บทที่ 12
เป็นครั้งแรกกับการเดินทางไกลไปต่างเมืองหากไม่นับตอนขบวนวิวาห์เมื่อเดือนก่อน จุดหมายครั้งนี้ใช้ระยะเวลาราว 5 วันทั้งทำงานและพักผ่อนไปในตัว พวกเขาใช้เวลาเก็บของไม่นานก่อนเริ่มออกเดินทาง ด้านแอชลีย์นั้นเจ้าตัวได้จัดเตรียมมันเอาไว้ล่วงหน้าแล้วส่วนซินเธียเดิมสัมภาระที่เขานำมาก็มีไม่มาก เป็นเสื้อผ้าจำนวนไม่กี่ชุดที่หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้วยิ่งไม่ต้องใช้เวลามากในการจัดกระเป๋า
เมื่อต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนเหนือ นอกจากปรับตัวเรื่องอาหารการกิน ชีวิตประจำวัน เครื่องแต่งกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง มันคงดูประหลาดน่าดูหากเขาจะใส่ชุดหนังสัตว์สีโทนเข้มเดินร่อนไปร่อนมาในวินเทอร์ฟอล อีกทั้งเสื้อผ้าของธอร์นไม่เหมาะสมสำหรับดินแดนแห่งนี้ มันบางมากเกินไป
การเดินทางครั้งนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเอง คนขับรถประจำตระกูลถูกเรียกใช้งานอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือน ปกติแล้วชายหนุ่มชื่นชอบเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตนเองมากกว่าทั้งสะดวกและเป็นส่วนตัว ยกเว้นว่าต้องเดินทางไปทำงานสำคัญที่มีระยะทางไกลไม่สามารถสูญเสียพลังงานไปกับการขับรถได้
เดินทางกันอยู่ครึ่งค่อนวันโดยไม่หยุดพัก รถยนต์คันหรูเคลื่อนเข้าสู่เขตตัวเมืองของอีสเทิร์นพอร์ตเป็นเวลาในช่วงหัวค่ำพอดิบพอดี สถานที่พักในตลอดทริปฮันนีมูนควบคู่การทำงานครั้งนี้เป็นโรงแรมมีชื่อในย่านการค้าใกล้กับท่าเรือเพื่อง่ายและสะดวกในการเดินทาง
เมื่อถึงที่พักและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคนทั้งสองดำเนินมื้อค่ำกันอย่างเรียบง่าย ด้วยความเป็นโรงแรมใหญ่จึงสามารถเลือกทานอาหารในรสชาติที่คุ้นเคยได้ตามสะดวก หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้านอนสิ้นสุดกิจกรรมวันแรกในฐานะคู่ชีวิตลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันถัดมาด้วยนาฬิกาปลุกธรรมชาติอย่างแสงแดดอ่อนๆ ลอดมาตามรอยแยกของผ้าม่าน เด็กหนุ่มปิดปากหาววอดพลางขยับกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อสลัดความง่วงงุน ตั้งสติชั่วครู่ถึงค่อยหยัดกายขึ้นเดินไปรูดม่านออกจนสุดรับเอาแสงรุ่งอรุณอาบไล้ผิวกายสีน้ำผึ้งภายใต้ชุดนอนผ้าแพรตัวบาง
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นแสงแดดแบบนี้
ซินเธียเลื่อนบานประตูกระจกใสเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อสูดรับกลิ่นอายธรรมชาติและปล่อยให้ร่างกายได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่
ตั้งแต่มาวินเทอร์ฟอลเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าแล้วที่เด็กหนุ่มไม่เห็นแสงแดด มีเพียงหิมะหรือบรรยากาศหนาวเย็นให้เห็นจนเริ่มชินตา แม้จะเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแต่วินเทอร์ฟอลก็ยังไม่มีแสงแดดให้ได้พบเห็น คุณพ่อบ้านกล่าวว่าอาจต้องรอให้ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิคงจะมีแดดให้เชยชมบ้าง
อากาศของเมืองนี้ไม่หนาวเย็นเท่าวินเทอร์ฟอลทว่าก็ไม่ร้อนเท่าธอร์น
“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวจะได้ลงไปทานมื้อเช้า”
เสียงทุ้มจากคนในห้องเรียกสายตาของเด็กหนุ่มให้หันกลับไป แอชลีย์กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำบนเรือนกายสูงใหญ่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมผูกปมเชือกเอาไว้หลวมๆ เผยแผ่นอกกว้างพราวไปด้วยหยาดน้ำเกาะตามผิวกาย เจ้าตัวเดินมาหยุดบริเวณกรอบประตูมือข้างหนึ่งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเส้นผมไปมาขณะเอื้อนเอ่ยประโยคแรกของวัน
ภาพนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย ดวงตากลมโตอดจะเลื่อนมองหยดน้ำที่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงจากแผ่นอกสู่หน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยไม่ได้ กระทั่งผลุบหายไปในผิวเนื้อภายใต้ปมเชือกบริเวณช่วงเอว
“เป็นอะไร หน้าแดง”
“หา! ปะ เปล่า” คนถ้ำมองอ่อนหัดสะดุ้งโหยง ผิวแก้มจากเป็นเพียงริ้วจางๆ กลับยิ่งแดงเถือกเมื่อโดนทัก รีบเอ่ยตอบตะกุกตะกักจับใจความเกือบไม่ได้เรียกรอยขมวดตรงหัวคิ้วเข้มจากคนพึ่งโดนลวนลามทางสายตาโดยไม่ตั้งใจและยังไม่รู้ตัว
“ระ เราจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”
ว่าไว้แค่นั้นแล้วรีบจ้ำอ้าวเข้าห้อง ผลุบหายไปในห้องน้ำ
มื้อเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ชาและกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟหลังจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าแล้ว สองสามีภรรยาหมาดๆ เดินเข้ามารับประทานอาหารยังห้องอาหารของทางโรงแรม ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เลือกสรรตามใจชอบ เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด แบ่งประเภทออกไปตามรสชาติท้องถิ่นของแต่ละเมือง รอบบริเวณมีพนักงานคอยอยู่รับรองตามจุดต่างๆ แต่ก็ยังให้บรรยากาศที่ดูเป็นส่วนตัวไม่รู้สึกอึดอัด
“ทำงานเสร็จแล้วจะพาไปดูรอบๆ เมืองก็แล้วกัน”
อัลฟ่าหนุ่มกล่าวขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจกับกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดี
ทางด้านคนฟังหลังได้ยินดังนั้นก็ตาโตไม่น้อย ในใจนึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วคนที่เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า ออกล่าในทุ่งกว้างพอได้ออกเดินทางมาเยือนต่างเมืองต่างถิ่นแบบนี้ล้วนต้องอดจะตื่นตาตื่นใจไม่ได้
เมืองนี้ค่อนข้างแตกต่างจากวินเทอร์ฟอล ทั้งสภาพแวดล้อม อากาศ หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิต การตกแต่งของตัวโรงแรมหรือบ้านเมืองล้วนแสดงถึงเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าถึงจะตื่นเต้นมากแค่ไหนเด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการรักษากิริยาท่าทีเอาไว้ได้เป็นอย่างดีตามสิ่งที่ได้รับการขัดเกลามาตั้งแต่เยาว์วัย
“ต่อจากนี้เราต้องไปที่ไหนหรือครับ”
ซินเธียเอ่ยถามถึงจุดหมายแรกของวัน เขาตามมาโดยไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่ว่าต้องมาเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าคนสำคัญ ทางด้านคุณแม่ก็บอกให้ถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการฮันนีมูนไปในตัวด้วย
ชีวิตคู่
ฮันนีมูน
กับแอชลีย์ คิม อย่างนั้นหรือ จะเป็นอย่างไรกันนะ
“ท่าเรือนาวีเจี้ยน” คนตัวสูงว่า “เราจะไปพบฮิลล์ที่นั่น”
อีสเทิร์นพอร์ตคือเมืองท่าทางด้านตะวันออก มีภูมิศาสตร์ติดกับทะเลกว้างใหญ่ อาชีพหลักของคนท้องถิ่นคือการค้าขายโดยเน้นไปที่การค้าทางเรือ เมืองท่าแห่งนี้ในแต่ละวันจะมีเรือสินค้าจากต่างแดนมากมายเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและเงินทอง มันจึงเต็มไปด้วยกลุ่มคนหลากหลายซึ่งเดินทางมาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งของผืนสมุทร
ผังเมืองของที่นี่ค่อนข้างแปลกตา บ้านเรือนต่างเป็นตึกโทนสีอิฐอ่อนบ้างเข้มบ้างเรียงรายคละเคล้ากันไปอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นถนนสองเลน ฝั่งขวาเป็นตึกรามบ้านช่อง ฝั่งซ้ายเป็นคูน้ำทอดยาวไปจนสุดสายมีทางเท้าสำหรับสัญจรคึกคักไปด้วยผู้คนทั้งคนท้องถิ่นและพ่อค้าต่างสวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าเนื้อบางเน้นความคล่องตัวเหมาะสมต่อสภาพอากาศแบบร้อนชื้น
เมืองท่าแห่งนี้มีฝนตกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในฤดูหนาวอุณหภูมิไม่ได้ต่ำเท่าวินเทอร์ฟอล
ซินเธียรู้สึกสดชื่นกับความคึกคักของเหล่าผู้คนในเมืองนี้เป็นอย่างมาก ทั้งแสงแดด เสียงพูดคุยจอแจตลอดทาง เขาแอบเห็นคนตั้งแผงเครื่องเทศหลากหลายชนิดอยู่ข้างทางด้วย หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าก่อนกลับจะต้องได้แวะเวียนนำติดมือไปด้วยสักอย่างสองอย่าง
จากตัวเมืองเดินทางไปถึงท่าเรือนาวีเจี้ยนใช้เวลาไม่นานนัก แหล่งที่อยู่อาศัยเริ่มบางตาลงมองเห็นแต่เพียงผืนทะเลสีครามกว้างสุดลูกหูลูกตา ยามเปิดประตูออกมาจากรถสายลมโชยเอากลิ่นอายของทะเลพัดมาปะทะจมูก
แอชลีย์เล่าว่านาวีเจี้ยนแห่งนี้มีตระกูลอัลฟ่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่ นั่นก็คือตระกูลแลมเบิร์ต พวกเขามีอำนาจมากอีกทั้งยังสืบทอดสายเลือดกันด้วยเหล่าอัลฟ่าโดยแท้ ไม่มีสายเลือดอื่นใดปน
นับเป็นเจ้าของท่ารายใหญ่ ถือสิทธิ์ครอบครองจนแทบจะเรียกว่าผูกขาดการค้าทางเรือ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือเล็กท่าเรือน้อยอยู่ในการควบคุมดูแลอีกไม่น้อย อำนาจล้นมือจนแม้แต่แอชลีย์ยังต้องเกรงใจ
ผู้นำคนปัจจุบันคือ ฮิลล์ แลมเบิร์ต อัลฟ่าในรุ่นเดียวกับแอชลีย์แต่เรื่องกิตติศัพท์นั้นนับว่าทิ้งห่างกันไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ทั้งหน้าเลือด หยิ่งผยอง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่ในมุมมองของความเป็นผู้นำแล้วฮิลล์นับว่าเป็นผู้นำตระกูลอายุน้อยแต่เขาสามารถพัฒนานาวีเจี้ยนให้พุ่งทะยานเกินเป้าหมาย ขยายเขตการค้าออกไปอย่างมากมาย ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็สามารถทำให้ตระกูลแลมเบิร์ตเกือบจะผูกขาดการค้าทางเรือในอีสเทิร์นพอร์ตเอาไว้แล้ว
และเพราะเหตุนั้นในวงธุรกิจหากใครสามารถทำการค้ากับแลมเบิร์ตได้ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล ถึงแม้ค่าเช่าท่าเรือจะแพงมากจนแทบเรียกได้ว่าขูดเนื้อแต่ผลตอบรับนั้นย่อมต้องดีแน่นอน
แน่นอน ใช่ว่าใครก็สามารถทำการค้ากับอัลฟ่าคนนี้ได้ มันไม่ง่ายเหมือนสิ่งที่วาดภาพฝันเอาไว้เลย คนผู้นี้มีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง เขาจะทำแค่สิ่งที่เขาพอใจ คบหากับคนที่เขารู้สึกว่าน่าคบหา
ซึ่งคนที่จะทำให้ฮิลล์สนใจได้จะต้องเป็นบุคคลที่ประเมินแล้วว่าสามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ในระดับเกินจุดคุ้มทุน
และข้อเสนอของทางตระกูลคิมนับว่าน่าสนใจไม่น้อย การนัดหมายสำคัญนี้จึงเกิดขึ้นด้วยความยินดีจากคนทั้งสองฝ่าย
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านชายคิม ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะได้พบคุณวันนี้”
อัลฟ่ารูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกันกล่าวทักทายอย่างยินดีขณะเชิญอาคันตุกะทั้งสองเข้ามานั่งในห้องรับรอง ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ใครๆ ก็ต่างขนานนามว่านั่นเป็นรอยยิ้มของปีศาจ
“สวัสดีครับ” แอชลีย์ยื่นมือไปจับทักทายตามมารยาท “ส่วนนี่คือซินเธีย วาเลนเธียเขาเป็นคู่ของผม”
“โอ้ ยินดีที่ได้พบคุณ” แววตาของชายหนุ่มส่องประกายเพียงชั่ววินาทีในตอนที่หันไปมองโอเมก้าเจ้าของเรือนกายสีน้ำผึ้ง
ทางด้านผู้มาเยือนกระแอมครั้งหนึ่งเหลือบสายตามองต่ำก่อนจะเป็นฝ่ายทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของสถานที่อนุญาตเมื่อสังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นทำท่าจะยื่นมือมาขอจับทักทายใครอีกคน
ฮิลล์หัวเราะเบาๆ ไม่นึกถือสา ยกมือข้างหนึ่งปลดกระดุมสองเม็ดแรกบนเชิ้ตสีดำด้วยท่วงท่าหย่อนอารมณ์ ชายหนุ่มเป็นอัลฟ่าที่ยังไม่แต่งงานและยังไม่คิดวางแผนจะจับคู่กับใครในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากยังมีเป้าหมายอีกมากมายรอดำเนินการ
“วันนี้พวกเราจะไม่พูดอ้อมค้อมก็แล้วกัน ได้ยินว่าไม่นานมานี้ทางตระกูลคิมพึ่งได้กรรมสิทธิ์เหมืองแร่บริสุทธิ์จากทางใต้มาไว้ในครอบครอง ผมพูดถูกไหม”
ชั่ววินาทีหนึ่งตอนเอ่ยประโยคหลังฮิลล์ปรายสายตาไปยังโอเมก้าที่นั่งอย่างสงบอยู่ข้างกายคู่ชีวิต
ใบหน้าเรียบเฉย แผ่นหลังยืดตรงรับฟังแต่ไม่แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็น ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างามสมคำเล่าลือ
“ตามที่คุณได้ยินมา” แอชลีย์ยังคงท่าทีสงบ ได้ยินคำตอบนั้นทำเอานายท่าแลมเบิร์ตถึงกับตาวาว
เหมืองที่ว่าตั้งอยู่บริเวณดินแดนทางใต้ มันก็เหมือนสมบัติล้ำค่าที่ยังไม่ถูกค้นพบซุกซ่อนเอาไว้ลึกสุดขั้วต่อให้มีลายแทงอยู่ในมือก็ยังยากจะค้นหาได้ ตัวเหมืองมีขนาดใหญ่อุดมไปด้วยเหล่าอัญมณีมากมายโดยเฉพาะเพชรบริสุทธิ์ มูลค่าของมันมิอาจประเมินได้
เชื่อว่าเมื่อได้พวกมันไว้ในครอบครองตระกูลคิมคงจะนอนบนกองเงินกองทองไปอีกไม่รู้กี่ร้อยปี พื้นที่บริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮิลล์สนใจ ไม่ได้คิดจะไปแก่งแย่งสมบัติของผู้อื่น สิ่งที่อัลฟ่าหนุ่มสนใจคือส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการรับซื้ออัญมณีในราคาต่ำกว่าตลาดต่างหาก
เพชรพลอยพวกนั้นเมื่อนำมาเจียระไน รู้จักแปรรูปให้ดีมูลค่าย่อมพุ่งทะยาน ราคาขายต่อของพวกมันต่างหากที่น่าสนใจ ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาจะกอบโกยกำไรได้มากแค่ไหนจากการแทะเล็มผลประโยชน์เหล่านี้
“ส่วนเรื่องภาษีน่ะเราตกลงกันได้จริงไหม”
ชายหนุ่มเอนกายพิงพนัก ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มของปีศาจแสดงท่าทางหย่อนอารมณ์อย่างถึงที่สุดหลังเลื่อนแฟ้มสัญญาและข้อตกลงในการขอเช่าท่าเรือไปให้คู่ค้าตรงหน้า
“อ้อ แล้วก็ขอแนะนำ แอนนา” ผายมือไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่ซึ่งกำลังยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ
“เธอเป็นผู้ช่วยของผมเอง ทำงานเยี่ยมมากเลยล่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะโน้มตัววางแก้วกาแฟให้แขกทั้งสอง เมื่อยืดตัวขึ้นเต็มความสูงถึงได้พึ่งสังเกตรูปร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงเข้ารูปให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีบลอนด์ตามแบบฉบับประชากรส่วนใหญ่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอัลฟ่า
“คงจะเป็นจริงอย่างที่คนเขาว่า ตระกูลแลมเบิร์ตเป็นอัลฟ่าสายเลือดบริสุทธิ์ ขนาดคนข้างกายก็ยังเป็นอัลฟ่า”
แอชลีย์กล่าวขณะเลื่อนสายอ่านรายละเอียดสัญญาในแฟ้ม คำพูดนั้นออกไปทางแฝงแนวจิกกัด แต่คนฟังกลับไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะชอบใจ ไหวไหล่ยอมรับความจริงอย่างภาคภูมิ
ก็ในเมื่อสิ่งที่อาคันตุกะจากแดนเหนือผู้นี้กล่าวออกมาไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนเลยแม้แต่ครึ่งคำ เป็นจริงว่าคนของฮิลล์ทุกคนล้วนคัดสรรมาแต่อัลฟ่า มีทั้งสมองอันชาญฉลาดและพละกำลังที่มากกว่าคนปกติทั่วไป
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงสามารถก้าวขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ภายในเวลาไม่กี่ปี และคงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมตระกูลแลมเบิร์ตถึงได้มีทั้งอำนาจและเงินทองอยู่เต็มสองกำมือ
ในสัญญาระบุการเช่าท่าเรือเป็นเวลา 8 ปี ซึ่งตามปกติแล้วการกำหนดเวลามักจะอยู่ในช่วงราวๆ 5 - 10 ปีอยู่แล้วแทนการทำสัญญาถาวรหรือในระยะยาวอันเสี่ยงจะนำปัญหายุ่งยากตามมาในอนาคต เมื่อถึงเวลาทั้งสองฝ่ายค่อยกลับมาคุยกันว่าสนใจจะทำธุรกิจกันต่อหรือไม่ นับว่าแนวคิดนี้ของฮิลล์ค่อนข้างดี
ส่วนค่าเช่าแทบไม่ต้องพูดถึง ราคาสมน้ำสมเนื้อกับฉายาปีศาจหน้าเลือด หากเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอที่ขูดเลือดเนื้อกันแบบนี้พอสมควร แอชลีย์อ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดสมองก็ประมวลผลรวดเร็ววิเคราะห์ผลได้ผลเสีย สัญญาฉบับนี้ข้อเสียเปรียบเดียวคงจะเป็นราคาเช่าที่สูงลิบลิ่ว ทางด้านภาษีเรือสินค้าก็หนักหนาเอาการแต่เรื่องนั้นอีกฝ่ายบอกว่ายังคุยกันได้ก็พอรับได้ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนั้นยังขอซื้ออัญมณีจากตระกูลคิมในราคาต่ำกว่าตลาดเกือบสองเท่าเรียกว่าฝ่ายนั้นได้เปรียบไปเต็มๆ
ก็พูดไปอย่างนั้น อันที่จริงก็ตัดสินใจมาตั้งแต่บ้านแล้ว เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาสักนิดในเมื่อผลตอบแทนหลังจากนี้ที่ทางเขาจะได้รับมันก็มากมายพอกัน
ขอแค่ได้ประโยชน์พึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายเรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
ชายหนุ่มปิดแฟ้มพร้อมเลื่อนมันส่งคืนแก่เจ้าของ ทางนั้นเองก็อ่านสัญญาจากทางฝ่ายตระกูลคิมจบพอดี
“เป็นอย่างไรครับ”
“เราอาจต้องตกลงกันเรื่องภาษีอีกสักครั้ง”
“ไม่มีปัญหา” เอ่ยพร้อมยิ้มอารมณ์ดี ไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายดูจากท่าทีกับสีหน้าของฝ่ายนั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าต่างฝ่ายก็ต่างพึงพอใจในสัญญา
“บอกตามตรงว่าผมถูกชะตากับคุณมาก” เขาชอบคนที่พูดจากันง่ายๆ “แต่ถึงจะชอบมากก็ไม่มีลดค่าเช่าให้นะ เรือผมเป็นเรืออย่างดีให้ไปเลยสองลำฟรีๆ กับจุดจอดรับส่งสินค้าที่ดีที่สุด”
แน่นอนราคามันถึงได้สูงขนาดนี้ยังไงล่ะ
“ผมไม่เกี่ยง”
“คุยกันง่ายๆ แบบนี้สิถึงน่าคบหา” คราวนี้รอยยิ้มของอัลฟ่าหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ว่าเขาพึงพอใจในความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ
เหมือนอย่างที่คุณพ่อพูดไว้ คนคนนี้ถึงจะหน้าเลือดแต่ก็ใจใหญ่ หากทำให้เขาพอใจสิ่งที่จะได้รับกลับมามันจะพิเศษสุดๆ ไปเลยล่ะ เพราะหลายคนกลัวตัวเองจะเสียประโยชน์ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในราคาสูงถึงได้พลาดโอกาสทองแบบนี้ไปอย่างไรล่ะ
ยอมเสียมากในวันนี้หน่อยจะเป็นไรไป
“ว่าแต่ ท่านชายท่านนี้ผมเห็นคุณจิบกาแฟไปอึกเดียว ไม่อร่อยหรือครับ” ฝ่ายคนที่นั่งทำตัวเป็นอากาศมานานค่อยตื่นจากภวังค์ยามได้ยินเสียงทัก ก่อนหน้านี้ก็มัวฟังคู่ค้าทั้งสองคุยกันเสียเพลินรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนกาแฟเขาจิบชิมไปเพียงนิดเดียวเนื่องด้วยกลัวจะเสียน้ำใจ คนอุตส่าห์นำมาบริการจะปล่อยทิ้งไว้ก็กระไรอยู่ทั้งที่ตัวเองไม่ชอบรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้เสียเท่าไหร่
จะให้พูดก็คือสมัยยังอยู่ในธอร์นพวกเขาไม่นิยมดื่มอะไรแบบนี้กัน สุราหมักนับเป็นเครื่องดื่มหลักรองลงมาจากน้ำเปล่า ตอนอยู่คฤหาสน์คิมเคยลองจิบไปครั้งหนึ่งรสขมปร่าแล่นไปทั่วลิ้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
“ภรรยาของผมเขาไม่ชอบดื่ม” ขณะกำลังอึกอักไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจทั้งคนฟังและคนชง คนข้างกายก็เป็นฝ่ายช่วยตอบแทนไปเสียแล้วแถมยังเป็นคำตอบที่ตรงแสนจะตรง ซินเธียถึงได้แต่ส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนกลับไปให้ทางนั้นแทน
“โอ้ ผมไม่ทราบมาก่อนต้องขออภัย คราวหลังจะให้แอนนาจัดเครื่องดื่มชนิดอื่นให้แทนนะครับ รับเป็นอะไรดี ชาดีไหม ผมได้ยินว่าคนทางเหนือชอบจิบชาเป็นกิจวัต”
“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ซินเธียเลือกจะกลืนคำว่าตนมาจากดินแดนทางใต้ลงคอไป อย่างไรเสียตลอดเวลาเดือนกว่าๆ ในวินเทอร์ฟอลเขาก็เริ่มชินกับวิถีชีวิตเอ้อระเหยของคนดินแดนนี้แล้วล่ะ
“ผมอยากจะดูรอบๆ ท่าเรือของคุณสักหน่อย” แอชลีย์เอ่ยแทรก
“ย่อมได้” ฮิลล์ไหวไหล่ หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง “ผมจะพาคุณชมความยิ่งใหญ่ของนาวีเจี้ยนสักหนึ่งรอบแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องสัญญากันต่อ”
คนทั้งสี่เดินออกมาจากอาคารสำนักงานใหญ่ ฮิลล์ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดของสถานที่ไปตลอดทางด้วยตัวเอง ในส่วนของท่าเรือมีคนงานมากมายกำลังขนสินค้าหลากหลายชนิดขึ้นเรือขนส่งขนาดใหญ่
ซินเธียกวาดตามองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ ตลอดแนวชายฝั่งมีเรือลำมหึมาจอดเทียบท่าเรียงราย ด้านล่างเรือบนฝั่งเป็นจุดตรวจคัดสินค้าครั้งสุดท้าย เขามองเห็นเหล่ามนุษย์งานอัลฟ่าจำนวนมากแบกสินค้ามาวางเรียงรายเตรียมขนย้ายขึ้นเรือ มีทั้งเครื่องใช้ ของประดับจำพวกโถ แจกันหายาก เครื่องเทศ แม้แต่สัตว์ตัวเป็นๆ ก็ยังมีให้ได้พบเห็น
จากการนั่งฟังก่อนหน้านี้ ซินเธียพึ่งทราบว่าตระกูลคิมทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ ส่งออกอัญมณีที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือเจียระไน ที่ผ่านมาเป็นการขายสู่ตลาดภายในหรือฝากขายไปกับเรือสินค้า ส่วนตอนนี้กำลังจะขยายขอบเขต ทำการส่งออกด้วยตนเอง อีกทั้งยังวางแผนจะเริ่มเจียระไนอัญมณีเองอีกด้วย
พอช่วงสายแดดเริ่มแรงขึ้น ซินเธียยกมือขึ้นบังดวงตาขณะเดินตามอัลฟ่าทั้งสองสำรวจท่าเรือเนื่องจากเริ่มสู้แสงไม่ค่อยไหว พอร่างกายมันเจอแต่อากาศหนาวเย็นมาตลอดจนเริ่มชินวันนี้โดนแดดเข้าหน่อยเลยรู้สึกมึนอยู่ไม่น้อย อีกทั้งกลิ่นเกลือจากทะเลโชยมาตามลมให้ความรู้สึกเหนียวตัว เดินเอียงไปเอียงมาจนเกือบจะชนคนงานแถวนั้นเข้าเสียแล้ว
ทางด้านคนที่พอเป็นเรื่องงานสมาธิก็จดจ่อแน่วแน่ ชั่วขณะหนึ่งพอหันมาเจอคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไปพูดอะไรบางอย่างกับผู้ช่วยแอนนาสองสามคำก่อนเธอจะรับคำแล้วหายไปทางอาคารสำนักงาน
ตอนแรกเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจกระทั่งเธอเดินกลับมาพร้อมหมวกสานในมือ แอชลีย์กล่าวคำขอบคุณเสียงเบาแล้วรับมันนำมาสวมให้กับคนตัวบาง ปีกหมวกกว้างจนสามารถบดบังแสงได้เกือบทั้งหมดค่อยรู้สึกสบายตาขึ้นมาหน่อย
“เดินระวังด้วยสิ” ดูเหมือนการเอ่ยตักเตือนจะยังไม่พอถึงได้ดึงภรรยาตัวน้อยเข้าไปใกล้จนสามารถโอบไหล่ได้ถนัดบังคับให้คนไม่ระวังเดินเคียงกันไป
ฮิลล์หยุดอธิบายคุณสมบัติของเรือรุ่นท็อปในคลังหันมาออกปากแซวคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างสนุกปากแทน
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างท่านแอชลีย์ คิมจะดูแลเอาใจใส่คู่ชีวิตได้ดีขนาดนี้ ผมนับถือคุณมากจริงๆ”
คนที่ตกเป็นประเด็นมีหรือจะสนใจยังคงตีหน้าตาย แผ่รังสีเคร่งขรึมไม่หยุดหย่อนขณะเดินโอบคู่ชีวิตในอ้อมแขนพากันเดินไปยังจุดถัดไป เลือกเมินคำเย้าแหย่แทรกด้วยคำถามเกี่ยวกับการขนส่ง จริงจังเสียจนดูขัดกับท่าทางที่แสดงออกมาในขณะนี้เสียจริง
ฮิลล์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะรีบเดินตามไปอธิบายทุกประเด็นที่คู่ค้าคนสำคัญซักถามอย่างไม่มีปิดบัง
TBC