ใจยักษ์ 33
“จะไม่เข้าไปดูมันหน่อยหรอ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าเป็นพี่เซนท์กับพี่ใจดี
“...ไม่ดีกว่าครับ แค่เขาปลอดภัยก็ดีใจแล้วครับ” ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วหันไปมองหน้าประตูห้องพักทศกัณฐ์อีกครั้ง หลังเขาผ่าตัดเสร็จราวๆสามชั่วโมง แพทย์ก็ให้ทศกัณฐ์มาพักที่ห้องพักฟื้นได้เลย ผมยืนอยู่หน้าห้องเขาตั้งแต่เขาถูกย้ายมาจนกระทั่งพี่เซนท์ทักเมื่อกี้แหละครับ ผมดีใจและโล่งใจมากที่เขาปลอดภัย แต่หลังจากนั้นความรู้สึกผิดก็ตีตื้นขึ้นมาจนผมพูดไม่ออก ผมไม่กล้าเข้าไปสู้หน้าเขา ถ้าไม่ใช่เพราะผมเขาก็คงไม่ต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้
“ทำไมล่ะ ถ้ามันตื่นมาไม่เจอน้องรันต์ มีหวังอาละวาดจนโรงพยาบาลแตกแน่ๆ” พี่เซนท์ทำท่าลูบหวาดๆประกอบคำพูดตัวเอง
“หรือว่ารู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้มันโดนยิง” คำพูดของพี่ดียิงทะลุเข้าที่กลางอกผมเต็มๆ ผมเงียบไร้คำพูด รู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้าพี่ๆเขา เลยได้แต่ก้มหน้านิ่งกำมือแน่น
“ดี ทำไมพูดกับน้องแบบนั้นวะ” พี่เซนท์เอ็ดพี่ดีเสียงดุ
“ถ้ารู้สึกผิดก็ไปดูแลมัน ไปทำให้มันมีความสุขซะสิ จะมัวลังเลหนีหัวใจตัวเองไปทำไม อะไรที่เป็นอดีตก็ปล่อยมันไปทุกอย่างผ่านไปแล้ว ไม่มีใครดีพอไปซะหมดหรอก แต่เราจะพอดีกับใครสักคนมากกว่า”พี่ดีไม่สนใจเสียงพี่เซนท์ เขายังคนสั่งสอนผมยาวเหยียดผิดนิสัยพูดน้อยของเขา
“ห๊ะ! เมื่อกี้มึงว่าใครรักใครวะ?” พี่เซนท์เกาหัวถามพี่ดีงงๆ พี่ดีเพียงแสยะยิ้มคืนให้พี่เซนท์ก่อนจะกอดคอคนที่ตัวเล็กกว่าเดินเข้าห้องพักฟื้นทศกัณฐ์ และเสียงทุ้มที่เอ่ยทิ้งท้ายก่อนบานประตูจะปิดลง
“กลับไปทบทวนความรู้สึกตัวเองดีๆ ความรักมันไม่ได้น่ากลัวเสมอไปนะรันต์ อาจจะมีสุขบ้างทุกข์บ้าง หัวเราะหรือเสียน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็มีใครสักคนอยู่เคียงข้างคอยเดินไปกับเรา ทุกอย่างล้วนคุ้มค่าน่าลิ้มลองไม่ใช่หรอ”
ผมหันหลังเดินออกจากบริเวณนั้นเงียบๆ มันแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก ผมยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อทศกัณฐ์นั้นพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรแต่คิดว่าคงไม่มีคำไหนจะตรงความรู้สึกผมตอนนี้ได้เท่ากับคำว่า‘รัก’อีกแล้ว มันคือความรู้สึกที่ผมไม่อยากให้เกิด ผมไม่กล้าคิด เพราะผมกลัวความผิดหวัง กลัวการสูญเสีย ผมไม่อยากเสียใจ แต่ก็มีความสุขทุกครั้งเมื่อเขาทำอะไรดีๆให้ ตัวผมก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย ยิ่งเรื่องที่เกิดวันนี้ยิ่งทำให้ผมได้รู้ใจตัวเองมากขึ้นว่าเขามีอิทธิพลต่อผมมากแค่ไหน แค่เห็นเขาถูกทรมานใจก็แทบจะขาดอยู่รอนๆ
ผมไม่ใช่คนใสซื่อพอที่ไม่รู้ว่าทศกัณฐ์มีความรู้สึกอย่างไรให้กับผม มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นของเขาเลยที่ต้องเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับปัญหาของผม แค่คนแปลกหน้าที่ได้รู้จักกันไม่กี่เดือนทำไมต้องทำให้มากมายขนาดนี้ ผมเคยคิดจะเอาคืนเขา ทำให้เขาเจ็บปวดให้สาสมกับที่เขาทำไม่ดีกับผม แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่าผมไม่กล้าทำให้เขาเจ็บปวดเสียเอง แล้วถ้าเขารู้ว่าจริงๆเรื่องราวมันเป็นยังไง ตัวผมจริงๆเป็นคนแบบไหน ถึงเวลานั้นเขาจะยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมอยู่ไหม หรือจะเกลียดผมหรือเปล่า
ผมเดินมาหน้าโรงพยาบาลโบกแท็กซี่กลับหอ ระหว่างทางก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา ผมคิดถึงแม่ ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงดี...ผมคงไม่เป็นแบบนี้ เป็นแบบที่ผมก็รู้สึกเกลียดตัวเอง...
เวลานี้เกือบๆจะหกโมงเช้าแล้ว ผมอาบแล้วล้มตัวลงบนเตียงแม้จะพยายามข่มตาหลับแค่ไหนภาพที่ทศกัณฐ์หมดสติและอาบไปด้วยเลือดยังติดตาอยู่ไม่จางหาย ตอนเย็นผมต้องไปที่โรงพยาบาลเพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดผ่าเอาเหล็กดามขาออก จะได้เอาชิพข้อมูลส่งให้ตำรวจด้วย คนที่ผ่าให้เป็นหมอที่เจคบอกว่าไว้ใจได้เพราะเขาเคยเป็นลูกน้องของบอสมัน ตอนแรกทศกัณฐ์ก็หาหมอมาจะผ่าให้ผมตั้งนานแล้ว แต่ผมเป็นคนที่ผลัดออกไปเอง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็ห้าโมงเย็นแล้ว ผมจึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแวะร้านสะดวกซื้อหาของกินรองท้องนิดหน่อยก่อนจะโบกแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาล ผมเข้าไปติดต่อหน้าเคาน์เตอร์เรื่องนัดผ่าตัด เธอให้ผมกรอกเอกสารพร้อมเซ็นต์อะไรนิดหน่อยก่อนจะมีนางพยาบาลอีกคนพาผมไปห้องพักเอาชุดให้เปลี่ยนแล้วรอคุณหมอมาคุยด้วยตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ก็หกโมงเย็นกว่าแล้วซึ่งระหว่างนี้ผมก็นั่งๆนอนๆดูทีวีในห้องไปพลางๆ
ไม่นานคุยหมอประจำไข้ก็เดินมาคุยกับผมเรื่องผ่าตัด เขาไม่เซ้าซี้หรือซักไซ้อะไรเลย บอกผมเพียงว่าจะให้งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน เจ็ดโมงเช้าพรุ่งนี้ผมจึงจะได้ผ่าตัด ผมก็พยักหน้ารับทราบแล้วคุณหมอก็ออกไป
คล้อยหลังคุณหมอออกไปไม่นานก็มีบุคคลเข้ามาใหม่ในห้องผมสองคน ที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีหนึ่งคนคือ เจค ส่วนอีกคน โชค... คุณจำโชค ลูกน้องคนสนิทของหริรักษ์ได้ไหมครับ ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ดาวบนบ่าสามดาว ร.ต.อ.ชัยณรงค์ ฤกษ์มี เป็นตำรวจสายลับสืบสวนพิเศษ แฝงตัวเพื่อทำคดีนี้อยู่เกือบหกปี
“มึงเป็นยังไงบ้างวะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”เจครีบถลามาหาผมที่เตียงหน้าตื่น สายตาสอดส่องทั่วร่างกายผม เมื่อไม่พบบาดแผลสายตาจึงอ่อนลง
“กูไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลย” ผมเอ่ยย้ำว่าไม่มีตรงไหนของร่างกายได้รับบาดเจ็บ
“หมอเข้ามาคุยเรื่องผ่าตัดแล้วใช่ไหม” ผู้กองเอ่ยถามขึ้น
“ครับ พึ่งออกไปเมื่อกี้เอง”
“พวกเราเป็นหนี้เธอ ถ้าไม่ได้เธอเราคงไม่มีหลักฐานจับหริรักษ์ได้อยู่หมัดขนาดนี้ ขอบใจมากจริงๆ” ผู้กองหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“ไม่มีใครเป็นหนี้ผม พวกคุณได้ให้สิ่งที่ผมต้องการแล้ว ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้จบ ว่าแต่ภาพและเสียงชัดเจนดีใช่ไหมครับ”
“ชัดเจนทุกคำ ยังไงก็ดิ้นไม่หลุด ต่อให้มันมีเส้นใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีใครก็ช่วยหรอกในเมื่อมันสารภาพเองขนาดนี้ คุกตลอดชีวิตยังน้อยไปด้วยซ้ำ” ผู้กองเอ่ย หลายคนอาจสงสัยว่ามีภาพและเสียงของหริรักษ์ได้ยังไงในเมื่อมันทำลายกล้องถ่ายวิดีโอไปแล้ว ก็ถูกที่ว่ามันทำลายไปแล้วแต่ไม่ได้ทำลายทุกอันสักหน่อย ผมไม่เคยเสี่ยงทำอะไรโดยไม่มีแผนสำรองหรอกนะครับ ผมเคยบอกว่าผมต้องไปเจาะหูนั่นก็เพราะผมเอากล้องอีกตัวที่ถูกทำมาพิเศษเหน็บไว้แทนต่างหู มันเป็นกล้องที่สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณดาวเทียมได้ ภาพและเสียงที่ถูกถ่ายไว้จะส่งไปให้ผู้รับสัญญาณนั่นก็คือเจค แผนของผมคือจงใจใส่กล้องอัดวิดีโออีกตัวไว้หลอกหริรักษ์ให้มันตายใจ ทั้งๆที่จริงๆกล้องอีกตัวต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะว่าถ้าผมไม่รอดออกไปจากที่นั่นได้จริงๆอย่างน้อยก็มีหลักฐานที่จะสามารถจับตัวหริรักษ์ได้
เรื่องหริรักษ์ถูกจับเป็นข่าวใหญ่โตไปทั่วทั้งประเทศ ประชาชนต่างให้ความสนใจว่าคนที่ดูช่วยเหลือสังคมออกสื่ออยู่ตลอดจะทำการชั่วได้ถึงเพียงนี้ บ้านพักทุกหลังถูกตรวจค้น ทรัพย์สินทั้งหมดถูกตรวจสอบ ภรรยาหนีออกนอกประเทศแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่หน้าแปลกคือไม่มีข่าวเรื่องการยิงกันเสียชีวิตเมื่อคืนวานในบ้านพักหริรักษ์ ทั้งๆที่ตอนผมพาทศกัณฐ์ออกมาก็เห็นนอนจมกองเลือดกันหลายสิบ
“เรื่องเมื่อวาน...” ผมเกริ่นขึ้นด้วยความกังวล ทศกัณฐ์จะโดนหางเลขไปด้วยรึเปล่า
“ไม่ต้องห่วง เขาให้คนมาเก็บกวาดปิดเรื่องนี้ไว้แล้ว” ผู้กองเอ่ยก่อนที่จะถามอะไร ผมมองหน้าเขางงๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้อะไรมาก เพราะผู้ใหญ่เป็นคนสั่งลงมาโดยตรง ก็คนที่มาช่วยเธอเขาไม่ใช่แค่คนรวยระดับธรรมดาหรอกนะ เพราะแม้แต่ผู้นำบางประเทศก็ยังต้องเกรงใจเขา” ผมนิ่งไปด้วยความตกใจ ทศกัณฐ์เป็นใคร เขาไม่ใช่มาเฟียนี่ ไม่เห็นมีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนในหนัง หรือว่าเขาจะเป็นเจ้าชาย ยิ่งไม่น่าใช่ไปกันใหญ่ เพราะพี่สมิธบอกว่าพ่อเขาเป็นนักธุรกิจส่วนแม้เขาเป็นพี่สาวน้าเฟื่องฟ้า ซึ่งก็คือคนธรรมดาทั่วไป แล้วเขาเป็นใครกัน
“ได้ยินแบบนั้นผมก็สบายใจ” ผมเอ่ยบอกผู้กอง ปัดความสงสัยเหล่านั้นทิ้งไป มันไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจในตัวเขาหรอก
“อืม อย่าคิดมากเลย พรุ่งนี้หลังผ่าตัดเสร็จเธอก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกแล้ว จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติเสียที”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
ผมกองอยู่คุยกับผมเรื่องทั่วไปไม่นานก็ขอตัวกลับไปสะสางคดีต่อ มีเพียงเจคที่ยังอยู่เป็นเพื่อนผม
“ที่กูให้สืบ ได้ความรึยัง” ผมเปิดปากก่อนเมื่อในห้องเหลือเพียงผมและเจค อีกคนเงยหน้าขึ้นมองผมนิ่งๆ
“ทศกัณฐ์เป็นลูกชายของ...”
“เรื่องนั้นกูรู้แล้ว ที่กูอยากรู้คือเมื่อประมาณ 13 ปีก่อนเขาเคยไปฝรั่งเศสไหม ไปกับใคร แล้วไปเจอใครบ้าง”
“ในปี 20xx มีประวัติว่าเด็กชาย อาร์นันโด้ ฮาล์น เดินทางไปปารีสกับพ่อเพียงแค่สองคนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนกลับรัสเซีย ไม่มีหลักฐานว่าแคสเซียส ฮาล์นไปทำธุรกิจ น่าจะแค่ไปเที่ยวพักผ่อนธรรมดา รายละเอียดไม่มี แล้วหลังจากนั้นประวัติของอาร์นันโด้ก็ว่างเปล่า คือไม่มีอะไรเลย ไม่ทราบที่อยู่แน่ชัด เหมือนหายสาบสูญไปเฉยๆ จนกระทั่งเขาอายุ 18 ปี ปรากฏหลักฐานว่าเขาได้รับมรดกจาก อลิเซีย เดรทไพรส์ ผู้เป็นย่าแต่เพียงผู้เดียว เขาเพิ่มชื่อกลางเข้าไป เป็นมิสเตอร์อาร์นันโด้ เดรทไพร์ส ฮาล์น มูลค่ามรดกมหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่หลักๆเลยก็คือ ปราสาทประจำตระกูลเดรทไพรส์ ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในอังกฤษ ตอนนี้เขาเปิดบริษัทสินเชื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้นักธุรกิจหรือผู้ที่อยากกู้ทั่วโลก ผู้กองถึงได้บอกไงว่าผู้นำบางประเทศก็ต้องเกรงใจเขา เพราะบางประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตก็มีเงินทุนจากเขาคอยหมุนเวียนอยู่ ดูยิ่งใหญ่เป็นบ้าเลยใช่ไหมล่ะ” เจคเอ่ยเยาะๆแกมประชดตัวเอง คงยังไม่อยากเชื่อข้อมูลที่ตัวเองหามาได้เหมือนกัน
“เขามาไทยครั้งแรกเมื่อไหร่”
“ห้าปีก่อน ตอนเขาอายุ 18 ไปๆมาๆระหว่างไทยกับอังกฤษ แต่เวลาส่วนมากก็อยู่ไทย”
“ก่อนเขาอายุ18 ประมาณปี 20xx เขาไม่ได้มาไทยหรือไง” ผมถามอย่างข้องใจ นึกย้อนความทรงในวันวาน
“ก็บอกแล้วว่าข้อมูลก่อนหน้านี้หายสาบสูญ”
ปัง!
“ว่างป่ะ ขอคุยด้วยหน่อยดิ” เสียงเลื่อนประตูห้องพักผมดังปัง พร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่ผมก็ทำผิดต่อเขา
“เจคมึงกลับไปก่อน ขอบใจมากที่มา” ผมหันไปบอกเจค มันหันไปมองหน้าพี่สมิธนิดหน่อย ล่ำลาผมไม่กี่คำแล้วก็ออกไป
“พี่มีอะไรรึปะ-…เพี๊ยะ!” ผมถามเขายังไม่ทันจบประโยคดี ฝ่ามือหนาพี่สมิธฟาดลงมาที่แก้มผมจนหน้าหัน แก้มซีกซ้ายผมชาดิก แต่เลือกไม่กลบปาก คิดว่าเขาคงยั้งแรงไว้ให้อยู่
“มึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอยู่ไหม ไหนบอกว่าไว้ใจกู กูมีอะไรก็เล่าให้มึงฟังหมด แล้วทำไมเวลาที่มึงมีปัญหาถึงไม่พูด! มึงเคยเห็นหัวกูบ้างไหม!” พี่สมิธพูดด้วยน้ำเสียงดุดันแววตาเขาฉายแววผิดหวังและเจ็บปวด ผมไม่โกรธเขาเลยสักนิดที่ตบผม แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำที่ผมทำกับเขา สตีฟบอกผมหมดแล้วเรื่องที่พี่สมิธวิ่งตามหาผมเป็นชั่วโมงและเขาต้องจำใจกลับไปหาผู้ชายคนนั้น
“ผมขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว รู้ว่าแค่คำๆเดียวคงไม่เพียงพอ
“มึงพูดเป็นแต่คำนี้หรอ มึงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วใช่ไหม...ถ้ามึงไม่พูด เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก” ผมใจหายวาบกับคำพูดของพี่สมิธ หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนกันลังจะสูญเสียอะไรสักอย่าง พี่สมิธเหมือนจะชอบบังคับให้ผมทำนั่นนี่แต่เขาก็มักจะตามใจผมอยู่เสมอ คอยอยู่เป็นเพื่อน พูดจากวนโอ๊ยเพื่อไม่ให้เหงา เป็นประเภทที่ปากร้ายแต่ใจดี ในชีวิตคนอย่างผมจะมีคนแบบเขาผ่านเข้ามาอีกสักกี่คนกัน
“ไม่เอา” ผมพูดขึ้นอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่เอาก็พูดมาให้หมด เรื่องราวทั้งหมด...ทุกเรื่อง”พี่สมิธนั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตทั้งหมดตั้งแต่แรกให้พี่สมิธฟัง เขาพอรู้เรื่องราวที่ผมต้องเข้าไปพัวพันกับหริรักษ์อยู่แล้วอยู่แล้ว จนผมเล่ามาถึงช่วงแผนการสุดท้ายของผม
“...มีคนโทรหาผม เขาบอกว่าหริรักษ์รู้ตัวตนของผมแล้ว มีคนคอยจับตาดูผม และพี่อยู่ พอผมลองสังเกตดูดีๆก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ”
“กูด้วยหรอ” พี่สมิธขมวดคิ้วงงๆ
“อื้อ เขาบอกผมกำลังจะทำให้พี่สมิธเป็นอันตรายกับเรื่องของผมไปด้วย...ผมก็เลยตัดสินใจกันทุกคนออกไป” ท้ายประโยคผมก้มหน้าพูดเสียงแผ่วๆ
“คนที่โทรคุยกับมึงเขาพูดภาษาอะไร”
“ภาษาอังกฤษ”
“สำเนียงผู้ดี พูดสุภาพแบบกระแดะๆป่ะ”
“ครับ แต่ก็ไม่กระแดะนะ” ผมบอกพี่สมิธไปตามตรง พอพี่สมิธได้ยินคำตอบผมเขาก็กัดกรามกรอด กำหมัดแน่นเลย
“ไอ้เหี้ยนั่น กล้าดียังไงมาหลอกใช้มึงบีบกู” สายตาพี่สมิธโกรธมาก น่าจะเพราะคนที่โทรหาผม “มึงไม่ต้องพูดอะไรแล้วกูว่ากูพอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว ทีหลังมีอะไรพูดกับกูได้ทุกเรื่อง เข้าใจไหม” พี่สมิธเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆอย่างเอ็นดู
“อื้อ ไม่ทิ้งแล้วใช่ไหม” ผมถามพี่สมิธตาแป๋ว
“ไม่ทิ้ง ถ้ามึงไม่ดื้อ” พี่สมิธยิ้มๆหล่อๆมาให้
“ไม่ดื้อเหอะ” ผมเบะปากให้พี่สมิธนิดๆอย่างเคยชิน เลยโดนไอ้พี่บ้าดึงปากซะเจ็บไปหมด
“แล้วนี่ใจคอมึงจะไม่ไปดูผัวมึงเลยหรือไง มันแทบจะกระชากน้ำเกลือมาหามึงถึงที่ถ้ากูไม่ห้ามไว้ก่อน” ผมนิ่งไปนิดเมื่อได้ยิน
“ทำไมถึงรู้กันล่ะครับว่าผมอยู่ที่นี่”
“ไอ้คุณตำหนวดบอกมาอ่ะ มันเข้าไปคุยเรื่องไอ้เหี้ยนั่นกับไอ้ทศอ่ะดิ” ดูความเกรียนของพี่สมิธสิครับ พูดซะตำวจเขาเสียหมด “น่าไปดูมันหน่อย ป่านนี้มันหลับไปแล้วมั้ง หมอพึ่งให้ยามันอีกรอบ ไปเถอะน่า” ผมนิ่งคิด ตอนแรกก็คิดว่าจะรอผ่าตัดให้เสร็จก่อนแล้วไปสารภาพความจริงกับเขาทีเดียว แต่ใจก็อยากไปดูเขาอยู่ลึกๆ ไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว สุดท้ายผมก็ทนการเซ้าซี้จากพี่สมิธและหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว เลยยอมเดินตามพี่สมิธต้อยๆไปจนถึงห้องพักฟื้นทศกัณฐ์
“เออมึงเข้าไปก่อน เดี๋ยวกูคุยโทรศัพท์อยู่นี่แปบ” พี่สมิธหันมาบอกผมเมื่อเรามาถึงหน้าห้อง ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเขาก็ผลักผมเข้ามาในพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ ผมจึงเดินลึกเข้าในห้องจนเห็นทศกัณฐ์หลับอยู่บนเตียงอย่างที่พี่สมิธว่าจริงๆ ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงเงียบๆ ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้าก็ซับสีเลือดสุขภาพดี เห็นแบบนั้นผมก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
ผมทำใจกล้ายื่นมือไปเสยผมที่ไม่ได้เซ็ทของเขาไม่ให้ปรกหน้า เผลอลูบไล้ตามโครงหน้าหล่อเหลาด้วยความเผลอไผล รู้ตัวอีกทีก็ถูกมือหนาจับข้อมือผมไว้จนหยุดชะงัก ผมมองหน้าเขาตื่นๆพยายามดึงข้อมือออกจากมือเขาแต่ไม่สำเร็จ แววตาร่างสูงส่อหงุดหงิดนิดๆที่เห็นผมขัดขืน เขาปรับเตียงตัวเองให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนก่อนจะโน้มตัวมาช้อนใต้รักแร้ผมทั้งสองข้างขึ้นมาบนเตียงนั่งทับหน้าท้องแกร่งเขาอย่าง่ายดาย
“อย่า...” ผมเอามือปิดปากเขาไว้ เมื่อทศกัณฐ์ทำท่าจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้
“ทำไม? เป็นอะไรไหนบอกพี่ซิ?” ทศกัณฐ์ไม่เซ้าซี้ทำต่อ แต่เปลี่ยนมาตั้งคำถามกับผมแทน
“…”
“ไม่พูดงั้นจูบ”
“ผมขอโทษ”ผมรีบโพล่งออกไปเมื่อเขาทำท่าจะจูบผมอีกครั้ง
“พูดใหม่”
“ห๊ะ!?”
“แทนตัวเองว่าน้อง” เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“มะ ไม่เอา” ผมส่ายหัวปฏิเสธ รู้สึกเขินๆยังไงไม่รู้ถ้าต้องแทนตัวเองอ้อนๆแบบนั้นกับเขา
“โอเค งั้นปล้ำ” พูดจบเขาก็ไม่สนใจเสียงห้ามผมแล้ว จับมือทั้งสองข้างผมรวบไว้แล้วล็อคท้ายทอยผมไม่ให้ถอยหนี จากนั้นจึงโน้มหน้าทาบริมฝีปากแนบสนิทลงกับริมฝีปากผม ทศกัณฐ์ไม่ได้จูบรุนแรง ผิดคาดเขาค่อยๆบดจูบกับริมฝีปากผมช้า ขบเม้นสลับริมฝีปากบนและล่างอย่างอ่อนหวาน เขาค่อยๆไล้เลียละเลียดชิมริมฝีปากผมอย่างอ่อนโยน ผมเคลิ้มไปกับรสจูบของทศกัณฐ์ หัวใจฟูฟ่องรู้สึกดี เม้นริมฝีปากจูบเขาคืนโดยไม่รู้ตัว จูบนี้เหมือนเขาจะโหยหาและคิดถึงผมมาก ลิ้นร้อนค่อยๆลอดแนวฟันเข้ามาสัมผัสกัน ผมขยับลิ้นตอบเขาอย่างไม่ประสา นั่นยิ่งทำให้ทศกัณฐ์รุกรานจูบผมมากขึ้นกว่าเดิม เร่าร้อนขึ้นตามแรงอารมณ์ มือหนาปล่อยมือทั้งสองข้างของผม เลื้อยสอดเข้ามาลูบไล้บั้นเอวใต้เสื้อคนไข้ของผมแทน
“อ่ะ อื้อ น้องยะ...ยอมแล้ว” ผมรีบเบี่ยงหน้าออกเมื่อเห็นว่ามือเขาชักจะเลยเถิดไปที่ท่อนล่างของผมแทน ทศกัณฐ์ยอมหยุด...อย่างอ้อยอิ่ง จูบลงบนริมฝีปากผมเบาๆอีกทีส่งท้ายอย่างเสียดาย
“เอาล่ะ พูดมา”
“น้องขอโทษครับ ที่ทำให้พี่เจ็บ” ผมกำกางเกงคนไข้ตัวเองแน่น แต่ก็ไม่ได้หลบตาอีกคน
“ขอโทษทำไม พี่เต็มใจยังไงก็ทนเห็นน้องลำบากไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ตายพี่ก็ไม่เสียใจ”
“ไม่เอา ไม่ให้ตายนะ” ผมส่ายหัวแรง
“ก็ไม่ตายแล้วนี่ไง”
“อื้อ” ผมรับคำหงอยๆ
“มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม? พูดกับพี่ได้ทุกเรื่องนะ”
“…”
“ว่าไง?”
“น้อง...น้องเป็นคนนิสัยไม่ดี” พูดจบผมก็เขื่อนแตกทันที ทศกัณฐ์จึงรั้งร่างผมเข้าไปกอดแน่นโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บแผล มือหนาลูบหลังผมปลอบๆ ผมกอดคอเขาแน่นซบบ่ากว้างปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างไม่อาจกลั้น ผมไม่กล้าพูด ผมกลัวเขาเกลียด แค่คิดก็จบจนแทบไม่ไหว
“ร้องไห้ทำไม พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” พูดไปก็ลูบหลังลูบหัวปลอบผมไป
“น้องหลอกใช้พี่ ฮึก น้องจำพี่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอในซอกตึกนั่น พี่คือคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ตอนนั้นใช่ไหม”
“ครับ”
“น้องไม่ได้ตั้งใจผิดสัญญา แต่คุณแม่น้องป่วย น้องขอโทษ ฮึก”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วพอมาเจอกันอีก ยักษ์ก็จำน้องไม่ได้ ทำเหมือนไม่ชอบน้อง”
“มันจำเป็น ไม่ได้ตั้งใจ”
“พออยู่กันไปยักษ์ก็ทำไม่ดีกับน้อง น้องยิ่งโกรธเลยคิดว่าจะเอาคืน จะทำให้เสียใจให้ได้” ผมสารภาพออกไปตามตรง
“อาฮะ แล้วได้ทำไหม” ผมส่ายหน้า
“แล้วน้องเป็นเด็กไม่ดีตรงไหน น้องได้พยายามทุกอย่างในสิ่งที่น้องจะสามารถทำได้ น้องยอมเอาตัวเองไปทำงานเสี่ยงๆเพื่อรักษาแม่ ยอมออกจากบ้านเพื่อไม่ให้ครอบครัวเดือดร้อน ยอมตายได้ถ้าทุกคนไม่ต้องเป็นอะไร ใช่ไหม?” ผมพยักหน้า น้ำตาไหลหนักยิ่งกว่าเดิม
“เด็กผู้ชายตัวแค่นี้ ต้องแบบรับภาระหลายอย่างมากมายด้วยตัวคนเดียว น้องเก่งมากนะรู้ไหม” “พี่ซะอีกสิที่ต้องขอโทษน้อง ทำตัวไม่ดีกับน้องตั้งหลายอย่าง ทั้งแกล้งทั้งทำให้เสียใจก็ตั้งหลายครั้ง” ทศกัณฐ์ดึงผมออกจากบ่า หยิบทิชชู่เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“พี่ขอโทษนะครับ” ทศกัณฐ์พูด ผมก็พยักหน้าเบาๆ เขายิ้มแล้วโน้มหน้ามาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“ยักษ์...เราเคยเจอกันมาก่อนไหม ก่อนที่น้องจะโต ตอนที่เรายังเด็กมากๆ” ผมอ้อมแอ้มถามอย่างไม่แน่ใจ แต่ความรู้สึกผมมันบอกว่ามีบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อน
“นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อได้มาเจอน้องอีกครั้ง” รอยยิ้มจากทศกัณฐ์ทำให้น้ำตาที่หยุดไปแล้วหยดแหมะลงมาอีกครั้ง ทำไมผมถึงจำไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จำเก่งนักหนา แต่ทำไมแค่หน้าพี่ชายที่เคยให้เขาขี่หลังเดินรอบปารีสในตอนนั้นถึงได้ลืม คนที่เคยสัญญาว่าจะทำให้ผมมีความสุขที่สุด จะอยู่เคียงข้างเวลาผมไม่มีใคร
“ทำไมไม่บอกน้องให้เร็วกว่านี้” ผมโผกอดเขาแน่น ความรู้สึกพังทะลักออกมาจนบรรยายไม่ถูก เหมือนผมหาสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเจอแล้ว
“พี่ไม่อยากบังคับน้อง พี่อยากให้น้องเป็นคนเลือก”
“น้อง ฮึก คิดถึงมาตลอด”
“พี่ก็คิดถึงเหมือนกัน... พี่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง” ทศกัณฐ์ดึงผมให้มองสบตาเขาตรงๆ ก่อนจะเอ่ยพูดช้าๆชัดอย่างหนักหน่อยที่ติดตรึงในใจผมไปตลอดกาล
“ทศกัณฐ์รักเหรันต์”
“...รันต์ก็รักยักษ์” ผมพูดเบาๆเขินๆทว่าน้ำตาแห่งความดีใจก็ซึมมาอีกครั้ง ผมคิดว่าเขาคงได้ยินเพราะเขายิ้มกว้างส่งให้ผม
“คบกับพี่นะ ให้พี่ได้อยู่เคียงข้างน้อง ดูแลปกป้องน้อง ทำให้น้องมีความสุขตลอดไป”
“ครับ” ผมไม่อยากลังเล ไม่อยากคิดว่าต่อไปจะเจ็บหรือเสียใจหรือเปล่า ตอนนี้ผมมีความสุข ผมอยากเก็บความสุขนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่เสียใจที่เลือก
++++++++++++++++
ตอนนี้ก็ไม่เชิงว่าจะหวานหรืออะไร คือเปรมอยากจะคลี่คลายปมต่างๆไม่ให้ค้างคาใจกันก่อน หลายๆคนอาจจะงงในเนื้อเรื่องและรำคาญนิสัยรันต์ไปบ้าง เปรมขออนุญาตอธิบายตรงนี้ว่า
-รันต์ยังเด็กมากๆ แต่เจอปัญหารุมเร้าค่อนข้างเยอะจึงตัดสินใจรวดเร็วไปในครั้งเดียวจบ เชื่อมั่นในตัวเองสูงเพราะเติบโตมาแบบที่ต้องดูแลตัว ฮีจะเป็นไม่กล้าพึ่งคนอื่นเพราะอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดและแสดงความรู้สึกไม่เก่ง
-น้องรันต์ดูกลัวนั่นนี่ไปหมด นั่นเพราะฮีได้เห็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวดจากพ่อแม่ก็เลยฝังใจ
-คล้ายๆว่าจะเป็นเด็กสองบุคลิกจะมีด้านที่ดูโตเกินอายุ และอีกด้านที่เด็กมากๆ
-ความรู้สึกตัวละครดูขัดแย้งกัน นั่นเพราะพวกเขาพยายามจะซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองโดยเฉพาะฮีทศที่รู้ว่ารันต์คือใครแต่แรก ปากแข็งเหลือเกิน
-รันต์กับทศกัณฐ์เคยเจอกันมาก่อนตอนเด็กๆใช่ไหม ใช่ค่ะเนื้อหาเปรมจะเขียนลงไปในตอนพิเศษนะคะ
ป.ล.เนื้อหาอาจดูเว่อร์วังไปหน่อย เปรมขอย้ำว่ามันคือนิยาย ไม่มีส่วนไหนที่เป็นความจริง แต่งตามความชอบส่วนตัว-ปมอื่นๆจะค่อยๆคลายไปตามลำดับ คู่หลักก็จะงุ้งงิ้งไปตามประสาข้าวใหม่ปลามัน และขอบคุณที่ติดตามค่ะ-