ก่อนตะวัน : 10
[/b]
แต่จะมีเหตุผลอะไรให้ผมเสียใจ
ในเมื่อผมตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปด้วยความหวังดีกับทุกคน ถ้าผมจับคู่ไอ้นายกับไอ้ตี๋ได้ ไอ้ตี๋ก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับความรักครั้งเก่า ในขณะที่ไอ้นายก็จะได้สมหวังกับคนที่มันรู้สึกดีๆ ด้วย
ส่วนผม... ก็จะได้กำจัดความรู้สึกผิดที่มีต่อไอ้ตี๋ไปได้สักที
เพราะคิดแบบนั้น ผมเลยทำแบบนั้นลงไป
ใครจะไปรู้ แค่หนังรักเรื่องเดียวอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดก็ได้ การได้นั่งในโรงหนังมืดๆ บรรยากาศเป็นใจ อาจทำให้ไอ้นายกล้าทำอะไรมากกว่าที่เคย...
ถ้ามันสารภาพออกมา...
“ซัน จะไปไหนน่ะ” ร่างบางที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยชื่อผมอย่างประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงมาใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน
หลังกลับจากงานออกร้าน ผมก็มาอยู่ที่หอพราว เธอหายโกรธผมมาสักพักแล้ว และเราก็กลับมาปฏิบัติต่อกันเหมือนเคย ต่างกันตรงที่คราวนี้ผมบอกไว้อย่างชัดเจนว่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรมากกว่าเพื่อนนอน ไม่มีความผูกพันทางใจ หรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าเธองอแงรั้งผมไว้เหมือนวันนั้น ผมจะไป และไม่กลับมาอีก
เธอบอกว่าเธอเข้าใจ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจแค่ไหนเหมือนกัน
“เราเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ” ผมบอก หยิบกุญแจรถที่โยนไว้ข้างเตียงขึ้นมา และกำลังจะเดินออกจากห้อง
“ซัน...” ทว่า เธอเรียกชื่อผมไว้อีกครั้ง
“...” ผมขมวดคิ้วมองร่างบางที่เดินมาขวางหน้า กำลังจะเอ่ยปากย้ำเรื่องที่ตกลงกัน
แต่พราวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร “รีบขนาดนั้นเชียว”
เธอเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาจับเสื้อผมที่หยิบขึ้นมาสวมลวกๆ เพื่อติดกระดุมให้ ผมไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเธอติดกระดุมเสร็จ มองใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มเล็กๆ โดยที่ไม่สบตาผมแล้วคาดเดาว่าเธอกำลังคิดอะไร
“หล่อแล้ว” แต่สิ่งที่ผมกำลังค้นหาก็ถูกซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มสดใสที่มีให้กันเหมือนทุกที
“เดี๋ยวไลน์หานะ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นขยี้หัวร่างบางอย่างเอ็นดู เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลีกทางให้ผมเดินจากมา
ผมรู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว แต่เราตกลงกันแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรก ตอนเธอเข้ามา เธอเป็นคนพูดเองว่าจะไม่เรียกร้องอะไร ขอแค่ได้ตัวผมเท่านั้น ส่วนเรื่องหัวใจ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ผมให้มันกับใครไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกกับใครอีกคนตกค้างอยู่มากมาย
แต่พอเห็นแววตาของพราววันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องทบทวนเรื่องของเธอใหม่อีกที
ผมออกจากหอพราวมาถึงห้างที่อยู่ใกล้ที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำให้ชั้นทั่วไปถูกปิดใช้งาน เหลือแค่ชั้นโรงหนังที่อยู่ด้านบนสุดเท่านั้น
ตั๋วที่ผมจองเป็นรอบห้าทุ่มพอดี แสดงว่ายังทัน
ผมยืนแออัดอยู่กับคนมากมายในลิฟต์ที่มาดูหนังเหมือนกันด้วยความรู้สึกที่อยากจะเร่งให้ไอ้เครื่องจักรคับแคบนี่ขึ้นไปถึงชั้นบนสักที
ติ๊ง~
พอลิฟต์เปิดออก ผมก็รีบแทรกตัวออกมา เดินตรงไปที่หน้าโรงหนังแล้วคาดว่าจะได้เจอร่างคุ้นตาของคนสองคน
แล้วก็เจอเข้าจริงๆ
ที่โซฟารับรองหน้าทางเข้า ไอ้นายกำลังนั่งกินป๊อบคอร์นอยู่กับอีกคนด้วยท่าทางสนุกสนานกว่าปกติ ผมชะงักฝีเท้าลง ไม่ได้เดินเข้าไปหา คิดมาตั้งแต่ตอนขับรถแล้วว่าจะยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่เข้าไปก้าวก่าย แค่เห็นภาพตรงหน้าที่พวกมันหัวร่อต่อกระซิกกันมีความสุขผมก็โล่งใจแล้ว คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ลงมือช่วย
จนกระทั่งคนสองคนยืนขึ้นเมื่อถึงเวลาฉายหนัง... ผมถึงได้รู้ว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่ไม่ใช่ไอ้ตี๋
เชี่ยอะไรวะเนี่ย
“ไอ้นาย” ผมเดินตรงเข้าไปหาทันที เรียกเสียงดังจนตัวเองยังตกใจ
“อ้าว พี่ซัน” ไอ้นายหันมามองหน้าผมงงๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดไว้
“นี่ใคร” ผมถาม มองผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างมัน เห็นชัดๆ แล้วว่าไม่ใช่ไอ้ตี๋ ถึงจะตัวเล็กๆ ขาวๆ เหมือนกันแต่หน้าตาบ้องแบ๊วตาโตเท่าลูกแมวนี่ก็ต่างจากไอ้ตี๋ลิบลับ
“พี่มาได้ไงเนี่ย?” แต่มันไม่ตอบ กลับเอ่ยถามผมก่อนทำหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าตามมา”
“เปล่าเว้ย” ผมปฏิเสธทันควัน ก่อนจะอึกอัก “กะ...กูก็มาดูหนัง”
ถึงจะยังไม่มีตั๋วหนังสักใบก็เหอะ
“อ่อ บังเอิญจังนะครับ” มันพยักหน้า ก่อนจะยิ้มขำ “แล้วบังเอิญดูเรื่องเดียวกันด้วยป่ะ”
มันใช่เวลามาตั้งข้อสงสัยกับกูเหรอวะ
“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกูเลยนะว่าไอ้เตี้ยนี่เป็นใคร” ผมขมวดคิ้วถามย้ำอย่างข้องใจ
“เตี้ยเลยเหรอพี่ มันแค่ตัวเล็กเอง” แต่ไอ้นายก็ยังเล่นไม่เลิก มันหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างตัว ที่ยังตีหน้ามึนมองมาที่ผมงงๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองทั้งที่มีมือไอ้นายวางอยู่บนหัว
“ผมชื่อมิ่งครับ”
กูไม่ได้อยากรู้เลยว่ามึงชื่ออะไร
ผมหันหน้าไปมองไอ้นายอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง “นี่มันหมายความว่าไงวะ แล้วไอ้ตี๋ไปไหน”
“ตี๋นี่หมายถึงพี่โชป่ะ” ยังไม่ทันที่ไอ้นายจะตอบคำถามผม ไอ้เด็กมิ่งนี่ก็หันไปกระซิบถามแทรกขึ้นมา
“มึงรู้จักไอ้ตี๋ด้วย?” คราวนี้ผมหันมาเลิกคิ้วใส่คนตัวเล็กอย่างข้องใจ
ถ้างั้นไม่รู้เหรอวะ ว่าไอ้นายมันกำลังจีบไอ้ตี๋อยู่ เสนอหน้ามาดูหนังกับมันทำไม
“ครับ” แต่มันยังตอบหน้าซื่อ ไม่สนใจสายตาเชือดเฉือนของผมเลยสักนิด “ผมทำงานร้านพี่โมเหมือนกัน แต่กะเช้า”
อ้าว... กูไม่เห็นคุ้นหน้า
“พี่นี่แม่ง... เหลือเชื่อเลยว่ะ” ขณะที่ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ ไอ้นายก็พูดขึ้นมาสีหน้าเอือมๆ
ผมที่งงอยู่แล้วยิ่งโง่ไปกันใหญ่
“ถึงขั้นตามมาดูผมกับพี่โชเดตกันนี่มันใช่หน้าที่พ่อสื่อแน่เหรอวะ” มันเลิกคิ้วถามกลั้วหัวเราะ
“คะ... ใครบอกว่ากูตามมาดู กูแค่มาดูหนัง” ผมปฏิเสธ แต่น้ำเสียงอึกอักก็ชัดเจนว่าโกหก
“แน่ใจ๊?” ไอ้นายเลิกคิ้วกวนตีนใส่ ผมเลยชักสีหน้าแล้วสารภาพออกไปตามตรง
“ก็... กูเคยบอกแล้วไง ว่ามึงจะจีบไอ้ตี๋ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายตากู”
“แบบนั้นมันเรียกว่าจีบได้ตรงไหนวะพี่” ไอ้นายมองผมขำๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ผมสารภาพก็ได้ ว่าผมตัดใจจากพี่โชไปตั้งนานแล้ว”
“ฮะ?” คราวนี้ผมเหวอแดกกว่าเดิม
ตัดใจเชี่ยไร มึงยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่เรอะ
“ผมสารภาพกับพี่โชไปแล้วว่าผมชอบพี่เขา” เหมือนอ่านใจผมได้ ไอ้นายเลยพูดขึ้นมา
“ตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมกะพริบตาปริบๆ งงไม่รู้จะงงยังไง
“วันที่พี่โชไม่สบาย เขาได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน”
ผมนึกอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร จนไอ้นายต้องเฉลยออกมา
“เขารู้หมดแล้วว่าพี่พยายามจะเป็นพ่อสื่อให้ผม”
อ้าว ชิบหาย
“พอไม่มีอะไรต้องปิด ผมเลยสารภาพรักไป แล้วก็โดนปฏิเสธมาเรียบร้อย” มันยักไหล่ เอื้อมมือออกไปกอดคอคนตัวเล็กกว่า มองหน้าเหมือนจะยืนยันคำพูดตัวเอง
ทำไมมันดูสบายใจจังวะ ตัดใจได้แล้วจริงดิ?
แต่จากการที่มันควงไอ้เด็กมิ่งนี่มาดูหนังด้วยท่าทางมีความสุขวันนี้ ก็คงเป็นคำตอบอย่างดีว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ตี๋แล้วจริงๆ
“ทำไมมึงไม่บอกกู” ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง ในใจมันสับสนไปหมด เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“หมั่นไส้พี่ไง แม่ง หวงจะตายเสือกจะทำมาเป็นยกให้ผม สับปลับชะมัดคนอะไร”
ด่ากูอีกละ ความเคารพนี่ไม่ต้องมีให้กันแล้วใช่มั้ยครับไอ้น้องนาย
“พี่ไม่ต้องมาทำหน้างั้นเลย ที่ผมพูดนี่จริงทุกคำ”
“...” ผมไม่รู้จะเถียงอะไร ได้แต่มองหน้าไอ้เด็กปีนเกลียวนี่มึนๆ
“ถ้าอยากเจอพี่โชก็นู่น เขากลับหอไปนอนตั้งนานแล้ว” คำพูดของมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับรถถ่อมาถึงนี่ทำไม
ถ้าไม่มีไอ้ตี๋ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อ
“ผมบอกแล้วว่าพี่จะเสียใจทีหลัง” ไอ้นายเอ่ยขำๆ พลางชูโทรศัพท์ที่มีโค้ดตั๋วหนังที่ผมซื้อให้ขึ้นมา “ค่าตั๋วเนี่ย ผมไม่คืนนะ”
เกตละ ที่มันบอกว่าอย่ามาเสียใจทีหลังคือเรื่องอะไร
แผนจับคู่ล่มไม่เป็นท่า เสียตังค์ฟรี แถมยังโดนเด็กอำจนเสียหมาหมดกูเนี่ย โง่กว่านี้ก็สัตว์เซลล์เดียวแล้ว!
“เด็กเวร” ผมส่งสายตาคาดโทษไอ้นาย แต่หันไปเล่นงานอีกคน
“เฮ้ยพี่ นี่ของผม” ไอ้นายโวยวายขึ้นมาทันทีที่ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้เด็กมิ่งที่ยืนตีหน้ามึนอยู่ข้างมัน ผมเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะผละมือถอยหลังออกมา
“เออ ดูหนังให้คุ้มค่าตั๋วกูแล้วกัน”
ที่นั่งโซฟาด้วยสัส เปลืองชิบหายเลย
ใช่เรื่องมั้ย ที่ต้องมาเสียตังค์เลี้ยงหนังมันกับเด็กใหม่เนี่ย
“ขอบคุณที่เลี้ยงหนังนะครับ” อยู่ๆ ไอ้เด็กมิ่งก็พูดขึ้นมาหน้าซื่อพลางยกมือไหว้ผมจนไอ้นายหัวเราะเสียงดัง
อ่ะ นี่รวมหัวกันกวนตีนกูถูกมะ
“สัส กูไปละ เชิญพวกมึงสวีทกันตามสบาย” ผมว่าเซ็งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา
"พี่ซัน” แต่เสียงไอ้นายตะโกนเรียกให้หันกลับไปอีกครั้ง มันมองหน้าผมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ เหมือนเปลี่ยนใจเอ่ยคำพูดอื่นขึ้นมาแทน
“พี่แม่ง เป็นพ่อสื่อที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวป่ะ”
เดี๋ยวนี้ขึ้นเหี้ยกับกูแล้วด้วยเว้ย เด็กเวร
“เออ” แต่แทนที่จะด่ามัน ผมกลับยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา
บางที ผมอาจจะเป็นพ่อสื่อที่เหี้ยอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ
ผมขับรถมาที่หอไอ้ตี๋ทันที่หลังออกจากห้าง
ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมา แต่ใจหนึ่งกลับคิดว่าผมควรมารับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป
ไอ้ตี๋ต้องไม่ชอบใจแน่ ที่ผมพยายามจับคู่มันให้ไอ้นาย ถึงมันจะรู้มานานแล้ว แถมไม่ได้ว่าอะไร แต่นั่นอาจเพราะไอ้นายขอให้เก็บไว้ก่อนเพื่อแกล้งผมก็ได้
ก๊อกๆ
เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมจะมีมารยาทเคาะประตู เพราะปกติคงไขกุญแจสำรองเข้าไปแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่ามีชนักติดหลังอยู่ไง
ยืนรออยู่ไม่นาน คนตัวเล็กกว่าก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าใสใต้กรอบแว่นหนาเหมือนเหม็นขี้หน้าผมเต็มทน
“วันนี้จะมากวนอะไรครับ”
ผมเป็นคนยังไงในสายตามันวะเนี่ย
“วันนี้ไม่กวน มาขอโทษ” ผมย่นหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้หงอยลงเผื่อคนฟังจะใจอ่อนไม่ดุกัน
“เรื่องอะไรครับ” มันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ
นี่ถ้าผมไม่บอก มันก็คงระลึกไม่ได้ใช่มั้ย หรือเนียนๆ ไม่พูดดีวะ
“เรื่องไอ้นาย” ได้ที่ไหน...
ไอ้ตี๋ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่ไม่นานก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ แล้วถอนหายใจ
“เรื่องพ่อสื่อนั่นเหรอครับ” กอดอก มองหน้าอย่างคาดโทษกัน
ผมพยักหน้า พยายามอ่านสีหน้ามันว่ารู้สึกยังไง เห็นคิ้วที่ขมวดนิดๆ สายตาเคืองๆ นั่นก็บอกได้ว่ากำลังไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ทำไมเป็นคนขี้เสือกล่ะครับ”
“นั่นไง ว่าแล้วต้องโดนด่า” แถมคราวนี้เลเวลอัพ ใช้คำหยาบขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปอีกต่างหาก
“ว่าแล้วแล้วทำทำไมล่ะครับ”
“ก็กู...” ผมชะงัก ไม่รู้จะอธิบาเหตุผลของตัวเองยังไง
“ทำไปทำไมครับ”
โอ้ย เสียงแข็งไปอีก
“ก็อยากช่วยไง” ผมตอบ เสียงเบากว่าที่ตั้งใจ
“ช่วยอะไร?”
คราวนี้ผมเงยหน้าขึ้นสบตา พูดสิ่งที่อยู่ในใจ “เผื่อมึงจะทำใจเรื่องไอ้ตรีง่ายขึ้น”
ไอ้ตี๋ชะงักนิดหน่อย แววตาแสดงความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา แต่เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเรียบนิ่ง ฉายแววไม่พอใจอีกครั้ง
“ด้วยการจับคู่ผมกับนายน่ะเหรอครับ?”
“ก็... ไอ้นายมันชอบมึง”
“แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องเข้ามายุ่งเลย”
ตี๋ครับ อย่าดุ กูใจบาง
“ผมดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่” ผมปฏิเสธทันควัน เงยหน้าสบตากับดวงตาเรียวที่จ้องกันอย่างต้องการคำตอบ
มันไม่ใช่ความสงสารแน่ๆ แต่ผมแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันเข้าใจ จะบอกว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่อาจจะเป็นต้นเหตุให้มันไม่สมหวังกับไอ้ตรี ผมก็รู้ดีว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักพอกับสิ่งที่ผมทำ
ก็แค่... อยากให้มันมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ แค่นี้ไม่ได้หรือไง
“กูอยากให้มึงเลิกทำหน้าเศร้าสักที” สุดท้ายผมก็ได้แต่ถอนใจ ตอบออกไปตามความรู้สึกตรงๆ
“...”
“อกหักมันเจ็บ กูเข้าใจ แต่มึงเศร้าตลอดไปไม่ได้ป่ะวะ” สบตามันด้วยสายตาจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “หลายปีแล้วนะที่มึงยึดติดกับไอ้ตรี เมื่อไหร่จะเริ่มต้นใหม่สักที”
ผมกำลังสอนมัน ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่ตัวเองพูดเลยสักนิด
เริ่มต้นใหม่เหรอ? แม้แต่ผมตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย
แต่ช่างตัวผมปะไร ผมแค่อยากเห็นมันก้าวต่อไปอย่างมีความสุขสักที
“กูก็แค่หวังดี” พูดไปก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
ปกติเคยพูดอะไรแบบนี้ที่ไหน ได้แต่ปากหมาใส่ไปวันๆ พอนึกครึ้มพูดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้หน่อยเล่นเอาทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
“หวังดีด้วยการหาผู้ชายคนใหม่มาให้ผมเนี่ยนะครับ” เลิกคิ้ว แค่เห็นสีหน้ามันผมก็รู้สึกเหมือนถูกด่าจนลืมทางกลับบ้านแล้ว
“อะ...เออ”
“ขี้เสือกจริงๆ”
อ่ะ ย้ำเข้าไป
ผมหดคอทำหน้าหงอยกว่าเดิม โดนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง สงสัยจะยุ่งเกินไปจริงๆ
“หึ” แต่หงอได้ไม่นาน ก็ต้องประหลาดใจกับเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นมา
เกือบจะคิดว่าหูฝาดไปแล้ว ถ้าหากไม่เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามุมปากบางของไอ้ตี๋ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจริงๆ มันมองหน้าผมพักหนึ่งด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความระอาปนขบขัน ร่างโปร่งบางขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นไปวางบนหัวตัวเอง
“ถ้าอยากช่วย... แค่นี้ก็พอครับ” ว่าพลางจับมือผมลูบหัวตัวเองไปมา
ผมนุ่มๆ ที่พอผมแตะทีไรคนหวงตัวก็จะฟาดเข้าให้จนแขนเกือบหักทุกที
“ถ้าเห็นผมทำหน้าเศร้าอีกเมื่อไหร่ ก็แค่ทำแบบนี้... หรือไม่ก็ทำตัวน่ารำคาญเหมือนทุกที แค่นี้ผมก็ลืมแล้วว่ากำลังเศร้าเรื่องอะไร”
“...”
“เพราะต้องมาใช้สมองคิดคำด่าคุณแทน”
ผมยิ้มกว้างกับคำพูดเหน็บแนมของไอ้ตี๋ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำหนักมือเป็นขยี้หัวมันแรงๆ อย่างมันเขี้ยว
เล่นดุซะกูตกอกตกใจหมดเลยแม่ง แสบนักนะตี๋
“โอ๊ย คุณซัน” มันโวยวายเสียงดัง พยายามผละตัวหนี แต่ผมก็คว้าคอคนตัวเล็กกว่าไว้ แล้วยีหัวมันแรงกว่าเดิม
“ทีนี้หายเศร้ายัง” ผมหัวเราะลั่น รวบรวมความหมั่นไส้ที่สะสมไว้มาใช้ในครั้งเดียว
นานๆ ทีแม่งจะยอมให้เล่นหัว ขอเก็บแต้มหน่อยเหอะ
“มันเจ็บนะ!” ไอ้ตี๋ร้องโวยวายพร้อมกับตีแขนผมรัวๆ จนแดงไปหมดถึงได้ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระอีกครั้ง มองผมยุ่งๆ กับใบหน้ามู่ทู่ขอมันแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เปลี่ยนใจแล้ว ห้ามแตะหัวผมอีกเลยนะครับ” มันบ่นพึมพำพลางดันแว่นที่เกือบจะหลุดออกมาให้เข้าที่ ในขณะที่ผมยังคงยิ้ม มองหน้ามันอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที
“...” จนกระทั่งไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วนิ่งไป
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหน้ามันด้วยสายตาแบบไหน ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้จนร่างประชิดกัน แล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“งั้นเปลี่ยนเป็นทำแบบนี้ได้มั้ย” ไม่รอให้ตอบคำถาม ถือวิสาสะคว้าร่างของมันเข้ามาในอ้อมแขน กอดไว้... ไม่หลวมแต่ก็ไม่รัดแน่นเกินไป
“...” ไอ้ตี๋เหมือนจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขัดขืนที่จะออกจากอ้อมกอดไปด้วยซ้ำ
“ถ้าทำแบบนี้... มึงจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า” เอ่ยคำถาม แม้จะแน่ใจแล้วว่าคำตอบคืออะไร
จากจังหวะการเต้นของหัวใจที่สัมผัสได้ชัดเจน
“ไม่ครับ” แต่คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ
ทั้งที่กำลังซุกใบหน้าลงกับอกผมราวกับเจอที่ปลอดภัย
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วจับคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างหมั่นไส้
“โกหกไม่เนียนเลยว่ะตี๋”
วินาทีนั้น... แม้แต่ผมยังรู้ตัว
ว่าไม่ใช่แค่ไอ้ตี๋... ที่รู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้เพียงคนเดียว
------------------------------------------------
ถามว่าทำไมอัพเร็ว เพราะตอนนี้ตี๋น่ารัก เลยไม่อยากเก็บไว้คนเดียวค่ะ 555555
ใครเคยอ่านเชนตรีจะรู้ว่าเราค่อนข้างผีบ้าในเรื่องอัพนิยายนิดหน่อย
เอาอารมณ์เข้าว่า เขียนได้ตอนไหนก็อัพมันตอนนั้นเลย
ถือซะว่าเป็นของขวัญวันแรงงานก็แล้วกันนะคะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ ดีใจมากๆ ที่เห็นคนเข้ามาอ่าน แวะมาแสดงความคิดเห็นคนละเม้นต์สองเม้นต์ 5555 เป็นยาชูกำลังที่ดีมากๆ เลยค่ะ รบกวนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ^^