ใจยักษ์ 31.1
“กูไม่ให้!!! มันอันตราย” คนตรงหน้าปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไร้เยื่อใย ผมกรอกตานิดๆเมื่อเขาพูดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
“แต่วิธีนี้จะทำให้เราได้หลักฐานมัดตัวมันจนดิ้นไม่หลุดเลยนะ” ผมพยายามโน้มน้าวใจเจคก่อนจะคีบซูชิเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“กูรู้ แต่กูเป็นห่วงมึงป่ะวะ” ประโยคสั้นๆจากเจคทำให้ผมยิ้มกว้างออกมา รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกสมเพชคนพูดแบบนี้กับผมอยู่พอสมควร คิดๆไปแล้วแต่ก่อนผมก็มองโลกในแง่ร้ายมากอยู่เหมือนกัน
“ขอบคุณมึงมากนะเว้ยที่เป็นห่วงกู แต่นี่มันเป็นงานที่กูต้องทำให้มันจบ...ครั้งสุดท้าย”
“รันต์กูขอร้อง หลักฐานที่เรามีมันเพียงพอแล้ว แค่รอให้คุณทศกัณฐ์กลับมา” เจคขอร้องแกมอ้อนวอน น้ำเสียงเขาสั่นพร่าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“มึงรู้ว่าเขาไปไหนงั้นหรอ?” ผมสะกิดใจในคำพูดของเจคจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ
“กูไม่รู้ แต่ไม่กี่วันก่อนเขาให้ลูกน้องมาเอาหลักฐานทั้งหมดที่กูมีให้เขา ลูกน้องเขาที่เป็นฝรั่งเลยบอกกูว่าให้รออีกนิด พอทศกัณฐ์กลับมาทุกอย่างจะเรียบร้อย เขาประสานงานกับผู้ใหญ่ให้ดำเนินการให้แล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบสวน มึงควรรอ” เจคเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมรู้สึกเจ็บใจแปลบๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ทำไมกูไม่เห็นรู้เลย”ผมพึมพำกับตัวเองเสียงนิ่ง
“เขาคงพยายามกันมึงให้ห่างจากเรื่องนี้ที่สุด มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะเว้ยที่จะให้คนอื่นรู้ว่ามึงมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าเกิดคนนั้นถูกจับแล้ว พวกคู่ค้ามันที่เสียผลประโยชน์มีตั้งเท่าไหร่ มึงคิดว่าพวกมันจะยอมอยู่เฉยๆไหมล่ะ แล้วมึงจะสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ยังไง” ผมเผลอกัดปากตัวเองหลังฟังที่เจคเล่า ทำไมคนอื่นๆถึงทำเพื่อผมมากมายขนาดนี้นะ แล้วผมสามารถทำอะไรได้บ้าง
“แล้วมึงล่ะเจค มึงจะอยู่ยังไง?” เจคเป็นคนที่ทำเรื่องนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ต้น เขาต้องไปเป็นพยานแน่ เหมือนเจคกำลังเอาตัวเองเป็นโล่ให้กับผม ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก แต่อยู่ๆคนที่นั่งตรงข้ามกับผมกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาซะดังลั่น โชคดีที่เรามาร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นห้องนั่งทานแบบเป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องกลัวใครจะมาได้ยินที่เราคุยกัน
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้รันต์มึงไม่ต้องมาคิดมากกับกูหรอกน่า มึงลืมไปแล้วหรอว่ากูอยู่กับงานแบบนี้มาทั้งชีวิต กูเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการเพราะดูอ่อนแอไม่น่ารักเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่วันหนึ่งก็มีตำรวจรับกูมาเลี้ยง กูเหมือนได้ชีวิตใหม่เลยนะ กูรักท่านมาก เลยอยากช่วยงานเขาตอบแทนพระคุณในสิ่งที่กูพอจะช่วยได้ กูไม่ไปเรียนหนังสือเพราะอ่านเองได้ กูไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครแล้ว...” หางเสียงเจคดูเศร้าๆ ถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่าบอสเขาโดนเก็บไปแล้ว บางทีบอสที่เขาว่าอาจจะเป็นคนสำคัญคนเดียวในชีวิตของเขา
“ในขณะเดียวกันมึงก็ต้องดำเนินชีวิตเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ มีเพื่อนและคนที่รัก มึงเลิกหลบซ่อนตัวเองได้แล้ว อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เรื่องราวที่ผ่านมามันไม่ใช่ความผิดของมึงนะเว้ย” แค่เพียงไม่กี่ประโยคของเจคกลับทำให้จมูกและดวงตาของผมร้อนผ่าวขึ้นมาซะดื้อๆ ช่วงนี้ผมเป็นอะไรไปกันนะ ทำไมหัวใจถึงได้อ่อนไหวง่ายขนาดนี้ แต่สิ่งที่เจคพูดมันพุ่งตรงมาปักหัวใจผมทุกอย่าง ผมซ่อนตัวเองในโรงเรียนชายล้วนตลอดชีวิตมัธยมปลาย อยู่แค่หอในโรงเรียน ตื่นเช้าก็ไปเรียนตกเย็นก็กลับหอเป็นแบบนี้วนไปในทุกๆวัน ผมสอบชิงทุนของธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่งได้ เขาส่งเสียให้ผมเรียนจนจบได้ทุกระดับที่ผมต้องการ ไม่จำกัดว่ากี่ปี ไม่ต้องใช้ทุนคืนตอบแทน เขาให้มากจนผมยังแปลกใจไม่หาย และที่ผมไม่เคยกลับบ้านเลย ไม่ใช่ไม่อยากกลับ แต่ผมกลับไปไม่ได้...ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นอันตรายไปกับผม ผมไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว
ผมมันคนขี้ขลาด อยากผลักไสและเย็นชาใส่ทุกคน ผมไม่อยากรักใคร เพราะผมกลัวว่าวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่ด้วยแล้วผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเสียใจมากมายขนาดไหน ผมไม่กล้าคิดสภาพตัวเองในตอนนั้นเลยจริงๆ
“พี่ยังมีผมนะ ยังมีผมจริงๆ” ผมระบายยิ้มกว้างให้เจคมากที่สุดเท่าที่เคยยิ้มให้เขา ยิ้มที่ออกมาจากใจผมจริงๆ หางตามีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยอย่างกลั้นไม่อยู่
“สัส ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี กูไม่ซึ้งหรอกนะเว้ย” คนบอกไม่ซึ้งเลิกเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ “มึงจะไม่ทำแล้วใช่ไหม?” เจคถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ปรับเสียงสะอื้นตัวเองให้เป็นปกติ แต่สิ่งที่ผมตอบเขาคือการส่ายหน้าแทนคำตอบ เจคจึงถลึงตาใส่แทบจะลุกข้ามโต๊ะมาขย้ำคอผมเสียให้ได้
“เฮ้! ฟังผมก่อนๆ” ผมรีบยกมือห้ามเจค เมื่อเขายื่นมาทำท่าจะตบหัวผมอย่างหมายมั่น
“อะไร? บอกแล้วไงว่ายังไงกูก็ไม่ให้” เจคพูดเสียงแข็ง หน้าบึ้งๆกับตาแดงๆดูแล้วก็ไม่ใช่ภาพที่เหมาะกับเขาเท่าไหร่
“ผมยังยืนยันว่าต้องการของที่ขอไป แต่จะปรับเปลี่ยนแผนนิดหน่อย” รอยยิ้มมุมปากผมผุดขึ้นมาเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“อะไร?” เจคถามเสียงกระด้างพร้อมสีหน้าที่มองผมอย่างเคลือบแคลงใจ ทำไมต้องมองแบบนั้นด้วยวะ ความคิดผมสร้างสรรค์จะตาย(?) ผมกระดิกนิ้วชี้ให้เขาเอียงหูเข้ามาใกล้ๆ เจคอิดออดเล็กน้อยพอเป็นพิธีแต่ก็ยอมเอียงหูมาให้แต่โดยดี
“มันจะดีหรอวะ?” เจคพูดอย่างไม่มั่นใจเมื่อฟังแผนการใหม่ของผม
“มันจะดีสิ” เจคใช้เวลาครุ่นคิดคนเดียวไปนานพอสมควร ผมก็คีบแซลมอนกินไปพลางๆจนเกือบหมดจาน กินหมดแม่งเลยดีกว่า เดี๋ยวเจคอ้วน(กูผอมกว่ามึงอี๊ก//เจค)
“ก็ได้ แต่มึงต้องสัญญากับกูก่อนว่ามึงจะไม่เล่นนอกแผน ถ้าไม่ไหวต้องรีบหนีหรือขอความช่วยเหลือทันที” ผมพยักหน้าตกลง พร้อมต่อประโยคในใจว่าถ้าสถานการณ์มันไม่เหนือการควบคุมล่ะก็นะ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะปากกำลังเคี้ยวแซมอนสองชิ้นสุดท้ายอยู่
“เสร็จนี่แล้วไปไหนต่อ”เจคเริ่มสนใจอาหารตรงหน้าตัวเองพร้อมกับถามผมไปด้วย
“ไปทำหล่อ” ผมยักคิ้วซ้ายให้เจคอย่างอารมณ์ดี คงต้องเปลี่ยนลุคใหม่นิดหน่อยเพื่อให้แผนการเป็นไปอย่างแนบเนียน
“อืม...ไอ้รันต์” เจคพยักหน้ารับรู้ก่อนจะชงักแล้วเรียกชื่อผมเสียงนิ่ง
“ครับ?”
“แซลม่อนกูหายไปไหนหมด” สายตาเขาจ้องเขม็งไปที่จานญี่ปุ่นที่ตอนนี้เหลือแค่ผักตกแต่งอยู่เล็กน้อย(ก็ผมไม่ชอบกินผัก)
“ผมแดกหมดแล้ว อร่อยกว่าที่คิดนะ” ผมวิจารณ์รสชาติให้เขาฟังยิ้มๆ
“อะ ไอ้เหี้ยรันนนนน! แซลมอนของโปรดตัวสุดท้ายของกูวววว” เจคโหยหวนขึ้นมาทันที หน้าเขาพร้อมจะฆ่าผมแล้ว ต้องโกรธอะไรเบอนั้นวะ
“ก็ผมนึกว่าพี่ไม่กิน เสียดายของ แดกๆไปก็เพลินดีระหว่างรอมึงคิด”
“ไม่กินพ่องดิ ของโปรดกูเก็บไว้แดกสุดท้ายเว้ย” เจคบอกอย่างหัวเสีย ท่าจะโกรธจริง
“ผมไม่รู้นี่ ทีหลังชอบอะไรก็รีบกินสิ ของอร่อยใครๆเขาก็อยากกินกันทั้งนั้น พอโดนคนอื่นตัดหน้าก็จะหัวร้อนแบบนี้แหละ จำไว้เป็นบทเรียน” ได้ทีผมก็ทำเป็นผู้ใหญ่กว่าสั่งสอนเขาทันทีเขา
“เออ คราวหน้าไม่ได้แดกของกูหรอก มึงก็อย่าลืมเก็บคำพูดนี้ไว้เตือนตัวเองด้วยล่ะ”
“หึๆ” ผมเพียงส่งเสียงหัวเราะเบาๆเป็นคำตอบก่อนเราทั้งคู่จะเริ่มลงมือจัดการอาหารบนโต๊ะไม่ให้เหลือซาก
ผมจะเตือนเจคได้ยังไงถ้าผมไม่เป็นคนแบบนั้น...อะไรที่ผมชอบแล้ว ไม่เคยหลุดมือผมไปได้สักอย่าง
+++++++++++++++++++
ประเทศอังกฤษ
“นายครับ ห้องพร้อมแล้วครับ” โจเซฟเอ่ยกับทศกัณฐ์เรียบๆ ขณะที่ร่างสูงกำลังดูหุ้นผ่านแท็บเลตบนโซฟาหนังตัวยาว เขาวางอุปกรณ์ไอทีลงบนโต๊ะไม้สีทองสลักสไตล์คลาสสิคราคาเหยียบห้าหมื่นปอนด์ในปราสาทแล้วยืนขึ้นเต็มความสูง
“รันต์เป็นยังไงบ้าง” ทศกัณฐ์เอ่ยถามถึงอีกคนที่อยู่คนละซีกโลกกับโจเซฟขณะกำลังเดินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้สำหรับรักษาเขาโดยเฉพาะ
“สตีฟรายงานว่าสถานการณ์ปกติดีครับ แต่ทางนั้นก็ซุ่มรออยู่คงยังไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร”
“อืม บอกสตีฟให้ดูรันต์ให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด” ทศกัณฐ์เอ่ยย้ำกับคนสนิท เขาไม่ได้กลัวว่าพวกหริรักษ์จะบุกมาชิงตัวหรือฆ่าปิดปากอะไรเหรันต์อย่างที่คนอื่นคิด แต่สิ่งที่เขากลัวคือความคิดเด็กน้อยของเขาต่างหาก ดีไม่ดีอาจจะบุกเดี่ยวไปจบเรื่องทั้งหมดนี้เลยก็ได้
โจเซฟเปิดประตูให้ทศกัณฐ์เข้าไปในห้องขนาดใหญ่แสนโอ่อ่าที่ชั้นสามของปราสาท ภายในที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ เท้าหนาย่ำลงไปบนพรมสีเลือดหมูช้าๆอย่างสงบ มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างไม่เร่งร้อนพลางก้าวขึ้นเตียงนุ่มหลังใหญ่แล้วส่งเสื้อให้คนสนิท ตอนนี้ทั้งตัวทศกัณฐ์มีเพียงกางเกงขายาวผ้าฝ้ายตัวลื่นติดตัวเขาเท่านั้น ข้างๆเตียงเขามีโจเซฟและหมอที่ทำการรักษาเขายาวนานถึงสี่ปีอีกสองคนยืนอยู่ เมื่อทศกัณฐ์นอนอยู่ในท่าที่สบายตัวที่สุดแล้วคุณหมอทั้งสองท่านจึงเริ่มลงมือติดตั้งอุปกรณ์ใส่ตามตัวทศกัณฐ์ คนหนึ่งเจาะสายน้ำเกลือ อีกคนใส่เครื่องวัดชีพจร แม้ทุกคนจะปิดปากเงียบสนิทแต่บรรยากาศภายในห้องกลับไม่ได้กดดันหรืออึดอัดแต่อย่างใด ทุกอย่างดูเรียบเรื่อยผ่อนคลายอย่างไม่น่าที่จะเป็น
“อาจจะเจ็บกว่าที่เคย อดทนหน่อยนะครับ”ด็อคเตอร์ เดวิด คอปเปอร์ แพทย์วัยกลางคนเชื้อสายเมืองผู้ดีเอ่ยกับทศกัณฐ์ขณะกำลังเสียบสายออกซิเจนเข้ากับจมูกทศกัณฐ์
“ผมก็อดทนทุกครั้ง” ทศกัณฐ์เอ่ยเสียงนิ่ง ทุกครั้งที่เขาได้รับยารักษาร่างกายเขามันเจ็บปวราวกับอวัยวะจะฉีกขาดออกจากกันทุกส่วน เขาทนมาถึงสี่ปี เจ็บปวดแสนสาหัสจนอยากจะตายไปซะให้พ้นๆ แต่ก็ไม่อยากยอมแพ้ เขามีหลายอย่างที่ต้องทำ เขามีเป้าหมายที่ยังอยากอยู่ต่อไปจึงได้ทนเป็นคนที่อ่อนแอน่าสมเพชแบบนี้
“ครั้งนี้ถ้าโชคดีคุณอาจฟื้นและมีสิทธ์หายได้ 70% แต่ถ้าโชคร้าย…” ด็อคเตอร์จอห์น อาร์ช แพทย์หนุ่มระดับหัวกระทิของเยอรมันที่ผันตัวมาเป็นนักวิทยาศาสตร์คิดค้นยารักษาโรคใหม่ๆเอ่ยกับทศกัณฐ์แต่ไม่กล้าพูดต่อในสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง
“ผมจะไม่ยอมตายตอนนี้หรอกนะด็อคเตอร์อาร์ช” ทศกัณฐ์ยิ้มที่มุมปากนิดๆ คุณหมอทั้งสองเบิกตานิดๆเพราะไม่คิดว่าจะเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่ดูธรรมชาติจากคนระดับนี้
“พวกผมจะทำอย่างสุดความสามารถครับ” คุณหมอเดวิดเอ่ยให้คำมั่นกลายๆ ทศกัณฐ์คือหลานผู้มีพระคุณของเขา เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่งของเขาเหมือนกัน ชายหนุ่มพยักหน้าให้พร้อมหลับตาลงแสดงถึงความพร้อมในการรักษา เขาไม่เคยต้องเตรียมใจเพราะเขาจะต้องฟื้นเพื่อกลับไปหาอีกคน
ด็อคเตอร์เดวิดและด็อคเตอร์จอห์นหยิบหลอดแก้วใส่ยาเหลืองอ่อนขนาด 10 มิลลิลิตร ออกมาสามหลอด เป็นยาตัวใหม่ที่พวกเขาคิดค้นได้แต่ก็ต้องเสี่ยงใช้ก่อนกำหนด คุณหมดทั้งสองช่วยกันฉีดยาผ่านสายน้ำเกลือให้ทศกัณฐ์อย่างช้าๆ เวลาผ่านไปสามชั่วโมงร่างกายทศกัณฐ์สั่นและเกร็งขึ้น ลมหายใจหอบถี่ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมตามใบหน้าและลำตัว คุณหมดทั้งสองฉีดยาระงับอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ทศกัณฐ์กัดฟันแน่นอย่างอดกลั้นเวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงกล้ามเนื้อแน่นเริ่มผ่อนคลายลงพร้อมๆกับลมหายใจที่เริ่มแผ่วลงทุกขณะ ทศกัณฐ์ใช้เวลาต่อสู้กับความเจ็บปวดยาวนานถึงห้าชั่วโมงก่อนห้วงสติเขาจะค่อยๆดับไป
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...ตี๊ดดดดดดดด....
++++++++++++++++
คิดถึงจังงงงง ก่อนอื่นขอกราบขอโทษงามๆสามที ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เปรมมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถอัพนิยายได้ซึ่งเหตุผลนั้นร้ายแรงพอที่จะไม่สามารถแต่งนิยายต่อได้อีก เปรมทำทุกอย่างพลาดไปหมด เปรมเหนื่อย เปรมร้องไห้และโคตรเสียใจและทุกคนก็เสียใจเพราะเปรม แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถทิ้งคนอ่านไปได้จริงๆ เพราะเห็นคอมเม้นและยอดวิวที่เพิ่มขึ้นทุกวันมันอดไม่ได้ มีคนบอกว่าเปรมโตแล้วแต่ยังทำตัวเหมือนเด็ก ชอบฝืนและดื้อดึง ซึ่งคงจะจริง เพราะเปรมจะดื้อในสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่ต้องเข้าใจเค้าหรอกนะ แต่เค้าว่าเค้ารักพวกเธอ สู้โว้ยยย <3