.............................................
เพื่อนที่รู้จักกับไอ้เนมเยอะแยะ..
ผมจำได้ว่าพี่โตเคยพูดแบบนี้ไว้ ยามที่เอ่ยปากขอเป็นคนจัดการตัดกิ่งและตัดแต่งให้ต้นฉำฉาหน้าบ้านผมอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเป็นร่มเงาต่อไปโดยไม่มีวันที่กิ่งนี่จะหลุดไปหล่นใส่หัวใคร แต่ว่า...ไอ้บุคคลที่กำลังพูดคุยกับพี่โตด้วยเสียงหัวเราะเริงร่าง พลางใช้แรงงานไปด้วยนี่มัน..
จะขนกันมาทั้งคุก หรือมาเปิดสาขาเรือนจำพิเศษกันอยู่แถวนี้เหรอเพ่!
ไอ้เนมมองบรรดาผู้มาเยือนด้วยดวงตาที่เบิ่งโตปานไข่ห่าน ป๊าดด เวลาผ่านไปนานพอควรขนาดนี้ ผมนึกว่าพี่โตซึ่งเอ่ยปากว่าจะไม่ติดต่อผมหรือใครจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเหล่าบรรดาคนคุกทั้งหลายอีกแล้ว แต่ทว่า เหมือนผมจะคิดผิดไปสินะ..
“เฮ้ย! อย่าเกะกะ เดี๋ยวกิ่งไม้หล่นใส่หัว!!” เสียงโวยที่ดังมาก่อนใครคือพี่ทิน พร้อมกับกิ่งไม้แหงๆที่ถูกทิ้งลงมาใกล้ตัวผมดังพรึ่ม ใบหน้าภายใต้แสงตะวันนั้นแปลกตาไปไม่น้อย เมื่อเจ้าตัวไม่ได้หัวเกรียนแบบเดิมทว่ามีเส้นผมแสดงความแนวด้วยการตัดทรงไถข้างแบบวัยรุ่นที่กำลังนิยมโดยไม่คำนึงว่าตัวคนไว้นั้นวัยเกินมาแค่ไหน แถมด้วยสีหน้าลั้นลาขณะที่หยิบขวานฟันกิ่งไม้ปั่กๆไปตามเรื่อง
“อ้าวๆ บอกให้หลีกไง ถอยหน่อยอย่าขวางทาง” เสียงเรียกข้างตัวนั้นทำให้ผมชะงัก เงยหน้าไปสบตากลมๆของพี่วิทย์ที่มองตามมาแบบงงๆไม่น้อย เพื่อนสนิทของพี่โตผู้อยู่ในชุดหมวกปีกกว้างและเสื้อทำงานลายตารางสีสันแสบไตพ่วงมาด้วยกางเกงยีนส์โกโรโกโสแสดงรสนิยมเอ่ยปากไล่ผมให้ไปพ้นทาง ขณะที่ตัวเองก็ขนเศษไม้ไปกองไว้รวมกัน ด้วยสปีดที่ออกจะช้ากว่าปกติไม่น้อย และมันก็คงเป็นเพราะขานั่น
“พี่...”ผมจ้องมองขาข้างซ้ายของพี่วิทย์เงียบๆแบบอึ้งๆก่อนจะเอ่ยปาก “ให้ผมทำดีกว่า ขาพี่ยัง..”
“พอน่า กูชิน..”พี่วิทย์ส่ายหน้า “อยู่ที่บ้าน ก็ทำงานในสวนผลไม้ทุกวันอยู่แล้ว มึงไปช่วยแม่ขายข้าวโน่น ไปๆ”
“เอ่อ....”
“พอน่า มันทำเองได้” เสียงทักดังขึ้นเหนือหัวของบุคคลที่คุ้นแบบไม่นึกคุ้นทำให้ผมยิ้มเหย หันไปยิ้มให้เจ้าของคำพูดนั้นแล้วหัวเราะแหะๆเป็นคำตอบ
พี่คมหันไปลากไม่ท่อนใหญ่พอควรที่ถูกส่งลงมาอย่างชำช่อง ขณะที่ผมได้แต่มองตามแบบอึ้งๆ เอ่อ..คือไม่ได้ตกใจการแต่งกายหรืออะไรของพี่แกเท่าไรหรอกนะ ถึงมันจะแปลกตาไปจากเดิมบ้าง แต่ยังไงก็ถือเป็นการแต่งกายแบบคนปกติเขาทำกันแม้ว่าสีหน้าท่าทางของพี่คมจะยังคงความน่ากลัวไม่แปรเปลี่ยน ที่ตกใจที่สุดน่ะ คือการที่พี่คมโผล่มาที่นี่จนได้มากกว่า
ไอ้เนมกลืนน้ำลายลงคอแบบมึนๆ ก่อนจะเดินหน้าเคร่งไปใส่คนเจ้าความคิด ซึ่งคนที่ว่านั้นก็กำลังกอดอกมองดูการกระทำของแต่ละคนอยู่ดั่งผู้ควบคุมด้วยสีหน้าพออกพอใจ มีการตะโกนบอกบ้าง ทักบ้างตามประสา
แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ คนพวกนี้มันอะไรกันคร้าบ บ บ บ
“พี่!”ไอ้เนมทำเสียงเคร่งเรียกพี่โตหน้าตื่น “นี่มันอะไรกันเนี่ย คนพวกนี้มันอะไรยังไงกันน่ะ หา?”
“อ้าว..ไม่เจอกันไม่ถึงปีก็จำไม่ได้แล้วเหรอ?”พี่โตหันมาทำหน้าเหรอหรา “จะให้กูแนะนำให้รึเปล่าว่านี่เป็นใคร อะไรยังไง”
“โถ่ ไม่ใช่เรื่องนั้น” ผมทำตาเขียวใส่คนพูด “คำถามคือทำไมพวกนี้ถึงมาอยู่นี่ได้ต่างหาก ทั้งพี่วิทย์ พี่ทิน แล้วก็พี่คมด้วย!โดยเฉพาะไอ้คนสุดท้ายน่ะ น่ากลัวชะมัด!”
“ก็เห็นว่าจะกลัวหนังหน้ามัน เลยบอกให้มาทำตอนเย็นๆกันไง” พี่โตว่าหน้าตาเฉย “ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่า คนก็..”
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น” ไอ้เนมทำหน้าเบี้ยวเป็นคำตอบ “ที่พูดเนี่ย..คือไปเอามาได้ยังไง แล้วนี่ยอมมาทำได้ไงเนี่ย โอ้ยยย งงโว้ยย!”
“โวยวายอะไรกันเล่า ไม่มีไรน่า” พี่โตฟังผมพูดแล้วยักไหล่ “ไม่มีไรหรอก แค่บอกพวกมันมาช่วย พอบอกว่าจะได้ทานของฟรี ไอ้ทินก็รี่มาเลย ส่วนไอ้วิทย์ มันก็..ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะไปหาไอ้เมฆน่ะ”
พี่โตเอ่ยถึงธุระปะปังของแต่ละคน คำพูดนั้นให้ผมนึกถึงอีกหนึ่งคนที่นอนหลับอยู่ “เพื่อน”ผู้โชคร้ายคนนั้นของผม..
ฝ่ามือหนาลูบหัวผมเบาๆเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ไอ้เนมเงยหน้าขึ้นไปสบตา พี่โตจึงพยักหน้าให้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“อย่าคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องน่า..ไปทำงานเถอะไป”
..................
เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาดังมาจากร้านอาหารตามสั่งทั้งที่เป็นเวลาปิดร้านไปแล้ว ร่างของผม พี่โต พี่วิทย์ พี่ทิน และพี่คมนั่งล้มวงพูดคุยกันพลางกินดื่มไปพลาง หลังจากเสร็จงานใช้แรงที่ถูกพี่โตเกณฑ์มาแบบบังคับกรายๆ..หรืออะไรแบบนั้น
“พี่เนม..กลับมาแล้วค่า” เสียงของน้ำทำให้ผมชะงัก หันไปมองหาเจ้าของเสียงพูดที่เดินเข้าบ้าน ร่างบอบบางของสาวน้อยวันยี่สิบเดินเหนียมอายทำหน้าเขินเมื่อพบว่ามีผู้ชายหันมามองตนมากผิดปกติทำให้ผมหัวเราะหึ อย่างน้อยก็นึกดีใจที่น้ำไม่ได้มีอาการหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว ส่วนเรื่องที่น้ำจะมารักหรือชอบคนแบบนี้ ขอบอกว่าเอิ่ม...เป็นไปไม่ได้เหอะ
“โหยย น้องสาวมึงน่ารักจริง อ่ะ นะ....อุ๊บ!”
“หยุดเลย!” ผมตะครุบปากพี่ทินไว้ทันทีเมื่อเห็นพี่แกจะออกลายแซวสาว “น้องผมไม่เหมือนคนอื่นนะ อย่าไปตะโกนแบบนั้น เขากลัว”
“หา...?” พี่ทินครางงๆ ก่อนจะเริ่มทำหน้าเข้าใจขึ้นมา “เออ นั่นสิ...อือ น้องมึงที่เคยบอกว่าเป็นแบบนั้นนี่ แล้วตอนนี้...เป็นปกติแล้วเหรอ?”
“ก็เกือบ..มีกลัวๆก็ตอนโดนพวกปากไม่อยู่สุขทักนั่นแหละ” ไอ้เนมยกเบียร์เย็นๆขึ้นมาจิบแล้วบอกไปตามตรง เมื่อถูกถามถึงอาการ”กลัวผู้ชาย” ของน้องสาว “ก็ดีแล้วล่ะ..ถึงขนาดกลับดึกเองได้ เดินที่มืดๆได้ นั่งวินมอไซค์ได้แล้ว...ถือว่าดีขึ้นมากๆแล้วล่ะ”
“ง่า...น้องสาวมึงสวยนะ” พี่ทินว่าแล้วทำท่าน้ำลายหก
“อย่ามายุ่งเหอะ! ตัวเองมีผัวอยู่แล้วทั้งคน” ผมหันแยกเขี้ยวใส่พี่ทินทันที
“สัด! พูดจาให้มันดีๆ ผัวเผอที่ไหน ไอ้นี่...” พี่ทินร้องว้ากกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจชัดเจน “แค่กูวิ่งวินกับไอ้คมไม่ได้หมายความว่าเป็นไรกันเว้ย!สาด”
“หือ..ถึงขนาดเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ยังมาปฏิเสธ” พิ่วิทย์เอ่ยเยาะด้วยสีหน้าขบขัน ส่วนพี่คม คนถูกพาดพิงเพียงแต่จิบเบียร์เงียบๆด้วยสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“ไม่ใช่เว้ย! เฮ้ยย!!!ไอ้คม มึงก็พูดบ้างซิ!” พี่ทินหันไปสะกิดพี่คมบ้าง แต่คำตอบก็ยังคงเป็นเสียงหัวเราะแผ่วต่ำในลำคอ “พวกมึงนี่นะ ตัวเองเป็นผัวเมียกัน อย่ามาลากกูเป็นด้วยนะ..ก็แค่ไม่มีตังค์ล่ะวะ เอาตังค์ไปซื้อเสื้อวินซะหมด ตั้งสามหมื่นห้า..แพงชิบหาย”
“อ้อ...งั้นเลยเอาตังค์ที่เหลือ ไปเช่าห้องอยู่กับไอ้คม” พี่โตว่าพลางสรุปให้ ส่วนคนเป็นลูกน้องก็พยักหน้ารับหงึกๆ “ออกคุกมาก่อนไอ้คมตั้งนาน ไปทำงานทำการเหี้ยอะไรอยู่ถึงได้ไม่มีห้องพัก พอไอ้คมมาถึงได้ไปเสือกเช่าอยู่กับมัน กูก็รู้นะ พวกมึงสองคนน่ะมันไร้พี่น้อง เพราฉะนั้น แค่เรื่องอยู่ด้วยกันนี่มันก็ไม่ใช่เรื่อง..”
“ไม่ใช่โว้ยยย!” พี่ทินร้องขัดพี่โตหน้ายุ่งกว่าเดิม เจ้าตัวทิ้งช้อนในถ้วยต้มยำกุ้งรสแซ่บรสมือแม่ผม อันเป็นสาเหตุให้พี่แกยอมมาทำงานใช้แรง เพียงเพื่อจะกินข้าวฟรีฝีมือแม่ไอ้เนมที่ตัวเองติดใจตั้งแต่อยู่ในคุก
“เรื่องกูกับไอ้คมไม่มีญาติก็จริงอยู่ แต่มึงพูดยังกับทางเลือกมันเยอะนัก “ว่าแล้วพี่ทินก็ตวัดเบียร์ลงกระเพาะอึกใหญ่ “เงินเก็บไม่มี งานก็หายาก..ตังค์ก็ไม่มี เลยตองมาอาศัยกะไอ้คมไงล่ะ”
“อ้อ ให้มันเลี้ยงนี่เอง “พี่วิทย์หัวเราะก๊ากหลังจากสรุปได้ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น เจ้าตัวรีบควักออกมาพอเห็นชื่อคนโทรก็ทำตาโตก่อนจะเอ่ยปากขอตัว
“พวกมึงนี่..พอ จะคิดไรก็คิดไปเหอะ ขี้เกียจอธิบายแล้วห่า” พี่ทินบ่น สวนพี่คมก็ยังคงหัวเราะอารมณ์ดีแบบผิดปกติอยู่เช่นเคย ฟังแล้วแอบขนลุกเล็กๆ
“ทำเป็นงอน ไอ้นี่” พี่โตส่ายหน้า มือข้างหนึ่งคว้าเอวผมไว้ให้ขยับแนบกาย “ไมเห็นเป็นอะไรเลย มึงนี่นะ...”
“พวกมึง” พี่วิทย์ก้าวเข้ามานในวงอีกครั้ง แต่ไม่ได้นั่งลง เจ้าตัวกำโทรศัพท์แล้วทำหน้าเครียดๆ “กูไปก่อนนะ”
“ไปไหน?” พี่โตลุกพรวด มองพี่วิทย์ที่ทำท่าจะโกยหน้าตั้ง ซึ่งเจ้าตัวมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไปโรงพยาบาล...”พี่วิทย์ว่า ก่อนที่ใบหน้าตื่นเต้นนั้นจะเต็มไปด้วยความยินดีที่แผ่ซ่านทั้งแววตาและการกระทำ
“เมฆ...เมฆฟื้นแล้ว”
..............
ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่แผ่กว้างสร้างร่มเงาในยามกลางวัน มาบัดนี้เมื่อไร้แสงอาทิตย์ใบไม้และกิ่งที่เอนไหว ไกวแกว่งไปตามสายลมกลับดูราวภูตผีกำลังขยับไปมา เงาครึ้มของไม้ฉำฉาที่ถูกลัดกิ่งออกไปไม่น้อยนั้นยังคงทอดตัวอยู่อย่างสงบนิ่ง บดบังแสงหม่นของพระจันทร์ที่ลอยขึ้นครึ่งฟ้า
ฝ่าเท้าของผมก้าวเข้าไปยังแปลงผักที่ถูกตะแกรงสีขาวล้อมเอาไว้ ก้มตัวลงดึงต้นต้นผักชีและต้นหอมตามคำสั่งของแม่อย่างเชี่ยวชาญ ดวงตาเบิกกว้างพยายามจ้องมองหาผักที่ตัวเองต้องการท่ามกลางแสงสลัว
“เหม่ออะไร” เสียงทักด้านหลังทำเอาสะดุ้งโหยง ไอ้เนมเกือบจะหน้าคว่ำลงกับแปลงผักแล้วเชียว ถ้าพี่โตจะไม่ขยับมาหาแล้วคว้าเอวผมไว้ด้วยความรวดเร็ว
“จู่ๆก็เข้ามาทัก ตกอกตกใจหมด” หันไปขว้างค้อนใส่แล้วรีบยันตัวออกมาจากแผ่นอกหนา แต่ทว่ากลับติดที่อ้อมแขนนี้ไม่ยอมปล่อยไปเช่นที่ควรเป็น
“พี่โต” ผมอุทานแล้วเริ่มสอดสายตาหลุดหลิก “อย่าสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” เงาคนทีเคลื่อนไหวภายในบ้านชวนให้เสียวสันหลัง ไอ้ใครมาเห็นยังพอว่า กลัวแม่หรือน้องผมมาเห็นนี่สิ ความจะได้แตกปะไร
“คิดถึง” จู่ๆ...เอาแบบไม่ทันตั้งตัวจริงพี่โตก็พุดขึ้น หลังจากนั้นก็ทำหน้าซึ้งใส่ผมอีกรอบ เล่มเอาแทบไม่ทันตั้งตัว
“พี่..ปล่อยก่อน” จ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ๆไอ้เนมก็ต้องรีบเอ่ยปากผลักไสไม่ให้พี่โตใกล้ชิดกันเกินกว่าที่ควรจะเป็น ต่อให้ความสัมพันธ์ของเราจะไปถึงจุดที่มากกว่านี้แล้วก็เถอะ แต่นั่นมันหมายถึงในคุก ไม่ใช่ข้างนอกและไม่ใช่ที่บ้านผมซึ่งมีแม่และน้องอยู่ด้วยแบบนี้
“.........” พี่โตถอนหายใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร ทว่าก็ยอมละอ้อมแขนออกและดึงผมให้ก้าวออกมาจากแปลงผัก ไอ้เนมรีบเดินออกมาแล้วรั้งตาข่ายที่ตัวเองก้าวข้ามให้อยู่ที่เดิม ก่อนจะสาวเท้าไปยังก๊อกน้ำนอกบ้านซึ่งเอาไว้สำหรับรดน้ำผักซึ่งอยู่ในบริเวณไม่ไกลจากแปลงผักนัก
ก้มหน้าล้างเศษดินออกจากรากของผักชีและต้นหอมในมือเงียบๆ รู้ตัวว่ามีร่างของใครอีกคนยืนตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ร้านอาหารที่กลายเป็นที่ซ่องสุมชั่วคราว ตอนนี้เหลือเพียงพี่ทินกับพี่คมที่ดวลเบียร์คุยกันอ้อแอ้ ส่วนพี่วิทย์ก็แล่นออกไปแล้วหลังจากได้ข่าวด่วนว่าเมฆมันฟื้นแล้วนั่นล่ะ
“พรุ่งนี้ไปเยี่ยมเมฆดีไหม?” เงียบไปนาน ผมจึงเอ่ยปากทักขึ้นมา ดีใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าที่สุดมันก็ฟื้นและก็หวัง หวังอย่างมากว่าเรื่องราวความเจ็บปวดที่เมฆมันต้องพบเจอ จะจบลงไปเสียที
“อย่าไปกวนพวกมันเลย” พี่โตตอบสั้นๆ “ถ้าเรื่องมันโอเคแล้ว ไอ้วิทย์ก็คงจะพามาเองล่ะ”
“แต่....” ผมอยากเจอมันนะ อยากคุยกับไอ้เมฆหลายๆเรื่องด้วย
“ลุกขึ้นมา” พี่โตเอามือรั้งไหล่ผมแล้วเอ่ยปากเรียกสั้นๆ ผมจึงหันไปหา เพื่อจะได้สบตาสีเข้มวาววับคู่นั้น
พี่โตยืนเงียบอยู่ตรงหน้าผม ใบหน้าคมเข้มสะท้อนแสงไฟและแสงจากดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า ทิ้งให้เกิดเงาตกกระทบใบหน้าดูลึกลับไม่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงวาววับอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวคือดวงตาทั้งคู่ของพี่โตนั่นเอง
ฝ่ามือนั้นยื่นมาหาโดยไร้คำพูด และ..ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ผมก็ยื่นมือไปแตะเช่นกัน จึงรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นร้อนที่กุมแน่น กระชับราวกับว่ากลัวจะหลุดหาย
แววตาโหยหา สิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้น ทำให้หัวใจผมเจ็บแปลบขึ้นมาเงียบๆ
“ขอโทษ” รู้..รู้ดีเลยล่ะว่าเพราะอะไร “ผม..ทำให้พี่ลำบาก”
“ไร้สาระ..กูไม่เป็นไร” พี่โตส่ายหน้า ปลายนิ้วไล้หลังมือผมเบาๆราวกับปลอบประโลม “ตอนนี้กูมีความสุข ก็แค่อยากจับมือเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ พี่คงอึดอัด” ผมพูดพลางถอนหายใจเฮือก สายตายังแอบเหล่ไปยังตัวบ้านที่เปิดไฟสว่างจ้า “ขอโทษนะ ที่ผมไมกล้าบอก ผม...”
“เฮ้อ...ไอ้เราก็นึกว่าคิดมากอะไร “พี่โตฟังคำพูดของผมแล้วหัวเราะ พลางส่ายหน้า
“นี่..ไอ้หมาน้อย มึงว่าที่ผ่านมาเราเจอเรื่องอะไรด้วยกันมามากแค่ไหนล่ะ ไอ้คำว่าอุปสรรคน่ะ เจอมันมากจนชินแล้วด้วยซ้ำ กับแค่เรื่องนี้ มันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย” พี่โตเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวผมเบาๆแล้วส่ายหน้า “มึงเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว มึงที่คิดถึงคนสำคัญของตัวเองตลอดเวลา แม่ น้อง หรือครอบครัวน่ะ คนเรามันมีได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ดีแล้วที่มึงตัดสินใจจะปกป้องแล้วก็อยู่กับพวกเขา”
“แต่ผมทำให้พี่อึดอัด “ แม้จะไม่ได้อึดอัดกับการพบเจอครอบครัวผม ทว่าการได้เห็นกันเพียงหน้า ไม่สามารถโอบกอดแสดงความใกล้ชิดหรืออย่างอื่นได้ พี่โตก็คงจะลำบากใจไม่น้อย ขนาดผมเองก็ยังรู้สึก..
รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความโหยหา..
แล้วกับคนที่ต้องทนรอผมอย่างเดียวดายนี่ล่ะ จะไม่เจ็บปวดหรือหงอยเหงาบ้างหรือไร
“งี่เง่า คิดมากไปแล้ว” พี่โตส่ายหน้ากับคำพูดของผม “ฟังนะ..ตอนนี้แค่ได้เจอกันทุกวันก็ดีแล้ว ไอ้เรื่องความคิดที่ว่ากูจะอึดอัดกังวลน่ะเอามาจากไหน กูรักมึงนะ...รักมึงแล้วก็ชอบแม่ ชอบน้องของมึงด้วย ชอบที่เห็นไอ้เนมตัวน้อยๆยังอยู่กับครอบครัว และเพราะชอบนั่นล่ะ กูถึงอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“กูจะพยายามให้เป็นที่ยอมรับ พยายามให้แม่มึงชอบกู พยายาม..เพื่อที่จะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ให้ได้..เพราะฉะนั้นอย่ากังวลไปเลย ว่ากูจะคิดมากอึดอัด หรือไม่พอใจ เพราะความจริงคือตอนนี้กูกำลังมีความสุข ทั้งกับความสุขที่ได้เจอมึง และความสุข..ที่ได้พบกับคนที่มึงรัก”
“ แม่ง ฟังดูอย่างกับคำตอบนางสาวไทย” ไอ้เนมบ่นงึมงำแต่ริมฝีปากก็เผยเป็นรอยยิ้มกว้างเสียจนแก้มแทบแตก พอได้ยินแบบนั้นพี่โตก็ส่ายหน้า ทำเอาบรรยากาศที่โรแมนติกหรือเกือบๆจะเป็นแบบนั้นพังทลายไปต่อหน้าต่อตา
“แน่สิ กูเป็นลูกเขยที่ต้องเอาชนะใจแม่สะใภ้นี่”
“เค้าให้แต่งเข้าเหอะ ไม่ใช่แต่งออก เพราะงั้นพี่ต้องเป็นสะใภ้” ไอ้เนมยักไหล่ ทำหน้าล้อเลียนใส่ลูกสะใภ้ตัวควายๆทันควัน
“เรื่องแบบนี้เค้าเลือกกันบนเตียงโว้ย ไม่เกี่ยวว่าใครจะแต่งเข้าแต่งออก” พี่โตสวน พร้อมกันนั้นก็รั้งตัวผมเข้าไปแนบชิดอีกครั้ง “แล้วถึงจะได้ชื่อสะใภ้ แต่ใครเป็นผัวใครเป็นเมีย ก็น่าจะรู้ดีแก่ใจนะ หือ..”
“อะไร คนอย่างผมกะ....อือ...” อ้าปากท้วงได้ไม่เกินสามวิ ใบหน้าของจอมฉวยโอกาสก็แนบชิด ริมฝีปากหนาเบียดลงบนริมฝีปากของผมทันควัน จากนั้นจึงกดย้ำ บดเบียนซ้ำด้วยความปรารถนา
อ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นและจูบที่ดูดดื่มราวกับจะกลืนกินไปทั้งตัวนั้นทำให้ผมถึงกับสะท้าน รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความปรารถนาที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของผู้ชายตรงหน้า ร่างของพี่โตกอดรัดทาบทับผมไว้ไม่ยอมปล่อย และคงจะมากกว่านี้ไปแล้ว ถ้าไม่ได้มีเสียงเรียกของแม่ผมออกมาจากในครัวแว่วๆ
“ได้แล้วคร้าบบบ” ผละออกไปแทบไม่ทันเมื่อถูกเรียกหาผักที่จะต้องไปเก็บมาให้ ขานรับทั้งๆที่ลมหายใจยังไม่เป็นปกติ ก่อนจะไอ้เนมจะทำหน้าบูด เมื่อพบว่าผักที่ตัวเองอุตส่าห์ไปเด็ดมา บัดนี้กลายเป็นว่าถูกขยี้กำแน่นเสียจนยับ
“ตายหอง” รู้เลยว่าถ้าเอาไปให้ล่ะก็ไม่วายโดนบ่นแหงมๆ ผมรีบเดินเข้าไปที่แปลงผักอีกครั้ง ด้วยความรีบร้อน ทั้งๆที่สติยังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วยังมึนไม่หายกับจูบของพี่โตที่ห่างหายไปนานซะอีก
แว่วเสียงหัวเราะตามหลังอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหมั่นไส้ชะมัด ไอ้เนมเลยหันไปทำตาเขียวใส่ “ขำมากเลยนะ ชิ”
“แหม มีงอน” พี่โตหัวเราะรับ
“งอนสิ ทำไรไม่ดูตาม้าตาเรือ”ว่าแล้วก็แยกเขี้ยวใส่คนพูดเสียที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งเมื่อนึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรไว้ “แล้วพี่...แน่ใจนะ แบบนี้”
“ฮื่อ...” พี่โตเลิกคิ้ว ครางในลำคอรับกับคำถาม
“ไม่รู้อีกนานไหม” ผมเปรยออกมาอย่างกังวลหน่อยๆ เม้มปากแน่นกับความกังวลบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจ “ถ้าพี่เสร็จงานนี้แล้วคงไม่ได้เจอกันบ่อยๆอีก ผม..ไม่รู้ว่าพี่รอได้แค่ไหน”
พี่โตมองหน้าผมที่ปีนออกมาจากแปลงผักอีกครั้ง ฝ่ามือนั้นแตะลงบนผิวแก้มเบาๆ..ก่อนจะบีบมันแรงๆ
“โอ้ยยย อะไรกันวะ เจ็บนะ!!” โวยวายทันควันแล้ร้องซี้ดดด เจ็บแบบไม่ทันได้ตั้งตัวด้วย
“บีบแก้มคนงี่เง่าไง” พี่โตยักไหล่สีหน้าเฉย “มึงรอกูมากี่ปีแล้ว แค่นี้น่ะ สำหรับกูไม่มีลำบากอะไรเลย”
“...........”
“เพราะงั้นเลิกงี่เง่าได้แล้ว เข้าใจไหมอิหนู”
“ห๊ะ!ใครเป็นอิหนูนะ” โถ่ อยากจะซึ่งสักสองสามวิ แต่พี่โตก็ทำลายบรรยากาศอีกรอบจนได้ ชะ
“อิหนูของป๋าไง ฮ่าๆ” เฉลยแล้วหัวเราะขำ พลางสาวเท้าคู่กับผมไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
“กะอิแค่เสี่ยรับเหมา ตังค์เยอะพอจะออฟเด็กยังเหอะ กล้ามาเรียกตัวเองว่าป๋า” พอกวนมาผมก็กวนกลับ เอาสิ ว่าใครมันจะกวนได้มันส์กว่ากัน
“เหอะ ระดับนี้น่ะ ไม่ต้องมีเงินสาวก็มาหา เนอะ” ว่าๆไม่ว่าเปล่า มีการเดินไปโฉบไหล่น้องสาวผมอีก แล้วนั่น..ยัยน้ำมันดันหัวเราะคิกคัก เฮ้ยยย
“แหม แบบนี้เค้าก็โอเคอยู่นะ” นั่น ยัยน้องสาวผู้รักนวลสงวนตัวมันหายไปไหนเนี่ย ผมเบิ่งตามองยัยน้ำที่หันไปพูดคุยเล่นหัวกับพี่โตอย่างสนิทสนมแล้วแทบจะพ่นไฟออกมาจากปาก นี่พวกเอ็งไปสนิทกันตอนไหนฟ่ะ
“อ้ากกก หยุดเลยนะ ! น้ำ แกอย่าเข้าใกล้จอมมารนะเว้ยย” ไม่งั้นซวยชั่วชีวิตอย่างพี่แกนะจะบอกให้!
“ฮ่าๆ จอมมารอะไรกัน ดูหนังมากไปป่ะเนี่ย”
“นั่นสิ สงสัยเพี้ยนแล้วอ่ะคะ”
“เนมมมม ทำอะไรอยู่! แม่บอกให้เก็บต้นหอมให้ตั้งนานแล้วนะ ลูกคนนี้นี่ !”
“หงะ แม่!!!” เสียงโหยหวนของไอ้เนมดังขึ้นทันทีเมื่อถูกฝ่ามืออรหันต์ของคุณนายนิตยาฟัดเข้าที่หู ใบหน้าที่เบ้อยู่แล้วจากความไม่พอใจที่จอมมารมีสมุนเพิ่มขึ้นอีกตัวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทันควัน ส่วนพี่โตน่ะเรอะ จอมมารที่ไม่รู้ยึดบ้านผมได้ตอนไหน ก็ยืนหัวเราะกับยัยน้ำ น้องสาวจอมโฉดที่แปรพักตร์จากผมไปหาพี่แกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ได้ใจแม่ผม ถูกรับเป็นลูก สนิทกับยัยน้ำถึงขนาดเล่นหัวกันเฮฮา ขนาดนี้แล้วยังต้องปรับตัวอะไรกับคนในครอบครัวผมอีกเรอะ บ้านไอ้เนมโดนจอมมารยึดไปแล้วล่ะไม่ว่า
โถ่โว้ยยย ไม่น่าหลงไปสงสารเลยเฟ้ย!
………………..
บทส่งท้ายมาแล้ว นานมากกกกกว่าจะมา ขอโทษนะคะ
ขอโทษด้วยนะคะที่ช้าเหลือเกิน ติดเรียนและอื่นๆอีกมากมายค่ะไม่ค่อยมีเวลาเลย ปีสี่นี่มันลำบากแท้หนอ อ อ อ
ส่วนบทส่งท้ายอันนี้ ก็ถือว่าเป็นการเอ่ยถึงเรื่องราวคร่าวๆหลังจากมาพบกันนั่นเอง และเมฆก็ฟื้นแล้วววหุหุ ใครอยากรู้ว่าฟื้นแล้วสามผีจะเป็นอย่างไร อันนี้ก็ไปรอกันต่อในเล่มเน้อออ (ช่วยกันสนับสนุนค่าเรือนหอพี่โตนุ้งเนมด้วยนะ55+)
+-+-+-
แจ้งเรื่องนิยาย รู้สึกหลายคนเข้าใจผิดว่าสั่งไม่ได้แล้ว ไม่ใช้น้า สั่งได้ค่าา
นิยายเรื่อง OH!!badguy รักร้ายๆของผู้ชายในคุก ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือกับสำนักไร้กรอบ นิยายพ้นช่วงปิดจองแล้วแต่ยังสามารถสั่งได้เรื่อยๆ ใครที่สนใจเชิญที่นี่ได้เลยค่า
http://www.raikrobbooks.com/รายละเอียด นิยาย 2 ภาค 4 เล่มจบ + ตอนพิเศษในเล่มที่ไม่ได้ลงในเว็บ
ราคาเล่มละ 470 บาท สั่งซื้อแยกเล่มได้ (ไม่นับรวมช่วงจอง)
ใครมีข้อสงสัย มีอะไรอยากจะสอบถาม ส่งข้อความมาสอบถามได้ค่ะ
และหากใครอยากจะสอบถามเกี่ยวกับหนังสือ ให้ส่งเมล์ไปถามที่ Raikrob@จีแมว.คอม นะคะ
+++
และสุดท้าย จบบทส่งท้ายแล้วแบดกายก็คงจบลงเพียงเท่านี้ ^ ^ จบกันจริงจังเสียทีสำหรับนิยายที่เขียนมาสามปีกับอีกหกวัน เฮ้อ อ อ ใจหายจริงจังที่จะไม่ได้เขียนอีก แต่มิเป็นไร เรื่องเก่าจบ แต่เรื่องใหม่ก็มาอีกค่า
โปรโมทๆ (ต่อไปนี้ปุ้ยจะใช้ยูส serinนะคะ ส่วนยูสนี้เป็นของน้อง katte ที่เอานิยายมาลงให้)
อันนี้จบแล้วแต่ยังอยากโปรโมท Stone rose’s line กุหลาบทรายใต้เงาหิน >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18705.0ภาคต่อของเรื่องข้างบน Route liebe >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30985.0เรื่องใหม่ ออกแนวลึกลับ Lost Angel >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33406.0อย่าลืมตามให้กำลังใจกันด้วยนะค้า
ปล. มีแฟนเพจแล้วนะค้าาาา มาคุยกันได้ที่นี่เลย
http://www.facebook.com/SilenceSerinStory