หลานคุณย่า แอบรัก8
(มินนี่)
ผมนั่งคุยกับเพื่อจนเวลาล่วงเลยไปเกือบบ่ายสามโมง ลูกค้าเริ่มซาลงบ้างแล้ว ตอนนี้ในร้านจึงเหลือแค่โต๊ะของเพื่อนๆ ผม ลูกค้าจะเยอะอีกทีก็น่าจะเย็นๆ เพราะเหล่าบรรดานักเรียน นักศึกษา รวมทั้งคนวัยทำงานเลิกพอดี
“อุ้ย! พี่พายสวัสดีค่ะ” เสียงกรีนเอ่ยทักทาย ผู้ชายในดวงใจของเขา หน้าบานเชียวครับเพื่อนผม แค่พี่พายยิ้มให้ทีนี่ถึงกับอายม้วนเลยครับงานนี้
“สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย” พี่พายเอ่ยหลังจากที่ทุกคนยกมือไหว้อย่างพร้อมเพียง
“พี่พายนั่งกับพวกเราก่อนสิคะ ไม่มีลูกค้าแล้วนี่” หลิวเริ่มเอ่ยขึ้นบ้าง เห็นผู้ชายหล่อ น่ารักหรือผู้ชายสวยอะไรทำนองนั้น พวกเธอสองคนจะคลั่งเป็นพิเศษ
“ได้ครับ แต่พี่นั่งได้ไม่นานนะ ต้องเข้าไปดูเค้กที่อบไว้อีก อ้าว!พี่ทิมสวัสดีครับ” พี่พายหันไปทักพี่ทิม ทั้งๆ ที่ก็คงจะตกใจอยู่เหมือนกัน
“นึกว่าจะไม่ทักทายกันซะแล้ว” พี่ทิมยิ้มล้อพี่พาย
“พายไม่ได้มองนี่ครับ”
“ใช่สิ พี่มันคนไม่สำคัญนี่นา ไม่เหมือนคุณคิณของน้องพาย” แน่ะมีตัดพ้อพี่พายอีกนะครับ แสดงละครอยู่รึเปล่าไม่รู้
“พี่ทิมไม่ต้องมาแซวพายครับ อีกสักพักคุณคิณก็จะมาแล้ว ระวังตัวดีๆ เถอะ”
“ครับๆ น่ากลัวที่สุด” พี่ทิมทำหน้าล้อเลียนอีก ผมแทบขำกับท่าทางของคนที่บอกว่าตัวเองเพิ่งอกหัก มันไม่มีความจริงเลยสักนิด
“ใครเหรอคะคุณคิณเนี่ย” เสียงสาววายดังมาอีกแล้ว หลังจากที่นั่งมองพฤติกรรมผู้ชายแต่ละคน ว่าใครมีซัมติงกับใครรึเปล่า
“อยากรู้เรื่องอะไรนักหนาหลิว เรื่องของพี่ๆ เขา” เมฆคนดีศรีสยามเอ่ยขึ้น ขัดความยากรู้ของสาววายทั้งสองคน
“ทำไมเมฆต้องขัดหลิวตลอดเลยอ่ะ” กรีนเสียงดังใส่เมฆ จนเมฆเงียบเลยครับ สงสัยคงน้อยใจที่สองคนนี้ไม่เห็นความสำคัญของตนบ้าง เวลาอยากไปไหนก็บังคับขู่เข็ญให้ไปเป็นเพื่อน พอมาด้วยแล้วก็ไม่เคยที่จะสนใจ ทำเหมือนเมฆไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ บางทีเมฆก็น่าสงสารที่หลิวไม่รับรู้ความรู้สึกที่เมฆมีให้เลย เมฆลุกไปไม่บอกใครสักคน สองสาวก็ไม่สังเกตุสักนิด เมฆเดินออกไปนอกร้านแล้ว คงไปรอข้างนอก
“คุณคิณเป็นแฟนพี่เองครับ อีกสักพักน่าจะมาถึง” พี่พายตอบข้อข้องใจของสาวๆ ทั้งสองน
“อยากเห็นจังเลย” กรีนดีใจจนออกนอกหน้า
“นั่นไงมาแล้ว พูดถึงก็มาพอดีเลย” ทั้งหลิวและกรีนรีบหันขวับไปในทันที ที่ผมเอ่ยบอกสองสาว ท่าทางนี่บ่งบอกว่าปลื้มเอามากๆ
"หล่ออ่ะ" กรีนเริ่มตาเยิ้มอีกแล้วครับ พี่พายเดินไปหา คุยอะไรกันนิดหน่อย ก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับมานั่งกับพวกเรา
"หล่อจริงๆ ด้วยค่ะ หลิวขอถ่ายรูปพี่สองคนได้ไหมคะ" พี่พายกับคุณคิณก็เลยนั่งให้ทั้งสองถ่ายรูปตามใจ จัดท่าทางให้พี่ๆ เขาด้วย ทั้งสองคนก็ใจดีเหลือเกินไม่มีขัดแม้แต่น้อย
บราวนี่อยากมีส่วนร่วม จึงเดินมานั่งด้วย ทุกคนในร้านมารวมกันที่โต๊ะที่ผมกับเพื่อนๆ นั่งอยู่ ยกเว้นไอ้คนขวางโลกคนเดียว ที่ดูเหมือนจะเข้ากับคนอื่น ไม่ได แต่ก็สมแล้วแหละ สังคมของเขาไม่เหมือนพวกเรานี่นา กลุ่มเพื่อนเขาก็ไม่มีทางที่จะมานั่งกับคนแบบพวกผมหรอก ผิดกับคุณคิณ แล้วก็พี่ทิม สองคนนี้เข้ากับใครได้หมด จากที่ตอนแรกแทบจะฆ่ากันเรื่องพี่พาย แต่ตอนนี้กลับคุยกันถูกคอยิ่งกว่าใคร
"เมฆไปไหน" หลิวถามขึ้นหลังจากที่เมฆออกไปนานพอสมควร
"เห็นเดินออกไปข้างนอกนะ" ผมบอกหลิว เธอทำหน้างงก่อนที่จะลุกเดินออกไป สงสัยจะไปหาเมฆแหละครับ บางทีหลิวก้อาจจะมีใจให้เมฆเหมือนกันนะผมว่า ไม่อย่างนั้นคงไปรีบร้อนเดินออกไปแบบนี้หรอก
“ทำไมบราวไม่ชวนพี่ซองมานั่งด้วยล่ะ” พี่พายถามน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เขาไม่มา บอกว่าไม่รู้จักใคร” เห็นไหมครับ คนโลกแคบไม่ยอมเปิดใจให้คนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ จะนั่งอยู่คนเดียวรึไง” พี่พายหันไปมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ลุกเดินไปหาเพราะคงรู้สัยกันดีอยู่แล้ว
“ก็มันนิสัยไม่ดี เข้ากับใครเขาไม่ได้หรอก” เป็นคุณคิณที่เอ่ยขึ้นมาก่อน ไม่ได้คิดว่าน้องชายทั้งสองของเขาจะโกรธหรอก
“พอเลยครับ ว่าพี่ชายพายอีกแล้วนะ”
“แต่น้องบราวก็ว่าจริงนะ พี่ซองเป็นอะไรไม่รู้ใครก็เข้าหน้าไม่ติดแล้ว” บราวนี่เอ่ยเสริมคุณคิณ
“ไม่คุยด้วยแล้ว พี่ไปหาพี่ซองก่อนนะ”
“ผมไปด้วย”
“ไม่ต้องไปครับ เดี๋ยวทะเลาะกันอีก” พี่พายส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะเดินไปหาพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่คนเดียว หลังจากนั้นพี่พายก็หายไปเลย สงสัยคงจะไปนั่งเป็นเพื่อนพี่ชายนั่นแหละ
วันนี้พี่พายใจดีอนุญาตให้ปิดร้านเร็ว เราทุกคนจึงนั่งคุยเล่นกันจนค่ำ น้องๆ จึงทยอยกลับ พี่พายกลับพร้อมคุณคิณเห็นบอกว่าวันนี้จะไปทานข้าวที่บ้านคุณคิณ เพื่อนๆ ผมทั้งสามคนก็กลับไปแล้วเหมือน กัน เหลือผมอยู่คอยปิดร้านเป็นคนสุดท้าย บราวนี่ก็อยู่ช่วย เพราะต้องดึงประตูเหล็กซึ่งหนักพอสมควร ผมดึงคนเดียวไม่ไหวหรอก
“รอบราวแป๊บนะ เก็บโทรศัพท์ก่อน” ตอนนี้หน้าร้านมีเราสามคน ผม บราวนี่ แล้วก็พี่ชายของเขา แต่ผมและเขาต่างทำเหมือนอีกคนไม่มีตัวตน ก็ดีแล้วครับ ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก ยืนรอบราวนี่สักพักรายนี้ก็ยังทำอะไรยุกยิกไม่เสร็จสักที
“ดึงสิ เดี๋ยวกูช่วย” เสียงของอีกคนที่เอาแต่เงียบมานานเอ่ยขึ้น นี่เขาพูดจริงๆ ใช่ไหม ผมไม่ได้หูแว่วไปเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างนี้จะยอมช่วยคนอื่น
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
“เร็วๆ จะได้รีบกลับ” ผมพึ่งรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดเมื่อตอนสิบวินาทีก่อนนี่ผิดอย่างแรง ไม่ได้มีน้ำใจอะไร แค่ต้องการไปให้พ้นๆ จากที่นี่ จะหวังน้ำใจจากคนแบบนี้คงจะยาก
ผมจัดการดึงประตูลงอย่างไม่อิดออด ส่วนเขาก็ช่วยดึงอีกด้าน ก่อนที่ผมจะเอาแม่กุญแจมาล็อกอย่างเช่นทุกวัน
“มินกลับก่อนนะบราว”
“เดี๋ยวสิ กลับพร้อมบราวดิ” บราวนี่เอ่ยรั้งผมไว้ให้กลับด้วย แต่ไม่เอาหรอก เพราะคงอึดอัดน่าดูถ้าผมต้องนั่งรถไปพร้อมกับเขา แม้มันจะเป็นเวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีก็ตาม
“ไม่เอาๆ มินจะกลับรถเมล์ รับลมตอนเย็นๆ สบายดี” แค่คิดว่ารับลมบนรถเมล์ก็ผิดแล้วครับ ในกรุงเทพฯ มีลมที่ไหน นอกจากมลพิษที่ลอยคุ้งไปทั่ว ผมแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่อยากรบกวนบราวนี่
“บอกให้กลับก็กลับสิ มึงจะลีลาอะไร” ถ้าจะเงียบต่อไปผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์แบบนี้ก็อย่าเลยดีกว่า มันทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดี
“พี่ซอง พอเลย” บราวนี่ห้ามพี่ชายเสียงดัง แต่ผมว่าอย่าเลย ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนี้โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ถ้าให้พูดบอกเหมือนตอนเด็กแล้วจะฟังนี่คงไม่ใช่
“มินกลับเองนั่นแหละ ไปแล้วนะ” ผมยกมือบ้ายบายเพื่อนตัวน้อยที่มองตามอย่างน่าสงสาร เดินตามทางเดินที่มีแสงไฟสลัว ส่องพอให้เห็นทาง เดินไปเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงป้ายรถเมล์ในอีกไม่ไกล
‘ปี๊น ปิ๊น’ เสียงแตรรถดังมาจากข้างหลัง ครั้งแรกผมก็ไม่คิดจะหันไปมองหรอกครับ แต่เหมือนรถคันดังกล่าวชะลอแล้วขับตามผม ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกของคนขับรถที่ตอนนี้ลดกระจะรถลงแล้ว
“น้องมินครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“พี่ทิมเดี๋ยวมินนั่งรถเมล์กลับเอง จะถึงป้ายแล้วด้วย” ผมหยุดคุยกับคนบนรถ ดีหน่อยที่ถนนเส้นนี้รถไม่เยอะเลยไม่มีใครมาบีบแตรไล่
“มาเร็วครับดึกแล้ว กลับคนเดียวอันตราย”
“แต่....” ผมยังไม่ได้พูดปฏิเสธพี่ทิม รถข้างหลังก็ดันบีบแตรไล่ซะงั้น ผมรีบหันไปเพื่อที่จะขอโทษรถคันนั้น แต่ก็ต้องชะงักเพราะมันเป็นรถของคนที่พึ่งทำผมไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมานี่เอง จากที่จะขอโทษ ผมกลับเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างๆ พี่ทิมแทน
“อ้าว!” พี่ทิมถึงกับตกใจ ผมก็เหมือนกันแหละครับ ไม่รู้คิดยังไงอยู่ดีๆ ก็ทะล่งเข้ามานั่งกับเขาเฉยเลย งงตัวเองเหมือนกัน
“ไปส่งมินหน่อยนะครับ” เลิกอึ้งแป๊บ ก่อนที่จะหันไปขอร้องให้พี่ทิมไปส่ง ไหนๆ ก็หน้าด้านขึ้นรถเขามาเฉยเลยนี่นา ด้านอีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก
“ได้ครับ น้องมินบอกทางพี่ละกัน”
“ครับ” พี่ทิมเลื่อนมือไปเปิดเพลงสากลเบาๆ ดูเหมาะกับพี่เขาดี เพราะเป็นคนดูใจเย็น ไม่ค่อยไม่ค่อยจะโมโหอะไรง่ายๆ
“น้องมินฟังได้รึเปล่าครับ ถ้าไม่ชอบเปลี่ยนแผ่นได้นะ”
“มินฟังได้หมดแหละครับ” ที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบฟังเพลงเท่าไหร่หรอก ไม่ว่าเพลงไทยหรือเพลงสากลก็ตาม แต่ก็ฟังได้หมดไม่ถึงขั้นว่าไม่ฟังเลย
“เพลงนี้เพราะดีนะครับ ความหมายดี”
“เพลงอะไรเหรอครับ ที่จริงมินไม่ค่อยได้ฟังเพลงเท่าไหร่หรอก”
“เพลง athousand years ครับ
“โห! หนึ่งพันปีเลยเหรอครับ ทำไมล่ะ” พี่ทิมเริ่มอธิบายความหมายเพลงไปเรื่อยๆ ทำไมมันเหมือนความรู้สึกของผมที่เคยมีให้คนนั้นเลยล่ะครับ แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่ได้รอคอยที่จะบอกรักเขาแบบนั้นอีกแล้ว
หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้น ข้ออ้าง และคำสัญญา ทำเช่นไรถึงทำให้ฉันกล้ามากขึ้นกว่านี้
ฉันจะรักได้อย่างไรกัน ในเมื่อฉันกลัวที่จะล้ม แต่แค่ฉันดูเธอยืนอยู่คนเดียว
คำถามเหล่านั้นกลับหายไปในชั่วพริบตา ขยับเข้ามาอีก 1 ก้าว
ฉันรอเธอทุกวัน แม้จะเบื่อ ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนตาย ฉันก็จะรอ
ที่รักอย่าเพิ่งกลัวไปนะ ฉันยังคงรักเธอ มาตลอด 1 พันปี
“จบแล้วครับ” พี่ทิมหันมายิ้มให้ผม ผมเผลอสบตากับพี่ทิมเพี่ยงครู่ก่อนที่จะหันหนีไปอีกทาง ผมไม่สามารถมองตาคนตรงหน้าได้นานเลยครับ ตาของพี่ทิมชวนฝันมองแล้วเคลิ้ม แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรลึกวึ้งนะครับ แค่เขินๆ กับตาหวานๆคู่นั้น
“กำลังฟังเพลินๆ เลย”
“พี่มีความรู้สึกแบบนี้กับคนๆ หนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับที่จะฟังมัน แต่พี่ก็รอที่จะบอกเขาซ้ำๆ ว่ารู้สึกยังไง ตลกดีนะครับ คนที่เรารู้สึกดีด้วย แต่เขามองไม่เห็นมัน” อยู่ดีๆ พี่ทิมก็พูดขึ้น เรื่องความรักของเขาสินะ ทำไมพี่ทิมเหมือนผมจัง ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้มีผมคนเดียวใช่ไหม
“แต่เพลงนี้เขาน่าจะสมหวังนะ แต่พี่ไม่... หึหึ” พี่ทิมดูเศร้าแห๊ะ ไม่มีท่าทีจะล้อเล่นเหมือนอย่างเดิม สงสัยคงจะรักคนนั้นมากล่ะสิ
“ทำไมพี่ทิมไมบอกเขาล่ะ ผลจะเป็นยังไงก็ช่างมัน แค่ได้ทำไง” ผมเอาความรู้สึกตัวเองมาตัดสิน เพราะมันดีกว่าที่เราจะเก็บไว้แล้วเจ็บปวดคนเดียว
“เพราะเขาไม่เคยฟังมันไงครับ แค่พี่กำลังจะอ้าปากพูดเขาก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว”
“ใจร้ายจัง”
“หึๆ งั้นคนใจดีอย่างน้องมินรับอาสาดามใจให้พี่ไหมล่ะครับ” ปรับอารมณ์ไม่ทันจริงๆ เลย ไม่รู้ว่าเสียใจจริงๆ รึเปล่า
“ล้อมินเล่นใช่ไหมครับ” ผมส่งยิ้มแหยๆ ให้กับพี่ทิม
“เปล่านะครับ พี่พูดจริงๆ อยากจะลองเปิดใจให้ใครสักคน เผื่อว่ามันจะดีขึ้นกว่านี้” พี่ทิมพูดถูกทุกอย่าง ถ้าเราเปิดใจใหคนใหม่แล้วลองก้าวเดินไปข้างหน้า โดยที่ไม่หันกลับไปทางเดิมน่าจะดีไม่ใช่เหรอ
“แล้วทำไมต้องเป็นมินล่ะ” ผมรู้ว่าพี่ทิมไม่ได้รู้สึกรักผมหรอก อาจจะแค่เห็นผมเป็นเหมือนน้องชาย เลยกล้าที่จะพูดอะไรหลายๆ อย่างกับผม
“พี่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ก็เท่านั้นแหละครับ” เห็นไหมครับตรงได้อีก เราสองคนไม่ได้มีใจให้กัน แค่ผมกับพี่ทิมอยู่ด้วยกันแล้วเราเข้ากันได้ดี แล้วถ้าผมยอมตกลงคบกับพี่ทิมจะเป็นยังไงนะ มันจะดีสำหรับเราสองคนแล้วใช่ไหม
“ไม่ต้องให้คำตอบพี่ตอนนี้หรอกครับ ลองเก็บเอาไปคิดดู แค่ลองคบกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน เหมือนอย่างที่คนรักเขาทำกัน”
“จะดีเหรอครับ เราไม่ได้รักกันสักหน่อย”
“พูดแบบนี้พี่เสียใจนะครับ” หน้าหล่อๆ ของพี่ทิมเริ่มแสดงอาการน้อยอกน้อยใจ มันตลกจนผมหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ พี่ทิมตลกจังครับ” ผมหัวเราะจนตัวงอ แต่คนตัวโตก็ยังทำหน้ามุ่ยไม่เลิก ใครนะที่กล้าปฏสธผู้ชายน่ารักแบบพี่ทิม ถ้าพี่เขารักผมสักหน่อยผมคงลองเปิดใจให้อย่างไม่ลังเลเลยล่ะครับ
“พี่ไม่ใช่ตลกนะครับ อย่ามาหัวเราะ”
“มินเปล่าซะหน่อย”
“กล้าเนอะ ไม่ได้หัวเราะเลยนะเรา” มือหนาๆ ของอีกคนยกมายีหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเลื่อนกลับไปบังคับพวงมาลัยต่อ มันอบอุ่นดีนะครับมือนุ่มของผู้ชายที่อ่อนโยน
“ตกลงยังไงดีครับเนี่ย”
“แล้วแต่น้องมินเลยครับ ตกลงยงไงก็บอกพี่” เราสองคนคุยกันเหมือนมันใช่เรื่องใหญ่เลย เหมือนเรากำลังคุยเรื่องลมฟ้าอากาศอย่างนั้นแหละ แต่ก็ดีครับ ทำให้บบรรยากาศผ่อนคลายลงเยอะ
รถของเขายังขับตามเราสองคนอยู่เลยครับ ทำไมไม่แซงไปก็ไม่รู้ แต่พี่ทิมคงไม่รู้หรอกมั้งว่าถูกใครอีกคนขับตามอยู่ เลิกสนใจก่อนที่จะหันไปคุยกับพี่ทิมต่อ เพียงไม่นานก็ถึงบ้านแล้วครับ ผมชวนพี่ทิมเข้ามาทานข้าวด้วย แต่เขาบอกว่ามีนัดแล้วเลยขอตัวกลับไปก่อน
อะไรๆ ในชีวิตคนเรานี่เปลี่ยนแปลงได้เร็วดีนะครับ แม้กระทั่งผมตอนนี้ที่กำลังคิดทบทวนเรื่องที่คุยกับพี่ทิมบนรถ ผมจะลองคบกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักนี่จะผิดไหมนะ
***********************************
มินนี่น้อยมารายงานตัว ดึกเลยวันนี้พึ่งแต่งเสร็จเลย มีใครรอกันอยู่รึเปล่าเอ่ย ไม่รู้สนุกไหม ลองอ่านดูเนอะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะ
กอดแน่นๆ สามที ใครไม่กอดจะส่ง....ใครไปหาดีนะ
TBC.