วินาทีที่ 10
“มันโทรหามึงทำไม แล้วทำไมมึงถึงต้องออกไปคุยกับมันข้างนอกด้วย และที่สำคัญมันไปเอาเบอร์มึงมาจากไหน” ผมชักจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้ว
“เดี๋ยว มึงใจเย็นๆก่อนได้มั๊ย” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับเดินมานั่งลงบนโซฟา มันก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “ที่กูออกไปคุยข้างนอกน่ะ เพราะกูคิดว่าถ้ามึงรู้ว่าเป็นพี่จ๊อบโทรมา มึงจะไม่ให้กูคุยน่ะสิ และที่กูอยากคุยกับเขา ไม่สิ ไม่ใช่ว่ากูอยากคุย มันก็แค่พอรู้ว่าเป็นพี่เค้าโทรมา ความคิดแวบแรกของกูเลยก็คือมันน่าจะเกี่ยวกับนัท ดังนั้นกูก็เลยจำเป็นต้องคุยดูก่อนไง ว่าจริงๆแล้วเค้ามีเรื่องอะไรกันแน่”
“เออ มึงแคร์นัท กูยอมรับก็ได้ แล้วไง มันเอาเบอร์มึงมาจากไหน แล้วตกลงมันโทรมาเรื่องอะไร”
“เค้าก็บอกเอามาจากนัทนั่นแหละ......... ซัน พี่จ๊อบเค้าบอกว่าหลังจากกลับมาจากระยองแล้วนัทดูเปลี่ยนๆไปว่ะ ดูเงียบๆ ซึมๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะคุยกับพี่เค้าเหมือนก่อน” ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ
“ก็แล้วไงล่ะวะ แล้วมันโทษว่าเป็นความผิดของมึงรึไง”
“เปล่า พี่เค้าก็แค่โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ ส่วนกูก็แค่บอกว่ากูคงทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้าเรื่องนี้มันมีกูเป็นต้นเหตุ กูก็ยิ่งไม่ควรเข้าไปยุ่ง พี่เค้าเองนั่นแหละที่ควรจะดูแลนัทเอง แบบนี้มึงว่ากูเห็นแก่ตัวรึเปล่าวะ พี่เค้าก็อุตส่าห์โทรมาเล่ามาปรึกษากู และจริงๆกูก็อาจจะเป็นคนผิดด้วย”
“มึงอย่ามางี่เง่าน่าเมฆ มึงจะผิดได้ยังไง หรือมึงจะพูดว่าที่มึงรักกูนั้นมันผิด”
“เฮ้ย กูไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” ไอ้เมฆรีบออกตัว “กูขอโทษ ซัน กูไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น”
“เออ ก็ดีแล้ว มึงฟังกูนะ ถ้านัทรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ มันอาจจะถูกที่ว่ามึงมีส่วนในเรื่องนั้นด้วย แต่ถึงยังไงๆทั้งหมดนี่นัทเค้าก็ทำตัวเค้าเอง เค้าปล่อยให้ความรู้สึกให้อารมณ์มันเข้ามาครอบงำตัวเขาเอง มึงไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เข้าใจมั๊ย อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มึงทำอะไรไม่ได้ และพี่จ๊อบเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยเหมือนกัน นัทนั่นแหละ ที่ต้องพิจารณาและทำใจให้ได้ด้วยตัวเอง”
ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาช้าๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“กูขอโทษว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะเครียดขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไมกูถึงได้รู้สึกแปลกๆแบบนี้เหมือนกันว่ะ”
ผมนั่งมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยายามไม่คิดไปในทางที่ไม่ดี แต่สุดท้ายมันก็อดที่จะถามในสิ่งที่คาใจผมมาตลอดไม่ได้
“นี่มึงรักนัทมากเลยใช่มั๊ย........”
ไอ้เมฆรีบหันกลับมามองหน้าผมทันที “นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ซัน อย่าบอกกูนะว่ามึงคิดมากเรื่องนั้นน่ะ”
“กูจะคิดหรือไม่คิดก็คงต้องรอฟังคำตอบมึงก่อน เมฆ มึงบอกกูสิ ว่ามึงรักและแคร์นัทมากขนาดนั้นเลยใช่มั๊ย”
“ซัน กูรักมึง กูแคร์มึง ถ้าจะให้เทียบกับนัทนะ มันเทียบกันไม่ได้เลย นัทเป็นแค่แฟนเก่ากูและเป็นเพื่อนกู แต่มึงเป็นทั้งเพื่อน เพื่อนสนิท แล้วก็แฟนกูด้วย เพียงแต่ที่กูไม่สบายใจเนี่ย มันก็เป็นเพราะเหมือนกับว่ากูเป็นต้นเหตุสำหรับเรื่องทั้งหมดเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความกูแคร์นัทมากถึงขนาดจะยอมแลกอะไรๆกับความรู้สึกของมึงหรอกนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้วด้วย เพราะฉะนั้นห้ามมึงคิดแบบนั้นอีกเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า”
ผมยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าช้าๆเพื่อเป็นการยืนยันให้กับมัน และเพื่อยืนยันความคิดของตัวผมเองที่เคยมีอยู่แล้วให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ถึงผมจะค่อนข้างแน่ใจและรู้อยู่แล้วว่าไอ้เมฆมันต้องคิดและตอบผมกลับมาแบบนี้ แต่ตลอดเวลาสามปีที่เราคบกันมา ผมกับมันแทบไม่เคยคุยถึงเรื่องอดีตเก่าๆที่เราต่างก็เคยมีใครๆก่อนจะมาคบกันเลย และผมเองก็ไว้ใจมันมากมาตลอดเวลาด้วย เพียงแต่ตั้งแต่กลับมาถึงประเทศไทยนี่ ดูเหมือนไอ้เมฆมันจะคิดมากและเป็นกังวลกับเรื่องของนัทมากซะจนผมเริ่มจะกังวลซะแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ในที่สุดผมก็ได้ถามมันออกไป และก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ที่คำตอบที่ผมได้รับนั้นมันเป็นไปตามที่ผมคิดและต้องการจะได้ยิน..........
วันรุ่งขึ้นไอ้เมฆมันต้องเข้าบริษัทไปกับพ่อของมัน ส่วนผมเองจะมีนัดของตัวเองก็อาทิตย์หน้า ทำให้ผมต้องอยู่คนเดียวว่างๆอีกหนึ่งวัน และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยู่บ้านเฉยๆด้วย พอเกือบจะเที่ยงผมจึงตัดสินใจโทรหาไคล์และชวนมันออกไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันก็ตอบตกลงเพราะว่าตอนบ่ายมันไม่มีเรียนแล้ว
“อีกสี่วันจะถึงวันเกิดไอ้เมฆแล้วนะ ไคล์ เราคิดว่าเอาไงดี” ผมถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านไม่ไกลจากมหาลัยของมัน
“เออ จริงด้วย 22 สิงหา ผมเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย”
“แต่พี่ลืมไม่ได้น่ะสิ ขืนลืมล่ะตายห่าแน่ ไอ้เมฆมันงอนตาย โชคยังดีที่พี่มีนัดเข้าบริษัทอาทิตย์หน้า เพราะงั้นพี่ก็เลยยังว่างอยู่”
“แล้วซันหมายความว่ายังไง ที่ถามว่า ‘เอาไงดี’ น่ะ” ไคล์หัวเราะเบาๆ
“ก็แปลว่าพี่ยังไม่รู้เลยน่ะสิว่าทำอะไรให้มันดี ก็อยากพาไปกินข้าวนะ แต่มันก็ซ้ำซากว่ะ”
“จัดเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้ไปเลยสิ ไหนๆก็กลับมาที่ไทยแล้วนี่ เพื่อนๆทั้งคู่ก็มีอยู่ครบ พ่อของศิลาก็อยู่ ศิลาเองก็คงอยากจะฉลองวันเกิดกับพ่อเค้าด้วยเหมือนกันแหละ เพราะงั้นผมว่าไม่ต้องไปกินที่ไหนไกลหรอกครับ แค่ซันลงมือทำอาหารเองและชวนเพื่อนสนิทๆมาที่บ้านก็คงพอแล้ว ซันยังไม่เคยทำอาหารให้เขากินเลยนี่นา แถมมันยังตรงกับวันเสาร์พอดีเลยด้วย ผมว่าน่าสนใจดีออก” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี
“ให้พี่ทำอาหารเนี่ยนะ จะบ้ารึเปล่า” ถึงผมจะเคยเป็นลูกมือให้ไอ้เมฆมันมาแล้วหลายครั้ง และถึงมันจะเคยสอนผมแล้วหลายต่อหลายหน แต่ถ้าให้ผมทำคนเดียวโดยไม่มีคนคอยช่วยหรือถ้าให้ผมทำอะไรยากๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ใครจะกินอาหารของผมลงแน่นอน
“ไม่เอาน่า พ่อของศิลาก็อยู่นี่ ให้เค้าช่วยสิ แถมไม่ต้องทำอะไรยากๆหรือทำเองทั้งหมดหรอก แค่ไม่กี่อย่างก็คงพอ ทำเค้กเองก็ได้ ผมว่าน่ารักดีจะตาย ได้เห็นซันใส่ชุดกันเปื้อนทำอะไรแบบนั้น” ไคล์หัวเราะชอบใจ
“ตลกแล้วน้องชาย ตลกใหญ่แล้ว” ผมเองก็หัวเราะไปกับมันด้วย “ว่าแต่ไคล์คุยกับพีครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”
“เมื่อคืนครับ ทำไมเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไร พี่ก็แค่คิดถึงเรื่องที่พี่ไปคุยกับพี่แอมป์มาเมื่อวานน่ะ”
“เออใช่ เมื่อวานทั้งสองคนไปดูรูปมาแล้วนี่นา แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ....... เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมพี่ยิ้มแบบนั้นเนี่ย นี่มันมีอะไรกันแน่” ไคล์มีท่าทีระวังตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม
ผมหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงหยิบรูปถ่ายของเราออกมาให้ไคล์ดู พร้อมกับเล่าความเป็นมาของรูปแต่ละรูปตามที่พี่แอมป์บอกเรามาด้วย และรูปหลายๆใบก็ทำให้ไคล์ต้องร้องว้าวออกมาไม่ต่างกับเราสองคนเมื่อวานนี้เลย
“เป็นไง ใช้ได้มั๊ย” ผมถาม
“นี่มันสุดยอดไปเลย ซัน รูปที่ทั้งสองคนนอนตักกันเนี่ย มันจะน่าอิจฉาไปหน่อยรึเปล่า”
“อืมม พี่แอมป์เค้าถ่ายรูปเก่งเนอะ........... แล้วเราไม่สนใจจะไปถ่ายด้วยกันมั่งรึไง” ผมยิ้ม และเมื่อเห็นสีหน้าของไคล์ ผมจึงเล่าเรื่องที่เราคุยกับพี่แอมป์เมื่อวานเกี่ยวกับการดันให้เขาลองไปถ่ายแบบเข้าโมเดลลิ่งจริงๆจังๆดู
“อืมมม ไม่รู้สิครับ ผมคงต้องถามพีทก่อนนะ.........” ไคล์ตอบกลับมาอย่างระมัดระวังเมื่อฟังสิ่งที่ผมพูดเสร็จ “แล้วก็พ่อแม่ผมด้วย......... แต่ถ้าเป็นแม่ของผมนี่ก็คงจะ........” ไคล์ยักไหล่
“ก็คงจะอนุมัติอย่างรวดเร็วเลยน่ะสิ เขายิ่งอยากให้ลูกชายเป็นดาราจะตายอยู่แล้วนี่ พี่ว่าถ้าเราบอกป้าแอ๊นท์นะ เผลอๆป้าแกจะบินกลับมาไทยเพื่อส่งเสริมเราทันทีเลยด้วยซ้ำ ไคล์” ผมหัวเราะ
“ช่าย เพราะงั้นก็คงเหลือพีทคนเดียว ผมไม่รู้เขาจะคิดยังไงน่ะสิ คือ บอกตามตรงนะซัน ผมน่ะถูกคนชวนเยอะมากแล้วล่ะ ทั้งเพื่อนพูดเล่นมั่งจริงมั่ง คนคณะอื่นมั่ง หรือแม้แต่เวลาที่ไปเดินเล่นกับเพื่อนตามห้างก็เคยมีนะ แต่พอผมบอกพีททีไร เขาก็จะบอกว่าให้แล้วแต่ผมตัดสินใจนั่นแหละ แต่เขาก็อยากให้ผมรอจนกว่าเขาจะกลับไปไทยก่อนอยู่ดี”
“แต่ตอนนี้พี่กับเมฆก็กลับมาดูแลเราได้แล้วนี่นา รับรองว่าพี่สองคนไม่มีทางปล่อยให้เราไปทำเจ้าชู้ใส่คนอื่นอยู่แล้วล่ะน่า”
“ไม่อาน่า ซัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ พีทเขาก็แค่อยากจะรับรู้ได้ตลอดเวลาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจผมสักหน่อย”
“พี่รู้ๆ แต่ก็ลองคุยกับเขาดูก่อนก็แล้วกัน เพราะพี่ว่าพีเองก็ไว้ใจให้เมฆช่วยดูแลเราแทนตัวเขาเองมากอยู่แล้วนะ และอีกอย่าง มันไม่ใช่ว่าแค่ไปถ่ายรูปหรือเข้าโมเดลลิ่งอะไรแล้วจะดังเลยทันทีสักหน่อยนี่นา และที่สำคัญก็คือตัวไคล์เองนั่นแหละที่สนใจจะทำจริงๆรึเปล่า ก็แค่นั้นเอง คนอื่นไม่เกี่ยวหรอก”
“ช่าย อันนั้นผมก็รู้ เอางี้ เดี๋ยวผมจะคุยกับพีทแล้วก็กับพ่อแม่ของผมดูอีกทีก็แล้วกันครับ ได้คำตอบเมื่อไหร่แล้วผมจะบอกทั้งสองคนทีหลังแล้วกัน........” ไคล์พูดจบแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง “นี่ ผมไม่เข้าใจนะว่าทำไมคนไทยถึงได้มองว่าผมหน้าตาดีขนาดนั้นเนี่ย ผมหมายถึง ตอนอยู่ที่อังกฤษผมก็ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจของคนอื่นอยู่เหมือนกันหรอกนะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนี้เลย ไม่นึกเลยว่าพอมาที่ประเทศไทยแล้วคนอื่นจะสนใจผมมากถึงขนาดนี้”
“ก็คงเป็นเพราะที่อังกฤษน่ะ คนหลายๆเชื้อชาติมันยังไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่มั๊ง ถึงเราที่มีผสมกันถึงสามสี่เชื้อแบบนี้จะดูเด่นกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็คงดูไม่ได้แปลกประหลาดอะไรขนาดนั้น เพราะเราน่ะยังดูเป็นฝรั่งมากกว่าคนเอเชีย แต่ที่ประเทศไทยเนี่ย คนไทยมักจะบ้าฝรั่งหรือพวกลูกครึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ทำใจซะเถอะน้องชาย”
“เพื่อนผมก็พูดเหมือนกันนะว่าผมมันดูแปลกดี ทั้งสีผิวสีตา แถมยังสูงอีกต่างหาก......... เนี่ย อย่างตอนนี้ซันลองมองดูโต๊ะข้างๆหรือโต๊ะอื่นๆสิ ผมว่าเราสองคนถูกคนอื่นแอบมองอยู่หลายหนแล้วนะ”
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่” ผมหัวเราะ “ก็คนหน้าตาดีสองคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครๆเค้าก็คงมองทั้งนั้นแหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้เทรนด์คนหล่อเป็นเกย์ยิ่งมาแรง โต๊ะอื่นเค้าอาจจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนึกเสียดายอยู่ในใจก็ได้มั๊ง”
บ่ายวันนั้นผมกลับไปถึงบ้านแล้วก็โทรหาเพื่อนคนอื่นๆเพื่อปรึกษาเรื่องวันเกิดของเมฆทันที โดยทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความคิดของไคล์เนี่ยน่าสนใจที่สุดแล้ว แต่ปัญหาอย่างสุดท้ายก็คือผมต้องคุยกับพ่อเล็กเสียก่อนว่าผมจะรบกวนบ้านของเขาทำแบบนี้ได้รึเปล่า
เย็นนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารเราจึงนั่งคุยกันถึงเรื่องงานของเมฆที่กำลังจะได้เริ่มต้นทำเร็วๆนี้ ซึ่งก็นับว่าพ่อเล็กช่วยเราได้มากในการให้ไอ้เมฆเริ่มงานครั้งแรกในวันจันทร์ เพราะเค้าเห็นว่าวันเสาร์เป็นวันเกิดของไอ้เมฆแล้ว และก็ดูเหมือนจะรู้ด้วยว่าผมคงมีแผนที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ดังนั้นหลังจากที่ผมไล่ไอ้เมฆให้ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว ผมจึงปรึกษาพ่อเล็กเรื่องงานเล็กๆที่ผมวางแผนเอาไว้ทันที และพ่อเล็กเองก็ชอบและสนับสนุนนความคิดของผมมาก
พอถึงคืนวันศุกร์ ผมกับเมฆก็ออกไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านๆนี้เป็นร้านที่เพื่อนของเราแนะนำมาว่าทั้งบรรยากาศและอาหารดีใช้ได้ พวกมันหลายคนมากันบ่อย ผมจึงเชื่อพวกมันและพาเมฆมาที่นี่เพื่อทำการการฉลองวันเกิดของมันเล็กๆล่วงหน้ากันสองคน ก่อนที่พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้มีเวลาส่วนตัว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปดีมาก ทั้งอาหารทั้งบรรยากาศของร้านถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆดังขึ้น และเมื่อมันกดรับ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าอีกฝั่งหนึ่งของสายเป็นใคร
“ฮัลโหลครับ ก็....... ไม่ว่างเท่าไหร่หรอกครับ ผมกำลังทานข้าวอยู่น่ะครับพี่.........” ไอ้เมฆพูดตอบอีกฝ่ายไปด้วยท่าทางไม่ค่อยสบายใจ จากนั้นมันก็หันกลับมาทำปากบอกผมว่า “พี่จ๊อบ”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นบ้าง และพอผมมองดูที่เบอร์โทรเข้ามันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายปนหงุดหงิดนิดหน่อยเหมือนกัน
“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า” ผมกดรับสายหลังจากลังเลว่าจะรับดีหรือไม่อยู่ครู่หนึ่ง
“เปล่า ไม่มีอะไร กูแค่โทรมาถามว่าพรุ่งนี้มึงจะจัดงานวันเกิดให้ไอ้เมฆกันใช่มั๊ย” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมา
“ใช่ พวกไอ้วิทบอกมึงแล้วเหรอ”
“อืมม กูเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง มึงจะจัดกันตอนเย็นๆน่ะเหรอ”
“ก็ใช่ เฮ้ย แล้วมึงมีอะไรรึเปล่า คือกูกำลังกินข้าวอยู่ว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆก็เห็นว่ามันวางโทรศัพท์จากพี่จ๊อบเรียบร้อยแล้ว และก็กำลังนั่งมองหน้าผมอยู่ด้วย
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก มึงไปกินข้าวเหอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้” เมื่อพูดจบไอ้แบ๊งค์ก็วางสายไปทันที
“ใครโทรมาวะ” เมฆถามขึ้นเมื่อมันเห็นสีหน้าของผม
“ไอ้แบ๊งค์น่ะ มันโทรมาถามเรื่อง.........” ผมชะงัก เพราะไอ้เมฆยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผมกับพ่อของมันวางแผนจะจัดงานวันเกิดให้กับมัน
“เรื่องอะไร”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พี่จ๊อบมันโทรมาทำไม” ผมบอกปัดพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง แต่ไอ้เมฆก็ยังคงมีสีหน้าสงสัยและดูท่าทางไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดี
“มึงอย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง เรื่องไอ้แบ๊งค์เนี่ย มึงทำตัวผิดปกติมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ทะเลแล้วนะ” ไอ้เมฆเริ่มมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะยังคงติดใจเรื่องตอนที่อยู่ที่ระยองกันอยู่อีก แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้คิดว่าผมจะซ่อนความรู้สึกจากมันได้อยู่แล้วน่ะนะ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า มึงเชื่อกูสิ......” ผมเองก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็จำเป็นต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ เพราะเรื่องในคราวนี้ผมเป็นฝ่ายผิดเองที่พูดจาไม่ชัดเจน แต่จะให้บอกมันเรื่องงานวันเกิดที่เราแอบจัดในวันพรุ่งนี้ผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน “เอาเป็นว่า มันไม่มีอะไรจริงๆ กูเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับมัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ถ้ามันเกิดมีอะไรสำคัญ กูก็จะบอกมึงเองก็แล้วกัน โอเคมั๊ย”
ไอ้เมฆมีท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพยักหน้ายอมรับ
“ดีมาก ซันขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะครับ แต่เมฆต้องเชื่อใจซันนะ” ผมยิ้ม แล้วก็ตักอาหารตรงหน้าไปวางไว้ในจานของมัน “เอ้า กินซะ จะได้โตไวๆ ไหนๆก็น้ำหนักใกล้จะเท่ากูแล้วนี่ ขุนอีกหน่อย พี่แอมป์จะได้ได้แฝดต่างฝาไปเป็นนายแบบอย่างที่พี่เขาบอกจริงๆซะเลยไง”
เราสองคนนั่งกินข้าวและพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ๆ จนดูเหมือนเราสองคนจะลืมเรื่องโทรศัพท์เมื่อสักครู่ไปแล้ว แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ผมเองก็ยังคงข้องใจมากอยู่ดีว่าพี่จ๊อบมันโทรหาไอ้เมฆทำไม แต่ถ้าถามไปตอนนี้มันก็คงเท่ากับไปรื้อฟื้นและทำลายบรรยากาศดีๆไปซะเปล่าๆ และถ้ามันเกิดมีอะไรไม่ดีขึ้นมาจริงๆ ไอ้เมฆก็คงจะบอกผมเองนั่นแหละ ผมเชื่อใจมันในเรื่องนี้ ส่วนอีกเรื่องที่รบกวนจิตใจของผมเกือบจะตลอดทั้งมื้ออาหารนั่นก็คือ คำพูดส่งท้ายของไอ้แบ๊งค์ที่บอกว่า “เจอกันวันพรุ่งนี้”
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้มันมา แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังไว้ว่ามันจะมาหรือแม้แต่รู้เรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มั่นใจเลยว่าสถานการณ์มันจะออกมาเป็นยังไง และที่สำคัญคือผมไม่อยากจะให้มีอะไรมาทำให้ผมเสียอารมณ์หรือรู้สึกไม่ดีๆในงานดีๆของคนที่ผมรักจริงๆ ถึงแม้ความเสี่ยงมันจะมีอยู่เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมก็ยังคงไม่อยากที่จะเสี่ยงมันอยู่ดี............