Kagehana : พามาเที่ยวออสเตรเลียค่ะ ฮี่--- เคยไปที่สวนสัตว์มา โคอาล่าตัวจริงประทับใจมาก ><
แฟนเก่าของพี่เดฟ...จะมีบทบาทมั้ยน้า ฮิฮิ
-36-
“ถึงแล้ว”
รถแบบครอบครัวสีขาวจอดลงตรงที่จอด Featherdale Wildlife Park เป็นกึ่งสวนสัตว์กึ่งฟาร์มที่อยู่ห่างจากตัวเมืองซิดนีย์ชั่วโมงกว่าๆ ชายหนุ่มจูงคนตัวเล็กกว่าลงจากรถไปซื้อตั๋วแบบพาสปอร์ตที่มีประวัติและที่ให้สแตมป์ตามฐานต่างๆในนั้น
“อ่ะ ของปัน ร้อนป่ะ” เดือนธันวาคมของประเทศออสเตรเลียเป็นฤดูร้อน ซึ่งอากาศนั้นก็ราวๆกับเมืองไทยทีเดียว
“... ร้อน........” นอกจากเสียงจะฟังดูขุ่นแล้ว ใบหน้าของปัณวิทย์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าร้อน เขามองคนที่กางแผนที่อยู่ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปหา
“ไปทางไหนก่อนอะ”
“ก็เดินเข้าไปกรงนก...เสร็จแล้วก็มีจุดถ่ายรูปกับโคอาล่า ตามแผนที่อ่ะนะ” เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายขี้หงุดหงิดกับอากาศร้อนเป็นพิเศษ ชยางกูรเลยหยิบของที่เตรียมมาในเป้ออกมา
“เอ้า ใส่นี่” หมวกแก็ปใบโตสวมลงบนศีรษะกลมมนพร้อมกับขวดน้ำเย็นเจี๊ยบที่ซื้อมาเมื่อครู่
“น้ำนั่นเดี๋ยวได้กลายเป็นน้ำร้อนแน่...” เขาทำเสียงบ่นอุบอิบ แต่ก็ดึงแขนอีกฝ่ายให้คนตัวสูงกว่าต้องก้มใบหน้าลงมา
“ขอบคุณนะพี่เดฟ” ปัณวิทย์เอ่ยเสียงเบา ขอบคุณสำหรับหมวกกับน้ำที่เอามาให้
ชยางกูรตอบแทนคำขอบคุณด้วยการกดจมูกลงบนแก้มชื้นเหงื่อครั้งหนึ่ง ฝ่ามือใหญ่กุมมือเล็กๆเอาไว้แล้วเดินเข้าไปในทางเข้า
ผ่านทางเข้าเข้าไปเป็นส่วนของกรงนกที่อยู่หน้าสุด เขาเดินดูด้วยอารมณ์เรื่อยเปื่อยเพราะถึงแม้จะเป็นนกท้องถิ่นของออสเตรเลียแต่ในสายตาเขาก็ดูไม่ได้ต่างจากนกในไทยหรืออเมริกานัก หากแต่ที่แตกต่างคงเป็นบนพื้นดินที่มีลูกจิ้งโจ้กระโดดไปมาอย่างใกล้ชิด
“ที่นี่ดีเนอะ ปล่อยจิงโจ้วิ่งเล่น...ในแผนที่บอกว่าเลยตรงโคอาล่าไปแล้วจะมีฟาร์มจิงโจ้ มีให้อาหารด้วย แต่เจ้านี่สงสัยเป็นหน่วยต้อนรับ” เขาย่อตัวลงลูบหลังจิงโจ้ตัวน้อยที่โดดหย็องแหยงเข้ามาใกล้
“ปันจับสิ ถ่ายรูปมั้ย”
“ถ่าย! น่ารักจัง ให้ใครถ่ายดิ จะได้มีรูปด้วยกัน” ใบหน้าของปัณวิทย์ทีตอนแรกดูจะหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน ตอนนี้กลับมีแต่รอยยิ้มเริงร่าสมวัยเมื่อเห็นลูกจิงโจ้ตัวเล็กกระโดดไปมา
ชยางกูรกดถ่ายรูปเจ้าตัวที่ยิ้มร่าเริงแนบหน้ากับลูกจิงโจ้เป็นอันดับแรกก่อนจะขอให้คู่สามีภรรยาชาวต่างชาติที่อยู่ใกล้ๆถ่ายรูปให้ ร่างสูงย่อตัวลงเข้าเฟรมกอดทั้งคนทั้งจิงโจ้ไว้ในอ้อมแขน
พอได้กล้องถ่ายรูปคืนมา ปัณวิทย์ก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม เด็กหนุ่มมองภาพที่ถ่ายคู่กันผ่านหน้าจอแล้วหันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ปันไม่ค่อยมีรูปกับพี่เดฟ ถ่ายกันอีกเยอะๆนะ....”
“ก็ปกติเราไปเที่ยวไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกันนี่เนอะ” ชยางกูรก้มลงมองแล้วจัดหมวกให้
“ถ่ายเยอะๆ จะได้เก็บไว้ดู” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะหยิบแผนที่ขึ้นมาดูบ้าง
ใบหน้ายิ้มร่าเริงของปัณวิทย์ทำให้คนถือกล้องอดใจกดชัตเตอร์ไม่ได้..จนกระทั่งแขนอีกฝ่ายเกี่ยวจูงเดิน ชยางกูรถึงรู้ตัว
ที่ๆปัณวิทย์เดินมาถึงเป็นบริเวณของโคอาล่า โคอาล่าทุกตัวในสวนนี้ต่างมีชื่อเป็นของตัวเองซึ่งแต่ละตัวนั้นก็ถูกจับอยู่ในโรงเลี้ยงกอดต้นยูคาลิปตัสนอนหลับไม่สนใจใคร ชายหนุ่มเดินมาถึงจุดถ่ายรูปและให้อาหารโคอาล่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถนำมาอุ้มได้แต่ก็สัมผัสได้อย่างเต็มที่
“อ๊ะ โชคดีจังปัน โคอาล่ากำลังตื่นเลย” น้ำเสียงคนพูดตื่นเต้นเพราะน้อยครั้งที่เจ้าโคอาล่าที่หมุนเวียนมาถึงจุดให้อาหารจะลืมตา ส่วนใหญ่แล้วจะหลับขดซุกตัวอย่างขี้เกียจมากกว่า
“น่าอุ้มดีอะ ดูดิ หน้าตาตลกด้วย” เด็กหนุ่มหัวเราะขำใบหน้าที่ยังดูง่วงนอนของเจ้าหมีสีเทา ปัณวิทย์ไม่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้นานแล้ว ตั้งแต่ถูกกีดกันออกมาจากครอบครัว เขาก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหน ยกเว้นแต่ทัศนศึกษาของโรงเรียนเท่านั้น
“หน้าโคตรเหมือนปันตอนยังไม่ตื่นดีเลย”
ชยางกูรดึงคนรักให้ไปยืนแนบชิดโคอาล่า
“ปันโอบหมีแล้วยื่นหน้ามาเลย...ฝาแฝดชัดๆ”
“นิสัย ปากหมาแล้ว” หน้ายิ้มๆหายไปพลางเอื้อมมาดันมือที่ถือกล้องรออยู่แล้วออกไป
“โอ๋ๆ งอนเหรอน้องปันปัน”
มือใหญ่ยื่นเข้ามาหยิกแก้มขาวๆก่อนจะกดชัตเตอร์แล้วหันไปหาเจ้าหน้าที่ฝากให้ถ่ายรูปให้
“ไม่ต้องมาทำเรียกน้องปันปันเลย” เขาทำหน้ายู่ใส่อีกฝ่ายเพียงครู่เดียวก่อนจะรีบยิ้มให้กับกล้อง
ชยางกูรไม่ได้แนบแก้มลงไปบนตัวนุ่มขนฟู หากแต่เขากลับแนบแก้มกับตัวนิ่มแก้มอุ่นแล้วฉีกยิ้มกว้างขวางใส่กล้อง ปัณวิทย์ที่ขยับตัวถูกกอดเอาไว้แน่นจนตากล้องสาวลอบส่งยิ้มมาให้
“ยิ้มสิปัน ยิ้มหวานๆ”
“ยิ้มแล้วไง ยิ้มแล้ว” เขาหัวเราะกับท่าทางของชยางกูรที่ยังไงๆ คนท่าทางดูดีแบบนี้เหมาะจะไปเดินในเมืองมากกว่าสวนสัตว์ตอนอากาศร้อนๆแบบนี้
“มองไรปัน” ชายหนุ่มรับกล้องพร้อมขอบคุณแล้วหันมาทำหน้าแกล้งวีนใส่
“เปล๊า”
“เดฟ... เดฟใช่ไหม” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มฝูงชนที่เข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ในวันนี้เรียกให้ปัณวิทย์หันตาม
ชยางกูรหันไปตามเสียงเรียก ทันทีที่เห็นเหมือนกับถูกสาดน้ำเย็นจัดสาดเข้าร่าง ใบหน้าได้รูปของคนตรงหน้าที่ไม่ได้เห็นมาสองปีดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักนิด
“พี่เอส....” ชยางกูรเรียกชื่อด้วยเสียงที่เหมือนจะหลุดออกจากลำคอมากกว่าตั้งใจ
“... โลกกลม จังเลยนะ” เจ้าของชื่อเอส หรือว่าอิสรายิ้มให้จางๆ
“เป็นยังไงบ้าง... สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดี พี่เอสล่ะ” หนุ่มช่างพูดูราวกับกลายเป็นเครื่องจักรลืมหยอดน้ำมัน ชยางกูรถามเหมือนกับไม่รู้จะถามอะไร
“... สบายดี เดฟมาทำอะไรที่นี่เหรอ” อิสราถามต่อโดยที่รอยยิ้มจางๆนั้นยังไม่หายไปไหน ชายหนุ่มร่างโปร่งไม่ได้สังเกตเห็นปัณวิทย์ที่ยืนอยู่ด้วย
“ผมมาเที่ยวกับน้อง...ปัน นี่พี่เอส...” ชยางกูรไม่รู้ว่าจะแนะนำอิสราในฐานะอะไร จะบอกว่าเพื่อนร่วมงานก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว จะบอกว่าแฟนเก่า..ก็กลัวคนรักจะคิดมาก
“สวัสดีครับ...” ปัณวิทย์ไม่ใช่เด็กที่ดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แม้จะไม่แน่ใจ แต่เขาก็ไม่อยากจะฟันธงว่าเคยมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นในอดีตแน่ๆ ถ้าให้สังเกตจากท่าทางของชยางกูรแล้ว
“พี่เอส...มากับแฟนเหรอ” เขาถามพร้อมกับมองหาตัวคนข้างกายของคนตรงหน้า
ครั้งหนึ่งเขากับอิสราเคยรักกันมาก...รักจนคิดว่าจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิต แต่อาจจะเป็นเพราะความเหงาและเขาเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอิสรา ชายหนุ่มตรงหน้าถึงไปคบกับอีกคนโดยไม่บอกเขา สุดท้ายเมื่อทุกอย่างเปิดเผย เขาเลยเป็นฝ่ายจากมา
และไม่เชื่อในความรัก...จนกระทั่งมาเจอปัณวิทย์
“อื้ม เจคอบไปซื้อน้ำให้น่ะ” เขาหันไปยังทิศทางที่เจคอบเดินหายไปก่อนหน้านี้แล้วหันกลับมามองคนที่ตัวสูงกว่า
“ดูโตขึ้นเยอะนะ”
“พี่เอสก็โตขึ้น แต่เจคอบไม่ใช่คนตอนนั้นนี่” น้ำเสียงห้วนสั้นถามคล้ายยืนยัน แม้จะไม่ได้เจอกันมานานแต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงของอิสราก็คือความหวั่นไหวและใจอ่อน..โอนเอนไปตามความต้องการที่ไม่หมดสิ้น
“ไม่อยากจะเชื่อเลย...” ชายหนุ่มพูดเบาๆคล้ายรำพันกับตัวเอง
“... เดฟมีอะไรอยากจะพูดกับพี่หรือเปล่า... ถึงพูดแบบนั้น... ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่ออะไรอย่างงั้นเหรอ”
“เปล่า” แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าเสียงที่ตอบไปทั้งห้วนและสั้นเพียงใด ชยางกูรหันกลับไปมองปัณวิทย์อีกครั้งก่อนจะคว้ามือมากอบกุมไว้
“ปันเป็นแฟนผม...คนรักของผมคนเดียวหลังจากที่เลิกกับพี่”
“......” อิสราไม่ได้พูดอะไรตอบในทันที แต่เขาก็ใช้สายตาสำรวจปัณวิทย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“ขอโทษครับ แต่ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่ามองแบบนี้เป็นการมองแบบดูถูก โตเมืองนอกแล้วมารยาทเหี้ยกันหมดหรือไง” ความไม่พอใจนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคำพูดคำจาที่ฟังดูอวดดีในเวลาต่อมาแทบจะทันที
ชยางกูรมองคนรักแล้วลอบอมยิ้ม ให้ตายเหอะเขารักเด็กนี่จริงๆ
แต่ที่น่าแปลกกว่าคืออิสราไม่มีทีท่าโมโหกับท่าทีของปัณวิทย์เลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขามีเพียงรอยยิ้มเศร้าๆที่มอบให้กับร่างสูง
“พี่คิดว่าเราน่าจะรู้... รักเพศเดียวกันแบบนี้ มันไม่ยั่งยืน... ไม่ใช่หรือไง เดฟเอง ก็มีพี่... เป็นตัวอย่างไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้าที่จะมาเจอกับพี่ เราเป็นยังไงมาก่อน ลืมไปแล้วเหรอ”
คำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าของอิสราทำให้นัยน์ตาสีฟ้าเปลี่ยนไป ก่อนที่จะเจออิสรา...เขาใช้ชีวิตแบบที่เรียกได้ว่าสำมะเลเทเมาเต็มที่ อยากจะมีเซ็กส์กับใครก็มี อยากนอนกับใครอยากทิ้งคนไหนก็เอา แต่หลังจากที่เจออิสรา...และเปลี่ยนผู้ชายคนหนึ่งให้เป็นเกย์ ทำให้เขาเรียนรู้คำว่ารัก
ถ้าอิสราไม่เจอเขา...อาจจะไม่ต้องมีชีวิตที่มีแต่ความไม่แน่นอนอย่างนี้ก็ได้ อิสราคงมีครอบครัว..มีคนรัก ได้แต่งงานมีลูก มีคนคอยอยู่เคียงข้างในทุกๆวัน
...ปัณวิทย์เอง ถ้าไม่เจอเขาก็อาจจะไม่ต้องมารักกับผู้ชายก็ได้...
...ไม่ใช่หรือไง...
“พี่เอส...ผมขอโทษ” แววตาที่มองตอบสื่อให้รู้ว่าคำขอโทษนั้นมีให้แก่เรื่องใด
“ไม่มีอะไรที่เราต้องขอโทษพี่หรอก พี่ก็แค่อยากจะเตือนเอาไว้....” อาจจะเพราะว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า อิสราถึงได้มีท่าทีสงบนิ่งแบบนี้
“ตอนนี้พี่มีความสุขดีหรือเปล่า” ชยางกูรถาม..ด้วยเสียงที่เบาแสนเบา
“อืม มีสิ” อิสรายิ้มให้จางๆ
“เดฟล่ะ”
ชยางกูรดึงคนตัวเล็กที่ยืนทำหน้ามุ่ยเข้ามาโอบไว้เบาๆ “ผมหยุดที่คนนี้แล้วครับ”
“พี่เอสเปลี่ยนเบอร์ยัง นี่นามบัตรผม มีอะไรติดต่อไปได้นะ...ผมไปก่อน” ชยางกูรยื่นนามบัตรให้
ถึงไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่เขาก็อยากให้รักแรกของเขามีความสุข
“รักษาสุขภาพนะ” อิสรายิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปหาผู้ชายฝรั่งที่กำลังเดินมาหา
พอเดินพ้นมาได้สักพัก ปัณวิทย์ก็เปิดปากถามทันที
“เมื่อกี๊อะไรน่ะ คุยด้วยทำไม มองปันยังกับเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้”
“พี่เอสเป็นแฟนเก่าพี่...รักแรกน่ะ พี่ยังไม่เคยเล่าให้ปันฟังแต่คงจำได้มั้ง คนที่พี่บอกว่าเป็นผู้ชายแท้แล้วมาคบกับพี่น่ะ”
“เหรอ...” เขามองหน้าอีกคนแล้วยืดมือไปขยี้มือกับเรือนผมสีทองยาวของชยางกูรแรงๆ
“อย่าทำหน้าเหี่ยวน่า”
“ไม่หึงเหรอ” ชยางกูรก้มลงมองพลางยกยิ้ม..ปิดบังอารมณ์อ่อนไหวภายใน
“หึงทำไม ไม่หึง มีปัญหารึไง” คนอายุน้อยกว่ายังคงทำหน้ายุ่ง
“เปล๊า---” มือใหญ่ไต่ลงไปในมือเล็กแล้วสอดประสานเอาไว้ด้วยกัน “ใครจะกล้ามีปัญหากับน้องปันปันกัน ป่ะ เดี๋ยวไปถ่ายรูปกับจิงโจ้แล้วพรุ่งนี้ไปเดินโอเปร่าเฮ้าส์กัน”
“ประชดเหรอ...” ปัณวิทย์บีบมือข้างนั้นเอาไว้แน่นก่อนจะพูดต่อโดยที่ไม่ยอมมองหน้าอีกคน
“หยุดที่ปันจริงๆแล้วอย่าทิ้งกันเชียวนะ”
ชยางกูรอยากจะก้มลงไปมองหน้าของปัณวิทย์ แต่เพราะอีกฝ่ายหันหน้าไปอีกทางจึงทำได้แค่หอมศีรษะผ่านหมวกแก๊ปเบาๆ
“ปันเองก็ด้วย...อย่าทิ้งพี่นะ”
“ถ้าจะทิ้งทิ้งไปนานแล้ว” เขาตอบเสียงแข็ง ซึ่งก็เป็นตามนั้น คนอย่างปัณวิทย์ ลองถ้าไม่รักสักหน่อย ก็คงเหมือนตอนแรกที่ต่อต้านชยางกูรอย่างชัดเจน แต่ลองถ้ารักแล้ว ต่อให้ถูกทำร้ายอย่างไรก็คงเกลียดไม่ลงอย่างที่พลภัทรทำ
“โคตรรักปันเลยว่ะ” ร่างสูงดึงเข้ามากอดแล้วหอมทั่วศีรษะด้วยความหมั่นเขี้ยว ความรู้สึกไม่สบายใจของเขาถูกปัดเป่าไปด้วยคำพูดห้าวๆเพียงประโยคเดียว
...แค่ปัณวิทย์บอกว่าจะไม่ทิ้ง..จะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียว...
...ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว...
///////////////////////////////////////////
“ปันอยากลองไปเที่ยวบาร์เกย์ป่ะ” ชยางกูรเริ่มบทสนทนาในห้องของโรงแรม แผนที่ที่วางไว้มีวงกลมอ็อกซ์ฟอร์ดสตรีทซึ่งเป็นแหล่งรวมของบาร์และคลับมากมาย โดยส่วนมากแล้วจะมีชื่อเสียงในฐานะถนนสายของรักร่วมเพศไปหาความสุขกันอย่างเสรี
“ไม่เอาครับ มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้แปลว่าอยากไปครับ” ปัณวิทย์หันมาแยกเขี้ยวพร้อมทั้งทำตาขวางใส่
“มาถึงออสเตรเลียทั้งทีน่า รับรองครับว่าพี่เดฟไม่ให้แฟนโดนใครซิวไปแน่” คนที่นอนคว่ำคว้าร่างเล็กมากอดฟัดอย่างหมั่นเขี้ยว
“ที่นี่แม่งเสรีดีเนอะปัน เซ็กส์ช็อปเต็มถนน ขนาดเดินในเมืองยังเปิดกันโครมๆ”
ในตอนแรกที่มา ชยางกูรนึกแปลกใจในความเสรีของเรื่องเพศของชาวออสเตรเลียที่เปิดกว้าง ร้านเกี่ยวกับเซ็กส์สามารถอยู่ติดกับร้านซีดีร้านอาหารแม้จะไม่มีหน้าร้านแต่ก็มีป้ายบอกว่าเป็นร้านอะไร ยังไม่นับกับเกย์และเลสเบี้ยนที่แลกจูบในที่สาธารณะโดยไม่ต้องสนสายตาใคร
“สรุปว่าไปป่ะ หรืออยากไปไฮปาร์คตอนกลางคืน” ไฮปาร์คที่ว่าคือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ถนนอ็อกซ์ฟอร์ด
“ไปดูปาร์คก่อนได้มั้ย ไฮปาร์คอะไรนั่นน่ะ ไอ้อย่างอื่นไว้ทีหลัง” พอได้ยินว่ามีสวนสาธารณะ ก็ทำให้รู้สึกว่าน่าไปกว่าบาร์เกย์ที่พี่ชายตัวดีชวนเป็นอย่างแรกแน่ๆ
“จากโรงแรมก็เดินไปได้ อยากไปไหมล่ะ สวนกลางคืนท่าจะสวยนะ”
“ไป!” ปัณวิทย์รีบตอบอย่างกระตือรือร้น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวต่างประเทศอย่างนี้จึงไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง
“ทำหน้าเป็นกระต่ายตื่นเลยนะ แล้วนี่โทรไปหาซายน์กับอัสซี่ยัง เอาลูกเราไปฝากเลี้ยงไว้น่ะ”
“ยังเลย ไม่อยากกวนเวลาพวกมัน...”
“งั้นค่อยกลับมาสไกป์หา”
ชยางกูรลุกจากเตียงแล้วเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ พอเดินออกมาปัณวิทย์ก็อยู่ในชุดเตรียมพร้อมเที่ยวแล้ว
“หล่อนะเรา” เขาพูดยิ้มๆแล้วจูบหน้าผากคนรัก
“แน่นอนอะ” ปัณวิทย์ยิ้มให้ก่อนจะมองหน้าร่างสูง ก่อนหน้านี้เขาก็คิดอยู่เสมอว่าตัวเองหน้าตาดี จนเจอกับคนๆนี้ ถึงได้รู้สึกว่าคนหน้าตาดีจริงๆแล้วเป็นแบบไหน
“ซื้อของไปกินที่ปาร์คป่ะ หรือไปก่อนค่อยหาอะไรกินตอนกลับ”
“ซื้อ อยากกินสตรอว์เบอร์รี่ทาร์ต” เขาสอดแขนเค้าคล้องกับแขนของชยางกูรเอาไว้
ชยางกูรลากคนรักเดินลงมาที่ล็อบบี พอเดินออกมาก็แวะซื้อสตรอว์เบอรี่ทาร์ตที่ร้ายใกล้ๆก่อนจะแวะ pie face...ร้านขายพายที่เป็นแฟรนไชน์ที่เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนของออสเตรเลีย พายต่างไส้ทำเป็นถาดเล็กๆด้านบนทำเป็นรูปคล้ายหน้าคน หากในอเมริกาเบอร์เกอร์เป็นอาหารยอดนิยมแล้ว ในออสเตรเลียก็คงจะเป็นพายไม่ผิดแน่
“เอาพายป่ะ พี่เอาไส้ไก่กับเห็ดไปแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปซื้อชาไทม์กัน” ชายหนุ่มพูดถึงแฟรนไชน์ชาที่มาจากไต้หวัน
“เอา เอาชาสตรอว์เบอร์รี่นะ เย็นด้วย” เขาพูดสิ่งที่อยากได้อย่างเอาแต่ใจ ปัณวิทย์รู้ดีว่าอีกเดี๋ยวก็คงถูกล้ออีกว่ากินแต่สตรอว์เบอร์รี่
“นี่ถ้าพี่เอาสตรอว์เบอร์รี่ชุบตัว ปันคงกินหมดตัวแหง”
“แน่นอน” เขารีบตอบอย่างไม่รอช้า ก่อนจะหยุดไปเพราะว่านึกได้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นอาจทำให้ชยางกูรคิดไปถึงไหนได้
“เปลี่ยนล่ะ พี่ไม่เป็นนักธุรกิจดีกว่า ไปเป็นชาวไร่สตรอว์เบอร์รี่ดีที่สุด”
“ไม่เท่เลย ตลกโคตร พอแล้วพอ หิวน้ำแล้วด้วย จะถึงร้านชารึยัง” เขาดึงชายแขนเสื้อของร่างสูงสองสามทีประกอบคำถามของตัวเอง
ปลายนิ้วชี้ไปที่ร้านสีขาวที่มีแถบสีม่วงพาดเป็นป้ายชื่อร้าน ชายหนุ่มสั่งชาเย็นไซส์ใหญ่สองแก้วใส่ถุงแล้วจับมือจูงเดินไปตามถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน เพียงสิบนาทีก็ถึงไฮปาร์คที่ว่า
ไฮปาร์คเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่มากซึ่งตั้งอยู่กลางใจเมือง ข้างในสวนนอกจากจะมีต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ยังมีนกตัวเล็กไปถึงใหญ่เท่าเด็กเดินเล่นอยู่อย่างเป็นอิสระ แม้จะเป็นยามกลางคืน แต่ความงดงามที่ลึกลับกว่ากลางวันก็เผยโฉมให้เห็นใต้ฟ้าพร่างดาว
“ไปนั่งที่ม้านั่งไหม ดึกๆอย่างงี้อากาศเย็นชะมัด”
“ไม่เอา นั่งบนหญ้าไม่ได้เหรอ นิ่มกว่าอีกนะ” เขาย้ายมาจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะบีบเบาๆพอได้ยินคนโตกว่าบ่นว่าหนาว
“หญ้าก็หญ้า” ร่างสูงนั่งลงบนผืนหญ้าแล้วเอาของวางข้างตัว ท่อนแขนยาวดึงปัณวิทย์มากอดรัดเอาไว้ในตักพลางกดจมูกหอมไปทั่วกาย
“... ฝรั่งครับ คนไทยไม่ชอบให้ทำแบบนี้ในที่สาธารณะ...” ปัณวิทย์ทำเสียงเย็นชาพร้อมทั้งส่งสายตาดุๆไปให้คนที่กำลังลวนลามเขาเบาๆ
“ฝรั่งไม่ได้ทำอะไรครับ แค่หอมแฟน”
คริสต์มาสของออสเตรเลียไม่ได้หรูหราอะไรมากนักแต่ก็ไม่ได้น้อยหน้าชาติใดๆ ในส่วนของไฮปาร์คเองก็มีการประดับไปสวยงาม ชยางกูรกอดคนในตักที่ดิ้นไปมาแล้วพึมพำเบาๆว่าหนาว...เรียกร้องความสนใจ
“... ก็กอดไว้แน่นๆดิ ทำเป็นบ่น” เขาเบียดตัวเองเข้าในอ้อมกอดอย่างจงใจ เพราะอยากให้อีกฝ่ายอุ่นขึ้น
ชยางกูรตอบสนองด้วยอ้อมกอดที่แน่นขึ้น จนร่างกายร้อนผ่าว
“กินขนมเลยไหม”
เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปคว้าเอาถุงขนมมา
“กินเลย... เอาทาร์ตก่อน” มือล้วงเข้าไปในถุงเพื่อหยิบเอากล่องกระดาษที่ใส่ทาร์ตไว้ออกมาเปิด
ชยางกูรบริการเจาะน้ำและแกะขนมออกมาวางให้ อากาศเย็นๆในยามค่ำคืนทำให้รู้สึกหนาวนิดๆแต่หัวใจกลับอบอุ่นที่ได้มีคนรักเคียงข้าง เขากินพายอุ่นหอมช้าๆสลับกับแกล้งเอนตัวซบปัณวิทย์
“อะ ใจดี แบ่ง” เขาเอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือที่จับทาร์ตเอาไว้ส่งให้คนที่โอบกอดจากข้างหลังได้ชิมด้วย
ร่างสูงชะโงกตัวไปงับทาร์ตของคนรัก ปลายนิ้วอุ่นร้อนตวัดเลียแยมหวานๆซึ่งเลอะที่ปลายนิ้ว
“หวานเนอะ อร่อยจัง”
“อือ อร่อย กินแทนข้าวได้เลยแบบนี้” ปัณวิทย์ดึงมือคืนมาเพื่อจะหยิบชิ้นต่อไป
ชยางกูรกินพายอุ่นๆแกล้มลมหนาวในสวนสาธารณะ จวบจนเศษพายที่ติดปลายนิ้วถูกกินลงกระเพาะร่างสูงก็เอนตัวลงนอนบนผื่นหญ้านุ่ม แหงนหน้าดูดาวสว่างสุกใส
“ชอบที่นี่จัง อากาศดี..ปันก็อุ่น...”
“อืม สวนก็สะอาดดี นอนกลิ้งแบบนี้สบายเลย” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอนตัวตามลงมาหลังจากทานทาร์ตชิ้นสุดท้ายหมดไป
ท่อนแขนแข็งแรงเอื้อมมากอดเอาไว้ ใบหน้าที่แนบชิดกันจนแทบจะเป็นลมหายใจเดียวของปัณวิทย์ผงะไปครู่หนึ่ง ชยางกูรแตะริมฝีปากเบาๆก่อนจะบดเบียดจุมพิตหวานละมุนลงไปเชื่องช้า ผิวกายหอมหวานของคนรักปลุกเร้าสัมผัสวาบหวามจนแทบหลอมละลาย ชยางกูรไล้มือตามสะบักไหล่ตามแนวเสื้อจนร่างบางในอ้อมกอดสั่นสะท้าน
“กอด..แก้หนาว” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“พี่เดฟ” ปัณวิทย์ทำเสียงเข้มใส่ขณะพยายามขืนตัวแข็งเอาไว้
“ไฮปาร์คกลางคืนมืดจะตาย” ชยางกูรกระซิบแผ่ว
ชยางกูรลูบไล้แผ่นหลังอุ่นนุ่มของคนรัก จุมพิตหวานซ่านพร่างพรมลงบนลาดไหล่ที่เปิดออกนอกเสื้อ ไอหนาวที่พัดมาไม่ได้ทำใ้ความร้อนของร่างกายลดลงสักนิด เพราะเนื้อนิ่มในอ้อมกอดที่สั่นสะท้านเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจ
“......” ปัณวิทย์คิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้วจริงๆที่เลิกขืนตัวหนีสัมผัสจากฝ่ามืออุ่น เบียดตัวเข้าหาก่อนจะแตะริมฝีปากแผ่วเบาที่ต้นคอของคนรัก
เพราะคนรักตอบสนองด้วยอาการโอนอ่อน ชยางกูรที่ย่ามใจก็เริ่มรุกไล่มากขึ้น..และมากขึ้น...
ในเงามืดของร่มไม้มีเงาสองเงาเกี่ยวกระหวัดซ่อนเร้นในความมืด เสียงหอบหายใจดังแผ่วผสานเสียงครางเครือแว่วหวานภายใต้สายลมโชยอ่อน พัดพาความหนาวเย็นด้วยความเร่าร้อนที่ลุกโชนใต้ราตรีฟ้ากระจ่างดาว
To be continued...in ดาวมาม่า