กาลครั้งหนึ่ง ป้าเคยเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง ในเรื่องมีผู้ชายคนหนึ่ง..เอ๊ย! ไม่ใช่ละ ขึ้นต้นซะยังกับเขียนเมื่อปีมะโว้ แค่จะบอกว่า แหะๆ ป้าเอาตอนใหม่มาลงแล้วนะคะ (เหมือนมาอัพตามเทศกาลเลย แต่เนื้อหาตอนนี้ต่อจากตอนหลักเด้อ)
ตอนต่อไป...ไม่น่าทิ้งช่วงนานขนาดนี้แล้วเพราะภารกิจของป้าจบไปสองเรื่องแล้ว...มั้ง? ตอนที่ 8เสียงนกร้องและแสงรำไรที่ลอดผ่านช่องว่างของม่านหน้าต่างปลุกคนที่หลับใหลให้ปรือตาตื่น ภัทรหยีตามองช่องว่างแคบๆระหว่างผืนผ้าม่านซึ่งมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านอย่างงัวเงีย วงจรความคิดที่ยังไม่ตื่นตัวชั่งน้ำหนักระหว่างการลุกไปปิดผ้าม่านหรือทำเป็นไม่สนใจแล้วนอนต่อเสีย และแล้วความง่วงก็ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกอย่างหลัง ก็ในหนึ่งสัปดาห์จะมีแค่สองวันที่เขาได้นอนตื่นสายทั้งที อีกอย่างใต้ผ้าห่มนี่ก็ออกจะอุ่นสบายขนาดนี้ คนที่เพิ่งตื่นจึงหลับตาลงใหม่แล้วพลิกตัวหันหลังให้เจ้าลำแสงน่ารำคาญนั้น ความอบอุ่นที่โอบกระชับรอบตัวเขาแน่นขึ้นทำให้ภัทรพรูลมหายใจยาวแล้วก็ซุกหน้าลง
เอ๋?
คิ้วเรียวขมวดขึ้นเมื่อสำนึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ก็ปกติเขานอนคนเดียวนี่นา อีกอย่างห้องนอนของเขาที่คอนโดก็ไม่ได้หันรับแสงอาทิตย์ตรงๆแบบนี้เสียหน่อย แล้วถ้างั้นไอ้ลมหายใจที่เป่ารดบนหน้าผากกับไออุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบตัวนี่มันมาจากไหนกัน?
ชายหนุ่มเบิกตาพรวดอย่างตกตื่น แล้วก็แทบผงะเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด นัยน์ตาคมที่มักจ้องมองเขาอย่างอบอุ่น แต่ก็แฝงแววขี้เล่นหรือยั่วเย้าในบางเวลากำลังปิดสนิทโดยไร้แว่นมาบดบัง จมูกโด่งหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอจนได้ยินเสียงแผ่วๆ ส่วนริมฝีปากบางที่พูดจาสั่งงานได้เฉียบขาดพอๆกับที่มักจะพูดแหย่จนภัทรลืมตัวแสดงอารมณ์โต้ตอบอยู่บ่อยครั้งก็ปิดสนิท และภาพแรกที่ได้เห็นหลังตื่นก็ทำเอาชายหนุ่มตาโตและหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
คุณเชษฐ์!?
วงจรความคิดในหัวของภัทรวิ่งพล่านด้วยความตระหนก อารามตกใจทำให้เขาต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะจำได้ว่าตนถูกเชษฐ์พามานอนที่บ้านด้วย ร่างเพรียวเกร็งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้วที่ดกหนาแล้วก็ขยับตัว จากนั้นวงแขนแข็งแรงก็รั้งร่างเขาเข้าไปหาโดยไม่ได้ลืมตา ก่อนที่เสียงหายใจของอีกฝ่ายที่สะดุดไปชั่วครู่จะเริ่มกลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง
ใบหน้าเนียนร้อนวูบไปหมดเมื่อการขยับตัวของเชษฐ์เมื่อครู่ทำให้ริมฝีปากบางแตะอยู่บนหน้าผากของเขาพอดี ชายหนุ่มพยายามเต็มที่ที่จะบังคับหัวใจที่กำลังเต้นแรงให้ผ่อนจังหวะด้วยเกรงว่าจะมันจะดังจนปลุกอีกฝ่ายเข้า แต่การที่คนตัวใหญ่ไม่ได้พูดหรือขยับตัวอีกเลยหลังจากนั้นทำให้ภัทรรู้ว่าเมื่อครู่เชษฐ์คงละเมอแน่ๆ
หลังจากนอนตัวแข็งเป็นตอไม้อยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าเจ้าของเตียงยังไม่ตื่น ภัทรก็ค่อยๆกระถดตัวออกจากอ้อมแขนอุ่นอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้คนที่ยังหลับใหลรู้สึกตัว จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบหมอนอิงที่วางอยู่บนหัวเตียงมายัดให้คนตัวใหญ่กอดแทนตัวเขา ถึงแม้จะเป็นตัวแทนที่ผิดขนาดกันอยู่สักหน่อย แต่ชายหนุ่มก็โล่งอกที่ท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ได้ผิดสังเกตและยังคงหลับต่อราวกับไม่ได้ถูกรบกวน
คงจะยังไม่หายเหนื่อยสินะ...
ความง่วงงุนในหัวของภัทรหายไปหมดสิ้นตั้งแต่ที่เห็นหน้าของเชษฐ์อยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มจึงยกศอกข้างหนึ่งขึ้นแล้วก็เท้าแขนมองคนที่ยังหลับใหล อย่างว่า...ต่อให้เป็นคนที่อดทนหรือมีพลังงานล้นปรี่มาจากไหน แต่ยามที่ร่างกายเหนื่อยล้าเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกำลังกันทั้งนั้น และคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งก็หนีไม่พ้นข้อจำกัดนี้เหมือนกัน
ภัทรพยายามระงับความต้องการที่จะบีบจมูกอีกฝ่ายโทษฐานที่มาทำเขาตกใจตอนตื่นนอนเมื่อครู่ เพราะรู้ดีว่าถ้าหากเป็นเขาเองที่กำลังหลับสนิทแล้วมาโดนปลุกด้วยวิธีนี้ก็คงหงุดหงิดไม่ใช่น้อย และที่สำคัญ...การได้มองใบหน้ายามหลับที่ไร้มาดผู้บริหารของอีกฝ่ายก็ทำให้ภัทรรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆไหลเอ่ออยู่ในอกจนไม่อยากจะรบกวนชั่วโมงนอนอันแสนหวานนั้น เขารู้ดีว่าเชษฐ์ชอบเอางานกลับมาทำที่บ้านจนนอนไม่ค่อยพออยู่บ่อยๆ และถ้าไม่ใช่เพราะว่าตั้งแต่เริ่มคบกันแล้วเชษฐ์ก็พยายามเลิกงานพร้อมกับเขาเพื่อจะได้ขับรถไปส่งที่คอนโดล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะชอบอยู่ที่ออฟฟิศเพื่อเคลียร์งานหรือโทรติดต่อกับพาร์ทเนอร์ที่ต่างประเทศจนดึกดื่นเลยทีเดียว
ร่างผอมเพรียวยันตัวขึ้นนั่งแล้วกวาดตามองไปทั่วห้อง เพราะว่าเมื่อคืนนี้เขาถูกพามาที่นี่ในสภาพอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติ จึงไม่ค่อยจะได้ใส่ใจรายละเอียดของสิ่งต่างๆในห้องนักก่อนที่จะหลับไป แต่ในยามเช้าเช่นนี้ชายหนุ่มสามารถสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวได้ด้วยจิตใจที่สงบขึ้น นอกจากห้องนี้จะไม่มีหลอดไฟนีออนขาวแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆก็ถูกออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนโดยเฉพาะเช่นกัน เพราะนอกจากเตียงขนาดใหญ่แล้วก็มีเพียงตู้เสื้อผ้า โต๊ะและกระจกสำหรับแต่งตัว ชั้นหนังสือที่ทำจากไม้และทีวีจอแบนเครื่องหนึ่งเท่านั้น ภัทรลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจ้าของห้องให้ความสำคัญกับการใช้ห้องนี้เป็นห้องนอนมากพอที่จะไม่เอาคอมพิวเตอร์หรือโต๊ะทำงานมาวางไว้ ไม่อย่างนั้นเชษฐ์คงไม่ยอมนอนบนเตียงแต่เป็นที่โต๊ะทำงานแน่ๆ
นัยน์ตาเรียวเบนกลับไปหาคนที่ยังนอนหลับอยู่อีกครั้ง จากนั้นก็เหลือบเลยขึ้นไปยังนาฬิกาดิจิตอลรูปสี่เหลี่ยมที่แขวนบนผนังห้อง ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงกว่าๆ และท่าทางเจ้าของห้องก็คงจะยังนอนต่อไปอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มจึงเลื่อนตัวลงจากเตียงช้าๆแล้วเดินเท้าเปล่าไปที่ประตู เพราะว่าห้องนอนของเชษฐ์ไม่มีห้องน้ำในตัว เขาจึงต้องเดินออกไปใช้ห้องน้ำที่อยู่ติดกัน แต่ก่อนที่จะออกไปพ้นเขตห้อง ภัทรก็หันกลับไปมองคนบนเตียงที่ตะแคงหันหลังให้อีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยๆงับประตูไม้บานใหญ่ปิดให้อย่างเบามือ
ถ้าได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบนี้ พอตื่นขึ้นมาคงจะหิว งั้นลงไปทำอาหารเช้าไว้รอก็แล้วกัน...
++------++
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ภัทรก็เดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง เชษฐ์เคยเล่าให้เขาฟังตั้งแต่พามาเยี่ยมบ้านครั้งแรกแล้วว่าครอบครัวซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และพี่ชายแฝดคนละฝาได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่หลังจากที่พี่ชายซึ่งไปเรียนต่อปริญญาโทพร้อมกันที่ต่างประเทศตัดสินใจหางานทำต่อที่นั่น และพ่อกับแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อีกประเทศหนึ่งอย่างถาวรโดยทำธุรกิจเปิดร้านอาหารไทย ตั้งแต่นั้นมา เชษฐ์ก็อยู่ที่บ้านนี้คนเดียวมาตลอด โดยแต่ละวันก็จะมีแม่บ้านที่จ้างไว้มาช่วยทำความสะอาดหรือทำกับข้าวให้ตามแต่จะสั่ง
ภัทรเดินตัดพื้นปูกระเบื้องที่หน้าบันไดแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในห้องครัว เสียงน้ำไหลจากบ่อปลาคาร์ฟที่ข้างบ้านดังลอดกระจกเข้ามาแว่วๆ ทำให้รู้สึกสงบและร่มรื่น แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างอ้วนป้อมร่างหนึ่งในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและผ้าถุงกำลังทำอะไรง่วนอยู่ตรงอ่างล้างจาน ถึงแม้จะยังไม่ได้แนะนำตัวกัน แต่ภัทรก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่กำลังยืนหันหลังให้คงจะเป็นแม่บ้านที่ชื่อป้าแย้มซึ่งเขามาทีไรก็ไม่เคยเจอสักทีแน่ๆ
ร่างผอมเพรียวยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าครัว แต่จะให้เขากลับขึ้นไปที่ห้องก็ใช่ที่ จึงตัดสินใจว่าไหนๆเขาก็ตั้งใจจะมาใช้ห้องครัวเหมือนกันอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ชวนคุยก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าในบ้านจะดีกว่า
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
ภัทรก้าวเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ส่งเสียงทักขึ้น ผู้ถูกทักจึงสะดุ้งแล้วก็หันหลังกลับมาตามเสียง แววตาบนใบหน้าอวบอูมที่อุดมไปด้วยริ้วรอยย่นนั้นฉายชัดถึงความเป็นคนใจดี ส่วนผมหยิกสั้นที่มีสีขาวแซมแทบทั้งหัวก็ดูเหมาะสมกับท่าทางทะมัดทะแมงที่ขัดกับรูปร่างอ้วนป้อมโดยสิ้นเชิง
ผู้สูงวัยเอียงคอมองเขาทั้งที่ในมือยังถือกำผักชีซึ่งท่าทางจะล้างค้างไว้ สักครู่นัยน์ตาสุกใสก็เป็นประกายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หญิงชราจึงยิ้มกว้างและเอ่ยทักทายอย่างดีใจ
“เอ๋? คุณภัทรใช่ไหมคะเนี่ย? ตายจริง คุณเชษฐ์นี่ล่ะก็ ไม่เห็นบอกป้าไว้ก่อนเลยว่าสุดสัปดาห์นี้คุณภัทรจะมาค้างด้วย ถ้ารู้ก่อนป้าจะได้เตรียมซื้อของสดมาติดตู้เย็นไว้หลายๆอย่างหน่อย หิวหรือเปล่าคะพ่อคุณ? นี่ป้ากำลังจะทำข้าวต้มพอดีเลย เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ”
หญิงชราอ้วนป้อมกล่าวจบก็หันไปล้างผักต่ออย่างขมีขมัน ทว่าท่าทางเป็นมิตรของอีกฝ่ายก็ทำให้ภัทรได้แต่ยืนหน้าแดงอยู่กับที่ เพราะตอนที่เอ่ยทักนั้นเขาก็ไม่ทันคิดไปถึงว่าจะแนะนำตัวเองว่าอย่างไร แต่ดูเหมือนคุณเชษฐ์จะช่วยจัดการตรงส่วนนั้นไว้ให้ก่อนแล้ว เขาแปลกใจนิดหน่อยที่ท่าทางป้าแย้มจะไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลยที่เจ้านายมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน กลับเป็นเขาเสียอีกที่ถ้าโดนถามเมื่อครู่คงอึกๆอักๆ ก็นอกจากพี่แพนแล้ว เขาก็ยังเขินที่จะบอกกับใครๆว่าคุณเชษฐ์เป็น ‘แฟน’ ของเขานี่นา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิดที่จะใช้คำนั้นกับเขาก็ตามทีเถอะ
ภัทรเบนสายตาจากป้าแย้มเพื่อมองไปรอบๆ นับว่าห้องครัวห้องนี้ใหญ่พอสมควรสำหรับบ้านที่เคยมีคนอยู่กันสี่คน แต่เชษฐ์เคยเล่าให้เขาฟังตั้งแต่มาเยี่ยมบ้านครั้งแรกๆแล้วว่าแม่เป็นคนชอบทำกับข้าว ตอนที่สร้างบ้านหลังนี้ก็เลยขอให้สถาปนิกออกแบบห้องครัวให้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างมาก ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียงเชษฐ์ที่อาศัยในบ้านนี้คนเดียว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างภายในนอกจากตกแต่งห้องบางห้องใหม่เท่านั้น
ดูจากท่าทางคล่องแคล่วของป้าแย้มแล้ว ภัทรคิดว่าถ้าเขาเสนอตัวเข้าไปช่วยก็คงจะกลายเป็นเกะกะเสียมากกว่า เพราะตอนแรกเขาเพียงตั้งใจว่าคงจะทำอะไรง่ายๆอย่างไข่ดาวหรือขนมปังปิ้ง เนื่องจากสมัยที่พี่สาวของภัทรยังอยู่ที่คอนโดด้วยกันนั้น เรื่องอาหารการกินแพนจะเป็นคนคอยจัดการให้เสมอ ดังนั้นหลังจากพี่สาวแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ภัทรก็เลยถนัดทำแต่อะไรง่ายๆ หรือไม่ก็หาทานจากข้างนอกไปเลยมากกว่า นัยน์ตาเรียวเหลือบไปหยุดที่เครื่องชงกาแฟซึ่งวางอยู่ข้างหม้อหุงข้าว แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเชษฐ์ใช้ข้ออ้างให้เขามานอนด้วยเพราะจะให้ ‘ชงกาแฟ’ ให้ และในเมื่ออาหารเช้าก็โดนป้าแย้มลงมือทำตัดหน้าเสียแล้วแบบนี้ ที่เขายังพอจะทำได้ก็คงเหลือแค่หน้าที่นี้กระมัง
“เอ...ป้าแย้มครับ?”
“ค่ะคุณภัทร ว่าไงคะ?”
คนถูกเรียกละสายตาจากหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดแล้วหันมาถามอย่างกระตือรือร้น ภัทรเลยชี้ไปที่เครื่องชงกาแฟแล้วก็ยิ้มเขินๆ
“ถ้าผมจะใช้เครื่องนี้ ผมต้องทำยังไงบ้างน่ะครับ?”
++------++
ร่างสูงใหญ่ปรือตาขึ้นด้วยความรำคาญแสงอาทิตย์ที่ส่องแยงตา เชษฐ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังแสงแล้วก็สบถเบาๆเมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนตนคงลืมรูดผ้าม่านให้สนิทก่อนจะเข้านอน แต่พอจะหลับตาลงอีกครั้งก็รู้สึกเอะใจกับสัมผัสนุ่มๆลื่นๆของสิ่งที่กำลังกอด นัยน์ตาคมจึงหรี่ขึ้นอีกครั้ง แล้วคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าตนกำลังกอดหมอนอิงที่หุ้มปลอกผ้าไหมแทนที่จะเป็นร่างอุ่นๆของคนที่หลับไปก่อนเขาเมื่อคืนนี้
เชษฐ์ครางเสียงต่ำในคอพลางพลิกตัวไปอีกด้าน จากนั้นก็ใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวขึ้นนั่งขณะที่อีกข้างหยิบแว่นที่วางบนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นสวม นัยน์ตาคมกวาดมองไปยังจุดที่ภัทรวางกระเป๋าสะพายไว้เมื่อวาน เมื่อเห็นว่ากระเป๋าใบนั้นยังอยู่ที่เดิมจึงค่อยวางใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รีบตื่นแล้วหนีกลับคอนโดไปเสียก่อน
ชายหนุ่มหมุนคอแล้วก็บิดหัวไหล่เพื่อไล่ความอ่อนเพลียที่ยังตกค้างตามกล้ามเนื้อออกไป คงเป็นเพราะว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาต้องบินไปต่างประเทศแล้วก็ประชุมกับสำนักงานภูมิภาคทุกวัน แถมแต่ละวันก็มีการดูงานนอกสถานที่ด้วยทำให้ต้องใช้พลังงานไปมาก พอมารวมกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการทำงานก่อนหน้านั้นจึงทำให้ร่างกายต้องการพักผ่อนชดเชย โชคดีที่เขาเคยเป็นนักกีฬาสมัยที่ยังเป็นนักเรียน บวกกับการที่มักไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสในหมู่บ้านเป็นประจำเมื่อมีโอกาส เชษฐ์จึงค่อนข้างได้เปรียบคนวัยเดียวกันคนอื่นๆตรงที่ร่างกายเขามักจะทนความอ่อนล้าได้ดีและฟื้นตัวเวลาป่วยหรือเพลียได้เร็วกว่า
เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างห้องนอน ความที่รู้อยู่แล้วว่าภัทรยังอยู่ในบ้านทำให้เชษฐ์ไม่รีบร้อนลงไปหาและใช้เวลาล้างหน้าแปรงฟันอย่างใจเย็น หลังจากจัดการธุระยามเช้าเรียบร้อยเขาจึงค่อยเดินลงไปชั้นล่าง ทำให้ได้เห็นร่างเพรียวที่กำลังยืนจัดชุดอาหารสำหรับมื้อเช้าอยู่ที่โต๊ะกลมตัวเล็กริมระเบียง
ภัทรได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังจึงหันกลับไปมอง เมื่อได้สบตากับคนที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนจึงยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปจัดโต๊ะให้เสร็จ ทำให้ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มเอ็นดูในดวงตาของคนตัวใหญ่ที่กำลังกอดอกมองตัวเองอยู่
“ผมกำลังว่าจะขึ้นไปปลุกอยู่พอดี แต่ไม่รู้ว่าคุณเชษฐ์อยากนอนต่อหรือเปล่า ผมเลยมาเตรียมโต๊ะรอไว้ก่อน”
ตั้งแต่ได้มาเยือนบ้านนี้ครั้งแรก ภัทรก็สังเกตเห็นว่าเชษฐ์มักทานข้าวกับเขาที่โต๊ะเล็กริมกระจกตรงนี้มากกว่าโต๊ะในห้องทานข้าว และเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักว่าทำไม เพราะมุมนี้สามารถมองออกไปเห็นบ่อที่มีปลาคาร์ฟสีสดว่ายน้ำและต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมรั้วได้ ทำให้บรรยากาศน่าเจริญอาหารมากกว่าห้องทานข้าวทึมๆในบ้าน ดังนั้นภัทรจึงไม่รอถามเชษฐ์ว่าจะทานมื้อเช้าที่ไหนแล้วตัดสินใจมาจัดโต๊ะรอไว้ที่นี่เลย
“อ้าว? คุณเชษฐ์ตื่นแล้ว งั้นเดี๋ยวป้าไปยกข้าวต้มมาให้เลยแล้วกันนะคะ แล้วก็คุณภัทรคะ กาแฟชงเสร็จแล้วค่ะ”
ป้าแย้มที่เยี่ยมหน้าออกมาจากในครัวเอ่ยขึ้น คงเป็นเพราะได้ยินเสียงภัทรนั่นเองจึงได้ออกมาดู ภัทรจึงพยักหน้าแล้วก็จะเดินตามผู้สูงวัยกว่าเข้าไปเอากาแฟในครัว แต่พอเดินผ่านเชษฐ์ก็ถูกมือใหญ่รั้งต้นแขนเอาไว้
“ทำไมไม่ใช้กระเป๋าที่เธอจับได้เมื่อตอนปีใหม่ล่ะ?”
“เอ๊ะ?”
ภัทรส่งเสียงถามอย่างงุนงงด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร เชษฐ์จึงอธิบายเพิ่มให้ทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ
“กระเป๋าสะพายของเธอไง เมื่อตอนปีใหม่เธอจับได้กระเป๋าสีน้ำตาลของฉันนี่นา ทำไมไม่เห็นเอามาใช้บ้างเลยล่ะ?”
คนถูกถามนึกออกทันทีว่ากระเป๋าที่เชษฐ์พูดถึงคือใบไหน เนื่องจากว่าเมื่อช่วงก่อนเข้าปีใหม่ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งสองยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำนั้น ทางบริษัทได้จัดงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าโดยให้พนักงานทุกคนเอาของขวัญมาจับสลากร่วมกัน และของที่ภัทรจับได้ก็คือของของเชษฐ์ซึ่งเป็นกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลยี่ห้อหรูที่เจ้าตัวซื้อมาจากต่างประเทศ ทำเอาเขาโดนเพื่อนๆในแผนกอิจฉาเพราะจับได้รางวัลที่มูลค่าแพงกว่าคนอื่นมาก แต่เพราะว่าภัทรไม่อยากโดนใครแซวว่าบ้าเห่อ ดังนั้นกระเป๋าที่จับสลากมาได้จึงยังถูกเก็บไว้ในกล่องในตู้เสื้อผ้าของเขานั่นเอง ส่วนใบที่ภัทรใช้ประจำจะเป็นกระเป๋าสะพายที่พี่สาวซื้อให้เป็นของขวัญตั้งแต่ตอนเรียนจบใหม่ๆ
“ก็...เอ่อ”
ภัทรก้มหลบสายตาแล้วทำเสียงอุบอิบ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่พูดถึงขึ้นมา เขาก็คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีกระเป๋าใบนั้นอยู่อีกใบ เสียงฝีเท้าจากในครัวทำให้ภัทรรีบบิดแขนตัวเองออกจากมือใหญ่ก่อนป้าแย้มจะทันออกมาเห็น
“เดี๋ยวผมไปเอากาแฟมาให้ก่อนแล้วกันนะครับ เมื่อวานคุณเชษฐ์จะให้ผมมาชงกาแฟให้นี่”
พูดจบภัทรก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที จึงทำให้สวนกับป้าแย้มที่กำลังถือชามกระเบื้องเคลือบใบใหญ่ที่มีข้าวต้มปลาหอมฉุยกับทัพพีออกมาจากในครัว ชายหนุ่มได้ยินเสียงป้าแย้มพูดคุยพลางหัวเราะกับเชษฐ์แว่วๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าคุยเรื่องอะไรกันและหยิบหม้อกาแฟออกมารินใส่แก้วสองใบ ส่วนโถน้ำตาลกับครีมเทียมนั้นถูกจัดไว้ที่โต๊ะแล้วจึงไม่ได้ยกออกไปด้วย
“เอางั้นเหรอคะ? แหม...ป้ากำลังคิดเมนูมื้อเย็นไว้ให้อยู่เชียว งั้นไม่เป็นไรค่ะคุณเชษฐ์ เดี๋ยววันนี้ป้าจะซักผ้ากับทำความสะอาดบ้านให้เสร็จทั้งหมดเอาไว้ก็แล้วกัน”
ภัทรเลิกคิ้วเมื่อเดินมาถึงโต๊ะและได้ยินที่ป้าแย้มพูด ส่วนเจ้าตัวที่ดูท่าทางจะคุยกับเชษฐ์เสร็จแล้วก็หันมายิ้มให้แล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ชายหนุ่มจึงวางแก้วกาแฟของเชษฐ์กับของตัวเองลงแล้วนั่งลงบ้าง
“คืนนี้จะไม่ทานข้าวที่บ้านเหรอครับคุณเชษฐ์?”
ภัทรเอ่ยถามพลางใช้ทัพพีตักข้าวต้มจากชามกระเบื้องเคลือบลงในถ้วยให้อีกฝ่าย เชษฐ์จึงยกกาแฟดำที่ไม่เติมทั้งน้ำตาลหรือครีมเทียมขึ้นจิบแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ฉันมีแผนแล้วว่าเย็นนี้จะไปไหน ว่าแต่เมื่อกี้ยังคุยกันเรื่องกระเป๋าไม่จบนะ ตกลงว่าเธอไม่ชอบกระเป๋าของฉันหรือไง?”
“หา? ไม่ใช่นะครับ! ก็กระเป๋าคุณเชษฐ์มันของดีขนาดนั้น ผมกลัวเอามาใช้แล้วเดี๋ยวมันจะเก่าหมดเลยเก็บไว้น่ะสิ อีกอย่างใบที่ผมใช้อยู่มันก็ยังไม่พังนี่นา”
น้ำเสียงท้ายประโยคของเชษฐ์ที่เหมือนจะตัดพ้อหน่อยๆทำเอาภัทรรีบละล่ำละลักตอบ จากเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายงอนเขาเมื่อวานทำให้ภัทรรู้แล้วว่าคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ก็มีแง่มุมที่ไม่ได้เอาแต่ขรึมและเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลาเหมือนกัน เพียงแต่ดูเหมือนแง่มุมที่ว่าจะแสดงออกเฉพาะเวลาอยู่กับเขาสองคนเท่านั้นเอง
“แล้วทำไมไม่ใช้ล่ะ? ฉันว่าใบนั้นมันเข้ากับเธอมากกว่าใบสีดำที่ใช้ประจำอีกนะ”
ภัทรแทบจะกลอกตาเมื่อโดนย้อน พูดอย่างกับเจ้าตัวตั้งใจซื้อกระเป๋าใบนั้นมาให้เขาโดยเฉพาะอย่างนั้นล่ะ นี่ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญจับได้สลากที่มีหมายเลขของเชษฐ์ต่อหน้าคนทั้งบริษัท เขาคงได้นึกว่าอีกฝ่ายไปบอกพิธีกรให้ล็อคหมายเลขให้เขาเป็นคนจับได้ของตัวเองแน่ๆเชียว
แต่ว่าเมื่อตอนงานส่งท้ายปีเก่านั่น...พวกเขาสองคนยังไม่ได้เริ่มคบกันเลยนี่
ภัทรนึกย้อนไปถึงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาซึ่งเชษฐ์ทำให้เขาประหลาดใจด้วยการพาไปทานข้าวเย็นแล้วก็ขอคบด้วย แล้วก็ให้นึกถึงประโยคที่อีกฝ่ายเคยบอกว่ามองเขามาตั้งนานก่อนหน้านั้นแล้ว พลันก็รู้สึกว่าผิวหน้าอุ่นซ่านขึ้นมา นี่หมายความว่าตั้งแต่เมื่อตอนงานเลี้ยงนั่นแล้วก็ก่อนหน้านั้น เขาก็โดนอีกฝ่ายจับตามองมาตลอดแล้วสินะ
ร่างเพรียวสะดุ้งเมื่อโดนมือใหญ่ยกขึ้นมาแนบแก้ม ภัทรจึงรีบหยิบมือข้างนั้นออกห่างจากหน้าตัวเองทันที เนื่องจากโต๊ะกลมตัวนี้ไม่ได้มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่นัก เชษฐ์จึงยื่นมือมาหาเขาได้โดยที่แทบจะไม่ต้องชะโงกตัวมาข้างหน้าเลยด้วยซ้ำ
“จะทำอะไรครับคุณเชษฐ์?”