึงเรื่องอะไรกัน
บรรยากาศรอบตัว?
จะว่าไปก็มีอีกคนที่บอกเป็นแนวๆเดียวกัน
เบซิล
พอพูดถึงภาพของเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากจัดการคดีเสร็จผมกลับมาดูยังตึกทำงานว่าอีกฝ่ายหนีไปรึยัง นอกจากจะไม่หนีแล้วยังนอนหลับตากแอร์อยู่ในห้องทำงานอีก เหตุการณ์หลังจากนั้นคือเบซิลทำอาหารให้กินและผมกลับอ้วกออกไปจนหมดกระเพาะเพียงเพราะร่างกายได้รับเนื้อสัตว์เข้าไป
น้ำมันหอยเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมที่มีส่วนผสมของเนื้อหอย
ในเทศกาลกินเจมีหลายคนบอกว่าหอยนางรมถือเป็นของเจ แต่จะเจหรือไม่เจก็ไม่เกี่ยวกับผมเพราะหากมีเนื้อสัตว์ผมก็ไม่สามารถกินได้
ร่างกายเกิดอาการต่อต้านโดยอัตโนมัติ
ทั้งอาเจียนทั้งมึนทั้งปวดหัว
แทบไม่รับรู้อะไรรอบกาย
ยังดีที่มีเบซิลอยู่และช่วยพยุงผมไปนอนพักบนเตียงจนอาการดีขึ้น
ผมรู้ว่าเหตุการณ์นั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัย ไม่แปลกถ้าจะสงสัยแค่กินเนื้อสัตว์ไปแค่คำเดียวกลับมีการรุนแรงขนาดนั้น
มันไม่ปกติ
“พี่ไธม์”เสียงเรียกจากโป๊ยกั๊กเรียกสติผมให้กลับมา
“หืม?”
“ถึงจะไม่ต้องรูดบัตรแต่ไปสายคงไม่ดีมั้ง”โป๊ยกั๊กพูดต่อ
“นั่นสิ”
“น่าเสียดายจัง ผมอยากซ้อมอีกสักรอบ”
“เรียกกระวานให้ลงมาเป็นคู่ซ้อมสิ”ผมเสนอด้วยรอยยิ้ม
“อย่าว่าแต่เป็นคู่ซ้อมเลยแค่ชกครั้งเดียวก็ปลิวไปบ้านข้างๆแล้ว”
“เว่อไป ไม่ปลิวหรอก”น้ำหนักของกระวานไม่ได้จะชกปลิวได้ง่ายๆหรอกนะ แม้จะไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอมขนาดผม เรียกว่าอวบคงได้
“อีกอย่างเวลานี้ไม่ตื่นหรอก”
“ก็จริง”พวกเราพี่น้องต่างรู้ดีว่ากระวานขี้เซาขนาดไหน ยังดีที่ร้านเปิด10โมงเลยมีเวลาในนอนตื่นสายได้
“จะกลับบ้านอีกเมื่อไหร่”โป๊ยกั๊กถามต่อ
“นั่นสิ...คงสัก2อาทิตย์ไม่ก็เดือนหน้า”ผมลองนึกๆดู มีอีกหลายคดีที่ต้องเร่งจัดการ ปกติผมจะกลับบ้านประมาณ2-3ครั้งต่อเดือน หลังจากผมเรียนจบและมีงานทำก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดคนเดียวแม้ตอนแรกจะถูกพ่อค้านเพราะความเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมออกไปอยู่คนเดียวในที่สุด
“นานๆจะมาทีแถมยังอยู่ค้างแค่ไม่กี่คืน หรือว่าพี่มีแฟนแล้ว?”โป๊ยกั๊กถามระหว่างพวกเราเดินกลับเข้าไปในบ้านโทนสีขาวดำที่บัดนี้มีสีชมพูวิ๋งๆประดับตกแต่งไปทั่วอย่างพรมเช็ดเท้านุ่มๆสีชมพูหรือที่จับลูกบิดประตูลายกระต่ายสีขาวผูกโบว์ชมพู
“มีที่ไหนล่ะ”
“ไม่แน่นี่”
“ไม่มีหรอก เราแหละที่น่าจะมีกว่าพี่อีก”หน้าตาของโป๊ยกั๊กเรียกว่าดีสุดในบันดาพี่น้องก็ไม่ผิด เป็นหน้าตาแบบที่สาวๆชอบ และคงมีคนมาขอเป็นแฟนอยู่ไม่น้อย
“ไม่เอาล่ะ แฟนน่ารำคาญจะตาย”โป๊ยกั๊กทำหน้ารำคาญทันทีที่ได้ยิน
“ก็พูดซะแบบนี้”
“ถ้าจะเอานมเมื่อไหร่บอกให้ผมไปส่งได้นะ”
“ได้ ขอบคุณนะโป๊ยกั๊ก”ผมส่งยิ้มบางๆไปให้
“เรื่องเล็กน้อยน่าพี่”
“ใบไธม์เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป”ยังไม่ทันได้ผมจะก้าวออกจากประตูบ้านเสียงของผู้เป็นพ่อก็ตะโกนเสียงลั่น
ร่างของผู้ชายวัยกลางคนที่น่าตายังดูเหมือนคนอายุราวๆ30กว่าวิ่งออกมาจากห้องครัวซึ่งอยู่ด้านในของบ้านก่อนจะยื่นกล่องข้าวสีชมพูอ่อนมาตรงหน้าผม คุณพ่อชื่อสีฟ้าเป็นเชฟร้านอาหารของครอบครัวที่ผมไปเอานมครั้งก่อนและกระวานน้องชายคนรองทำงานอยู่
ความจริงร้านนั้นเป็นของคุณตาแต่ตอนนี้คุณตาย้ายไปเปิดร้านที่กระบี่เลยมอบร้านนี้ให้คุณพ่อบริหารจัดการต่อ ด้วยฝีมือด้านการทำอาหารแนวไทยฟิวชั่นของคุณพ่อทำให้ร้านสามารถเปิดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ขอบคุณครับ พ่อน่าจะเอาเวลาไปนอนพักดีกว่านะ”ผมค่อนข้างเป็นห่วงเพราะคุณพ่อทำงานตั้งแต่10โมงจนถึง5ทุ่มแถมช่วง4โมงบางวันยังต้องไปรับเพกาจากโรงเรียนอีก ดูจากชุดที่ใส่อยู่แปลว่าพึ่งกลับมาจากส่งเพกา
ตอนแรกผมคิดจะไปส่งเพกาให้แต่สุดท้ายกลับสายป่านนี้ซะได้
“ไม่เป็นไร ลูกมาทั้งทีจะไม่ให้พ่อทำอาหารให้กินเลยได้ยังไง เนอะเจ้าหญิง”ประโยคสุดท้ายพ่อก้มลงไปขอความเห็นแมวสีดำสนิทมีขนสีขาวเหมือนถุงเท้าทั้ง4ข้าง บริเวณคอมีโบว์สีชมพูขนาดใหญ่ผูกติดไว้
ใครจะคิดล่ะว่านี่คือแมวตัวผู้
พ่อเป็นคนที่ทำงานบ้านรวมถึงเย็บปักถักร้อยเก่งและก็ชอบสีชมพูมาก เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นของภายในบ้าน ในร้านหรือแม้แต่บนคือของแมวตัวผู้นามว่าเจ้าหญิงก็ล้วนเป็นฝีมือของพ่อทั้งสิ้น
เจ้าหญิงถูกพ่อเก็บมาเลี้ยงหลังจากผมออกไปอยู่คอนโดไม่ได้นาน บ้านของผมไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เนื่องจากผมที่หากสัมผัสสัตว์ก็จะกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้นไปแม้จะสามารถแตะได้เร็วๆ ทว่าทั้งพ่อและแม่กลับลงความเห็นกันว่าจะไม่เลี้ยงอะไร
“ผมไปก่อนนะเจ้าหญิง”ผมคุยพลางลูบหัวแมวสีดำด้านล่างที่บัดนี้กำลังใช้ลำตัวถูไปกับกางเกงขายาวของผมเล่น
หากไม่ถึง5วิต่อให้จับหรือสัมผัสก็ไม่มีปัญหา
“กลับมาอาทิตย์ละครั้งไม่ได้เหรอ”พ่อเอ่ยถามเสียงอ้อน
“พ่อก็รู้ว่าพี่เขางานยุ่ง”โป๊ยกั๊กตอบแทน
“อย่าที่โป๊ยกั๊กพูด ช่วงนี้มีคดีที่ต้องจัดการเยอะเลย คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะได้กลับมา”
“แต่พ่อคิดถึงลูกนี่นา”พูดจบพ่อก็โผลเข้ากอดผมแน่นจนต้องรีบยกข้าวกล่องหนีแทบไม่ทัน
“ผมก็คิดถึงทุกคน ถ้ามีเวลาผมจะรีบกลับมาเลย”
“พูดแล้วนะ”
“ครับ”ผมพยักหน้าสัญญา
“ขับรถดีๆนะ”พอ่โบกมือลาด้วยใบหน้าเศร้าแกมเป็นห่วง
“ระวังตัวอย่าประมาทนะพี่ ถ้ามีอะไรโทรบอกผมเดี๋ยวจะรีบไปหา”โป๊ยกั๊กพูดต่อ ถึงจะไม่แสดงสีหน้าเศร้าหรือน้ำเสียงห่วงใยแต่ผมก็รู้ว่าน้องชายคนนี้เป็นห่วงผมเสมอ
พอขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านผมก็ตรงไปยังที่ทำงาน ระยะทางจากบ้านจนถึงที่ทำงานห่างกันค่อนข้างมากทำให้กว่าจะไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง9โมงครึ่งแล้ว
ผมเปิดประตูห้องทำงานพร้อมก้าวยาวๆไปยังโต๊ะทำงานด้านในสุดโดยสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมา ไม่ว่าจะเป็นแม็ก จิวหรือสกายแต่ที่หนักสุดคือดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิล เรียกว่าถ้าสายตาเป็นมีดผมคงสิ้นชีพไปแล้ว
“วันนี้ท่านรองมาสาย มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”จิวเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“สายนิดหน่อยเอง ยังเทียบกับคนอื่นไม่ได้หรอก”ผมตอบกลับ
“คนอื่นน่ะไม่เป็นไรเพราะนิสัยเป็นซะแบบนั้นแต่ท่านรองมาสายนี่น่าสงสัยสุดๆ”
“ผมอาจแค่ตื่นสายก็ได้”แค่ผมมาสายทำไมถึงดูน่าสงสัยขนาดนั้นล่ะ
“ไม่ๆๆ รองหัวหน้าไม่มีทางตื่นสายหรอก...”
“ของในมือนั่นคืออะไร”เสียงทุ้มของเบซิลดังแทรกก่อนเขาจะเดินมาอยู่ด้านหลังผมโดยสายตานั้นจ้องเขม็งมายังกล่องข้าวสีชมพูอ่อนที่ผมวางไว้บนโต๊ะ
“หรือว่าจะเป็นแฟนของไธม์?”สกายพูดเสียงดังด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
“แฟน? แฟนเหรอใบไธม์”เบซิลถามต่อทันที ตั้งแต่เบซิลมาชื่อเล่นของผมก็กลายเป็นที่รู้กันไปแล้ว ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะไม่เรียกแต่สุดท้ายก็เรียกติดปากจนรู้กันทั้งหน่วยงาน
“ผมว่านี่มันเรื่องส่วนตัวนะ”ความหมายกลายๆคือผมไม่บอกนั่นเอง
“ใบไธม์...”
“มาแล้วเหรอไธม์...ฉันรออยู่เลย”เสียงอันทรงอำนาจจากหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษเรียกสายตาของทั้งห้องให้จับจ้องไป
“ขอโทษที่มาช้าครับ”ผมลุกขึ้นทำความเคารพ
ต้องให้หัวหน้ามารอ...ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนดีเลยเนี่ย
“มาช้าบ้างไม่เห็นจะแปลกเลย”หัวหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องอะไรเหรอครับหรือว่ามีคดีใหม่”ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาสบายใจ
หากหัวหน้ารอผมแปลว่าต้องมีอะไรที่จำเป็นต้องให้ผมเป็นคนจัดการ ส่วนมากจะเป็นคดียากๆที่ส่งมาให้ทางหน่วยจัดการแบบฉุกเฉิน
“ประมาณนั้น อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้การซื้อขายทางโซลเซียลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายนั้นมากเป็นอันดับ1ในตอนนี้และเพราะแบบนั้นทำให้มีคดีเกี่ยวกับการขายของมากขึ้นเรื่อยๆ”หัวหน้าอธิบาย
“ถ้าคดีนี้มาถึงหน่วยเราคงไม่ใช่แค่ขายเสื้อผ้าใช่ไหมครับ”ผมพูดอย่างรู้ทัน
“ใช่ เป็นของที่ร้ายแรงกว่านั้น ยาเสพติดน่ะ”คำตอบจากปากของหัวหน้าทำเอาทั้งห้องเงียบกริบในทันที
เล่นขายของผิดกฎหมายกันแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้ให้ปล่อยไว้คงไม่ได้
“ทางการน่าจะขอความร่วมมือจากทางเว็บเพื่อหาต้นตอได้นี่ครับ”ยิ่งในปัจจุบันมีกฎหมายคอมพิวเตอร์ยิ่งทำให้ง่ายในการขอความร่วมมือ
“ใช่ ขอได้แต่ทางคนร้ายปกปิดไว้ เหมือนIDที่ควรจะระบุพิกัดกลับไปอยู่ต่างประเทศซะอย่างงั้น ทางการเลยไม่สามารถตามตัวได้”หัวหน้าอธิบายต่อ
“คงต้องให้ช่วยหน่อยนะเบซิล”ผมรู้เลยว่าหัวหน้าต้องการให้ทำอะไร ถ้าพูดถึงฝีมือการใช้คอมพิวเตอร์ไม่มีใครจะเก่งไปกว่าเมเกอร์อีกแล้ว
“...ผมยังไม่มีอารมณ์ทำ”คนถูกขอกลับทำหน้านิ่งแถมเบือนหน้าหนีผมคล้ายคนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่
“นี่เป็นคดีที่เราต้องรีบจัดการ...”
“ไม่เกี่ยวกับผมนี่”
“ฝากจัดการหน่อยละกันไธม์ นี่ข้อมูลที่ทางเรามี”หัวหน้ายื่นเอกสารมาให้พร้อมรอยยิ้มและแตะไหล่ให้กำลังใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เข้าใจแล้วว่ารอผมทำไม
ไม่มีใครเอาเมเกอร์อยู่
และคนที่มีหน้าที่ดูแลอย่างผมต้องเป็นคนจัดการทุกอย่าง
“หงุดหงิดอะไรเบซิล”ผมถามไปตามตรง ทั้งที่ตอนผมเดินเข้ามายังทำหน้ายิ้มดีใจอยู่เลยแต่อยู่ๆกลับทำหน้าตึงแถมดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีอีก
“คุณไม่ตอบคำถามผม”
“คำถาม? คำถามอะไร”ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน
“ข้าวกล่องนั่นแฟนทำให้เหรอ”เบซิลถามซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมต้องมองกล่องข้าวสีชมพูอ่อนสลับกับหน้าอีกฝ่ายงงๆ
คำถามแค่นั้นถึงกับทำให้หงุดหงิดแล้วพาลขนาดนี้เลย?
อารมณ์แปรปรวนเกินไปแล้ว
“ถ้าผมตอบจะยอมช่วยจับพวกค้ายาทางอินเตอร์เน็ตไหม”
“ขึ้นอยู่กับคำตอบ”
“...”ขึ้นอยู่กับคำตอบ...แปลว่าถ้าตอบไม่ถูกใจคงไม่ได้เริ่มงานกันสักที
“อย่าคิดจะโกหกเชียวเพราะผมจับได้อยู่แล้ว”เบซิลพูดอีก
“ผมไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก”หากมีเรื่องที่บอกไม่ได้ผมก็เลือกที่จะไม่บอก
ไม่มีการโกหกสิ่งที่ไม่เป็นจริงแน่นอน
“...นั่นสิ คุณไม่โกหกอยู่แล้ว”เบซิลพึมพำพลางมองมานิ่งๆเหมือนกำลังรอฟังคำตอบของคำถามเมื่อครู่อยู่
“ไม่ใช่แฟนทำให้”ผมตอบไปตามตรง
“ไม่ใช่แฟนแล้วก็ไม่ใช่ภรรยาด้วยใช่ไหม”เบซิลยังคงยิงคำถามต่อ
“อืม ข้าวกล่องนี่พ่อผมทำให้”ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าแฟนกับภรรยามันต่างกันตรงไหน
“...”ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากเบซิลอีกนอกจากรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นพานให้หัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
รอยยิ้มนี้เป็นยิ้มแบบยิ้มจากใจไม่ใช่เสแสร้งเหมือนในตอนแรกที่เจอกัน
“คำตอบผมพอจะทำให้มีอารมณ์อยากช่วยผมขึ้นมาหน่อยไหม”ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนยิ้มไม่หยุด
“อืม ผมจะหาที่อยู่ให้ ขอโน๊ตบุ๊คหน่อย”
“สงสัยคงต้องหาซื้อโน๊ตบุ๊คให้สักเครื่องแล้วมั้ง”ยังไงเบซิลก็จำเป็นต้องมีโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์สักเครื่องไม่อย่างงั้นเวลาทำงานจะให้มายืมตลอดคงไม่เหมาะ
เบซิลรับโน๊ตบุ๊คที่ผมยื่นให้กางออกแล้วเปิดเครื่องอยู่ข้างๆผม จะเรียกว่าข้างคงไม่ถูกนักเพราะโน๊ตบุ๊คนั่นวางอยู่บนโต๊ะผมแถมยังไปลากเก้าอี้มานั่งจนเจ้าของโต๊ะอย่างผมต้องขยับไปอยู่มุมโต๊ะ
ทันทีที่ไวไฟถูกเชื่อมเบซิลพิมพ์หาเว็บขายยาเสพติดที่ว่า หน้าเว็บถูกทำให้เป็นหน้าว่างซึ่งต้องมีการใส่รหัสผ่านก่อนจึงจะสามารถเข้าไปดูเนื้อหาด้านในได้
เป็นการคัดกรองคนก่อนสินะ
“เราคงต้องไปขอรหัสก่อน”ผมพึมพำ
“ไม่จำเป็นหรอก รหัสแค่นี้เอง”เบซิลพูดพร้อมยกยิ้มขึ้น
หน้าจอของโค้ดนับพันบรรทัดปรากฏแก่สายตาทั้งโค้ดทั้งสัญลักษณ์เต็มไปหมด แค่มองยังรู้สึกงงและไม่เข้าใจทว่าเบซิลกลับพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป หน้าต่างเล็กๆคล้ายเครื่องมือช่วยในการค้นหาปรากฎขึ้นก่อนจะพิมพ์สิ่งที่ต้องการลงไป
เบซิลคลิกเข้าไปด้านในลิ้งค์หนึ่งซึ่งในลิ้งค์นั้นมีโค้ดมากมายเรียงรายอยู่ ผมขมวดคิ้วมองหน้าจอที่ถูกคลิกและพิมพ์หลายๆอย่างลงไปด้วยความไม่เข้าใจ
ใช้เวลาไม่กี่นาทีรหัส10หลักก็ถูกใส่ลงในหน้าแรก แน่นอนว่ารหัสนั้นสามารถเข้าไปในเว็บได้โดยไม่ต้องไปขอรหัสใคร ด้านในเว็บมีสินค้าหรือก็คือยาเสพติดหลากหลายแบบให้กดเลือกซื้อทั้งแบบ1เม็ดไปจนถึง100,000เม็ด
เล่นขายเหมือนขายเสื้อผ้าให้เลือกไซส์เลยนะ
“จะหาที่อยู่ได้รึเปล่า”ผมถามต่อ ขนาดทางการไปขอความร่วมมือยังไม่สามารถระบุพิกัดแน่ชัดได้เลย
ต่อให้เบซิลมีฉายาว่าเมเกอร์แต่ก็มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลทำให้ยากกว่าในการหาพิกัด
“ไม่มีปัญหา ที่อยู่ของเครื่องน่ะต่อให้หลอกIDไปอยู่ต่างประเทศแต่เราสามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลแรกก่อนทำการเปลี่ยนได้”
“ถ้าดูได้ทำไมทางการถึงบอกว่าหาไม่ได้ล่ะ”
“ก็ทำไม่เป็นน่ะสิ มันต้องมีหัวนิดมีทริกหน่อย...ได้ล่ะ”
“ได้แล้ว?”ผมแทบไม่อยากเชื่อ
คุยกันไม่กี่ประโยคกลับสามารถหาพิกัตได้สำเร็จ
“พิกัด203.003.66899.1.44115 อยู่ไกลจากนี่พอสมควร”
“เดี๋ยว เลขอะไรน่ะ”ผมถามกลับทันที ตัวเลขพวกนั้นมันบอกพิกัดตรงไหน
“เลขพวกนี้เป็นตัวบอกพิกัด ผมสามารถนำทางไปได้ จะไปจัดการเลยไหม”เบซิลถามกลับด้วยใบหน้านิ่งๆราวกับเป็นเรื่องง่ายๆในการแปลงตัวเลขเป็นพิกัดสถานที่จริง
“จะไปด้วย?”
“ใช่ ถ้าไม่ให้ผมไปด้วยก็อย่าหวังว่าผมจะบอกพิกัดว่าอยู่ไหน”
“ต่อรองสินะ”
“แหม วันนี้ก็มาสาย ขอเวลาผมอยู่กับคุณนานกว่านี้หน่อยเถอะ”
“ไม่ต้องมาเล่นมุกจีบหญิง”ผมไม่หลงกลคำพูดพวกนั้นหรอก
“ผมไม่ได้เล่น อยากอยู่ข้างๆคุณ”
“...บางทีผมอาจพาคุณไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลขากลับ”ผมพูดพร้อมลุกขึ้นไปเตรียมตัว
“สมองผมดีเกินปกติเหอะ คุณจะเสียเงินเปล่านะใบไธม์”
(มีต่อนะคะ)