Chapter 16 We’ve got closeไอ้สกายทำหน้าเหวอแล้วสบถออกมาเสียงรอดไรฟัน “เหี้ย!” ตอนนี้มันกำลังขับรถอยู่จึงทำได้แค่หันมาทำตาเขียวใส่ผม
“เฮ้ยย! ไม่ใช่แบบนั้น” ผมรีบท้วง “ฟังกูให้จบก่อนไอ้สัด!” ผมหงุดหงิดใส่เล็กน้อยที่มันฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดจนผมเสียหาย “กูหมายถึงมาเอากันแบบปลอมๆ แล้วถ่ายรูปให้รู้ว่าเป็นเราแต่ดูไม่ออกว่าเป็นเรา”
ไอ้หน้านิ่งถอนหายใจแบบโล่งอก “ก็ไม่พูดให้มันเร็วๆ” มันบ่น “แต่ผมก็งงอยู่ดี ถ่ายให้รู้ว่าเป็นเราแต่ให้ดูไม่ออกคืออะไร” ทำไมชีวิตกูต้องพบเจอแต่คนโง่ๆ โชคชะตาไอ้ดินช่างขัดสนสุดๆ ถูกรายล้อมไปด้วยพวกไร้สกิลการใช้งานสมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ น่าเบื่อๆๆๆ
“ก็ถ่ายให้มันเห็นวับๆ แว้บๆ แบบดูออกว่าเป็นเราแต่ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าใช่หรือไม่ใช่อะไรแบบนี้” ผมอธิบาย
“เพื่อ?” สกายทำหน้ายุ่ง
คนหล่อมันโง่ทุกคนรึเปล่าวะ เฮ้ออ แต่ยกเว้นกูนะ กูหล่อและฉลาด..มากกกกกกก
“ก็เรียกเรตติ้งไง ที่เราได้งานนี้ก็เพราะกระแสคู่จิ้น ขนาดวันนั้นเราไม่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นอะไรกันยังเปรี้ยงขนาดนี้ แล้วมึงคิดดูว่าถ้ามีรูปหลุด มันก็ต้องยิ่งเป็นกระแส” ผมทำท่าทำทางอธิบายอย่างภูมิใจในแผนการอันชาญฉลาด
“แล้วจะเรียกกระแสทำไม แค่นี้ผมยังเหนื่อยไม่พอ?” มันพยักเพยิดถามประมาณว่า รับงานเยอะก็เหนื่อยเยอะแต่ก็ใช่ว่ามันจะได้ตังค์ แล้วจะเรียกงานให้เพิ่มขึ้นเพื่ออะไร
“วัวแท้ๆ ไม่มีควายปน ไอ้วัว!!” ผมด่า “ควายยังใช้ไถนาได้แต่วัวแม่งไถนาก็ไม่เก่ง บอกไปซ้ายก็เดินหน้าบอกเลี้ยวขวาก็ถอยหลัง พอจะแดกก็บาปอีกแม่งสัตว์ใหญ่เปลืองพื้นที่เปลืองหญ้าเปลืองฟางเปลืองออกซิเจนอันน้อยนิดของโลก ไอ้วัว!!” ผมด่ารัวเป็นแร็ปเปอร์ไทเท
“พรืดดดด” ไอ้เชี่ย เสือกขำ!!!?
อะไรของแม่งวะ!?
“กูด่า! กูด่ามึงอยู่นะเนี่ย เสือกหัวเราะหาของหายรึไงสัด!” ผมมองมันตาขวาง งงกับอารมณ์ไอ้ห่านี่เหลือเกิน
“คุณแม่งปากจัด ครืดๆๆ” อ่าวไอ้เชี่ย ด่ากูหน้าด้วยหน้านิ่งๆ แล้วเสือกขำต่อคืออัลไล?
“ก็โง่จริงมั้ย โง่เป็นรองแค่คนที่โง่ที่สุดในโลกแค่คนเดียว หมายความว่าไงรู้มั้ย...หมายความว่า..มึง..โง่..สุด” ผมชี้นิ้วจิ้มไปที่ขมับมันสามทีตามพยางค์ที่เน้นสามคำสุดท้าย
ไอ้หน้านิ่งเม้มปากแน่นขึ้นแล้วหัวเราะแบบกลั้นๆ ไม่เห็นฟันหรอกนะแต่ตัวโยกสั่นไปทั้งไหล่ทั้งตัว
เอ๊า ไอ้ห่า ตกลงมึงโกรธจนสติแตกรึไง
“อะไรของมึงเนี่ย ครืดด” ผลักไหล่มันแล้วเสือกหลุดขำตามเพราะมันตัวสั่นไม่หยุดแถมยังก้มหน้าก้มตาหลบไม่ให้ผมเห็นหน้ามันตอนขำด้วย “ขับรถอยู่เฮ้ย เงยหน้ามาดูทางก่อน เดี๋ยวชนกันพอดี” ผมผลักไหล่มันอีกรอบแล้วยิ้มขำกับสิ่งที่เห็น มันจึงเงยหน้ามามองถนนพร้อมกับใบหน้าด้านข้างที่ดูยังไงก็คือ..ยิ้ม
หัวใจผมหวิวๆ ไม่รู้สิ จะอธิบายยังไงให้ตรงกับสิ่งที่เป็น มันเหมือนเราวิ่งแข่งกับเพื่อนแล้วชนะมันหลังจากที่ตามหลังมาตลอด ยอมรับเลยว่าดีใจ ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มแรกจากมันที่เกิดจากผมอย่างแท้จริง
ผมทำให้มันยิ้มได้แล้ว เย้!
เดี๋ยวนะ..
แล้วกูจะดีใจทำไมวะเนี่ย?
“สรุปคือชอบโดนด่า” ผมถามเมื่อเห็นว่าหน้ามันมันเริ่มกลับคืนสู่ความนิ่งเป็นปกติ
สกายส่ายหน้า “เปล่า” มันปฏิเสธแล้วหันมามองผมแว้บนึง “แค่ชอบคนจริงใจ” ขอเวลาห้าวิ
5
4
3
2
1
กรี๊ดดดดดดดดดดดด
หล่อเหี้ยยยยยยยยย!!
หน้าตอนพูดแม่งหล่อสัด ยิ้มบางๆ แล้วมองนิ่งๆ ยักคิ้วข้างเดียวน้อยๆ แล้วหันกลับไปขับรถต่อ
ไอ้สัดมึงหล่อไป๊!!
“สรุปคือชอบกู” ผมใช้สกิลความเกรียนกลบเกลื่อนความคิดงี่เง่าของตัวเอง มันหันมาอีกครั้งคงเป็นเพราะเห็นว่าผมเงียบไป
“เปล่า..คุณแค่ทำให้ผมคิดถึงใครคนนึง” อยู่ๆ ก็ออกนอกประเด็นเฉยเลย “นิสัย เอ่อ ขอเรียกสันดานดีกว่า” อ่าวไอ้สัด หลอกด่ากูอีก “สันดานแบบนี้แหละ แบบเดียวกันเป๊ะเลย” มันทำหน้าเคลิ้มหน่อยๆ แต่ก็แฝงความเศร้าไว้ด้วย
“ใครวะ” ผมถาม
มันดึงจังหวะเล็กน้อยแต่ก็ตอบคำถามกลับมา “..เพื่อนน่ะ เพื่อนรัก” รอยยิ้มเหยียดเผยขึ้นราวกับจะเยาะเย้ยตัวเอง
เห็นแล้วสะเทือนในอกซ้ายตุบตับ อะไรของกูวะเนี่ย ทำไมมีอารมณ์ร่วมไปกับมันได้ถึงขนาดนี้
“เพื่อนรัก รักเพื่อนเหรอวะ” คงเดาไม่ผิด ระดับผมมองไม่มีพลาดหรอก
“หึ” มันดันลิ้นไปมาตรงกระพุ้งแก้มราวกับกำลังคิดหนักว่าจะตอบผมว่าอะไร “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สรุปคือคุณให้เรียกกระแสเพื่ออะไร” อ้าว เปลี่ยนเรื่องเฉย กูค้างนะเฮ้ย หลอกให้อินตามแล้วถีบหัวส่ง ไอ้เชี่ยยยยยย
“ทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง แหวะ” ผมเบ้ปากใส่แต่ก็ไม่อยากง้อมันมากจึงตอบคำถามให้มันหายสงสัยซะที “เรื่องสร้างกระแสก็เพื่อให้มีงานเข้ามาเยอะๆ ค่าตัวเราก็จะสูงขึ้นๆ แล้วก็ใช้จุดนี้เป็นข้อต่อรองกับพี่ดอท” มันหันมาขมวดคิ้วแล้วหันไปมองถนนอีกครั้งเพราะถึงทางเลี้ยวเข้าคอนโดพอดี
“ข้อต่อรองเหรอ แต่ผมไม่มีสิทธิปฏิเสธงานอยู่แล้วนี่” มันดับเครื่องยนต์เมื่อเข้าจอดในช่องเรียบร้อยแล้ว
ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ “มึงไม่มี..แต่กูมี” ผมเก๊กหน้าทำเท่แล้วเปิดประตูออกจากรถ
“เดี๋ยวสิ..นี่คุณ หยุดก่อน” ไอ้หน้านิ่งรีบเก็บของออกจากรถรวมถึงกระเป๋าของผมด้วยจากนั้นก็รีบวิ่งตามมาที่ลิฟท์ “คุยยังไม่จบเลยจะรีบไปไหน ผมยังไม่เคลียร์ อธิบายให้จบก่อน” มันพูดแล้วเริ่มสังเกตผมโดยละเอียด “แล้วนี่หายป่วยแล้วเหรอ” มันถามพร้อมกดปิดประตูลิฟท์
“ยังไม่หายแต่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นว่ะ อ้อ แล้วตอนนี้กูก็เหนื่อยเกินกว่าจะคุยต่อ คงต้องขอพักผ่อนนอนเล่นสักครู่ก็แล้วกัน” ยักคิ้วให้มันไปสองทีเรียกน้ำย่อย
“คุณนี่มันจริงๆ เลยว่ะ” มันส่ายหัว
ผมไม่ได้พูดอะไรแค่กอดอกยักคิ้วรับคำชมของมันแบบหล่อๆ
กึ่ก!
กึ่ก!
ไอ้หน้านิ่งหน้าเสียทันทีเมื่อจู่ๆ ลิฟท์กระตุกพร้อมกับไฟที่กระพริบแว้บๆ
กึ่ก!!
กึ่กกกก!!
ลิฟท์กระตุกอีกสองทีแล้วก็หยุดลงอย่างแรงจนเราเสียหลักไปคนละทิศคนละทาง “ไอ้เหี้ยเอ้ย!!!” เสียงสกายสบถขึ้นดังมาจากอีกฝั่ง ผมมองไม่เห็นมันแล้วเพราะตอนนี้มืดสนิท
“อยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวไปหา” ผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังขวัญหายจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เพราะใบหน้าก่อนที่ลิฟท์จะหยุดและน้ำเสียงสั่นๆ ติดจะหงุดหงิดขั้นสูงสุดของมัน
ผมล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มาสไลด์หน้าจอเพื่อให้มีแสงพอที่จะเห็นอะไรได้บ้าง และภาพที่เห็นก็คือ สกายยืนหน้าเครียดซุกอยู่ตรงมุมด้านในสุดของลิฟท์และจ้องมองมาที่ผมแบบลุ้นระทึก ผมจึงรีบเดินไปหาแล้วเตะปลายเท้ามันเล่นเพื่อให้มันคลายจากอาการตื่นตกใจ
“กลัวเหรอ” ผมถามแล้วดึงกระเป๋าสองใบที่มันถืออยู่มาสะพายไว้เอง
“........” ไม่มีเสียงตอบ ผมจึงยักไหล่แล้วจับแขนมัน
“เดินไปที่หน้าลิฟท์กับกู จะได้กดกริ่งเรียกคนมาช่วย” ผมกระตุกแขนมันอีกครั้งเมื่อมันไม่ตอบและไม่ขยับเขยื้อน “กูอยู่นี่ไง” ผมบีบข้อมือมันแรงๆ “ไม่มีอะไรเหี้ยไปกว่าอยู่ข้างๆ กูหรอก” สกายเหลือบมองผมแล้วกลั้นยิ้มพลางก้าวขาตามมาช้าๆ
มันคงเข้าใจความหมายที่ผมพูดและคงคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อยจึงได้สติและทำตามที่ผมพูด
เมื่อถึงหน้าลิฟท์ผมก็ใช้โทรศัพท์ส่องไฟยังแผงควบคุมและกดสัญญาณขอความช่วยเหลือและกดสปีกเกอร์เรียกคนข้างนอก
“โหลๆๆ วอสองวอแปด มีคนอยู่ข้างนอกมั้ยครับ ตอนนี้ผมกับน้องติดอยู่ในลิฟท์สองคนครับ” เมื่อพูดจบก็รู้สึกถึงชายเสื้อที่ถูกดึงจึงหันไปมอง สกายทำหน้าแปลกใจระคนตื่นกลัว คงสะดุดหูกับสรรพนามที่ผมใช้แทนตัวมันกอปรกับยังไม่หายกลัวจึงได้จับเสื้อผมไว้แน่นและทำหน้าประหลาดๆ แบบนี้
“ฮัลโหลๆ ได้ยินแล้วค่ะ ตอนนี้ไฟฟ้าคอนโดขัดข้อง ช่างกำลังซ่อมอยู่นะคะ ไม่น่าเกินห้านาทีค่ะ อดทนหน่อยนะคะ” เสียงผู้หญิงพูดผ่านลำโพง ทำให้ใจชื้นขึ้นมาอีกเยอะ
“เชื่อในความหล่อกูรึยัง ตกอับยังไม่ทันไรมีสาวมาช่วยด้วยนะโว้ย กูนี่มันเนื้อหอมจริงๆ” ผมใช้ไหล่กระแทกไหล่สกายเบาๆ
มันหันมาเบะมากนิดๆ แล้วส่ายหน้า “เชื่อแล้วว่าอยู่กับคุณคงเหี้ยกว่าทุกสภานการณ์แล้วล่ะ” มันบอกพร้อมกับปล่อยมือออกจากชายเสื้อและกำลังจะดึงมือกลับไปแต่ผมคว้าเอาไว้ซะก่อน
มันหันมามองแบบงงๆ “เดี๋ยวแบตจะหมดแล้ว” ผมพูดพร้อมชูหน้าจอให้มันดูเพื่อเป็นหลักฐาน ไม่นานนักหน้าจอก็ค่อยๆ ดับวูบลงทำให้ทั้งห้องมืดสนิทอีกครั้ง
ไอ้หน้าเดียวไม่ได้พูดอะไรและปล่อยให้ผมจับมือมันไว้อย่างนั้น ผมออกแรงดึงนิดหน่อยเพื่อให้มันขยับเข้ามาใกล้เมื่อรู้สึกว่ามันเงียบไป ไม่รู้ว่าเงียบเพราะกลัวหรืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือ..
หัวใจกูเต้นแรงเหี้ยๆ
ผมไม่รู้ว่าสกายมันทำหน้ายังไง หันหน้าไปทางไหน หรือมีสีหน้าอารมณ์ยังไง แต่ที่รู้ๆ คือผมหันหน้าหนีไปอีกด้านแล้วพยายามผิวปากแต่ริมฝีปากแม่งก็ไม่เป็นใจ มันสั่นริกๆ ทำให้เสียงขาดๆ หายๆ
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปล่อยมือมัน ยังคงจับไว้อย่างนั้นแล้วพิงผนังลิฟท์พลางกระดิกเท้าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
แต่ให้ตายเถอะเจ้าแม่ชาเขียวไข่มุก เหงื่อกูแตกกกกกกกกก
ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ไฟก็กระพริบขึ้นจากนั้นก็สว่างจ้าพร้อมกับประตูลิฟท์ที่เปิดออก
“เป็นยังไงบ้างคะ มีใครบาดเจ็บหรือเป็นอะไรรึเปล่า” หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ในชุดสูทสีสุภาพกระวีกระวาดเข้ามาถามอาการเมื่อผมกับสกายยังคงยืนอยู่ที่เดิม ท่าเดิม และ..จับมือกันเหมือนเดิม
ตอนแรกเธอก็มองหน้าพวกเราและมองสำรวจไปทั่วตัวแต่เมื่อเห็นว่ามือเราจับกันอยู่ เธอก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
“ม..ไม่มีใครเป็นอะไรครับ แค่ตกใจนิดหน่อย” ผมปล่อยมือสกายแล้วตอบคำถามพลางก้าวขาออกจากลิฟท์ ส่วนสกายก็ก้าวตามออกมาด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามเดิม
“น้องสกายโดนครั้งที่สองแล้วสินะคะ ต้องขอโทษมากๆ ค่ะ เราจะปรับปรุงไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก” สกายมองเธอแล้วพยักหน้าก่อนจะเดินแยกไปยังบันไดที่อยู่ใกล้ๆ
ผมยิ้มให้เธอแล้วผงกหัวให้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ “ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”
“ฝากขอโทษน้องสกายด้วยนะคะ คราวก่อนน้องก็โดน ถึงจะไม่นานเท่าวันนี้แต่ตอนออกมาน้องเกือบเป็นลมเลยค่ะ หน้าซีดเหงื่อเต็มหน้าเต็มตัว พอเจ้าหน้าที่จะเข้าไปช่วยพยุง น้องก็ทำหน้าดุแล้วปัดมือทุกคนออก แล้วก็เดินโซเซขึ้นบันไดไปเองค่ะ ยังดีที่วันนี้มีคุณอยู่ด้วย เห็นสีหน้าท่าทางเป็นปกติแล้วก็สบายใจแต่ยังไงก็ต้องฝากขอโทษไปอีกรอบนะคะ แล้วทางคอนโดจะส่งของขวัญปลอบใจไปให้ค่ะ” เธอร่ายยาวพร้อมกับโค้งขอโทษขอโพยอย่างจริงจัง
“ครับผมครับ งั้นผมขอตัวก่อน น้องขึ้นบันไดคนเดียวเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นจะช่วยไม่ทัน” พูดจบก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดตามไป ตอนนี้อยู่ชั้นสามวิ่งขึ้นไปอีกสองชั้นก็ถึงชั้นห้า
พอไปถึงประตูห้องก็เปิดไว้แล้ว ผมจึงถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นจากนั้นก็ตามเข้าไปในครัวเพราะเห็นไอ้เด็กกลัวลิฟท์ค้างกำลังเปิดตู้เย็นดื่มน้ำทีเดียวหมดขวด
ไอ้ห่านี่เป็นร่างอวตารอูฐแน่เลยว่ะ แดกน้ำทีเป็นลิตรๆ
มันเหลือบมองผมแว้บหนึ่งแล้วหยิบน้ำอีกขวดมายื่นให้แต่ผมส่ายหน้า “แก้วเดียวพอ กูแค่คนธรรมดาไม่ใช่ร่างทรงอูฐ” มันชะงักแล้วยกยิ้มข้างเดียวก่อนจะหยิบแก้วและรินน้ำยื่นให้ผม
ยิ้มบ่อยไปแล้วนะมึง ยิ้มทีไรทำกูไม่เป็นตัวของตัวเองทุกทีสิน่า
“อ๊าาาส์” ผมกระดกน้ำหมดแล้วแล้วยื่นคืนให้มัน “พี่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามึงโดนลิฟท์ค้างสองรอบแล้วเหรอ”
“อืม” มันพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งทางด้านขวาของโซฟาตัวยาว ผมจึงตามไปนั่งตัวเดี่ยวฝั่งซ้ายแล้วเหยียดขาพาดไปบนที่ว่างด้านข้างของโซฟาที่มันนั่งอยู่ สกายส่ายหน้าระอากับมารยาทอันดีงามของผม แต่แล้วจู่ๆ ก็มองผมนิ่ง “..ขอบคุณ” มันพูดสั้นๆ
ผมเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน
ไอ้เด็กนี่มันก็น่ารักดีแฮะ
“อะไรนะ” ผมแคะหูแล้วเอียงหน้ารอฟังอีกครั้ง
มันถอนหายใจแล้วสูดลมเข้าปอดหนักๆ “ขอบ คุณ!”
“โอ๊ยอยู่ในลิฟท์อากาศมันน้อยเน๊าะ หูอื้อไปหมดแล้วว่ะ ดูสิไม่ได้มีสองหูนะมึง แต่อื้อเลย หูอื้อเลย คึๆๆ” ผมจับหูสองข้างแล้วดึงขึ้นลงพลางหัวเราะโรคจิต
สกายถอนหายใจแล้วมองหน้าผมแบบแค้นๆ ในจังหวะเดียวกันนั้นมันก็รวบข้อเท้าทั้งสองข้างของผมไว้ก่อนจะยกขึ้นพร้อมกับแทรกร่างมาเข้ามานั่งตรงตำแหน่งนั้น ทำให้เท้าผมพาดอยู่บนตักมันไปโดยปริยาย
มันจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบ คุณ ครับ” ผมที่อึ้งกับการกระทำของมันอยู่ก่อนแล้วทว่าต้องอึ้งหนักขึ้นเมื่อมันพูดประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
ทั้งหยิ่ง ทั้งถือตัว ขี้เก๊กเป็นที่หนึ่ง แต่พูดขอบคุณแล้วยังมีหางเสียงด้วย อื้อหือออ นี่กูหูอื้อจริงๆ ใช่มั้ย
“น..นวด นวดเลย นวดฝ่าเท้า ปวดโคตรเลย ยืนนานเกิ๊น” ผมอึ้งไปสักพักก็รู้สึกว่ากำลังโดนมองแบบขำๆ จึงแก้เก้อด้วยการใช้มันนวดฝ่าเท้าให้ “ขอโทษไม่พอหรอก ต้องทำคุณตอบแทนด้วยโว้ย” ทำหน้าท้าทายมันแล้วเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์
“นวดแล้วหมดหนี้บุญคุณใช่มั้ย” ตลอดเวลามือมันก็ยังจับข้อเท้าผมไว้ไม่ได้ปล่อย อันที่จริงผมก็เกรงใจมันนิดๆ เพราะเท้าเป็นของต่ำและเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดจะใช้เท้าเล่นกันแบบนี้แต่ทำไงได้ล่ะ พูดไปแล้วนี่หว่า
“ใครบอก ตอบแทนก็ส่วนตอบแทน แต่บุญคุณก็ยังอยู่” ผมวนเท้าเป็นวงกลมเพื่อประกอบอาการกวนตีนของตัวเอง
มันส่ายหัว “ร้ายกว่าคุณจะมีอีกมั้ยวะ” ผมไม่รู้ว่ามันทำหน้ายังไงเพราะตอนนี้แหงนหน้าพาดคออยู่กับพนักโซฟาแล้วหลับตาข่มความตื่นเต้นและอาการปวดหัวตุบๆ คาดว่าคงเป็นเพราะไข้หวัดแดก
แต่แทนที่จะหายตื่นแต่หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นเมื่อถุงเท้าข้างซ้ายถูกมือเย็นๆ แข็งๆ ค่อยๆ รูดออกไปจนสุดปลายเท้า
อึก!
ผมกลืนน้ำลายคงคออึกใหญ่เพื่อลดความประหม่าแต่ก็ไม่อยากขยับหนีเพราะเดี๋ยวมันจะคิดว่าผมอ่อน
อึก!
กลืนน้ำลายอีกครั้งเมื่อถุงเท้าอีกข้างหลุดออกไปจากปลายเท้า
ขอเวลาห้าวิ
5
4
3
2
1
กรี๊ดดดดดดดดดดดด
ตื่นเต้น
เสียว
สยิว
ปิ๋วปิ้วกว่าตอนสาวๆ ไซร้ซอกคอซะอีก
“ตีนกูเหม็นป่าววะ ถ้าเหม็นกูไปล้างก่อนดีกว่านะ” ผมผงกหัวขึ้นมาแล้วดึงเท้ากลับแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อถูกยึดรั้งข้อเท้าเอาไว้
“ไม่เหม็น”
แค่เนี้ย!?
ตอบแค่นี้แล้วล็อคตีนกูไว้จากนั้นก็เริ่มกดไปตามนิ้วต่างๆ ไล่จากหัวแม่เท้าไปจนถึงนิ้วก้อย แม่งตั้งใจมองตีนกูด้วยหน้าตานิ่งๆ เฉยๆ ชาๆ ไร้อารมณ์ใดๆ
คือระ???
ผมมองอยู่สักพักแต่ก็ไม่เห็นอาการผิดปกติจึงเอนหลังพาดคอไว้ที่เดิมก่อนจะหลับตาข่มความรู้สึกหลากหลายในหัวใจ
ตลกดีนะ อยากมาแกล้งเขาแต่พอเกิดอะไรขึ้นก็อดใจอ่อนไม่ได้แถมยังรู้สึกดีซะอีกที่มันมาเอาใจ
ว่าแต่...
มึนหัวเหี้ยๆ โดนแอร์แรงแล้วเป็นงี้ทุกที สงสัยคืนนี้คงถึงมือหมอแน่ๆ
‘คุณ.. หลับแล้วเหรอ นี่คุณ..คุณดิน’ เสียงใครสักคนเรียกผมจากที่ไกลๆ ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะมันเบามาก
‘หลับจริงปะเนี่ย คุณ..คุณ..’ เรียกเหี้ยไรนักหนาวะ คนจะนอน วู้วว
‘ขนาดหลับยังกวนตีน ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร หงุดหงิดที่โดนกวนใจเหรอไอ้แก่ขี้เซา’ จิ้มปากกูทำเชี่ยไรเดี๋ยวถุยน้ำลายใส่หน้าแม่งเลย
ฟู่ ฟู่ ฟู่
‘เฮ้ย!อะไรของคุณเนี่ย!! พ่นน้ำลายตอนหลับซะงั้นแหละ เฮ้อ แก่ปูนนี้ยังทำตัวติงต๊องทั้งตอนตื่นทั้งตอนหลับ โอ๊ย อยากจะบ้า!’
แล้วเสียงนั้นก็หายไปพักใหญ่ ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผมจมดิ่งลึกลงไปในห้วงนิทรามากกว่าเมื่อครู่
‘..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนแบตคุณหมดทำไมผมถึงไม่หยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมา คุณจะได้ไม่ต้องมาจับมือเพื่อช่วยปลอบ......ผมรู้แค่ว่า..ถึงจะมืดหรือแคบแค่ไหนก็ไม่เป็นไร..ถ้าคุณอยู่กับผม’
****************