-26-
มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในความฝัน เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขากำลังเผชิญกับวินาทีเสี่ยงตายกับกระสุนปืนหลาบสิบนัดและตู้คอนเทนเนอร์สิบกว่าตู้ที่เขาใช้เป็นที่กำบังตน แต่ในเวลานี้ เขากลับกำลังนั่งอยู่ในห้องสูทของโรงแรมแห่งหนึ่ง บาดแผลที่ขาได้รับการพยาบาลอย่างเรียบร้อย ทั้งผ่ากระสุนออกและเย็บปิดแผลโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอถึงโรงพยาบาล
ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาที่เขานั่งอยู่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจิบชาอย่างใจเย็น ท่าทางของฝ่ายนั้นยังคงสุขุม ไว้ตัว และเข้าหายากเหมือนเดิมไม่มีผิด ที่ด้านหลังเด็กหนุ่มคนนั้นคือชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ 2 คน ห่างออกไปตรงเก้าอี้สำหรับดูโทรทัศน์มีชายหนุ่มอีกคนกำลังนั่งเอกเขนกดูข่าวรอบดึกทั้งที่แขนยังใส่เฝือก
หากจะให้เขาย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่เขาก็ต้องเรียบเรียบความทรงจำที่กระจัดกระจายเพราะความตื่นตระหนกเสียเล็กน้อย
ตอนนั้นเขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงกระสุนที่แผดลั่นไม่หยุดหย่อน สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกขณะจิต ไม่รู้ว่าด้านหลังตู้เหล็กที่เขาใช้กำบังกายนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้เขาฉวยโอกาสนี้หนีไปก็ไม่ได้เพราะด้านหลังของเขามีคนเจ็บอีกคนหนึ่งที่อาการสาหัสยิ่งกว่าเขาเสียอีก
หวางซิง
ใครจะไปคิดว่าผู้ชายท่าทางเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้จะเกิดมีลูกบ้ากับเขาได้เหมือนกัน อยู่ ๆ ก็แย่งปืนไปแล้วสวมบทพระเอกหนังฮอลิวูดวิ่งไล่ยิงกับมือปืนที่ชำนาญมากกว่าไม่รู้กี่เท่าตัว
ผลจะเป็นอะไรไปได้นอกจากแพ้อย่างหมดรูป นอกจากบาดเจ็บแล้วกระสุนปืนยังหมดเกลี้ยง
แล้วสภาพในเวลานั้นก็เป็นอย่างที่เขาว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนคอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อหาหนทางฝ่าดงกระสุนออกไปให้ได้ ในตอนนั้นมู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองเปลี่ยนหน้าที่จากตำรวจสืบสวนสอบสวนกลายเป็นหน่วยสวาทชั่วคราว เพียงแต่เขาไม่มีทั้งเกราะและอาวุธ ช่างเป็นสภาพที่น่าสมเพชที่สุดในชีวิตตำรวจก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่จวนตัวจนคิดอะไรไม่ทันอย่างนี้มาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากทนเงียบรอสถานการณ์อยู่นาน เสียงกระสุนก็ค่อย ๆ หายไปจนเหลือเพียงเสียงคลื่นทะเลกระทบชายฝั่งและเสียงลมหายใจของพวกเขาสองคน ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าสืบเข้ามาใกล้ราวกับรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนี้ และเพราะมองไม่เห็นอีกฝ่ายเขาจึงไม่รู้ว่านั่นคือมิตรหรือศัตรู ดังนั้น ก่อนที่จะถูกจัดการเขาก็ต้องลงมือก่อน ถึงปืนจะไม่มีกระสุนแต่ก็คงช่วยทำให้อีกฝ่ายชะงักไปได้ มู่อี้จิงจึงตัดสินใจเล็งปืนไปยังช่วงท้องของฝ่ายตรงข้ามเนื่องจากเขาอยู่ในท่านั่งและไม่รู้ส่วนสูงของคนที่จะโผล่มา จะให้เล็งศีรษะโดยทันทีคงเป็นไปได้ยาก ทว่าฝ่ายนั้นกลับเร็วกว่า ปลายกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมกดลงบนหน้าผากของเขาอย่างไม่ลังเล
วินาทีนั้นเขาคิดว่าต้องตายแล้วแน่ ๆ....
ทว่า....
“คิดว่ากำลังหันปืนใส่ใครอยู่ นักสืบมู่”
เสียงที่ได้ยินและภาพที่เห็นทำให้เขาอยากหันปืนใส่ตัวเองแล้วกระแทกศีรษะสักที จะได้รู้ว่าตัวเองฝันไปหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทำได้เพียงนั่งตาค้างอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำ เขาค่อย ๆ ลดปืนลง ฝ่ายนั้นจึงชักปืนกลับไปเก็บไว้ใต้เสื้อโค้ทตัวยาว
จากนั้นก็มีคนเข้ามาสมทบอีก 5 คน คือการ์ดสองคนในห้องนี้ คนแขนหักคนหนึ่ง และการ์ดอีกสองคนที่ตอนนี้คนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ส่วนอีกคน.....
มู่อี้จิงหันไปมองประตูห้องนอน การ์ดอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องนั้นกับหวางซิงที่หมดสติไปแทบจะทันทีที่พวกเขาปลอดภัย
พวกเขาทั้งสองคนถูกคนเหล่านั้นพาตัวมาถึงที่นี่ จากนั้นรอเพียงไม่นาน หมอคนหนึ่งก็ถูกเรียกตัวมา เขาได้รับการรักษาก่อนเพราะแผลไม่ร้ายแรงนัก ส่วนหวางซิงนั้น หมอเข้าไปในห้องได้สองชั่วโมงแล้วแตก็ยังไม่กลับออกมา อีกทั้งไม่มีเสียงอะไรในห้องนั้นเลยทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล
มู่อี้จิงเบนสายตากลับมายังคนตรงหน้าอีกครั้ง
อย่างไรเขาก็ทำใจเชื่อได้ยากว่าคน ๆ นี้จะปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ หลังจากเขาพยายามสืบข่าวและตามหาตัวมาเกือบเดือน ซ้ำท่าทางยังสบายดีไร้รอยบาดแผลทั้งที่อยู่ในเรือที่เกิดระเบิดขึ้น ถ้าหากคน ๆ นี้ไม่ใช่คนที่สวรรค์เมตตาเป็นพิเศษก็ต้องเป็นคนที่นรกไม่อยากรับไปอยู่ด้วยแน่ ๆ
“มีเรื่องจะถามก็พูดออกมาตรง ๆ เถอะ” ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเริ่มรำคาญสายตาแสดงความสงสัยของเขาจึงเปิดปากเป็นครั้งแรกนับจากที่พวกเขามาถึงโรงแรม
“คุณ....” มู่อี้จิงพยายามนึกคำที่เหมาะสม “จูเชว่ คุณหายไปไหนมา....ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่....”
เด็กหนุ่มปรายตาขึ้นจากถ้วยชาก่อนจะหลุบลงไปอีกครั้ง
“คุณถูกตัดความช่วยเหลือใช่ไหม?”
“รู้ได้ยังไง.....”
“เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น แค่ข้ามทะเลไปหาข่าวของผมบนเกาะที่อยู่ห่างจากฮ่องกงแค่ 1 กิโลเมตรคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง”
“บนเกาะ....ที่อยู่ห่างไป 1 กิโลเมตร....” มู่อี้จิงเบิกตากว้าง แรงระเบิดจะส่งคนสองคนไปได้ไกลถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ซ้ำตอนเกิดระเบิดยังเป็นเวลากลางคืน เรือประมงที่ไหนจะออกมาหาปลาแล้วบังเอิญเจอคนกำลังหมดสติอยู่บนผิวน้ำได้กัน? และเพราะเขาคิดอย่างนั้นจึงตั้งใจหาตามชายฝั่งท่าเรือมาตลอดจนกระทั่งถูกตัดความช่วยเหลือจึงไม่อาจส่งทีมงานไปค้นหาได้อีก
เซินเฟยไม่อยากอธิบายการรอดชีวิตปาฏิหาริย์ของตนให้มากความ เพราะความจริงเป็นอย่างไรแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กระจ่าง คนที่รู้เรื่องทั้งหมดกลับเอาแต่ทำหน้าเป็นเล่าแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จริงบ้างเท็จบ้างจับอะไรเป็นตัวไม่ได้เลยสักอย่างเดียว สิ่งเดียวที่เซินเฟยแน่ใจได้คือตัวเองถูกช่วยชีวิตไว้โดยคนที่ไม่เคยคาดหวังจะฝากชีวิตด้วย ซ้ำฝ่ายนั้นยังบาดเจ็บแทนเสียอีก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สำนึกบุญคุณอะไรมากมาย ในชีวิตของเขาต้องมีคนสังเวยแทนไม่รู้เท่าไหร่ หากมัวแต่นั่งสำนึกบุญคุณคนนั้นคนนี้ เขาคงต้องกราบไหว้บูชาป้ายวิญญาณเช้าจรดเย็น
เขาเพียงแต่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น.....ในความบังเอิญแสนจะบังเอิญ....
บังเอิญว่าฉู่เหวินจืออยู่ที่นั่น บังเอิญว่าฉู่เหวินจือมีสติพอจะคว้าตัวเขาไว้ บังเอิญว่ามีเรือประมงฝืนกฎออกมาหาปลา บังเอิญว่าพวกเขาถูกพัดลอยไปจนใกล้เรือ
มีเรื่องบังเอิญอยู่มากเกินไปจนเซินเฟยไม่อาจทำใจให้เชื่อทั้งหมดได้
ตอนที่เขาบอกว่าจะกลับฮ่องกง ฉู่เหวินจือสามารถดำเนินการได้ทันทีซ้ำยังติดต่อใครบางคนอย่างลับ ๆ ให้นำเรือเล็กมารับพวกเขาขึ้นฝั่ง ถึงอย่างนั้นกว่าจะได้ขึ้นฝั่งจริง ๆ ก็เป็นเวลาดึกสงัด ฉู่เหวินจือให้เหตุผลว่า เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของเซินหยู่ที่อาจยังเฝ้าดูชายฝั่งอยู่
เรื่องนี้เซินเฟยค่อนข้างเห็นด้วยจึงไม่ได้ว่าอะไร
เขาสามารถติดต่อกับที่บ้านใหญ่ได้ในทันที จึงให้ส่งตัวการ์ดออกมา 4 คนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่ว่า ตอนกำลังคิดว่าจะไปกบดานที่ไหนชั่วคราว พวกเขาก็พบกับเหตุการณ์ดวลปืนกันเสียก่อน ตอนแรกเขาไม่ได้คิดเข้าไปยุ่ง แต่อย่างไรเสียท่าเรือนี้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเขา จะให้มาทำวุ่นวายจนสินค้าเสียหายเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจึงต้องยื่นมือเข้าไปจัดการ
ไม่นึกว่าจะได้เจอคนรู้จักถึงสองคน.....
เซินเฟยปรายตาขึ้นมองมู่อี้จิงอีกครั้ง
“ตอนนี้คุณสืบเรื่องถึงไหนแล้ว”
“อ....อ๋อ....เอ่อ.....” เพราะถูกถามกะทันหันโดยไม่ได้คิดไว้ มู่อี้จิงจึงอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ “ผม....”
“ช่างเถอะ” ได้ยินเสียงตอบแบบนี้คงจะยังไม่ก้าวหน้าไปไหน เซินเฟยไม่ได้คิดต่อว่าอีกฝ่ายเพราะความเป็นจริงนั้นซับซ้อนเกินกว่าตำรวจมือใหม่อย่างมู่อี้จิงจะทำความเข้าใจได้ และยังถูกกดดันให้เลิกสืบสวน ตัดงบประมาณ ตัดกำลังช่วยเหลือ แม้แต่สารวัตรหรงก็ยังเข้ามาจัดการไม่ได้ ดิ้นรนมาถึงขั้นนี้โดยไม่ท้อและรามือไปเสียก่อนก็นับว่าดีถมเถไปแล้ว “ถ้าอธิบายเรื่องระเบิดยังไม่ได้ ก็อธิบายเรื่องมือปืนแล้วกัน”
“เรื่องนั้น.....ดูเหมือนจะเป็นมือปืนที่ตามจับตาดูคุณหวางครับ”
“แล้วยังไงต่อ?”
“ก่อนหน้านี้เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมไปพบคุณหวาง แต่ผมเห็นว่าใบหน้าคุณหวางมีแผลโดนทำร้ายบางทีอาจจะเป็นนของเซินหยู่ ผมยังไม่อยากตีความไปว่าเกี่ยวข้องกัน แต่วันต่อมาผมก็สังเกตว่ามีคนจับตาดูคุณหวางอยู่ เพราะฝ่ายนั้นปรากฏตัวเฉพาะเวลาที่ผมอยู่กับคุณหวาง พอผมพาคุณหวางไปส่งที่บ้านแล้วก็จะเลิกตามและจับตาดูอยู่ที่บ้านใหญ่ครับ” มู้อี้จิงเล่าเหตุการณ์เท่าที่ตนเองรู้แบบสรุปย่อ เซินเฟยพยักหน้ารับช้า ๆ
“เท่าที่คุณเล่า ดูเหมือนจะเป็นการจับตามองเพื่อหาโอกาส”
“ผมก็คิดอย่างนั้น” มู่อี้จิงรับ “ผมถึงได้คอยอยู่ใกล้ ๆ คุณหวางตลอด ถ้าผมไม่อยู่ด้วยผมก็กำชับให้เอาการ์ดติดตัวไปด้วยเสมอ”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น?”
“อะไรนะครับ?”
เซินเฟยพรูลมหายใจออกมาก่อนจะถามซ้ำ
“วันนี้เกิดอะไรขึ้น มือปืนพวกนั้นถึงลงมือทั้งที่คุณอยู่ด้วย”
“ผมมีข้อสงสัยอยู่ 2 แบบ” มู่อี้จิงว่าก่อนจะนิ่งนึก “ข้อแรก ผู้ว่าจ้างอาจร้อนใจจึงสั่งลงมือ หรือไม่ ก็เพราะฝ่ายนั้นรู้แล้วว่าผมรู้สึกตัวและกำลังปิดโอกาสของพวกเขา”
“งั้นหรือ.....” เซินเฟยทอดเสียงแล้วกระซิบกับตัวเอง “ผู้ว่าจ้าง....”
“ถ้าไม่ใช่คนที่ขัดผลประโยชน์ก็น่าจะ....”
“....เป็นคนที่ไม่พอใจที่อิทธิพลของผมยังมีเหลืออยู่ทั้งที่ตัวน่าจะตายไปแล้ว” เซินเฟยต่อประโยคของมู่อี้จิงจนจบ “อาซิงไม่เคยขัดผลประโยชน์กับใครโดยตรง เพราะยืนอยู่ข้างหลังผมและเป็นปากเสียงของผม ถ้าพูดถึงเรื่องขัดผลประโยชน์ควรเพ่งเล็งที่ผมถึงจะถูก”
“แปลว่าคุณมีคนที่สงสัยอยู่แล้ว?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เซินเฟยแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้เจาะจงแน่ชัดว่ารู้หรือไม่ แต่ไม่ทันที่มู่อี้จิงจะได้ถามต่อ ประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมร่างของนายแพทย์ที่ถูกตามตัวมากลางดึก
“ผมผ่ากระสุนออกหมดแล้ว แผลก็เย็บเรียบร้อย ยาแก้อักเสบก็ให้กินไปแล้ว ตอนนี้ก็ให้คุณหวางนอนพักไปก่อนก็แล้วกันนะครับ” จ้าวผิงเหอกล่าวพลางเช็ดมือ เขาเพิ่งจะล้างเลือดออกไปจนหมด และเก็บอุปกรณ์ในห้องเรียบร้อยด้วยความช่วยเหลือของการ์ดและลูกมืออีกคน
“รบกวนคุณหมอแล้วนะครับ” เซินเฟยว่าพลางหยิบสมุดเช็คขึ้นมาเซ็นแล้วยื่นให้
“ผมชินกับการรบกวนแบบนี้แล้วล่ะครับ ไม่ต้องเกรงใจไป” จ้าวผิงเหอรับเช็คมายื่นให้ลูกมือซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอายุไล่เรี่ยกับเซินเฟยแต่รูปร่างใหญ่กว่าเล็กน้อย
จ้าวผิงเหอนอกจากเป็นหมอในโรงพยาบาลแล้ว เขายังรับรักษาให้กับพลเมืองนอกกฎหมายหรือคนที่ต้องการปกปิดฐานะตัวตนอีกด้วย แต่แน่นอนว่าการให้บริการเป็นกรณีพิเศษนี้ต้องมีค่าตอบแทนสูงกว่าการให้บริการในโรงพยาบาล สำหรับเซินเฟยที่เป็นบุคคลหายสาบสูญก็นับเป็นหนึ่งในกรณีเหล่านั้น แม้คนที่เขารักษาให้จะเป็นมู่อี้จิงและหวางซิงก็ตาม
“ว่าแต่ เช็คใบนี้จะสามารถใช้ได้เมื่อไหร่หรือครับ?”
เพราะเซินเฟยยังคงเป็นบุคคลหายสาบสูญตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้จนกว่าฐานะตัวตนจะชัดเจน เช็คใบนี้จึงจะแค่เศษกระดาษจนกว่าเซินเฟยจะตัดสินใจแสดงการมีตัวตนต่อสาธารณะ
“ภายในหนึ่งเดือน คุณจะได้เงินจำนวนนั้นแน่นอน” เซินเฟยตอบคำโดยไม่หันมองคู่สนทนา “แล้วก็ ช่วยเก็บเรื่องเป็นความลับด้วยนะครับ เงินค่าปิดปากผมรวมไปในเช็คใบนั้นแล้ว”
“ทราบแล้วครับ” จ้าวผิงเหอรับคำด้วยรอยยิ้ม “กลับกันเถอะ” เขาหันไปสั่งเด็กหนุ่มที่หอบหิ้วข้าวของตามมา
หลังจากจ้าวผิงเหอจากไปแล้ว ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“นักสืบมู่ กรุณาตามผมมาด้วยครับ” การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อมู่อี้จิงคิดจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อดูอาการหวางซิง ชายหนุ่มหันมองเซินเฟยทันทีเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจึงขวางเขาเอาไว้
“ค้างเสียทีนี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน อย่างไรเสีย ตอนนี้อาซิงก็หลับไปแล้ว คุณเข้าไปก็ไม่ได้อะไร” เซินเฟยกล่าวเสียงเรียบ “ห้องของคุณอยู่ข้าง ๆ นี้ ผมจะให้การ์ดไปคุ้มครองด้วยสองคน แล้วพรุ่งนี้พอคุณตื่นแล้วเราค่อยคุยกันต่อ”
ถึงถ้อยคำจะดูเต็มไปด้วยความปรารถนาดี ทว่ามู่อี้จิงกลับตีความได้อีกแบบหนึ่ง...
เซินเฟยต้องการความมั่นใจว่าเขาจะไม่เปิดโปงเรื่องที่ตนเองกลับมาแล้วด้วยสาเหตุบ้างอย่าง อีกทั้งยังให้การ์ดมาคอยเฝ้าเพื่อที่เขาจะไม่หนีไปไหน
มู่อี้จิงไม่ใช่คนที่ชอบทำตามคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย
“เข้าใจแล้วครับ” เขาจำต้องรับคำแล้วเดินตามการ์ดออกไป
เซินเฟยมองนาฬิกา
ตี 4 แล้ว.....
คืนนี้ช่างยาวนานจริง ๆ พอได้พักสบายในโรงพยาบาลไม่เท่าไหร่ก็ต้องเหนื่อยตั้งแต่คืนแรกที่กลับมาถึงเกาะฮ่องกง เป็นเพราะร่างกายของเขาเพิ่งหายดี พอฝืนมากเข้าก็เริ่มล้าขึ้นมาเหมือนกัน เซินเฟยลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนที่เหลือก่อนจะปิดประตูแล้วถอดรองเท้ากับเสื้อนอกออก เขาพาตัวเองคลานขึ้นไปนอนบนเตียง ก็อดนึกถึงความนุ่มสบายของเตียงที่บ้านขึ้นมาไม่ได้ เตียงของโรงพยาบาลทั้งแข็งและสาก เขานอนไม่ค่อยสบายนัก ใครจะว่าเขาหัวสูงก็ช่างปะไร ความเคยชินในรูปแบบการใช้ชีวิตมันไม่ได้มาจากความตั้งใจของเขาเสียหน่อย การที่เขาชินกับการนอนที่สบายก็เพราะตั้งแต่อายุ 12 ก็ใช้ชีวิตที่บ้านใหญ่ตลอด นาน ๆ ครั้งถึงมีโอกาสนอนโรงแรมแต่ก็เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ไม่เคยต้องตกระกำลำบากสักครั้ง
พอหัวถึงหมอน เซินเฟยก็พรูลมหายใจออกมา แผ่นหลังที่จมลงไปในเตียงโอบอุ้มแนวกระดูกไว้อย่างพอดี หมอนที่ถูกตบจนฟูนุ่มรับกับระดับของต้นคอ ผ้าห่มทำจากผ้าเนื้อนุ่มลื่นไม่ทำให้เกิดอาการระคายผิว เครื่องปรับอากาศทำงานในอุณหภูมิที่เหมาะสมทำให้รู้สึกเย็นสบายกำลังดี
มีคนเคยกล่าวว่า มีแต่คนที่เคยหิวจึงรู้จักอิ่ม ตอนนี้เซินเฟยก็กำลังเป็นเช่นนั้น เมื่อได้ประสบพบความลำบากจึงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นสุขสบายแค่ไหน แต่ความสุขสบายนั้นก็แลกมาด้วยความยากเย็นแสนเข็ญแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน
เพราะไม่อยากจะให้ตัวเองหนักสมองในตอนนี้ เซินเฟยจึงค่อย ๆ หลับตาลงและปล่อยให้สติลอยละลิ่วตกลงสู่ห้วงนิทรารมย์
-------------------->
หวางซิงปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เพดานสีขาวลอยอยู่ตรงหน้า แสงสลัวสีส้มเหลืองครอบคลุมรอบตัว เสียงเครื่องปรับอากาศดังอยู่ไกลออกไปไม่มากนัก เขาพยายามลุกขึ้นเพื่อควานหาแว่นตาแต่กลับรู้สึกปวดสีข้างขึ้นมาจึงเลื่อนมือลงไปจับก็พบรอยเย็บสั้น ๆ ประดับอยู่
ไม่ใช่ความฝัน......
หวางซิงหัวเราะออกมา
ไม่ใช่ความฝันจริง ๆ ด้วย....
ตอนนั้นที่กำลังนอนรอความตายอยู่เงียบ ๆ เขาได้เห็นจริง ๆ คนที่เขาคาดหวังและรอคอยให้กลับมา
เซินเฟย...