[ 14 ]
รเณศทำหน้าไม่ถูกหลังจากที่ผละออกจากอ้อมกอดของเพลิงแล้วเห็นสายตาของเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางคนอื่นๆ พร้อมใจกันยิ้มก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น คนเมืองหน้าแดงวาบเพราะรู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาประหลาดแบบนั้นกับเพลิงท่ามกลางสายตาของหลายๆ คู่
“ผมไปช่วยป้าจำเนียรก่อนนะ”
รเณศเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเดินตุปัดตุเป๋ผละออกมาแทบจะทันที เพราะนอกจากสายตาคนอื่นแล้วแววตาเป็นประกายของเพลิงนั่นก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ท่าทางเก้อกระดากของคนเมืองส่งผลให้ร่างสูงใหญ่มองจนลับตา
พลสีไหล่เกิ้งยิกๆ ก่อนที่หันไปสบตากับเปลวที่ลอบยิ้มอยู่
“ไม่ตามเหรอครับ”
เกิ้งพูดขึ้นลอยๆ นั่นทำให้เพลิงถอนสายตาจากใครบางคนหันมามองลูกน้องตัวเองที่ยืนยิ้มราวกับคนเสียสติอยู่ตรงหน้า
“ตามใคร”
“โธ่ผู้ช่วย”
พลร้องโอดโอยจนเพลิงขยับรอยยิ้มทันทีหลังจากแกล้งทำหน้าตายถามกลับไปเมื่อกี้ นั่นทำเอาบรรยายกาศรอบตัวสบายขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เจอกับสถานการณ์ที่กดดันและตึงเครียด เนื่องจากเพลิงเกือบจมน้ำแต่เป็นโชคดีว่าเชือกที่เพลิงมัดติดกับตัวนั้นไม่ขาดไปตามกระแสน้ำจึงทำให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงเขาและเด็กน้อยขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้จะทุลักทุเลพอสมควรเพราะมวลน้ำมหาศาลนั่นพัดเพลิงไปติดกับต้นไม้ที่ถูกท่วมจนเกือบมิดไม่อย่างนั้นเขาคงหลุดลอยไปไกล
เพลิงรู้ดีว่าสถานการณ์ก่อนหน้าที่ทำเอาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เสียกำลังใจมากแค่ไหน ถึงแม้จะช่วยเขาขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยแต่บรรยากาศระหว่างกันกลับตึงเครียดพอสมควร แม้เพลิงจะบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรมากเพียงแค่เคล็ดขัดยอกไปทั่วตัวเพราะถูกเศษไม้พัดมากระแทกจนเกิดรอยช้ำ
“ไปอาบน้ำพักผ่อนกันเถอะ”
เพลิงพูดขึ้น
“เสร็จแล้วมากินข้าวกัน”
“ครับ”
“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะ ทำได้ดีมาก”
การชื่นชมและให้กำลังใจลูกน้องถือเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี่จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีกำลังใจในการทำงาน นอกจากนี้คำพูดนั้นยังทำให้เจ้าหน้าที่พากันขยับรอยยิ้มท่าทางโล่งใจไม่น้อย
“ผมใจหายมากเลยนะพี่”
เปลวพูดเสียงแผ่ว มันหลุบตามองพื้นดูหงอยลงไปถนัดตา
“ภาพที่พี่จมลงไปยังติดตาผมอยู่เลย”
เพลิงขยับไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
“พี่ไม่เป็นไรแล้ว”
เพลิงขยี้ศีรษะเด็กหนุ่มเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นตาแดงๆ เหมือนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองอยู่
“เรื่องปกติน่ะเปลว” เพลิงยิ้มให้อีกฝ่าย
“การทำงานมันมีความเสี่ยงแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา”
“ผมรู้พี่”
เปลวถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ทำใจให้เข้มแข็งไว้”
เพลิงมองสบตากับเจ้าหน้าที่แต่ละคน แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร
“ชีวิตในป่ามันไม่แน่ไม่นอนหรอก ในเมื่อเลือกที่จะก้าวเข้ามาในจุดนี้ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น อย่าเสียกำลังใจไปเลย ผมรู้ว่าทุกคนทำดีแล้ว เรื่องที่ผ่านมาคือสิ่งที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ จงภูมิใจที่ทำ จงเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา”
เพลิงรู้ว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนกำลังเสียขวัญ
“ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
เปลวสอบตากับเพลิงนิ่ง
“ครับ ผมสัญญา”
แวบหนึ่งมันมองเห็นความเอ็นดูที่เพลิงมีให้ อาจเพราะเปลวเป็นน้องเล็กที่สุดในกลุ่ม แม้จะผ่านเรื่องราวชีวิตมาพาสมควร แต่ประสบการณ์การทำงานแบบนี้ยังน้อยนัก คราแรกเพลิงเองก็อดวิตกกังวลไม่ได้ แต่เห็นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ให้ความเอ็นดูและคอยช่วยเหลือกันเขาก็เบาใจ
เพลิงยังจำได้ว่าตอนที่เจอเด็กนี่ครั้งแรกเพราะฝ่ายนั้นกระทำความผิดจนถูกจับ ใครจะไปคิดว่าเด็กที่ดูไม่เอาไหนวันนั้นจะเติบโตทั้งความคิดและการกระทำได้ขนาดนี้ ผู้ช่วยหนุ่มยิ้มน้อยๆ ตอนที่พลและเกิ้งต่างกระโดดมารั้งคอเปลวราวกับจะปลอบขวัญจนเจ้าตัวยืนเซ
“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งผมนะ”
เพลิงมองหน้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนแล้วพูดขึ้น
“ผู้ช่วยไม่เคยทิ้งพวกผม ทำไมเราถึงจะทิ้งผู้ช่วยล่ะครับ จริงมั้ยพวกเรา”
เกิ้งหันไปพยักพเยิดกับคนอื่นๆ เงินเดือนไม่พอใช้ผู้ช่วยก็ช่วยเหลือ ใครเดือดร้อนทุกข์ใจมาเพลิงก็ยื่นมือเข้ามาช่วยทุกครั้ง ผู้ช่วยไม่เคยเอาเปรียบลูกน้องตรงกันข้ามผู้ชายคนนี้มีน้ำใจให้พวกเขาอยู่เสมอ
“เรามันทีมเดียวกันนี่ครับ รวมกันเราอยู่ ขืนแยกกันคงซี้แหงแก๋ เฮ้อ ยิ่งเดือนนี้เงินตกเบิกอยู่ด้วย”
พลพูดสำทับแต่ท้ายประโยคนั่นทำเอาที่เหลือพากันฮาครืน
.
.
รเณศโผล่ไปช่วยป้าจำเนียรได้ไม่นานฝ่ายนั้นก็ไล่ให้เขาไปอาบน้ำพักผ่อน หลังจากที่ป้าแกช่วยหาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน คนเมืองหอบเสื้อผ้าเดินลัดเลาะไปทางท้ายหมู่บ้านที่ป้าแกบอกว่าเป็นธารน้ำกว้างและมีน้ำตาซึ่งเป็นสถานที่อาบน้ำ หมู่บ้านท้ายเขาแบบนี้ไม่มีห้องน้ำในบ้านกันหรอกต้องอาศัยอาบกันที่ริมธารเท่านั้น บ้านผู้ใหญ่ดีหน่อยมีพื้นที่กั้นเป็นส่วนตัวแต่รเณศดันเกิดอยากไปสำรวจน้ำตกท้ายหมู่บ้านนั่นเพื่อยลโฉมความงามกับตาเลยตัดสินใจเดินดุ่มๆ ออกมา
เกือบสิบนาทีที่รเณศเดินตามเสียงน้ำตกมาจนถึงธารน้ำใสสะอาด มีน้ำตกไหลมาตามร่องหินขนาดใหญ่เป็นทาง ต้นไม้สูงใหญ่นับสิบต้นโอบล้อมคล้ายกับเป็นวงล้อมธรรมชาติซึ่งเมื่อเดินไปหยุดที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งเขาจึงแหงนหน้าขึ้นสูงจึงเห็นว่าแทบทุกต้นโน้มกิ่งเขาหากันราวกับโดมสูงใหญ่ มันสวยงามจนเผลอยืนตะลึง
“สวยมาก”
รเณศเผลอครางออกมาก่อนจะทรุดตัวนั่งยองๆ วักน้ำใสสะอาดลูบไล้ใบหน้า น้ำในธารนั่นเย็นจนสะดุ้งอาจจะเพราะฝนเพิ่งหยุดตกใหม่ๆ จึงทำให้ลำธารแห่งนี้เย็นจนขนลุกได้ คนเมืองแอบยู่หน้ากับความเย็นแต่พอเอาปลายเท้าจุ่มลงไปในน้ำนั่นทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ท้ายสุดรเณศเลยตัดสินใจเปลื้องผ้าอาบน้ำทันที
เขาดำผุดดำว่ายอยู่นานสองนานจนกระทั่งเดินยินเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าของคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ รเณศมุ่นหัวคิ้วก่อนจะว่ายไปหลบหลังโขดหินเพื่อพิจารณาผู้มาใหม่
“ไหนบอกว่าแค่ช้ำไงครับผู้ช่วย นี่มีแผลเป็นทางยาวที่หัวไหล่ด้วยนี่”
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่รู้สิ สงสัยโดนกิ่งไม้เกี่ยวเอา”
“งั้นผู้ช่วยรีบอาบน้ำเลย พวกผมจะทำแผลให้”
รเณศสะดุ้งโหยงเมื่อแอบโผล่หน้าออกมาจากโขดหินแล้วเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เคยอยู่ในชุดลายพรางบัดนี้เปลือยแผ่นอกเหลือไว้เพียงกางเกงส่วนล่างกันทุกคนเลย
“อ้าวพี่เนตร”
รเณศรีบหลบว่ายแต่ไม่พ้นไปจากสายตาของเปลวที่เหลือบมาเห็นพอดี มันร้องทักเขาจนทำให้ชายกลุ่มนั้นหันมามองเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่ตัวคนเป็นหัวหน้าที่ยกยิ้มทันทีที่รเณศค่อยๆ โผล่หน้าออกมา
“ผมตามหาอยู่นึกว่าพี่หายไหน”
รเณศยิ้มแหยๆ พยายามกอดตัวเองอยู่ใต้น้ำเพื่อให้ไกลจากสายตาคนที่มองอยู่ อาการขัดเขินเก้อกระดากนั่นทำให้เพลิงมุ่นหัวคิ้ว ชายหนุ่มเหลือบตามองกองผ้าที่ใต้โคนต้นไม้สลับกับคนที่อยู่ในน้ำ เพราะสายน้ำที่ใสสะอาดนั่นทำให้สังเกตไม่ยากหรอกว่าคนที่อยู่ใต้น้ำนั่นขาวสว่างขนาดไหน
“กลับกันก่อนเถอะ”
เพลิงหันไปบอกลูกน้องก่อนจะทำตาดุใส่แต่ละคนที่จ้องคนในน้ำจนฝ่ายนั้นว่ายไปหลบหลังโขดหินอีกครา
“ให้คุณเนตรอาบน้ำเสร็จก่อน พวกเราค่อยมาอีกที”
“ครับๆ”
คนอื่นๆ พากันหันหลังกลับ ยกเว้นแต่เกิ้งและพลที่ยืนรอท่าเขาอยู่
“ผู้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุณเนตรแกก่อนเถอะครับ”
“ใช่พี่เพลิง โพล้เพล้แบบนี้กลัวแกเดินไปเหยียบสัตว์อันตรายตอนกลับเอาได้”
เพลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนหน้านี้ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าหากเจ้าหน้าที่ผละออกไปหมดแล้ว เขาจะยืนเฝ้าอยู่แถวๆ นี้เพราะกลัวว่าคนเมืองจะได้รับอันตรายเอา ฝนตกใหม่ๆ แบบนี้สัตว์เลื้อยคลานมีพิษมักจะมากเป็นพิเศษ
รเณศเองเมื่อเห็นว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ผละออกไปแล้วจึงรีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนจะขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างนั้นอารามรีบร้อนเท้าข้างหนึ่งจึงเผลอเหยียบตะไคล้น้ำริมฝั่งจนเซถลาลื่นล้มหัวเข่ากระแทกโดนเหลี่ยมหินเต็มๆ จนได้เลือด
“โอ๊ย”
เสียงร้องของรเณศเรียกให้คนที่ยืนรออยู่แถวนั้นขยับตัวเข้ามาหาอย่างว่องไว เพลิงเหลือบตามองคนในเสื้อยืดตัวโคล่งกับกางเกงขาสั้นนั่งนิ่วหน้าอยู่กับพื้น ปลายเส้นผมที่มีหยดน้ำไหลหยดแหมะจนทำให้บริเวณเสื้อตรงหัวไหล่เปียกเป็นหย่อมๆ
สีหน้าเหยเกของคนเมืองทำให้นึกร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
รเณศเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโต
“คุณเลือดออกนี่”
เพลิงก้มลงมาพิจารณาแผลตัวหัวเข่าแล้วนิ่วหน้า
“ลื่นล้มงั้นหรือ”
“ครับ”
รเณศสูดปากด้วยความเจ็บ
“หินบาดเอา”
“คุณลุกไหวมั้ย”
คนเจ็บพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะค่อยๆ ผุดลุกขึ้นตามแรงพยุงของอีกฝ่ายแต่แค่ขยับเขาก็เจ็บแปลบแล้ว รเณศทรุดตัวลงไปนั่งด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาสีแดงก่ำที่โดยรอบมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่นั่นทำให้เพลิงใจกระตุก
คงจะเจ็บไม่น้อย
แต่ถึงเจ็บก็ไม่ปริปากบ่นสักคำ
แวบหนึ่งเพลิงนึกเอ็นดูคนเจ็บที่พยายามสะกดกลั้นความเจ็บอย่างสุดกำลังจนเผลอเลื่อนปลายนิ้วไปเกลี่ยแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
รเณศชะงักกึกก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณแก้มด้านที่โดนจับ
“เจ็บมากมั้ย”
“...”
“รเณศ...คุณเจ็บมากมั้ย”
พอได้สบตากันในระยะประชิดหัวใจเขาจึงสั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ผมห่วงคุณนะ ช่วยตอบผมทีว่าคุณรู้สึกยังไง”
‘ห่วง’ คำเดียวที่มีอิทธิพลกับใจคนฟัง
“ผมห่วงคุณเหมือนที่คุณเป็นห่วงผมก่อนหน้านี้”
“ใครบอก...”
รเณศตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“ผมห่วงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคนนั่นแหละ”
เพลิงกดยิ้มมุมปาก
“ครับ...ผมเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ป่าไม้”
รเณศกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเพราะคำตอบนั่นเหมารวมได้ว่าเขาห่วงเพลิงแน่นอน คนเมืองเหลือบตามองไปที่หัวไหล่ซึ่งมีรอยเลือดเป็นทางยาว เพราะอีกฝ่ายเปลือยท่อนบน รเณศจึงเห็นมัดกล้ามเนื้ออันสวยงามแต่กลับมีรอยช้ำเขียวม่วงไปทั่ว
“เจ็บมากมั้ย”
รเณศเผลอเลื่อนมือไปลูบไล้รอยช้ำเหล่านั้นก่อนจะสบตากับเพลิงตรงๆ ได้ยินมาว่าเพลิงเกือบจมน้ำเพราะถูกน้ำป่าซัดพาไป ระหว่างนั้นคงโดนพัดจนไปเกี่ยวกระแทกกับสิ่งที่ลอยมาตามน้ำ ดูสิเนื้อตัวถึงได้เขียวช้ำเป็นหย่อมๆ ขนาดนี้
เพลิงคว้าปลายนิ้วข้างที่ฝ่ายนั้นลูบแผ่นอกเขาเอาไว้ก่อนจะรวบข้อมือขาวมากุมไว้
“ถ้าบอกว่าเจ็บคุณจะห่วงผม”
รเณศเม้มปากแน่น ขณะที่อีกฝ่ายมองหน้าเขายิ้มๆ
“เคยมีใครบางคนถามผมว่า ถ้าวันหนึ่งผมมีครอบครัวแล้วยังจะทำงานนี้อยู่มั้ย”
รเณศทำหน้าสนใจ
“คุณรู้มั้ยว่าผมตอบเขาไปว่ายังไง”
เพลิงยิ้มน้อยๆ ตอนที่รเณศส่ายหัวไปมา
“ผมตอบว่าผมไม่อยากให้ใครมาลำบาก ไม่อยากให้เขาต้องกระวนกระวายเวลาเข้าป่า และสุดท้ายผมไม่อยากให้เขาต้องทุกข์ทรมานใจไปชั่วชีวิต”
“ทำไม”
รเณศพึมพำ
“ถ้าหากวันหนึ่งผมไม่มีโอกาสได้กลับมาหาเขา”
คนฟังนั่งอึ้งก่อนจะกระพริบตาปริบๆ แล้วมองหน้าเพลิงนิ่ง
“ป่าคือบ้านที่ผมไม่สามารถทิ้งมันไปได้”
“...”
“ถ้าหากว่าคุณเป็นครอบครัวนั้นของผม คุณจะรู้สึกยังไง”
เพลิงยิ้มน้อยๆ ตอนที่รเณศทำอิหลั่กอิเหลื่อวางหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าจะตกใจหรือจะเขินดี
“ถ้าผมเป็นครอบครัวของคุณงั้นเหรอ”
“ใช่”
รเณศหลุบตามองพื้น
“ถ้าผมคือคนที่ต้องให้คำตอบ ผมคงห้ามไม่ให้ห่วงคุณไม่ได้ หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วคนๆ นั้นของคุณ เขาไม่กลัวลำบากหรอก เขาอาจจะกระวนกระวายใจเวลาคุณไปทำหน้าที่ แต่เขาจะรับรู้มันด้วยความเข้าใจ และสุดท้าย...”
รเณศกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
“เขาคงรอคอยคุณกลับมาอย่างปลอดภัย เฝ้ารอทุกลมหายใจให้คุณกลับมา”
“...”
“ถึงแม้เขาจะเสียใจที่คุณไม่กลับมา แต่เขาจะไม่เสียใจเลยที่เลือกคุณ”
รเณศรู้สึกว่าหัวตาตัวเองร้อนผ่าว
“งั้นผมคงเป็นคนที่โชคดีมากที่ ‘เขา’ เข้าใจ”
เพลิงเกลี่ยน้ำตาให้รเณศอย่างแผ่วเบา
“คุณ”
“หือ?”
“ผมไม่ได้อ่อนไหวนะ”
“...”
“ผมแค่เจ็บแผล”
เพลิงทำหน้างงสักพักก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันตอนที่ใบหน้าขาวปรายตามองมายังแผลที่ถูกหินบาดตรงหัวเข่าด้วยสีหน้าเหยเก
คนตัวโตประคองรเณศลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลก่อนจะหันหลังย่อตัวให้อีกฝ่ายปีนป่ายขึ้นหลังเขา คนเมืองกอดคอเพลิงแน่น โดยที่ขาทั้งสองข้างนั่นเพลิงใช้แขนเกาะเกี่ยวเอาไว้ไม่ให้เขาหล่น เพลิงค่อยออกเดินช้าๆ โดยมีรเณศขี่หลังอยู่
เวลาโพล้เพล้นั่นได้ยินแต่เสียงสกุณาบินอยู่บนฟ้ากับเสียงจิ้งหรีดไรเรี่ยที่เกาะอยู่ตามโคนต้นไม้ นอกนั้นก็เงียบสงัดจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัว รเณศแอบแนบใบหน้าของตัวเองไปที่บ่าและแผ่นหลังกว้างเพื่อฟังเสียงจังหวะการเต้นของอวัยวะที่หน้าอกด้านซ้าย
“จริงๆ แล้วผมไม่ได้ชอบคนในเครื่องแบบชุดกาวน์หรอก”
รเณศเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“หือ?”
เพลิงทำหน้าสนใจก่อนจะเอี้ยวใบหน้ามายังคนด้านหลัง
“นี่ผมเข้าใจผิดเหรอเนี่ย”
“เปล่าสักหน่อย”
“คุณรู้มั้ยว่าผมหวังคำตอบจากคุณ”
“คำตอบอะไร”
รเณศกลั้นยิ้ม
“คำตอบที่ว่า..”
“ว่า”
รเณศแกล้งทวนซ้ำ
“ผมชอบคนในเครื่องแบบนะ แต่ไม่ใช่ชุดกาวน์”
“แล้ว”
รเณศเลิกคิ้ว
“แต่เป็นชุดลายพราง”เพลิงพูดจบก่อนจะกดยิ้มมุมปากแล้วเอี้ยวมามองเขาตาเป็นกระกาย
โอ๊ย
หัวใจเต้นแรงมาก...กลั้นยิ้มไม่ไหวแล้ว
ในความเงียบที่ได้ยินแต่เสียงลมหายใจนั่น เสียงทุ้มของเพลิงก็ร้องเพลงๆ หนึ่งซึ่งมีเนื้อหาไม่คุ้นหูเอาซะเลย แต่รเณศก็กอดคอเพลิงนิ่งฟังอยู่อย่างนั้น เนื้อหามันทำให้นึกภาพตามก่อนจะกอดคอคนที่เดินแบกเขาให้แน่นขึ้น
*เราปองพิทักษ์วนา
ปกป้องแนวป่าไม้ของเมืองไทย
มิเคยหวั่นเกรงอันตราย
ผองเราชาติชายยอมตายในไพร*
ผู้ชายตัวโตที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยศรัทธากำลังฮัมเพลงนั้นไปตลอดทางโดยมีคนด้านหลังยิ้มน้อยๆ แล้วเอียงหน้าซบที่หัวไหล่แข็งแรงนั่นด้วยความรู้สึกอุ่นใจ
รเณศรู้สึกว่าปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่กับเพลิง
.
.
.
อีกฟากหนึ่งซึ่งมีกลุ่มคนสี่ห้าคนหลบอยู่มุมหลังต้นไม้ใหญ่พากันส่ายหัว
“ให้ตายเถอะ ผู้ช่วยนึกยังไงร้องเพลงคณะจีบหนุ่มวะ”
“ทำเป็นพูดดี ถ้าเป็นพี่จะร้องเพลงอะไรจีบสาวอ่ะ”
“กูอ่ะเหรอ”
ที่เหลือพากันพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่เกิ้งลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด
“จะเลิกคุย (กับพยาบาล) ทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว”
พลโพล่งขึ้น แน่นอนว่านั่นทำให้ที่เหลือฮาครืน
“ถุยยยยยยยยยย”
คนพูดวิ่งหลบปลายเท้าของเกิ้งอย่างว่องไว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ
☘☘☘☘
เวลาพลบค่ำนั่นผู้นำหมู่บ้านยกสำรับอาหารมาเลี้ยงพวกเราอย่างเป็นกันเองที่ลานกลางหมู่บ้าน และเพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าจึงต้องอาศัยแสงไฟจากกองไฟที่จุดอยู่กลางลานโดยมีชาวบ้านนั่งล้อมวงปะปนไปกับเจ้าหน้าที่ เพลิงมองภาพนั้นแล้วยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าการที่เจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่จมน้ำเนื่องจากสะพานขาดจะทำให้ชาวบ้านเป็นกันเองกับพวกเรามากขึ้น จริงอยู่ว่าเพลิงเข้ามาที่หมู่บ้านนี้หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขาก็ยังรู้สึกว่าได้มีคนกลุ่มหนึ่งดูจะระแวดระวังจับตามองเหล่าเจ้าหน้าที่เป็นพิเศษ ต่างจากครั้งนี้ที่บรรยากาศผ่อนคลายลงไปโข
ถึงแม้ว่ามื้อเย็นรอบกองไฟครั้งนี้พ่อเฒ่าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของที่นี่จะไม่โผล่มาก็ตาม
เพลิงนั่งกินข้าวเงียบๆ ระหว่างที่ลุงซอยางกับเมียแกกำลังคุยกับชาวบ้านคนอื่นๆ อย่างออกรสออกชาติ
“ดีนะว่าผู้ช่วยกับคนของแกไปช่วยทัน ไม่อย่างนั้นตาหลานบ้านท้ายไม่รอดแน่”
ลุงซอยางหันมาพยักพเยิดกับเขานั่นทำให้ชาวบ้านคนอื่นๆ หันมายิ้มให้เพลิงเสียกว้าง เท่านั้นไม่พอใครต่อใครต่างตักสำรับอาการมาใส่จานเขาเต็มไปหมดจนเพลิงต้องบอกให้หยุดมือ
“แคนม้งน่ะผู้ช่วย”
ลุงซอยางหันมากระซิบข้างหูเมื่อเห็นเพลิงนิ่งฟังเสียงดนตรีที่นักดนตรีประจำหมู่บ้านกำลังทำการแสดงรอบกองไฟ ลุงแกเล่าก่อนหน้านี้ว่าการแสดงดนตรีพื้นบ้านนั้นจะกระทำในโอกาสสำคัญต่างๆ รวมถึงการเฉลิมฉลองให้แขกผู้มาเยือน
ระหว่างนั้นเขาสังเกตว่าหนุ่มในหมู่บ้านต่างลุกเดินเอาดอกไม้ในมือไปในอีกฝ่าย แน่นอนว่าท่าทางแบบนั้นทำให้คนเมืองที่ลอบมองอยู่มุ่นหัวคิ้วอย่างสงสัย
“ดอกไม้แสงดาวจ้ะคุณ”
ซูเนียนบอกเขา
“คืออะไรหรือครับ”
“ก็เวลาที่นักดนตรีเป่าเพลงทำนองรักขึ้นมาในช่วงเวลาที่เฉลิงฉลองนี่เป็นโอกาสให้หนุ่มสาวที่พึงใจใครสามารถเอาดอกไม้ที่ตัวเองเก็บมาไปให้กับอีกฝ่าย”
“...”
“โดยฝ่ายชายจะใช้ดอกไม้สีแดง”
รเณศหันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นดอกไม้สีแดงให้กับเด็กสาว
“ส่วนฝ่ายหญิงหากพึงใจชายคนนั้นให้มอบดอกไม้สีขาวกลับคืนไป”
รเณศเผลอยิ้มออกมา
“แล้วทำไมถึงเรียกดอกไม้นั่นว่าแสงดาวล่ะครับ”
“อ๋อ”
แม่ลูกอ่อนยิ้มน้อย
“หากหนุ่มสาวคู่ไหนแลกดอกไม้กันแล้วเป็นอันเข้าใจกันว่า หลังจบงานทั้งคู่จะไปพบกับที่สะพานแสงดาว”
คนเมืองทำหน้าสนใจ
“มันเป็นแค่สะพานไม้เล็กๆ จ้ะคุณอยู่ทางไปน้ำตกท้ายหมู่บ้านโน่น”
“ทำไมถึงต้องไปที่นั่นครับ”
“เพราะหมู่บ้านเรามีความเชื่อว่าคู่รักหรือคนรักของเราเปรียบได้กับสะพานแสงดาวเป็นทางเชื่อมหรือคู่ชีวิตที่จะนำพาความสุขไปจนนิรันดร์”
“โรแมนติกจัง”
“พอจบงานนี้คุณเดินไปดูสิจ้ะ หนุ่มๆ สาวๆ เขาจะยืนมองดาวกันที่สะพานนั่น”
แน่นอนว่ารเณศจะไม่พลาดที่จะไปดู!
สีหน้าตื่นเต้นของคนเมืองนั่นไม่หลุดรอดไปจากการสังเกตของคนตัวโตที่ลอบมองอยู่เงียบๆ แต่ถึงอย่างนั้นไม่นานเจ้าตัวก็รู้ตัวอยู่ดีว่าถูกแอบมอง รเณศทำหน้าไม่ถูกตอนที่เหลือบไปสบเข้ากับแววตาคู่กล้านั่น วูบหนึ่งเขารู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนวูบวาบขึ้นมา
แม้จะมองเสี้ยวหน้าของเพลิงไม่ชัดเพราะอยู่ในความมืดซึ่งต้องอาศัยแสงไฟจากกองเพลิง แต่เขาก็แน่ใจว่าเพลิงยิ้มให้เขาโดยที่มือข้างหนึ่งถือดอกไม้สีแดง
.
.
ดึกดื่นแล้วตอนที่รเณศเดินลัดเลาะไปยังจุดหมายนัดพบของหนุ่มสาว ในความมืดที่ต้องอาศัยตะเกียงในมือนั่นเขาเห็นเงาตะคุ่มของหนุ่มสาวหลายสิบคู่ยืนอิงแอบซบกันแล้วเงยหน้าเหม่อมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างไกล
แสงดาวสว่างไสวที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงกลับละลานตาที่เบื้องหน้าเขา คนเมืองล้วงมือเข้าไปในกางเกงแล้วคลึงดอกไม้สีแดงซึ่งเก็บมาจากข้างทางด้วยจิตใจอันเหม่อลอยจึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนเดินมาหยุดยืนเคียงข้างกัน
“คุณเจอสะพานแสงดาวของตัวเองรึยัง”
เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูนั่นทำเอาเขาสะดุ้งโหยง แม้ไม่ได้หันไปมองแต่รเณศก็รับรู้ได้ว่าความบออุ่นที่แผ่มาจากด้านหลังนั่นเป็นของใคร
“ผมเจอแล้ว”
“...”
“สะพานแสงดาว”
รเณศยืนนิ่งตอนที่มีบางอย่างสอดเข้ามาวางไว้บนฝ่ามือ
‘ดอกไม้สีแดง’ อยู่ในมือเขา
ดอกไม้จากเพลิง
รเณศกลั้นยิ้มเต็มกำลังก่อนจะล้วงเอาดอกไม้ที่กระเป๋ากางเกงตัวเองวางที่ฝ่ามืออีกฝ่าย แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยใบหน้าแดงซ่าน เพลิงยิ้มน้อยๆ ก้มมองดอกไม้ในมือแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า ไม่ต่างจากรเณศที่ยืนกำดอกไม้ของเพลิงแล้วเงยหน้าสบตากับดวงดาว
‘เจอกันแล้วนะสะพานแสงดาว’รเณศพึมพำ
☘☘☘☘
ง่อออ สะพานแสงดาว คิกคิก
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ด้วยน้า
*เครดิตเพลงชีวิตวนศาสตร์ เพลงประจำคณะวนศาสตร์*