[6]
“เหนื่อยหรือเปล่า” ผมถามไอ้ไผ่ ระหว่างที่ผมขับรถมาส่งไอ้ไผ่ที่หน้าปากซอยบ้านมัน
“ไม่เหนื่อยหรอก สนุกมากกว่า” มันยังมีรอยยิ้มให้ผมเสมอ
“ดีแล้วหละ จะได้มีเวลาพักผ่อน” ผมเอามือมาลูบหัวมันเบาๆ แต่ตายงคงมองที่ถนนเหมือนเดิม
“นี่....ทำไมนายต้องดีกับเราขนาดนี้ด้วยหละ” อยู่ๆมันก็ถามผมขึ้นมา ซึ่งผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน
“ก็เพราะนายเป็นเพื่อนไง เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนจริงไหม” ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความเป็นเพื่อนแน่ๆที่ผมช่วยมัน แต่มากกว่านั้นคือผมอยากเห็นมันยิ้ม มันสดใส เพราะเมื่อมันยิ้ม ผมก็มีความสุขไปด้วย
“การมีเพื่อนมันดีแบบนี้เองสินะ” น้ำเสียงของไอ้ไผ่ดูเศร้าลงไปเล็กน้อย ผมจึงหาที่จอดรถเพราะถึงหน้าซอยบ้านไอ้ไผ่พอดี
“นายไม่มีเพื่อนเลยหรอ” ผมหันไปถามมันอย่างสงสัย ซึ่งมันก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“มัธยมก็ไม่มีเพื่อนหรอ” มันก็ยังส่ายหน้าอีกครั้ง ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเหงาของไอ้ไผ่
“ขอโทษนะ....ทำไมนายต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วยหละ” หลังจากนิ่งเงียบกันสักพัก ผมจึงถามในสิ่งที่อยากรู้
“ก็ถ้าไม่ทำ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่ได้เรียนอีกด้วยนะสิ” มันอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“แล้ว....” ผมอยากจะถามถึงพ่อแม่ไอ้ไผ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือเปล่า เพราะมันอาจจะทำให้ไอ้ไผ่ไม่สบายใจมากกว่าเดิม
“ท่านเสียไปแล้วหละ ตั้งแต่เราอยู่ ม.3” มันเงยหน้ามายิ้มให้ผม แต่รอยยิ้มครั้งนี้มันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจเลย มันกลับทำให้ผมรู้สึกผิดที่ถามถึงเรื่องพวกนี้ ไอ้ไผ่ฝืนยิ้มให้ผมเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ใบหน้าของมันบ่งบอกได้ว่าปวดร้าวเพียงใด
ผมขับรถออกมาโดยที่ไอ้ไผ่ไม่รู้ตัว เพราะยังคงก้มหน้าคิดถึงสิ่งต่างๆที่เคยผ่านมา ตอนนั้นผมคิดเพียงแค่ว่าปล่อยมันอยู่คนเดียวไม่ได้ ผมเลยคิดว่าจะพามันไปนอนที่ห้องของผม อย่างน้อยมันจะได้ไม่ต้องคิดมากอีก
“ทำไมมาที่คอนโดนายได้หละ” พอผมจอดรถเรียบร้อย เหมือนไอ้ไผ่จะรู้ตัวสักที มันเริ่มมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหันมาถามผม
“นายเรียนเข้าใจไหมวันนี้นะ” ผมหันไปถามมันด้วยหน้าตาจริงจัง ซึ่งมันก็พยักหน้าตอบอย่างงงๆ
“งั้นก็ดี อธิบายให้เราฟังหน่อยสิ เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่” ผมบอกก่อนจะเปิดประตูรถลงมา......เวรจริงไอ้ติน หาเหตุผลอะไรของมึงวะเนี่ย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“นายจะอาบน้ำก่อนหรือเปล่า” ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับไอ้ไผ่ พร้อมกับหันไปหาเสื้อผ้าที่จะให้มันใส่นอน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวอธิบายนายเสร็จเราก็กลับไปอาบที่บ้านก็ได้” ในมือมันถือผ้าเช็ดตัวที่ผมส่งให้เมื่อครู่ แต่มันก็ยังบอกปัดที่จะอาบน้ำ
“แล้วใครบอกจะให้มึงกลับหละ คืนนี้มึงนอนที่นี่หละ” ผมวางเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลงบนมือของมัน
“แต่ว่า...” มันกำลังจะค้าน แต่ผมก็ขวางมันไว้ก่อน
“ไม่มีแต่ ถอดเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำซะ....หรือจะให้ถอดให้” ผมเห็นมันยังยืนนิ่งเลยแกล้งเอื้อมมือเข้าไป ทำเหมือนจะถอดเสื้อให้มัน จนมันต้องถอดหลังแล้วมองหาห้องน้ำ
“ก็เท่านั้นหละ” ผมพูดเบาๆเมื่อเห็นมันเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ก่อนจะออกมาด้านนอกของห้องนอน
“ทำอะไรนะติน” ผมกำลังปูผ้าที่หน้าทีวี ไอ้ไผ่ที่อาบน้ำเสร็จแล้วมายืนมองผม พร้อมกับถามอย่างสงสัย
“ปูที่นอนไง” ผมตอบพร้อมกับวางหมอนลงสองใบข้างๆกัน แล้วขยับผ้าห่มให้เข้าที่
“ปูทำไมหรือ” มันยังไม่หายสงสัยกับสิ่งที่ผมทำ
“ก็คืนนี้นอนหน้าทีวีนี่หละ เราซื้อแผ่นหนังมาใหม่ ดูเป็นเพื่อนหน่อย” ผมนึกถึงแผ่นหนังผีที่ผมเพิ่งซื้อมาให้ ทำให้คิดได้ว่าไม่รอไอ้เจแล้ว ดูกับไอ้ไผ่นี่หละ อย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนนอนด้วย ถ้านอนคนเดียวไม่มีทางที่ผมจะดูอะไรแบบนี้แน่
“ไหนว่าจะให้ติวหนังสือไง” มันทำหน้าสงสัยหนักกว่าเดิมอีกคราวนี้ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้บอกอะไรไว้
“หนังสือไว้พรุ่งนี้หรือวันหลังก็ได้ กว่าจะเรียนอีกทีก็ตั้งอาทิตย์หน้า” ผมหาเรื่องเฉไฉไปอีกทาง
“งั้นเรากลับบ้านดีกว่านะ เกรงใจนายเปล่าๆ” มันทำท่าจะเข้าไปเปลี่ยนชุดเหมือนเดิม แต่ผมก็เข้าไปลากมันไว้ได้ก่อน
“โห่....ไผ่ดูเป็นเพื่อนกันหน่อยสินะ เราไม่กล้าดูคนเดียวจริงๆ” ผมทำท่าอ้อนไอ้ไผ่ เพราะจะกันจริงๆผมก็กลัวจริงๆนั่นหละ แต่ก็ดันชอบดูอีก เลยต้องหาเพื่อนดูด้วย ไม่งั้นหลอนตายแน่ๆ
“งั้นก็ได้...แต่ขอไปซักเสื้อก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีใส่” ไอ้ไผ่คิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบผมกลับมา ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบมันด้วยความดีใจ
ระหว่างที่ไอ้ไผ่ไปซักเสื้อของตัวเองในห้องน้ำ ผมก็ไปเข้าครัวเพราะทั้งผมและไอ้ไผ่ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยหลักเลิกงานกลับมา
“ไหนบอกไม่ให้เรากินมาม่าไง แล้วทำไมถึงต้มมาแบบนี้หละ” ไอ้ไผ่เดินออกมา พอมองเห็นชามมาม่าสองชามที่วางตรงโต๊ะหน้าโซฟาก็ได้แต่ถามแบบยิ้มๆ
“มันไม่เหมือนมาม่าของนายนี่นา” ผมเริ่มอธิบายให้มันฟัง
“ต่างยังไง” ไอ้ไผ่ยืนกอดอก ทำเหมือนตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะบอกมัน
“มาม่าไม่ต่าง แต่ของเราใส่หมูเพิ่มโปรตีน มีไข่เพิ่มพลังงาน แล้วยังมีผักบุ้งบำรุงสายตาด้วยต่างหาก” ผมสาธยายเสร็จก็ยักคิ้วให้มัน เป็นการบอกว่าของผมมีคุณค่าทางอาหารแน่นอน
“โอเคๆๆ” ไอ้ไผ่ลดมือที่กอดอกลง พร้อมกับยิ้มกว้างให้ผม
“มานั่งกินเลย กำลังร้อนๆ จะได้เริ่มดูหนังสักที” ผมกวักมือเรียกมันให้มานั่งข้างๆผม โดยที่ผมขยับชามมาม่าไปให้มันชามหนึ่ง แล้วทั้งผมและมันก็ก้มหน้ารับผิดชอบชามใครชามมัน
“นี่คราวหลังไม่ต้องเลี้ยงข้าวเราแล้วนะ” ไอ้ไผ่บอกกับผมระหว่างที่มันกำลังล้างชามมาม่า
“นายรู้สึกไม่ดีหรอ” ผมถามมันด้วยหน้าเรียบๆ เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่ผมช่วยเหลือมันในสิ่งเล็กๆน้อยๆ กลับกลายเป็นการทำให้ไอ้ไผ่รู้สึกต้อยต่ำ
“อื้ม....” รอยยิ้มเล็กๆส่งมาให้ผม แต่คำตอบมันก็บอกแล้วว่า เจ้าของคำพูดไม่ได้รู้สึกดีเลย
“ที่เราทำไม่ได้อยากให้นายรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารหรอกนะ แต่เพราะนายเป็นเพื่อนเรา นายเข้าใจใช่ไหม” ผมอธิบายไม่ได้เช่นกันว่าทำไมผมถึงอยากทำอะไรให้ไอ้ไผ่ แต่พอเห็นท่าทางลำบากใจของมัน ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“เรารู้ว่านายเป็นเพื่อน แต่ว่านะเราก็อยากทำอะไรได้ด้วยตัวเองบ้าง” ไอ้ไผ่มันเอามือมาจับแขนผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา
“เข้าใจแล้ว....แต่ถ้านานๆครั้ง นายคงไม่ว่าหรอกนะ ห้ามว่าเด็ดขาด งั้นก็โอเค” ผมพูดเองเออเองโดยที่ไอ้ไผ่ยังไม่ได้ตอบ ก่อนจะเดินออกมาด้านนอกห้องครัวมาตรงหน้าทีวีที่ผมปูผ้าไว้เป็นที่นอนคืนนี้
คืนนั้นผมกับไอ้ไผ่นอนดูหนังผีด้วยกัน แต่ไอ้ไผ่เหมือนดูหนังตลกมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ผมสะดุ้งจากหนังในจอ ไอ้ไผ่ก็ขำในท่าทางของผม จนผมต้องทำท่าเคืองมัน มันถึงหยุดขำได้ แต่ก็มีแอบขำบ่อยๆ
พอหลังจากดูหนังกันจบ ผมให้ไอ้ไผ่ลุกไปปิดไฟ เพราะผมไม่กล้าเดินในที่มืดๆนั่นเอง พอไอ้ไผ่ปิดไฟได้ ผมก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปงทันที เพราะมันยังหวาดระแวงจากในหนังไม่หาย ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่นานก็ไม่หลับสักที จนไอ้ไผ่เหมือนจะรู้ เพราะจู่ๆผมก็สัมผัสได้กับมือของมันที่มาจับมือของผมไว้เบาๆ
“นอนได้แล้วนะ เราอยู่ข้างๆนี่หละ ไม่ได้หนีไปไหน” เสียงมันเอ่ยมาเบาๆ พร้อมกับแรงสัมผัสที่มีมากขึ้นบริเวณมือ ทำให้ผมผ่อนคลายและหลับไปตอนไหนไม่รู้..........
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัก...ตินกับไผ่กันบ้างนะครับ