สองหนุ่มก้าวออกจากห้องอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ทำเสียงดังให้คนในบ้านตกใจ จากนั้นจึงเดินลงบันได ตรงไปยังห้องครัวกัน
รวินท์เองก็ไม่เคยเข้าครัวที่บ้านมาทำกับข้าว เขาจึงเปิดตู้หาของกินไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ตู้อาหารแห้ง “กินอะไรดี”
เด็กหนุ่มก้าวเข้ามายืนประกบด้านหลัง พลางเอื้อมมือไปหยิบห่อบะหมี่สะเร็จรูปมา “มาม่าใส่ไข่มั้ย”
ทันตแพทย์หนุ่มหันขวับ “อือ มาม่าก็ได้”
“โอเค” แล้วภูพิงค์ก็ผละออกไปควานหาหม้อต่อ
รวินท์ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คือแบบ... ที่เขายังยืนงงอยู่เนี่ย ไม่ใช่เพราะตกใจที่จู่ๆ ภูพิงค์ก็เข้ามาประกบข้างหลัง แต่คือคนเป็นแฟนกันน่ะ ปกติถ้าเริ่มด้วยท่านี้แล้ว มันก็มักจะตามมาด้วยฉากโรแมนติกป่ะวะ
แต่ไม่เป็นไร พิงค์อาจจะนึกไม่ถึง เพราะงั้นเขาเริ่มเองก็ได้
ทันตแพทย์หนุ่มมองไปที่คนอ่อนวัยกว่าซึ่งตอนนี้กำลังย่อตัวลงนั่งยองๆ หน้าตู้เพื่อรื้อหาหม้อ เขาเดินเข้าไปย่อตัวลงประกบหลังและกอดคอเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ ขณะที่โน้มใบหน้าเข้าไปเพื่อจรดปลายจมูกลงบนแก้ม คนในอ้อมแขนก็หันขวับมาทางเขา แล้วยังทำตาขวางใส่
“เล่นอะไรวะพี่ แค่ผมหาหม้อนานหน่อยแค่นี้ถึงกับจะฆ่าแกงกันเลยรึไงวะ”
รวินท์คิ้วกระตุก มือที่กอดคออยู่เปลี่ยนเป็นล็อกคอแทนโดยอัตโนมัติ “เออดิ เร็วๆ หน่อย หิวจะตายอยู่แล้ว”
“เจอหม้อแล้ว ปล่อยดิ จะได้รีบต้ม” คนอ่อนวัยกว่าลุกขึ้นพรวด ดึงแขนคนที่ล็อกคอเขาอยู่ให้ลุกขึ้นมาด้วย “ไปนั่งรอ อย่าเกะกะ” พูดจบก็แกะแขนทันตแพทย์หนุ่มออก เอาหม้อไปตั้งไฟไว้แล้วก็ย้ายไปรื้อของในตู้เย็น ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเงิบอยู่เพียงลำพัง
เออ คำว่าโรแมนติกอะเหรอ เขาคงหวังจากพิงค์ไม่ได้หรอก
“มีไส้กรอกด้วย พี่วินกินมั้ย”
“กิน” ทันตแพทย์หนุ่มเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะเตรียมอาหารอย่างเซ็งๆ
“จะนั่งกินตรงนี้เหรอ”
“ไม่อะ ร้อนจะตาย เอาไปกินบนห้องดีกว่า”
“โอเค เดี๋ยวผมหาชามแป๊บ” เด็กหนุ่มหาถาดและชามมาวางเรียงไว้ ไม่นานมาม่าก็สุก เขาจัดการเทใส่ชาม หยิบช้อนกับตะเกียบมาวางไว้พร้อม
รวินท์เดินไปเปิดตู้หยิบแก้ว ตามด้วยเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมา จากนั้นพวกเขาก็เตรียมจะเดินกลับขึ้นห้องนอน
ทว่าพอจะก้าวออกจากครัวก็เห็นมารดายืนอยู่ที่ประตู
“อ้าว แม่ยังไม่นอนเหรอ” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มรับ
“ได้ยินเสียงในครัวเลยลงมาดูน่ะ หิวกันเหรอลูก”
“ครับ แต่พิงค์ต้มมาม่าให้แล้ว”
มารดาส่ายหน้าไปมา “มีอย่างที่ไหนเนี่ย ให้แขกมาต้มมาม่าให้”
ภูพิงค์ชิงตอบ “ผมชินแล้วครับ พี่วินจิกใช้อยู่บ่อยๆ จิกเก่งกว่าไก่ก็พี่วินนี่แหละ”
เจ้าของชื่อเรียกยกขาเตะอีกฝ่ายไปเบาๆ “เก็บปากไว้ผ่าฟันคุดที่เหลือเหอะ”
มารดาหัวเราะ ได้เห็นรวินท์สดชื่นขึ้นเธอก็สบายใจขึ้นมาบ้าง “วินไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ยลูก”
“ไม่เป็นไรแล้วครับแม่ เดี๋ยวสักสายๆ ค่อยคุยกันนะ”
“จ้ะ” มารดาหันไปทางภูพิงค์ “แล้วพิงค์จะนอนที่ไหน แม่เปิดห้องพักแขกให้เอามั้ย” หากรวินท์รีบพูดขึ้นแทรก
“ไม่ต้องหรอกครับ เขานอนกับผมได้”
“เอ้า ก็ตามใจ งั้นกินเสร็จก็รีบนอนกันได้แล้วนะลูก ตีสามกว่าแล้วเนี่ย”
“ครับ” รวินท์เดินนำหน้าออกไป ขณะที่เด็กหนุ่มถือถาดใส่อาหารเดินตามหลังไปต้อยๆ มารดาของรวินท์ก็สะกิดบอก
“ขอบใจนะพิงค์”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
หลังจากกินบะหมี่สำเร็จรูปกันอิ่มท้อง ภูพิงค์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความไปรายงานเพื่อนๆ ว่าเขาได้คุยกับพี่วินเรียบร้อย จากนั้นจึงไปอาบน้ำ เขาเปลี่ยนใส่เสื้อยืดกับกางเกงขายาวของรวินท์ พอก้าวออกจากห้องน้ำมาก็เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ซึ่งเจ้าของห้องนั่งเอนหลังพิงหมอนเล่นโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่
ภายในห้องมีแสงไฟเพียงสลัวจากโคมไฟตรงหัวเตียง แสงสีนวลของมันฉาบไล้เสี้ยวหน้าของทันตแพทย์หนุ่ม จากจุดที่ยืนอยู่เขาสามารถเห็นขนตายาวเป็นแพบนดวงตาคู่หวาน รอยยิ้มน้อยๆ ของรวินท์สะกดให้เขายืนนิ่ง แล้วจ้องมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
แฟนกูจริงๆ เหรอวะเนี่ย ทำไมน่ารักแบบนี้วะ
อย่างกับฝันไป คิดแล้วก็เขินวุ้ย
รวินท์เงยหน้าขึ้นมอง “ยืนบิดไปบิดมาทำอะไร นั่งดิ”
“เอ้อ...” ภูพิงค์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแบบเขินๆ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงตรงที่ว่างข้างคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว “ไม่ง่วงเหรอวะพี่”
“ไม่หรอก หลับๆ ตื่นๆ มาทั้งวันแล้ว”
รวินท์วางโทรศัพท์ในมือลง พลางขยับเข้าไปหาเด็กหนุ่ม แล้วเอนตัวซบศีรษะลงบนแผ่นหลัง เขายังไม่ทันจะยกแขนขึ้นโอบกอด ก็ดันได้ยินเสียงหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นรัวแรงขึ้นของอีกฝ่าย เป็นผลให้หลุดหัวเราะออกมา
“หัวเราะไรวะ!” เด็กหนุ่มหันกลับมาโวยวาย ใบหน้าซับสีเลือด
“โทษๆ” ปากบอกเช่นนั้นแต่ก็ยังหัวเราะไม่หยุด
“หยุดหัวเราะได้แล้วเว้ย อยู่กันสองคนในห้องกับแฟน ผมจะตื่นเต้นบ้างก็ไม่แปลกป่ะวะ”
“เมื่อกี้ตอนกอดในครัวไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยอะ”
“มันไม่เหมือนกันมั้ยวะ นั่นมันห้องครัว กำลังยุ่งๆ อยู่ด้วย แต่นี่มันห้องนอน อยู่บนเตียงอีกต่างหาก”
“อ่อ... งั้นผมขอลองอีกทีนะ” ทันตแพทย์หนุ่มโน้มใบหน้าลงไปแนบกับแผ่นอก พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามถล่มทลายก็ยิ้มอย่างพอใจ “คิดอะไรทะลึ่งอยู่แหงๆ”
“เปล่านะเว้ย!” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัว
รวินท์หัวเราะร่วน “พิงค์นี่น่ารักจริงๆ เลยน้า”
“ไม่เท่าพี่หรอก” ภูพิงค์ก้มลงมองศีรษะที่ก้มงุดอยู่กับอกตน สองมือกระตุกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต เขาควรจะทำไงดีวะ กอดดีมั้ย หรือลูบผมก่อนดี ขณะที่กำลังลังเล อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ยืดตัว ยื่นใบหน้าเข้ามาแต้มจูบเรียวปากตน
จูบครั้งนี้เนิบนาบและอ่อนโยนเป็นพิเศษ รวินท์ผลักเด็กหนุ่มให้เอนหลังลงนอน แล้วขยับขึ้นไปทาบทับ
คนใต้ร่างซึ่งอ่อนกว่าทั้งอายุและประสบการณ์ครางอือในลำคอ เขายกแขนขึ้นโอบกอดทันตแพทย์หนุ่มไว้ ในระหว่างที่สองลิ้นพันพัว เขาก็จ้องมองใบหน้าของคนรักที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย พอมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า เขาจะกำลังจูบกับหนุ่มฮ็อตอย่างพี่วินอยู่
รวินท์ปรือตาขึ้น ก่อนจะชะงักเมื่อประสานสายตากับเด็กหนุ่ม เขาถอนริมฝีปากออกช้าๆ “จ้องอะไรนัก”
ภูพิงค์ยกมือขึ้นไล้แก้มคนบนร่าง “จ้องแฟนอะดิ”
“แล้วเห็นอะไรบ้างล่ะ”
“เห็นความน่ารัก” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง
“แล้วความหล่อไม่เห็นรึไง”
“เห็น แต่ความน่ารักมีมากกว่า พี่วินน่ารักมากๆ เลยรู้ป่ะ น่ารักซะจน... ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะยอมเป็นแฟนกับหมาวัดอย่างผม”
ทันตแพทย์หนุ่มเขกหน้าผากคนใต้ร่างไปเบาๆ “พูดอะไรน่ะ เราตกลงด้วยกันว่าจะคบกันไม่ใช่รึไง”
“แต่สำหรับผมมันก็ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี”
“ผมก็เหมือนกันนั่นล่ะ”
“พี่วิน...” ภูพิงค์กดศีรษะของทันตแพทย์หนุ่มเข้ามาแนบอก “ไม่ได้เจอพี่หลายวัน คิดถึงใจแทบขาดเลยรู้มั้ย”
“ผมก็คิดถึงคุณนะ ไม่มีใครกวนประสาทเลย เหงาเป็นบ้า”
เด็กหนุ่มหัวเราะ “ต่อจากนี้ไปผมจะกวนพี่ทุกวันเลย”
รวินท์อมยิ้ม “โห ซึ้งเลย”
คนอ่อนวัยกว่าผงกศีรษะขึ้นกระซิบ “ขอผมกอดพี่ให้หายคิดถึงหน่อยได้มั้ยอะ”
“ได้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องขอเลย”
เมื่อได้รับคำตอบมาเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ พลิกตัวคนในอ้อมแขนให้เอนหลังนอนลงไปบนเตียง
รวินท์ประสานสายตากับคนที่ขยับขึ้นมาคร่อมบนร่าง ความใกล้ชิดทำให้ลมหายใจขาดห้วง เขาขยุ้มเสื้อของภูพิงค์ไว้แน่น ขณะที่เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “พิงค์...”
เจ้าของชื่อเรียกเอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง แล้วก้มลงจูบหน้าผากของรวินท์ แขนข้างหนึ่งให้ทันตแพทย์หนุ่มใช้หนุนนอน ส่วนแขนอีกข้างโอบกอดอีกฝ่ายไว้ “ฝันดีนะพี่วิน”
ฮะ!?
เดี๋ยวสิวะ! แค่นี้เหรอ?
รวินท์นอนกะพริบตาปริบๆ อยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม ที่บอกว่าจะขอกอด แม่งก็กอดจริงๆ กอดล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นปน พวกเขาอุตส่าห์มีโอกาสได้สวีตกันตามลำพังทั้งที ไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่ากอดจูบเลยเรอะ!
ทันตแพทย์หนุ่มถอนหายใจหนักๆ เขาหันไปหาคนที่นอนอยู่ข้างกัน แล้วจึงขยับเข้าไปซุกใบหน้าลงในอ้อมแขนอบอุ่น
*TBC*มีแฟนสดซิง แถมยังซื่อบื้อ ก็ต้องอดทนหน่อยอะนะพี่วิน /ตบบ่าให้กำลังใจ
ค่อยๆ สอนน้องไปนะ เด็กมันเรียนรู้ไว 55555555555555
หลังจากเครียดกับเนื้อเรื่องมาช่วงนึงก็จะเข้าช่วงผ่อนคลายเบาๆ นะคะ แล้วจะมีดราม่าอีก คราวนี้ก็จะเป็นตาของหมอเต้แล้วก็น้องพิงค์บ้างค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ต้องเตรียมรองเท้าไว้ปาฮัสกี้แต่อย่างใด หมดช่วงรับโปรโมชั่นแร้วววว 55555
หมอวิน หมอเต้ และน้องพิงค์ ทุกคนต่างมีข้อเสียในตัวเอง หมอวินได้รับบทเรียนไปแล้วหนึ่ง ยังเหลืออีกสองหน่อ หมอเต้ยังต้องได้รับบทเรียนจากการกระทำของตัวเอง ส่วนน้องพิงค์ ความขี้หึงและซื่อบื้อก็เป็นเรื่องได้ แต่จะเป็นยังไงก็ขอให้ติดตามกันต่อไปนะคะ 55555555
ขอบคุณคนอ่านที่น่ารักทุกคนมากค่ะ
ปล. เรื่องนี้หมอเต้ไม่มีคู่ค่ะ แต่หมอเต้เป็นพระรองของเรื่องนี้นะคะ อิอิ