ตอนที่หก
รู้สึกเจ็บเพราะรู้สึกห่วง
วันนี้วันจันทร์ แม่กับเตี่ยกลับโรงงานไปเรียบร้อยแล้วครับ บ้านทั้งบ้านก็จะเหลือผม พี่จันทรา เพิ่มเติมคือ คนต่างบ้านต่างแดน ที่ไม่ค่อยรู้จักประเทศไทย คนที่กลัวหลงทาง ต้องมีไกด์ ไกด์คนนั้นก็คือผม โว้ย มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิด ก็ตั้งแต่กูลมันกลับมาอยู่ยาวคราวนี้ ระบบจัดการกับอารมณ์ของผมมันแปรปรวนไปเสียหมด คนปกติที่เคยใช้ชีวิตธรรมดา เรื่อยๆไม่หวือหวา ชีวิตมีเรื่องเล่าให้ฟังไม่มาก ทุกอย่างเคยวนซ้ำแบบอยู่ที่เดิม นับเวลาได้สองสามวันมานี้ ชีวิตผมกลับเหมือนแม่เหล็กดึงดูดสิ่งต่างๆประเดประดังเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน พี่ปลื้มที่ดูปกติกับผมในก่อนหน้านั้น ใครจะคิดว่าเขาจะมายุ่งเกี่ยวกับผม คนจืดๆ คนที่ชอบทำอะไรเดิมๆ คนที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร ถ้าจะถามหาคนน่าเบื่อ โปรดมองมาที่ผม แล้วคุณจะเจอคำตอบ
“พี่จัน แม่กับเตี่ยได้ทานข้าวก่อนไปไหมครับ”
“ไม่ได้ทานเหมือนเคย บอกว่ารีบออกหนีรถติด”
“ถ้า กูล มันถามหาผม ให้พี่จันบอกว่าผมยังไม่ตื่นนะ บอกว่าปกติผมตื่นเกือบเที่ยงนะครับ ผมช่วยพี่จันแค่นี้นะครับ กลับไปอ่านหนังสือที่ห้องก่อน”
“ไม่ทานข้าวหรอ น้องจุน”
“นี่ไงครับ ตักไปทานที่ห้อง ไปละนะ”
“เดินดีดีค่ะ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวหก”
ผมรีบสาวเท้าเก้าเดินอย่างเร่งรีบ กลัวเจอกูลมันเสียก่อน แค่อิสระครึ่งวันนั้นเป็นของผมก็ยังดี ผมเก่งเรื่องแบ่งเวลาเอามากๆ ห้องคือหลุมหลบภัยที่ดี มันครบครัน ผมแน่ใจว่ามนุษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับห้องๆนี้ นอกจากการฟังเพลงผมเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ หนังสือที่ผมอ่านส่วนใหญ่เป็นหนังสือแนวเล่าเรื่องจากประสบการณ์ มากกว่า ชอบความเรียลของการประสบพบเจอ สิ่งแปลกใหม่ บนโลกอันกว้างใหญ่ หนังสือเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่เด็กจนโต หนังสือมันพูดกับผมไม่ได้แต่ผมพูดกับหนังสือได้
Line Message 10:00 บ่ายนี้ว่างไหมครับจุน
ว่างครับ แต่ไปไหนไม่ได้ 10:01 read
10:01 อ้าว ทำไมหรอครับ
ต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนจุนครับ ไม่มีใครอยู่บ้าน 10:02 read
10:02 ถ้าพี่ไปหาเราที่บ้านได้ไหม
ได้สิครับ ว่าแต่พี่จะมาทำอะไรอะ 10:03 read
10:03 อยากเจอหน้า
หูยยยย แบบนี้ไม่ต้องมาได้ไหม ผมทำหน้าไม่ถูก 10:04 read
10:04 ทำหน้าปกติเลยครับ มากกว่านี้พี่เก็บอาการไม่อยู่
ไม่ได้จีบผมอยู่ใช่ไหม 10:06 read
10:06 จีบครับ
เดี๋ยวพี่ ผมพูดเล่น ใจเย็นๆ คิดให้เยอะๆก่อนตอบได้ไหมครับ 10:07 read
10:07 คิดเยอะมาก หมายถึง คิดถึงนะ เยอะมาก อยากเจอแล้ว
งั้นอย่ามาเลยครับ ผมไม่อยากเจอ 10:08 read
10:09 ใจร้ายอีกแล้ว
จะมาถึงกี่โมงครับ 10:10 read
10:10 ประมาณเที่ยง อย่าเพิ่งทานอะไรก่อนนะ
ครับ 10:11 read
พี่ปลื้มจะมาที่บ้านครับ ตั้งแต่เมื่อวานผมก็ไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับพี่ปลื้ม คิดหนัก ยังไม่เคยโดนจีบจริงจังแบบนี้สักที อยู่มาทั้งชีวิตยี่สิบปี มีคนเข้าหาทั้งทีดันเป็นผู้ชาย ทำยังไงดีวะ เรื่องเพศข้อจำกัดมันเยอะเกินไป ถ้าเกิดผมตกลงไปกับพี่ปลื้ม ผมต้องตัวยังไง คนรอบข้าง สังคม นิสัยส่วนตัวของผม มันจะฝืนกันเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อกรอบของผมมีคนให้แคร์เยอะมากเกินไป ความสุขในกรอบของผมต้องมีแม่กับเตี่ย พี่จันทราอยู่ด้วย ผมคิดว่ามันคือความรับผิดชอบของผม สิ่งที่ผมควรดูแลแม้กระทั่งความรู้สึก
ได้ยินเสียงแตรรถดังทางประตูรั้วหน้าบ้าน ผมมองนาฬิกา 12:00 เที่ยงตรง โคตรตรงเวลาเลยครับ ผมรีบใส่รองเท้าวิ่งไปเปิดประตูให้ฟอร์จูนเนอร์คันสีดำสนิทเข้ามาจอด พี่ปลื้มมาส่งบ้านผมหลายครั้งแล้วครับ ตั้งแต่ผมเรียนปีหนึ่ง ไม่แปลกที่พี่ปลื้มจะมาถูกทางและไวมาก
“สวัสดีครับ” ผมรีบปิดประตู เดินมาไหว้พี่ปลื้ม
“ไงเรา ยังไม่ทานข้าวใช่ไหม”
“ทานแล้วครับ”
“ทำไมไม่รอ” สีหน้าพี่ปลื้มเปลี่ยน
“ผมหมายถึง ตอนเช้า นี่เที่ยงแล้ว หิวด้วย”
“แกล้งพี่หรอครับ จุน” มือใหญ่ขยี้หัวผม พร้อมยิ้มกว้าง โห้ว ลักยิ้มนั้น อยากมีบ้าง
“นี่มันที่แจ้ง ไม่กอดกันไปเลยละ” บ้านไม่ได้เลี้ยงหมา แต่เหมือนได้ยินเสียงหมาเห่าแฮะ
“นี่น้องจุน ใช่ไหม”
“ครับ”
“จุ้นนนนนนนน หิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”
“ไม่บอกพี่จันละ”
คือมันไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นหัวใครด้วย ใครจะมาใครจะไป ไม่สน สนแต่ฉุดกระชากลากแขนผม เดินดุ่มๆเข้าไปในบ้าน
“มันมาบ้านเราทำไม”
“คนไทยเขาสอนว่า คนที่อายุเยอะกว่าอย่างน้อยๆให้เรียกพี่”
“พอดีที่โน่นไม่มีครูคนไทย”
“โว้ย เปรียบเทียบไหมละ”
“เตี่ยจะรู้ไหมว่า ลูกริอาจชวนผู้ชายเข้าบ้าน?”
“แล้วมันแปลกตรงไหน”
“ปล่อยเนื้อปล่อยตัว”
“เป็นผู้ชายโว้ย เอาบัตรประชาชนมาดูเลยไหม”
“แล้วไง เป็นผู้ชายแล้วทำตัวแบบนี้ได้เหรอ แย่วะ”
“....”
ยอมครับ ยอมแพ้แล้วครับ เพิ่งจะเคยเจอ คำโบราณ ๑เถียงคำไม่ตกฟาก เพิ่งประสบในสถานการณ์จริงก็วันนี้ ทำไมผมต้องอธิบายอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ปวดประสาทชะมัด
“ทำอะไรกันอยู่ครับ” พี่ปลื้มเข้ามาได้จังหวะพอดี ผมเดินปรี่เข้าไปช่วยพี่ปลื้มถือกับข้าว
“ป่าวครับ” การบอกปัดแบบนี้ถือเป็นการโกหกไหมครับ กลัวผิดศีลแล้วแต้มบุญของผมจะลดลง หรือ จะให้บอกว่ากำลังเถียงกันอยู่ว่าทำไมผมถึงชวนพี่ปลื้มเข้าบ้าน ไม่ควรทำ อย่างนี้เหรอ
“พี่ยังติดใจฝีมือปลื้มที่ค่ายอยู่เลย อยากทานอีก”
“ที่บ้านไม่มีข้าวกินรึไง” คนไม่มีมารยาทเอาอีกแล้ว
“อยู่คอนโดครับ” ผมหัวเราะครับ มีคนชนะเด็กไร้มารยาทแล้ว
“ไม่ตลก” กูลมันสบถใส่ผมแล้วเดินกระทืบเท้าขึ้นชั้นบนไป
“เด็กมันเอาแต่ใจอะครับพี่ ขอโทษพี่แทนกูลมันด้วยแล้วกัน เด็กมันไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมของไทยเท่าไหร่ โดนส่งไปเรียนตั้งแต่เด็กๆ เด็กมันห่างบ้านห่างเมืองก็แบบนี้แหละครับ อย่าไปใส่ใจมันเลย”
“สงสัยจะหวงพี่ คนพี่ก็น่าหวงขนาดนี้”
“ห้ามพูดอะไรแบบนี้นะครับ” ผมสะดุ้ง กลัวใครจะเข้ามาได้ยิน ไปตีความอะไรแปลกๆ
“แล้วเมื่อไหร่จะจีบติด”
“พี่ปลื้ม!!” ผมตาโต ตกใจหนักกว่าเดิม คำพูดพี่ปลื้ม ใครได้ยิน ไม่ต้องตีความหมายให้ยาก เดาเป็นอื่นไม่ได้
“เข้าครัวกัน” พี่ปลื้มนำผมเข้าไปในครัว ไม่เจอพี่จันทราครับ โล่งใจลงหน่อย อย่างน้อยก็ได้อยู่บนเส้นทางการสนทนาระหว่างผมกับพี่ปลื้มเมื่อสักครู่
“พี่อยากทานอะไรครับ”
“คิดถึงตอนอยู่ที่ค่าย ต้มจืดผักกาดขาว ไข่เจียว หมูทอดกระเทียม ทำได้ไหมครับจุน”
“โหย นึกว่าอยากกินอะไรพิสดารกว่านี้ ช่วยล้างผักหั่นผักเลยครับ”
“นอกเหนือจากนี้ คงช่วยไม่ได้”
ผมหั่นหมูไปต้มในน้ำร้อนผสมเกลือให้พอสุกก่อน ช้อนหมูพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ น้ำต้มที่เหลือเป็นซุปทำต้มจืด ใส่เมล็ดพริกไทยดำและกระเทียมทุบพอแหลกในหม้อ ปั้นก้อนหมูสับที่ผสมไว้กับเกลือรากผักชีพริกไทยโขลกรวมกัน เพิ่มรสเค็มด้วยเกลือลงในซุป คอยช้อนฟองออกน้ำจะได้ใส....
“จุ้นนนนนน หอมจัง”
มาโหมดเด็กอ้อนตีนอีกแล้วครับท่าน อยู่ๆไม่รู้มาจากไหน เดินมาซ้อนหลัง เอาคางมาเกยตรงไหล่ เอามือมาวางตรงสะโพก หน้านี่แนบกับคอของผมเลยครับ ขนคอผมนี่ตั้งชัน มือยังคงเนียนนัวเนียขอบเอวไม่เลิก จนกระทั่งผมหมดความอดทน เพราะ ติ่งหูผมชื้นๆ มันเลียติ่งหูผม ใช่ครับ มันเลียติ่งหูผมแน่ๆ มือไม้อ่อน จวักหล่นจากมือลงหม้อ น้ำร้อนในหม้อกระเด็นโดนมือผมจึงผงะตัวไปตามสัญชาตญาณ จนกูลมันหงายหลังกระแทกเคาน์เตอร์บาร์ในครัว พี่ปลื้มปรี่เข้ามาดู ผมรีบหันไปช่วยยกกูลมันครับ แต่กลับเหมือนมีแรงดึงผมจนล้มลงคว่ำหน้าไปหามัน เพราะมันตัวใหญ่เกินไปรึป่าว คนตัวเล็กแบบผมจึงช่วยอะไรไม่ได้ซ้ำยังล้มไปทับมันอีก เหมือนไม้ซีกงัดไม้ซุง กูลมันคงเจ็บน่าดู ร้องโอย หลายครั้ง กอดรัดตัวผมไว้แน่น จนผมลุกจากตัวมันไปไหนไม่ได้เลย อยู่กันแบบนี้ไปจะยิ่งทำให้มันเจ็บ มันรู้ตัวบ้างหรือเปล่า
โชคยังดีพี่ปลื้มอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วย จึงช่วยแกะมือกูลมันออกจากตัวผม พี่ปลื้มรีบจูงมือผมไปทางห้องน้ำ เอายาสีฟันที่มีฤทธิ์เย็นทาให้บริเวณโดนน้ำร้อนลวก ค่อยๆเป่าลมเย็นลงบนมือของผม ผมมองปากจู๋ๆของพี่ปลื้ม พ่นลมเย็นๆออกจากปาก แต่ทำไมใบหน้าผมกลับร้อนๆ ดีนะเป็นแค่รอยแดงๆ ไม่ถึงขนาดพุพอง ไม่อย่างนั้นคงจะแสบน่าดู
แต่เดี๋ยว.... ผมลืมกูลมันไปเลยนี่หว่า ผมชักมือกลับ รีบเดินไปดูคนที่น่าจะเจ็บกว่าผม
“ไหนดูหน่อย เจ็บตรงไหน” มันลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตรงตำแหน่งพี่ปลื้มนั่ง แสดงว่าคงไม่ได้เป็นอะไรมาก ลุกเองได้
“เจ็บหลัง เจ็บตัว ไปหมด คืนนี้คงระบม” ผมเดินไปเลิกเสื้อด้านหลังของมัน ไม่ได้มีรอยอะไร หรือมันจะช้ำอยู่ข้างใน ภายนอกอาจดูไม่เห็นก็ได้ กูลรีบดึงเสื้อของมันลงมา คงรู้สึกแปลกไม่ชินที่จู่ๆ ผมไปเลิกเสื้อมันเข้า
“ขอโทษ” ผมพูดขอโทษ รู้สึกผิดที่เป็นตัวต้นเรื่องให้เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด แล้วก็ ถือวิสาสะเลิกเสื้อมันขึ้นดูรอยฟกช้ำ
“เอ่อ... จุน เอาผักใส่เลยไหม”
“เดี๋ยวผมทำเองดีกว่าครับ” ผมเข้าไปทำหน้าที่ของผมต่อ บอกให้พี่ปลื้มกลับไปนั่งรอ
ใส่ผักกาดขาวปิดฝา รอสักครู่ ระหว่างรอผมเจียวกระเทียมที่สับเอาไว้ลงไปเจียว หันไปในหม้อต้มจืด ใส่ต้นหอม แล้วช้อนเอาแต่กระเทียมเจียว ใส่ลงไปในต้มจืดแล้วปิดเตา น้ำมันที่เหลือจากเจียวกระเทียมจะมีกลิ่นหอมไว้ทอดไข่เจียว ทอดไข่เจียวแล้ว เจียวกระเทียมอีกครั้งทุบพริกไทยดำให้แหลกหน่อยใส่หมูที่ตั้งไว้เมื่อครู่ ปรุงรสด้วยผงปรุงรสกับน้ำมันหอย ทานกับข้าวได้แล้วครับ
กว่าพวกเราจะได้ทานข้าวอีกห้านาทีก็จะบ่ายโมง คนเจ็บผิวปากอย่างอารมณ์ดี ไม่ช่วยยกอะไรสักอย่าง ผมเข้าใจคงเจ็บอยู่ พี่ปลื้มนั่งก่อน ผมนั่งลงข้างพี่ปลื้ม มันก็ถือจานข้าวจากฝั่งเดิมที่มันนั่งมาเบียดผม เป็นบ้าอะไรอีกวะ
“กูล ขยับไปนั่งดีดี”
“ตักหมูไม่ถึง”
“เดี๋ยวขยับไปให้ หรือจะให้เอาจานมาแบ่ง”
“เอ่อ... พี่ไปนั่งฝั่งข้างโน่นก็ได้ครับ”
“ผมไปเองดีกว่าครับพี่ปลื้ม”
“จะย้ายกันทำไม วุ่นวาย นั่งแบบนี้แหละ” คุณกูล คุณนั่นแหละตัววุ่นวายเลย สรุปคือนั่งฝั่งเดียวกันสามคนผมอยู่ตรงกลาง เป็นการนั่งกินข้าวที่ตลกที่สุดแล้วครับ
“จุ้นนนนน ตักข้าวให้หน่อย เจ็บแขน”
“อะ เอาไป”
“อยากกินต้มจืด”
“เอาถ้วยเล็กมาสิ” มันใช้สายตาบอกว่าอยู่ข้างมือผม ให้ผมหยิบเอา ก็ได้ครับ
“หมูทอดด้วย”
“อะ” ผมจะทานก็ทานไม่ได้ ตกลงเจ็บแขนหรือกระดูกแขนหัก ชักสงสัย ถ้าแขนหักทานข้าวเสร็จมันคงจะเริ่มบวมแล้ว ต้องขอดูแขนสักหน่อย
“ยังไม่ได้ไข่เจียวเลย” เจ็บจนยืดแขนไปตักเองไม่ได้เลยหรอวะ อย่างนั้นต้องไปหาหมอแล้วละ ผมรู้สึกไม่ดีเลย ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยทำอันตรายใครเลย ผมระมัดระวังตลอด ผมรู้จักหลบรู้จักหลีก เป็นแบบนี้โคตรรู้สึกแย่
เมื่อทานข้าวเสร็จ ผมจึงบอกพี่ปลื้มว่าจะพากูลมันไปหาหมอ ตรวจดูสักหน่อย พี่ปลื้มยังอาสาจะขับรถไปส่งโรงพยาบาลให้ แต่เด็กโข่งมันไม่ยอม บอกไม่อยากไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า ไปแท็กซี่ดีกว่า ปลอดภัย เด็กคนนี้ไร้มารยาทสิ้นดี ผมไหว้ลาพี่ปลื้ม รีบวิ่งไปเปิดประตูรั้ว แล้วรีบเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหมายจะไปโรงพยาบาล ให้หมอตรวจดูอาการ เอ็กซเรย์ด้วยยิ่งดี
“ไปกัน พร้อมแล้ว”
“ไม่ไปดีกว่า วันนี้วันจันทร์ โรงเรียนกำลังเลิก ไปติดเง็กบนท้องถนน น่าเบื่อ”
“ไปให้หมอดูหน่อยเถอะนะ บอกตรงๆ ไม่สบายใจเลย”
“ดูนี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย คิดมากไปเองรึป่าว” กูลมันสะบัดแขน ให้ผมดู ไม่ต้องดูแขนมันแล้วละ ไม่บวมแน่ๆ แล้วบนโต๊ะอาหารทั้งหมดคืออะไร แกล้งปั่นประสาทผม ไม่อยากให้ผมทานข้าว หรือ อะไร เหมือนรู้สึกตัวเองโง่เลยวะ
ผมหันหลังเดินกลับห้อง คอมฟอร์ทโซนของผม ไม่มีคำพูดใดๆ ความรู้สึกเก่าๆตีรวนกลับขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้น้ำตาไหล ควบคุมไม่อยู่ ความรู้สึกเหมือนโดนกระชากลงเหว มันทำเพื่อความสะใจของตัวเองล้วนๆ ได้แกล้งให้ผมอายต่อหน้าพี่ปลื้ม ทำตัวไร้มารยาท แบบนั้นไปทำไม ถ้าไม่ใช่การกลั่นแกล้งแบบเด็กต่างชาติเขาเล่นกัน สนุกมากนักหรือ? ผมยอมรับเลยว่าเป็นห่วงกูลมันเอามากๆ นี่สินะความทุกข์ที่เกิดจากการเอาความรู้สึกของตัวเองไปผูกกับความรู้สึกของคนอื่น ผมโง่เอง ทั้งหมดเป็นเพราะผมจัดการมันไม่ดีเอง
Status IG : รู้สึกเจ็บเพราะรู้สึกห่วงGuide Line Thanks.
๑. “เถียงคำไม่ตกฟาก” หมายถึงคนที่พูดโต้เถียงไม่ยอมหยุดปาก “คำ” ในที่นี้หมายถึงคำหมาก คนสมัยก่อนเคี้ยวหมาก ถ้ายังไม่อยากคายทิ้งก็จะอมคำหมากไว้ข้างแก้ม คนที่เถียงไม่หยุดปาก แต่คำหมากก็ยังคงอยู่ในปาก ไม่ยอมให้ร่วงหลุดตกลงพื้น( พื้นสมัยก่อนทำด้วยไม้ไผ่สับให้แตกเรียกว่า “ฟาก” ) จึงเป็นสำนวนว่า "เถียงคำไม่ตกฟาก – ที่มาจากเพจ คนไทยรุ่นใหม่ใช้ภาษาไทยถูกต้อง
๒. สูตรต้มจืดผักกาดขาว หมูกระเทียมทอด ของที่บ้าน ปริมาณตามรสมือรสปากของแต่ละครัว