บทที่ 10 รอยร้าวในวังหลวง
สิ่งที่ขุนทับกับเรืองหวังไว้ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะ หลังจากแต่งตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นพระราชวังบวรสถานมงคลได้แค่เพียงปีเศษ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ทรงประชวร และในขณะประชวรอยู่นั้นพระองค์มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าอุทุมพร และเจ้าฟ้าอีกสี่พระองค์ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าฟ้าแขก เจ้าฟ้ามังคุด เจ้าฟ้ารถ และเจ้าฟ้าปานถือคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะทรงรับใช้เจ้าฟ้าอุทุมพร
เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าฟ้าทั้งสี่เป็นอย่างมาก
“พี่ทับจ๊ะ พี่ทับคิดว่าวิธีที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงใช้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดจ๊ะ กรมหมื่นเทพพิพิธ*นั้นฉันไม่ค่อยห่วงนัก แต่เจ้าสามกรมที่เหลือนี้สิ เมื่อครั้งเจ้าฟ้ากุ้งก็คราวหนึ่งแล้ว ฉันเกรงว่าอาจมีการนองเลือดนี้สิ”
“เจ้าสามกรมพี่ก็กังวล แต่มีอีกคนที่พี่กังวลยิ่งกว่าคือ เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ทรงสึกออกมาแล้วนะ หลังทราบข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงประชวรพระองค์ก็ทรงลาสิขาออกมาด้วยตัวพระองค์เอง”
“แล้วที่นี้เจ้าฟ้าของเราจะทำอย่างไรต่อละจ๊ะ” เรืองกังวลอย่างหนักเพราะ รู้ว่าแต่ละพระองค์นั้นกระหายอำนาจอยากเป็นเป็นกษัตริย์กันขนาดไหน
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราขัดชะตาฟ้าไม่ได้ดอก แต่ในฐานะมหาดเล็กในพระราชวังบวรสถานมงคลพี่และเจ้า เราจะปกป้องเจ้านายจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“จ้ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะอยู่รบข้างพี่ตามที่ฉันเคยสัญญาเอาไว้”
“พูดถึงสัญญาที่เจ้าเคยให้พี่ เหมือนเจ้าบอกรักพี่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยใช่รึไม่คนดี”
“คิดไปเรื่อย ฉันเห็นพี่เป็นคนที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างดอก ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แล้วตอนั้นฉันก็ยังเด็กเห็นฉันเป็นคนแก่แดดรึอย่างไร” เรืองแกล้งฉุนเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ถูกแซว
“พี่ก็หยอดเจ้าเล่นดอกไม่อยากให้เจ้าเครียดกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเห็นพี่เป็นแบบอย่าง แล้วตอนนี้เล่าเห็นเป็นอะไรคนรักใช่รึไม่” ตอนแรกนั้นขุนทับแค่หยอกให้น้องหายเครียด แต่พอเห็นเรืองเขินก็ยิ่งได้ใจ
“ไม่พูดด้วยแล้วคนอะไรไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรก็ชวนวนเข้าเรื่องสัปดนได้ทุกทีไป” เรืองรีบเดินหนีด้วยความอาย
ถึงเรืองจะพยายามคิดในแง่ดีเพียงใดว่าอีกไม่นานพระอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัวจะทรงดีขึ้น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะ หลังจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเรียกพระโอรสเข้าเฝ้าไม่กี่ราตรีพระองค์ก็สวรรคต ภายหลังข่าวการสวรรคตครั้งนี้เป็นที่ทราบกันทั่วทั้งกรุงศรีเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงมีรับสั่งให้ขุนทับเข้าเฝ้า
“เรามีประสงค์ให้เจ้ากรมทั้งสี่ออกผนวชเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต เจ้าทับจงนำคำสั่งเราไปบอกแก่พวกเขา”
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า” ขุนทับรีบนำเรื่องไปบอกด้วยใจที่กังวลเพราะ ไม่คิดว่าเจ้ากรมทั้งสี่จะยอมออกผนวชแบบที่เจ้าฟ้าอุทุมพรต้องการ และเป็นไปตามที่คาดมีเพียงเจ้าฟ้าแขก หรือกรมหมื่นเทพพิพิธเท่านั้นที่ทรงรับพระราชโองการในทันที ส่วนเจ้าสามกรมที่เหลือยังไม่ยอมตอบอะไร ขุนทับได้แต่หวังว่าคำตอบของเจ้าสามกรมจะเป็นคำตอบเดียวกันกับคำตอบของกรมหมื่นเทพพิพิธ แต่ไม่เป็นไปอย่างที่ขุนทับหวังไว้เพราะ ไม่เพียงไม่ยิ่งยอมใจในการออกผนวชเท่านั้น เจ้าสามกรมยังร่วมมือกันเข้ายึดศาสตราวุธทั้งหมดในโรงพระแสงแล้วนำไปไว้ที่ศาลาลวด การกระทำดังกล่าวถือเป็นการประการสงครามกลางเมืองอย่างชัดเจน
“จะทำอย่างไรดีพระพุทธเจ้าข้า เจ้ากรมทั้งสามนอกจากยึดศาสตราวุธแล้ว ยังนำกำลังปิดล้อมประตูวังแทบทุกทางแล้ว” เรืองทูลถามด้วยความกังวล ถึงจะเคยได้ยินเรื่องการก่อกบฏในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมาบ้างแล้ว แต่ในตอนนั้นเรืองยังไม่เกิดจึงไม่รู้ถึงความรุนแรงที่แท้จริงในการก่อกบฏ
“อย่าเป็นกังวลไปเลยพันเรือง ฉันคิดว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วใช่รึไม่นะเกล้านะกระหม่อน” ขุนทับขัดเมื่อเห็นว่าเรืองดูตื่นตูมกับเหตุการณ์นี้
“อย่างนั้นรึนะเกล้านะกระหม่อน แล้วพระองค์จะใช้วิธีไหนรึนะเกล้านะกระหม่อน”
“ร่มกาสาวพัสตร์อย่างไรเล่าพันเรือง”
“อย่างไรรึพี่ทับ ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจที่พระองค์ตรัสสักเท่าไร” เรืองกระซิบถามขุนทับหลังจากได้รับโองการให้ออกมาค่อยดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกตำหนัก
“พระองค์ทรงไปกราบเรียนพระภิกษุสงฆ์จากห้าวัดให้เข้าเฝ้าเจ้าสามกรม เพื่อให้ทั้งสามกรมยอมยกเลิกการกระทำนี้”
“เจ้าพระคุณวัดไหนบ้างรึจ๊ะพี่ทับ”
“เจ้าพระคุณเทพกวี วัดพระรามมาวาด เจ้าคุณธรรมโคดม วัดธรรมมิการวาด เจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ เจ้าคุณพุทธโคษาจรย์ วัดพุทธไทสวรรค์ และเจ้าคุณพระเทพบุรี วัดบุรีดาว อย่างไรละเจ้า”
“นายของเราฉลาดเสียจริงนะจ๊ะพี่ทับ พระองค์ต้องทรงรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเจ้าสามกรมต้องเคยเป็นลูกศิษย์เจ้าพระคุณไม่วัดใดก็วัดหนึ่งเป็นแน่”
และเป็นไปตามที่เจ้าฟ้าอุทุมพรคาดการณ์ไว้หลังจากเจ้าพระคุณทั้งห้าเทียวไปเทียวมาสองรอบ เจ้าสามกรมก็ยอมเข้าพบพระเจ้าอุทุมพรเพื่อถวายน้ำพิพัฒน์สัตยา แต่ขอไม่ออกผนวช
“พี่คิดว่าเจ้าสามกรมคงไม่ยอมอยู่ใต้โอวาทเจ้าได้นานนั้นดอกพ่อดอกมะเดื่อ พี่ได้ข่าวมาว่าที่โรงดาบของเจ้าสามกรมยังมีการฝึกสอบดาบอยู่เลย” หลังจบเรื่องเจ้าสามกรมได้ไม่นาน เจ้าฟ้าเอกทัศก็เข้าเฝ้ากราบทูลถึงเรื่องนี้
“แล้วเจ้าพี่มีความคิดว่าอย่างไรในเมื่อทั้งสามกรมก็ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นพี่ว่าเจ้าก็ไม่ควรนิ่งนอนใจจะเจ้าดอกมะเดื่อ”
เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงถามถึงการแก้ปัญหานี้กับเจ้าฟ้าเอกทัศว่าควรทำเช่นใด แล้วได้ผลสรุปว่าโทษของการก่อกบฏคือ โดยสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เพื่อจบปัญหาของเจ้าสามกรมที่อาจก่อขึ้นอีกในอนาคต เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงเห็นด้วยกับเจ้าฟ้าเอกทัศและทรงออกคำสั่งให้นำเจ้าสามกรมไปสำเร็จโทษแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง
“จบปัญหากันเสียทีนะจ๊ะพี่ทับ ฉันละกังวลกับเรื่องนี้ไปเสียหลายวัน” เรืองคุยกับขุนทับที่เรือนริมน้ำหลังจากคุยกันถึงเรื่องพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
“พี่ว่าปัญหาที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต่างหากเล่า ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เจ้าสามกรมแต่เป็นเจ้าฟ้าเอกทัศเสียมากกว่าเชื่อพี่เถอะเรือง เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ไม่ทรงยอมอยู่ในตำแหน่งแค่นี้แน่ ๆ”
และเป็นไปตามที่ขุนทับคาดคิดภายหลังจากเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ได้เพียงสองเดือน ขณะเจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จเข้าตำหนักหลวง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าเอกทัศทรงประทับอยู่บนพระที่นั่ง มือถือพระแสงขรรค์ชัยศรี** จึงกราบทูลต่อเจ้าฟ้าเอกทัศไปว่า
“กำลังจะไปเข้าเฝ้าพอดีพระพุทธเจ้าข้า กระหม่อนเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเหลือเกิน หลังเสร็จพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กระหม่อมจะลาบวชพระพุทธเจ้าข้า”
“อะไรกันพ่อดอกมะเดื่อน้องพี่ จะทิ้งพี่ไปบวชแล้วรึ แล้วกรุงศรีของเราเล่าใครจะดูแล”
“กระหม่อนอยากให้เจ้าพี่ขึ้นมาดูแลกรุงศรีอยุธยาแทนหม่อมฉัน”
“ถ้าพ่อดอกมะเดื่อว่าดี พี่ก็คงต้องตกลงด้วยจะห้ามคนไม่ให้บวชพี่ก็กลัวจะเป็นบาป” เจ้าฟ้าเอกทัศตอบด้วยท่าทางดีใจซึ่งต่างจากคำพูดที่เหมือนกับไม่ได้อยากได้ตำแหน่งนี้เลย
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ละจ๊ะ ถึงจะไม่ผิดจากที่พี่ทับพูดไว้ แต่ฉันก็รู้สึกแย่ไม่ได้ตำแหน่งกษัตริย์นะจ๊ะ ไม่ใช่เล่นขายค้า ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครใคร่ขายก็ขาย”
“แต่พี่ว่าเป็นอย่างนี้เห็นจะดีกว่า เจ้าฟ้าเอกทัศนั้นมีพรรคมีพวกก็มา มากกว่าเจ้าสามกรมรวมกันเสียอีก ถ้าไม่ทำอย่างนี้อาจเกิดเหตุการณ์นองเลือดดังครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์ก็เป็นได้”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะพี่ทับ” เหตุการณ์นี้ทำให้เรืองคิดว่าถึงตนเองนั้นจะอายุยังไม่ถึงเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่าตนนั้นผ่านเหตุการณ์มาเยอะกว่าคนมีอายุบางคนเสียอีก และแต่ละเหตุการณ์นั้นช่างผ่านไปยากเย็นเสียเหลือเกิน
ขุนทับเห็นสีหน้าของเรืองก็ดึงเรืองเข้าไปกอด “คนดีของพี่ พี่เข้าใจเจ้านะ เรื่องบางเรื่องช่างยากเกินกว่าที่เด็กอย่างเจ้าจะเข้าใจ แต่อย่าได้กังวลไปพี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ตามที่เราสัญญากันไว้อย่างไรเล่า” พร้อมลูบหัวและลูบหลัง
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะทีนี้” เรืองช้อนตามองขุนทับขณะอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่ไม่ว่าครั้งใดก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ใจให้เรืองได้เสมอ
“เจ้าพระคุณขุนหลวงอุทุมพรมีรับสั่งแล้วให้เราเข้าเฝ้าถวายตัวกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ในวันพรุ่ง แล้วเจ้าคุณพ่อของพี่จะรับเจ้ากับพี่เข้ากรมสังกัดเดียวกันกับท่าน”
“ถึงจะมีปัญหามากมายแต่ฉันก็ยังดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างพี่ทับอย่างนี้”
“แน่นอนพี่ไม่มีทางปล่อยเจ้าให้อยู่เดียวดายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้แน่ ๆ เจ้าไม่ต้องกลัว”
วันรุ่งขึ้นขุนทับเตรียมพานแพรดอกไม้สำหรับถวายตัวไว้ให้ตน และเรืองคนละชุดเพื่อนำไปถวายตัวแก่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
“มากันแล้วรึวะ ท่านวังสวนกระต่าย***คงรีบให้พวกเอ็งมาใช่รึไม่ถึงขุนทับ พันเรืองได้มากันแต่เช้า” เมื่อมาถึงเรืองก็เห็นมหาดเล็กบางคนในฝ่ายเจ้าฟ้าอุทุมพรนั่งถวายตัวก็อยู่ก่อนแล้ว
“พ่อเอ็งขอเอ็งกับพันเรืองจากข้าให้ไปช่วยงานตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าก็เห็นสมควรจึงยกให้ไปแล้ว พวกเอ็งคงไม่ขัดใช่รึไม่”
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”/ “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
หลังถวายตัวเสร็จสิ้นเรืองกับขุนทับก็เตรียมตัวกลับ ด้วยจะเริ่มทำงานกับกรมใหม่ในวันพรุ่ง และวันนี้คงมีแต่คนเข้าพะราชวังไม่ขาดสายเพื่อมาถวายตัว
“มาแต่เช้ากันเชี่ยวนะ นายเก่าเข้าวัดไปไม่ทันไรก็รีบมาเลียขานายใหม่ ได้ข่าวว่ารีบให้พ่อกราบบังคมทูลขอตัวไปอยู่ด้วยเลยนิ ดวงพาเจ้านายซวยทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้ไม่ต้องมีใครเขาอยากรับเข้ากรมด้วยดอก นายแรกก็สิ้น นายสองก็ออกผนวช”
“ไม่เห่าสักวันก็ไม่มีใครว่าดอกนะหมื่นมิ่ง ไม่ได้เจอกันเสียนานจนคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันเสียแล้ว รู้อย่างนี้ไม่น่ารีบมาเลย” ขุนทับตอบกลับด้วยความโมโห ว่าตนกับเรืองยังไม่เท่าไร แต่นี้กลับพาดพิงไปถึงท่านที่สิ้นแล้วกับเจ้าพระคุณขุนหลวงองค์เก่า
“อย่ามีปัญหากับเลยพี่ทับ พี่ก็รู้ว่าหมื่นมิ่งเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศ ถ้าพี่มีเรื่องกับหมื่นมิ่งวันนี้คนเขาจะเอาไปพูดต่อได้ว่าพี่คิดแข็งข้อกับพระเจ้าเอกทัศ แล้วพี่จะมีปัญหาตามมาก็เป็นได้” ไม่ว่าเปล่าเรืองรีบลากขุนทับออกจากบริเวณนั้นในทันที
“พี่ขอโทษเจ้าด้วยนะเรืองที่ไม่คิดให้รอบครอบเสียก่อน จนเกือบก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียแล้ว” เมื่อออกมาจากบริเวณนั้นขุนทับก็ขอโทษเรืองในทันทีที่คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
“ไอบ้า ไอคนผีเจาะปากมาพูด น่าเอาดาบตัดลิ้นเสียให้ขาด ปากดีเสียจริงคิดว่าเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศแล้วจะไม่มีใครกล้าทำอะไรรึ รอดูต่อไปเถอะฉันไม่ปล่อยไอบ้าหมื่นมิ่งนั้นไว้แน่” เรืองโกรธจนตัวสั่น
“อ้าวเจ้าก็โกรธเหมือนกันรึ แถมยังดูโกรธกว่าพี่เสียด้วยซ้ำไป” ขุนทับรู้สึกงงกับท่าทีของเรือง
“โกรธสิจ๊ะทำไมจะไม่โกรธเล่า มันว่ากระทบนายเราทั้งสองพระองค์ แต่พอฉันเห็นพี่ทับโกรธทีไร อารมณ์โกรธฉันหายไปเสียทุกที มีแต่ความรู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ได้ให้พี่ทับหายโกรธ แต่พอพี่ทับหายโกรธแล้วความโกรธของฉันมันก็ปะทุขึ้นมาใหม่เสียได้”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เจ้านี้นะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ทำให้พี่ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขก็ความเป็นเจ้าได้เสียทุกที ดีเสียจริงที่พี่ด้วงได้รู้จักและแต่งงานกับแม่จันเพราะ พวกเขาทำให้พี่ได้มาพบเจ้าคนดีของพี่”
เรืองถึงกลับปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยทั้ง ๆ ที่ตนเองโกรธอยู่นั้น แต่ขุนทับกลับทำให้อารมณ์เปลี่ยนเป็นเขินอายไปไหน “ฉันก็ควรต้องขอบคุณพี่ทั้งสองคนนั้นเหมือนกันที่ทำให้ฉันได้มารู้จักและรักกับพี่ทับได้”
*กรมหมื่นเทพพิพิธคือ ยศของเจ้าฟ้าแขกหลังจากได้การสถาปนาแล้ว โดยเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์นั้นพระโอรสทุกพระองค์จะได้รับยศเป็น “กรม”
**พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสง (ดาบ) ศาสตราวุธประจำองค์พระมหากษัตริย์
***วังสวนกระต่ายเป็นที่ประทับของพระเจ้าอุทุมพร
เราขอโทษที่หายไปตอนนี้เขียนยากจริงเหตุการณืสำคัญมันต่อเนื่องกันมาก ต้องหาอ้างอิงเยอะอยู่