END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)  (อ่าน 186985 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คุณแม่น่ารักจังเลยยยย น้องก็น่ารักกก  :hao5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
จะจบแล้วหรือ....โนว..ววววววววววว   :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ PhantomAlone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆที่ฮีลหัวใจนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ รอเก็บเล่มเลยยย  :L1: :pig4:

ออฟไลน์ JingJing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก ขอบคุณคนแต่งมากๆน้าา  :L2:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.25 always be certain (END)

We can see for miles up here, We can go wild up here
It’s just me and you
[/i]



“ทำไมแฟน ๆ เขาดราม่ากันทุกวันเลยล่ะครับ แถมแคปไอจีสตอรี่พี่ดิมเต็มเลย”

“ยังดีนะไม่คิดแฮทแท็กให้ด้วย” พี่ดิมหัวเราะหึในลำคอ

เรากำลังเดินเล่นริมทะเลยามเย็น ท้องฟ้าผืนกว้างตรงหน้าตัดกับผืนน้ำทะเล ทอแสงสีสวยหลากสีสะท้อนกันคล้ายกระจกเงา เราใช้วันหยุดสั้น ๆ หลังจากผมสอบเสร็จและพี่ดิมส่งงานวิจัยไปประเมินครั้งแรก มาพักผ่อนที่ทะเลหัวหินอย่างไม่มีแพลนอะไร เพียงแค่อยากออกมาสูดอากาศนอกกรุงเทพฯ ก็เท่านั้น

“เขาคงไม่ชอบใจที่พี่ไม่ไปออกงานอีเวนท์กับศิล่ะมั้ง”

“ฮื้อ ทำไมล่ะ ก็พี่ดิมติดงานนี่”

“เขาคงคิดว่าพี่ไม่เต็มใจที่จะแสดงละครชายรักชาย รับเล่นเพราะอยากสร้างกระแสให้ตัวเอง”

“เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว” ใหญ่โตไปมากจริง ๆ ผมไม่คิดว่าการที่พี่ดิมติดงานตามหน้าที่ของเขาจะถูกทำให้เข้าใจไปแบบนั้น “งั้นพี่ดิมจะไม่ทำอะไรเลยหรอ”

“ไม่เป็นหรอก เดี๋ยวเขาก็ค่อย ๆ ลืมพี่ไปเอง”

พี่ดิมเข้าไปคุยกับคุณติณณ์เรื่องจะไม่รับงานในวงการ เนื่องจากภาระงานหลักที่มากเกินจะแบ่งเวลาได้ ซึ่งทางคุณติณณ์ก็บอกว่าจะรอ แต่พี่ดิมตอบปฏิเสธเพราะถ้าเรียนเฉพาะทางจบต้องไปจะต้องใช้ทุนอีกสามปี ตอนนั้นก็คงอายุพอสมควรนักแสดงใหม่ ๆ คงเกิดขึ้นมากมากเกินกว่าจะมาเสียเวลารอเขา ส่วนพี่ใบชาเสนอให้พี่ดิมรับแค่งานเล็กน้อย เช่นถ่ายแบบ หรืองานพรีเซ็นเตอร์ ทว่าเจ้าตัวก็ปฏิเสธไปอีก เขาจะขอมุ่งไปทำงานวิชาการที่เขาตั้งใจ สุดท้ายผู้ใหญ่หลายคนก็ใจอ่อนกับความตั้งใจแน่วแน่ของว่าที่คุณหมอศัลยแพทย์

อีกประมาณสี่ตอนซีรีส์ก็จะจบ และคิดว่ามันจะถูกปิดฉากด้วยความสวยงาม แม้ว่าวันนั้นพี่ดิมอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะนักแสดงอีกต่อไป แต่ผลงานเรื่องสุดท้ายก็น่าจะทำให้คนจดจำและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ไม่น้อย ถ้าจะบอกว่าวินวินทั้งสองฝ่ายคงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรแฟนคลับก็อยากพบปะนักแสดงหลักตามกลไกปกติ และนี่อาจจะทำให้พี่ดิมถูกมองไม่ดีได้

“ศิว่าพี่ดิมน่าจะบอกพวกเขานะครับว่าพี่ดิมติดภารกิจหลายอย่างทำให้ไม่สามารถรับงานอีเวนท์ได้”

“หมายถึงแฟนคลับน่ะหรอ”

“ครับ แล้วก็คนอื่น ๆ ด้วย”

คนตัวโตหยุดเดินแล้วหันออกไปมองท้องฟ้าที่สีเข้มขึ้น “พี่ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจได้ การที่พี่ไม่แถลงข่าวหรือทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็เพราะการลาออกจากวงการมันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจของพวกเขามากกว่าการเงียบแล้วปล่อยให้เวลาลืมพี่ไป ถ้าพี่ประกาศก็จะมีคนรอและการรออย่างไม่มีจุดหมายมันทรมาน อาจจะมีคนมารอเจอพี่ที่ทำงานซึ่งพวกเขาเคยทำมาแล้ว และก็คงถูกมองไม่ดีไปตามระเบียบ พี่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย”

“....” จับมือของคนตัวโตที่ใช้สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า สีหน้ากังวลเมื่อพูดถึงกลุ่มคนที่ตามให้กำลังใจเขามาตลอดระยะเวลาที่ทำงานในวงการ มันคงเป็นความผูกพันที่ดีสำหรับเขา

“พี่ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะมองกลุ่มแฟนคลับแบบไหน สิ่งที่พี่เห็นคือความเสียสละ สละเวลา สละเงิน สละความรัก ให้กับใครก็รู้ มันเป็นความสัมพันธ์อีกรูปแบบที่พึ่งพากันในเชิงการเยียวยา อาจจะเรียกมันว่าความรักที่ช่วยฮีลลิ่งต่างฝ่ายก็ได้ ซึ่งมันดีมากนะ”

“พี่ดิมแคร์พวกเขามากเลยนะครับ”

“อื้ม จริง ๆ ถ้ามีโอกาสพี่อาจจะเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อ ทำกิจกรรมด้วยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลากันจริง ๆ”

ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย พี่ดิมดึงผมเข้าไปกอดแนบอก ยืนมองพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าอีกด้านของผืนน้ำทะเล ไม่นานท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยความืดมิดอย่างรวดเร็ว คนตัวโตกอดผมเนิ่นนานโดยที่เราไม่พูดอะไรกัน มีบ้างที่เขาจุมพิตผ่านเส้นผมหลายครั้ง และมันทำให้ผมรู้สึกดี คล้ายกับเรากำลังชาร์จพลังกันและกันผ่านกอดนี้ บรรยากาศโดยรอบเพิ่มความสบายใจ ตัดทุกอย่างแล้วเหลือแค่เรา

“ศิชอบไปเที่ยวที่แบบไหนหรอ”

“ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่ดิม”

“งั้นโรงพยาบาลดีป่ะ” ผมเห็นเขาชะงักเล็กน้อย และหูแดงก่อนจะเล่นมุกนี้กลบเกลื่อน เจ้าแด๊ดดี้นี่น้า

เรากำลังเดินกลับที่พัก ซึ่งดิมบอกว่าจะพาไปกินข้าวและเดินเล่นแถวตลาดโต้รุ่งที่หัวหิน จริง ๆ ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้งแต่ก็นานมาแล้วตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นยังไม่มีตลาดเลย เวลาได้ไปเที่ยวก็จะไปกับที่บ้านช่วงปิดเทอมแบบนาน ๆ ที เพราะป๊ากับม๊าไม่ได้ว่างขนาดนั้น

“พี่ถามจริงจังนะ พี่จะได้แพลนชีวิตแล้วพาศิไปไง แต่คงไปบ่อย ๆ ไม่ได้นะ ศิจะโอเคหรือเปล่า”

“ศิไม่รู้ว่าตัวเองชอบเที่ยวที่แบบไหน เพราะไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ แบบว่าไม่ชอบที่คนเยอะ ที่จริงเราไม่ต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ ก็ได้นะ นาน ๆ ทีมาแบบนี้ก็โอเคแล้ว”

“พี่โชคดีจริง ๆ นะที่มีแฟนน่ารักแบบนี้”

“เอาคืนที่ศิหยอดไว้เมื่อกี๊หรอ” เอาแขนคล้องเอวคนตัวโตอย่างอารมณ์ดี “จริง ๆ นะศิโอเค ถ้าจะโอเคที่สุดคือพี่ดิมได้นอน ได้กินเต็มอิ่ม จะได้ไม่เป็นแด๊ดดี้แก่ ๆ ไง” เขาเอามือมาบีบจมูกทำโทษที่ผมว่าเขาแก่

“เดี๋ยวคืนนี้รู้เลยว่าแก่แล้วแซ่บแค่ไหน”

“วกเข้าเรื่องทะลึ่งอีกแล้วนะ”

แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์สั้น ๆ แต่ผมมีความสุขมาก ๆ และสัมผัสได้ว่าคนตัวโตที่กำลังแกะปูตัวใหญ่ตรงข้ามก็มีความสุขมากเช่นกัน ยังดีที่งานของพี่ดิมถ้าเป็นวันหยุดทุกคนก็จะเคารพสิทธิโดยการไม่โทรมารบกวน ยกเว้นกรณีที่ต้องรับมือกับเคสหนักและหมอที่เข้าเวรไม่เพียงพอ ถ้าเกิดขึ้นอาจจะต้องได้บึ่งกลับกรุงเทพฯ กันตอนนี้เลย



แสงไฟที่ส่องสว่างจากตลาดโต้รุ่งที่ตั้งเรียงรายติดกัน ทำให้ยามค่ำคืนของที่นี่รวมถึงตัวผมคึกคักแม้จะกินจนพุงบวมมากก็ตาม พี่ดิมเดินจับมือผมตลอดเวลาเหมือนกลัวว่าจะหลงทาง ผู้ชายอายุ 21 ที่ไม่ได้ตัวเล็ก กับผู้ชายวัย 28 ตัวโตเดินรอบตลาดโดยที่ไม่ปล่อยมือเลยไม่รู้คนจะมองด้วยสายตาแบบไหน แต่ผมไม่แคร์ เรียนรู้แล้วว่าคนที่ควรแคร์ที่สุดคือคนที่กุมมือจนร้อนนี่ต่างหาก

“พี่อยากดูร้านนั้น” เขาจูงมือเดินเข้าร้านสารพัดต่างหูและจิว เครื่องประดับที่แทบไม่เคยเห็นเขาใส่ ทั้งที่เห็นว่ามีรูเล็ก ๆ ที่ติ่งหูทั้งสองข้างบ่งบอกว่าเคยเจาะหูมาก่อน

มือใหญ่หยิบต่างหูสีเงินแวววับล้อกับแสงไฟ เป็นแบบวงกลมธรรมดาตามสมัยนิยม เขาวางแล้วหยิบอีกแบบที่มีแป้นล็อกด้านหลังมีเพรชเม็ดเล็ก ๆ สีขาว อันนี้ดูสวยทีเดียว แต่แล้วเขาก็วางมันลง ไม่แม้แต่จะถามราคาพ่อค้าด้วยซ้ำ ก่อนที่จะ
ยิ้มให้เจ้าของร้านและเดินออกมา

“ไม่ซื้อหรอครับ”

“ไม่ดีกว่า ซื้อไปก็คงใส่ไม่ได้...มันไม่เหมาะกับงานน่ะ” เขายิ้มโดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่สักเท่าไหร่

“แล้วเข้าไปดูทำไมล่ะครับ”

“แค่ดูให้หายอยากได้เฉย ๆ ได้จับได้สัมผัสก็โอเคแล้วแหละ อีกอย่างพี่ไม่ได้ใส่นานแล้วคงตันแล้วอะ” เขาจับติ่งหูแล้วลูบมันเบา ๆ ก่อนจะเดินไปดูร้านอื่นแบบที่ปล่อยให้สิ่งที่ชอบอยู่ด้านหลัง โดยไม่สนใจมันอีก

เกิดความคิดกับตัวเองว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งยอมละสิ่งที่เป็นความสุขเล็กน้อยของเขา เพื่อความเหมาะสมของงาน เพื่อความน่าเชื่อถือของตัวเอง เพื่อภาระหน้าที่ที่มักถูกผู้อื่นคาดหวังเสมอ อย่างนั้นหรือ? แล้วผู้คนที่คาดหวังจะมารู้หรือไม่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ ของคนที่ทำงานวันหนึ่งมากกว่าสิบสองชั่วโมง ผมน่ะไม่เข้าใจหรอก เพราะต้องมาเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง มันไม่แฟร์เลยว่าไหม

“พี่ดิมศิอยากกินไอติมไข่แข็งตรงนั้นที่เราเดินผ่านมา แต่ว่า” ผมยู่ปากอ้อน ๆ เขาหน่อย “ศิปวดขาอะ ใส่รองเท้าแตะเดินนาน ๆ เป็นงี้ตลอดเลย”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ ศินั่งรอพี่ที่เก้าอี้ว่างตรงนั้นก่อน” ที่นี่มีโซนจัดให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรับประทานอาหารได้

“ครับ” 

คล้อยหลังผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผมรีบเดินไปที่ร้านขายต่างหูเมื่อสักครู่ที่เราเดินออก รีบจัดการในสิ่งที่ตัวเองวางแผนไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่ถึงสิบนาที เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเป็นกังวลและผมก็จะโดนดุเอาง่าย ๆ ที่หายไปแบบนี้

“ร้อนหรอ ทำไมหนูเหงื่อออกเยอะจัง” สงสัยที่วิ่งไปวิ่งกลับเมื่อกี๊แน่ ๆ

“อ่า นิดหน่อยครับ ขอไอติมหน่อย” พี่ดิมตักไอติมเพื่อจะป้อน แต่ผมส่ายหัว ไม่อยากให้เป็นที่สนใจของคนอื่นเท่าไหร่ ไม่ได้อายนะ แต่เขินมากกว่า คนไม่เขินอย่างเขาก็ดึงดันจะทำ ก็ต้องตามใจเขาอีกแล้ว อ้าปากรับไอติมรสหวานมันเข้ากันดีของวัตถุดิบ ก่อนไอติมจะหมดถ้วยก็แอบมองเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าใช้สายตาโฟกัสอะไรสักอย่างตรงหน้าเขา ซึ่งก็คือข้างหลังผม

“พี่ดิมมองอะไรหรอ”

“ดูนั่นสิ เด็ก ๆ กลุ่มนั้นที่นั่งพับใบเตยขายน่ะ”

“ตัวเล็ก ๆ กันอยู่เลยนะครับ ไม่น่าต้องมาทำงานเลย พี่ดิมอยากไปอุดหนุนน้องมั้ย” ผู้ชายตรงหน้าพยักลงช้า ๆ ก่อนจะกินไอติมคำสุดท้ายเองและทิ้งถ้วยพลาสติกลงถังขยะ และจูงมือผมมุ่งไปกลุ่มเด็กตัวเล็กสามคนนั่งกับเก้าอี้ตัวเล็กพับใบเตยอยู่

“ขายยังไงครับ” คนตัวโตนั่งยอง ๆ ถาม

“อันละ 20 บาทครับ สามอัน 50 บาท”

“งั้นน้าซื้อ 3 อัน” เด็กชายที่ตัวโตที่สุดจัดช่อใบเตยที่พับเป็นดอกกุหลาบใส่ถุงให้ “กินข้าวกันหรือยังทั้งสามคนเลย”

เด็กชายตัวโตหันไปมองหน้าเด็กตัวเล็กอีกสองคน คาดว่าคนนี้น่าจะเป็นพี่คนโตส่วนอีกสองคนเป็นน้องชาย สุดท้ายพี่ชายก็ส่ายหัวเบา ๆ

“เลิกงานกี่โมง”

“เอ่อ สี่ทุ่มครับ”

“งั้นน้าจะนั่งรอตรงนั้น เลิกงานแล้วไปกินข้าวกันนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปกินกับยายที่บ้าน ยายก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน” คำตอบเด็กตรงหน้าทำผมสะท้อนในหัวใจ มันมีแต่คำถามพรั่งพรูในหัวมากมาย แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำ ความเหลื่อมล้ำในสังคมของเราไม่มีวันที่จะจางหายไป

“บ้านอยู่ไกลหรือเปล่า ให้ยายออกมากินด้วยกันสิ” เด็กคนน้องยิ้มร่าก่อนจะวิ่งจากจุดที่นั่งขายของไปยังสถานที่หนึ่งในมุมมืดของตลาด มีไฟสลัว ๆ ทำให้มองเห็นหญิงชรากำลังนั่งพับเตยอยู่เช่นกัน

ผมมองหน้าพี่ดิมแล้วยิ้มบาง ๆ ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ แต่พอมองใบหน้าเด็กชายสองพี่น้องที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีร่องรอยของความดีใจแบบปิดไม่มิดผมก็เข้าใจ



เรากลับที่พักกันดึกกว่าที่วางแผนไว้ เพราะคนใจดี 2018 เลี้ยงข้าวครอบครัวน้องพับเตยมื้อใหญ่หนึ่งมื้อ แถมให้ซื้อใส่ถุงเป็นอาหารสำหรับพรุ่งนี้เช้าอีกด้วย พอได้พูดคุยกับคุณยายแล้ว ก็ค้นพบว่าพวกเขาอาจจะจนที่ทรัพย์สิน แต่ไม่ได้อับจนปัญญา และไม่รีรอขอความช่วยเหลือจากใคร พยายามเรียนรู้และใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่เลี้ยงชีพอย่างน่าชื่นชม คุณยายปฏิเสธเงินแม้ว่าพี่ดิมจะหยิบยื่นให้จำนวนหนึ่ง แต่ขอเปลี่ยนเป็นนมและไข่ไว้ให้หลาน ๆ ได้กินเป็นอาหารแทน

“เด็ก ๆ พวกนั้นน่าสงสารจังเลยนะครับ คุณยายก็ด้วย”

“อื้ม เด็กพวกนี้สะท้อนความล้มเหลวเรื่องการคุมกำเนิดได้ดีเลยนะ พ่อแม่ที่ไม่พร้อมแต่ดันมีลูกในภาวะแบบนี้ คนที่รับกรรมก็คือเด็ก ๆ นี่แหละ พี่เจอเคสแบบนี้บ่อย ๆ ที่โรงพยาบาล ตอนที่ราวน์วอร์ดเด็กก็ได้ช่วยบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่พอมาเรียนต่อก็ไม่ค่อยได้ทำแล้วแหละ”

“ทำไมพี่ดิมถึงช่วยพวกเขาล่ะ”

“ไม่แน่เด็กที่พี่ช่วยวันนี้ โตขึ้นเขาอาจจะได้ช่วยคนอื่นก็ได้”

“เท่สุด ๆ ไปเลยฮะคุณหมอ” ผมยกนิ้วโป้งให้ พลางใช้มืออีกข้างลูบกระเป๋ากางเกงที่บรรจุสิ่งของที่คิดว่าจะเซอร์ไพร์สเขาไปด้วย กลัวว่ามันจะหายแล้วมิชชั่นจะเฟล แต่มันยังอยู่ดี “เอ่อ แล้วพี่ดิมอยากมีลูกมั้ย” เป็นคำถามที่วนเวียนในหัวมานานเหมือนกัน แต่ที่ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบ พอวันนี้ได้เห็นเขาดูมีความสุขเวลาได้พูดคุยกับเด็กก็อดไม่ได้จนต้องถามออกมา

“ศิท้องได้หรือเปล่าล่ะ” ใจวูบเหมือนกันพอได้ยินคำตอบ ผมยู่ปากเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “งั้นพี่ก็ไม่อยากมี การมีลูกหรือไม่มี ไม่ได้แปลว่าเราไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์นี่ใช่มั้ย มีพี่มีศิก็พอแล้ว” ยิ้มกว้างรับคำตอบที่คาดหวังว่าจะได้ยิน และมันทำให้หัวใจที่วูบไหวพองโตยิ่งกว่ามีบอลลูนลอยเคว้งอยู่ข้างในเสียอีก

เรามาถึงก็มานั่งม้านั่งริมระเบียงรับลมเย็น ๆ เพราะไม่อยากอาบน้ำแล้วตัวเหนียวจากลมทะเลอีกรอบ ได้โอกาสปีนขึ้นไปนั่งหน้าขาคนตัวโตเพราะคำตอบที่เข้าทางกับสิ่งที่อยากอ้อนเขาสักเรื่อง ใช้นิ้วเขี่ยตอหนวดที่เริ่มขึ้นมุมปาก

“พี่ดิมจะว่าอะไรมั้ย ถ้าศิจะขอ…”

“ขออะไรครับ” พี่ดิมใช้นิ้วเขี่ยที่จมูกเบา ๆ

โถมตัวกอดคอพี่ดิมแล้วตอบด้วยเสียงงึมงัม “ขอไปอยู่กับพี่ดิมได้มั้ยล่ะ”

“หื้อ พูดจริงพูดเล่น” เขาพยายามดึงตัวผมที่เหมือนลิงเกาะเจ้าของออกจากตัว และพอทำสำเร็จก็ได้เห็นสายตาเชิงล้อเลียนและดีใจปนกัน

“จริงสิ! ก็รอให้ชวนตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นชวนอะ!” เสียงหัวเราะจากผู้ชายตัวโตทำเอาผมเขินจะแย่

“เนี่ย น่ารักอีกแล้ว” พี่ดิมยักคิ้วให้สองที ก่อนผมจะจับหน้าเขาแล้วทำให้มันบู้บี้ ชอบทำแบบนี้เพราะหมันเขี้ยว “ศิไปอาบน้ำก่อนนะ” ปีนลงจากตักหยิบของต่าง ๆ เตรียมตัวอาบน้ำ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดไล่หลังก่อนที่จะเหยียบเข้าห้องน้ำ

“เตรียมตัวมาเลยนะหนู ยังไงคืนนี้ก็โดนแน่”


“โอ้ยพี่ดิม!”

ไม่ต้องบอกก็ทำอยู่แล้วล่ะน่า มาที่แบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ คบกันมานานพอที่จะอ่านออกว่าคนของผมน่ะชอบทำนอกสถานที่แค่ไหน เขาจะคึกคักและดูสดใสทุกครั้งที่เราได้นอนต่างถิ่น รู้เลยว่าในหัววางแผนสำหรับเรื่องอย่างว่าตลอดเวลา  จากคุณหมอคนคูลก็กลายเป็นชายผู้เร้าร้อนและหิวกระหาย



“ทำไมพี่ไม่เคยใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อนี้แล้วหอมเท่าศิใช้เลย” จมูกที่ชอนไชต้นคอลามไปหน้าอก ก่อนจะใช้ลิ้นลิ้มเลียตุ่มไตที่แข็งขืนคล้ายกับเป็นลูกอมรสหวาน แต่มันทำให้ผมหัวเสียเพราะแก่นกายที่แช่อยู่ภายในไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

จึงพยายามผลักร่างสูงแล้วพลิกตัวคล่อมตัวเขาแทน “แกล้งกันชัด ๆ”

“หึ เปล่าซะหน่อย” พูดจบไม่พอยังจะกระทุ้งตัวเบา ๆ ให้ผมสะดุ้งอีกด้วย

“อ๊ะ อื้ออ ดะ เดี๋ยวสิ” เขาไม่พูดพร่ำอะไรต่อ แต่ใช้แรงกระเด้งตัวจากเตียงเข้ามาในตัวผม ซึ่งมันเข้าลึกมาก มันทำให้รู้สึกมากจนต้องล้มตัวลงไปกอดเขาไว้ เสียงเนื้อเรากระทบกันฟังดูหยาบโลน จังหวะก่อนที่ตัวเองจะถึงฝั่ง เอื้อมมือไปหยิบสิ่งของที่เตรียมไว้ในลิ้นชักหัวเตียง คุมสติและพยายามสวมต่างหูที่มีเพชรเม็ดเล็กประดับลงที่ติ่งหูของคนตัวโตที่ยังดูสนุกกับสิ่งที่ทำ

“อ๊ะ อะไรน่ะครับ”

“ฮื้อ ศะ ศิจะถึง ระ แรงหน่อย” สิ้นเสียงคนใต้ร่างก็ดันร่างตัวเองเข้ามาอย่างแรงและเร็ว ไม่กี่ทีผมก็ทำเขาเลอะทั้งที่เพิ่งอาบน้ำได้ไม่นาน กอดคอเขาแน่นทั้งที่เนื้อตัวเรายังเชื่อมกันไม่ห่าง

“ฮะ ศิเห็นพี่ดิมอยากได้ ก็เลยซื้อมาให้”

จุ๊บ

 เขาจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดันตัวผมให้มองหน้ากัน “ขอบคุณนะครับ รู้มั้ยที่พี่ไม่ใส่ต่างหู เพราะพี่เคยลืมแล้วใส่ไปตรวจคนไข้ทั้งวัน ก่อนออกเวรพี่โดนอาจารย์หมอด่ายับ จากนั้นพี่ก็ไม่ใส่อีกเลย”

“ต่อไปนี้ศิจะเตือนพี่ดิมเองนะ จะได้ไม่เป็นคนแก่ขี้ลืมอีก”

“หมดแรงเพราะคนแก่ขนาดนี้ยังจะกล้าท้าทาย” เขาพลิกตัวเองแล้วเริ่มบทรักที่อีกครั้ง ไม่สิมันเพิ่งเริ่มสำหรับเขา รสจูบคุ้นเคยกำลังโหมกระหน่ำไม่แพ้สะโพกของเขาที่ถาโถมเข้ามาภายในกายของผม เขาถอนจูบและจับแขนผมคล้องคอ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยกยิ้มขึ้นก่อนจะใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่เปียกชื้นออกจากหน้าผาก ก่อนจะทาบหน้าผากของเขาลงที่หน้าผากของผม ตอนนี้เลยได้ยินเสียงลมหายใจของเขาชัดเจน ผสานกับเสียงครางกระเส่าของผม

“พะ พี่มีความสุข”

“ศิ อ๊ะ ก็เหมือนกัน”

พี่ดิมกอดผมแน่นก่อนจะขยับร่างกายอย่างรวดเร็วอีกไม่กี่ที เขาปลดปล่อยใส่เครื่องป้องกันทั้งที่อิดออดไม่อยากใช้ แต่ไม่อยากให้แม่บ้านมาทำความสะอาดจากกิจกรรมของเรา มันไม่ได้น่าพิศมัยสำหรับใครเท่าไหร่ อีกอย่างพี่ดิมจะได้ไม่เคยตัว ทั้งที่ตัวเองเป็นหมอแท้ ๆ กับละเลยเรื่องแบบนี้ น่าตีที่สุด

“ขอบคุณที่ใส่ใจพี่เสมอนะหนู”

“ก็พี่ดิมใส่ใจคนอื่นมาเยอะแล้ว ศิจะตามใจพี่ดิมเองนะ โอเคมั้ย”

ผมถูกกอดอีกครั้ง และอีกครั้ง เราผ่านค่ำคืนล่วงเข้าสู่วันใหม่ เป็นอีกหนึ่งวันที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน ตื่นนอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปเดินเล่นกัน จับมือกัน พูดคุยปรึกษากัน และเข้านอนด้วยกัน

ไม่เคยจินตนาการมาก่อนในชีวิตว่าวันหนึ่งจะมีคนที่พอดีและมาเติมเต็มให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าที่เคย

กาลครั้งหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ผ่านไป แต่กาลครั้งของผมคือทุกวันที่กำลังจะก้าวไป พร้อมกับ ‘เขา’ พระอาทิตย์ผู้ให้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของผม ให้พระจันทร์ดวงนี้ส่องสว่างท่ามกลางหมู่ดาว บนนภาที่ไร้แสง และจะทาบเคียง คู่ขนาน ไม่จากกันเช่นนี้ตราบที่ธรรมชาติจะสิ้นสุด




มีต่อ






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
My Taken

บรรยากาศในโรงพยาบาลยามเย็นยังคงมีคนไข้เทียวทยอยเข้าออก รวมถึงญาติที่เดินขวักไขว่เต็มที่พื้นโรงพยาบาลเช่นทุกวัน แต่ทว่าวันนี้มีชายวัยรุ่นหน้าตาดีมานั่งรอผมที่ริมระเบียงทางเดิน พร้อมกับอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ขอยืมจากห้องสมุดผมมาด้วย เขาปิดเทอมและอาสาจะมารับเพราะวันนี้เรามีนัดดินเนอร์กันที่เยาวราช ใช่ครับ เยาวราช เป็นการทานอาหารเย็นทางข้างง่าย ๆ
ผมกำลังเขียนรายงานเคสต์ของวันนี้เข้าระบบ แอบมองลอดบานเกล็ดบ่อยครั้ง เพื่อดูว่าเขาจะโดนยุงกัดมั้ย ให้เขามานั่งรอในห้องก็บอกว่าไม่อยากเป็นจุดเด่นให้คนอื่นเอาไปพูดต่อ ทว่าพอมืดแล้วระเบียงทางเดินจะเต็มไปด้วยยุงนี่แหละ จึงรีบทำงานตรงหน้าให้เสร็จ

ครืด ครืด

[POOL]

เห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ก็แอบแปลกใจเล็กน้อยเพราะเจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยโทรหาเขามาก่อน ส่วนมาจะส่งข้อความมากกว่า

(ฮัลโหลพี่ดิม!)

“ค่อย ๆ พูดก็ได้พูลล์ มีอะไรหื้ม”

(พรุ่งนี้วันเกิดศิ! พี่ดิมเตรียมเซอร์ไพรส์หรือยัง พูลล์กับเพื่อน ๆ เตรีมแล้วนะ จะชวนพี่ดิมให้เข้าขบวนการด้วยกันน่ะฮะ)

“อ่า พรุ่งนี้วันเกิดศิหรอ”

(พี่ดิม!! ไม่รู้ได้ไง วันเกิดแฟนทั้งที!)

นั่นสินะ ขนาดวันสำคัญของเขาผมยังไม่ใส่ใจพอที่จะจดจำเลย ถ้าน้องรู้ว่าผมจำวันเกิดเขาไม่ได้คงจะน้อยใจมากแน่ ๆ เลย แม้ศิจะดูเป็นเด็กไม่ตื่นเต้นในวันเทศกาลต่าง ๆ แต่นี่วันเกิดตัวเอง คงคาดหวังที่จะได้รับอะไรพิเศษไม่ใช่หรือไง

“แล้วแพลนกันไว้ว่ายังไงบ้าง...อื้ม...ที่นั่นหรอ รู้จักครับ โอเค”

(ยังไงฝากพี่ดิมด้วยนะ ศิต้องดีใจมากแน่ ๆ)

เสียงตื่นเต้นจนจินตนาการถึงสีหน้าอันสดใสของเจ้าเด็กพูลล์ได้ดี แผนการที่พูลล์และเพื่อน ๆ วางแผนขึ้นเพื่อเซอร์ไพรส์คนของผม ทำเอาผมเองละอายใจ ไม่ใช่แค่ตัวเองลืมวันเกิดคนที่นั่งรออยู่ข้างนอก แต่ยังรู้ว่าตัวเองไม่มีเวลากระทั่งตระเตรียมสิ่งเหล่านั้นได้เลย

นิ้วเล็ก ๆ เกาแขนที่กำลังขึ้นสีแดงของตัวเอง แน่นอนว่าโดนยุงกัด เขามันน่าตีบอกว่าให้เข้ามานั่งข้างในก็ไม่ยอม โดนยุงกัดในโรงพยาบาลอันตรายน้อยที่ไหน

“เด็กดื้อนี่มันน่าตีจริงๆ”

“อ้าว พี่ดิมงานเสร็จแล้วหรอ” ละสายตาจากหนังสือขึ้นมาตอบผม แต่นิ้วก็ยังขยับเกาที่เดิม

“พี่บอกให้เข้าไปนั่งข้างในถ้ายุงกัด”

“ก็นิยายมันกำลังสนุกนี่นา โดนกัดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

“ยังจะเถียง” นั่งลงข้างเขาเพื่อทายาหม่องที่ยัดใส่กระเป๋าเสื้อก่อนออกจากห้องทำงาน “โห มันไม่ใช่แค่ที่แขนนี่นา ข้อเท้าโดนกัดเต็มไปหมดเลย ถ้าหนูเป็นไข้เลือดออกพี่จะทำโทษซ้ำเลยนะ”

“ง่ะ ก็ถึงว่าเริ่มคัน ๆ แหะ ๆ” เด็กตัวดียังรื่นเริงไม่ได้รู้สึกเกงกลัวกับคำขู่ของผมสักนิด “ศิครับ ปกติแล้ววันพิเศษ ศิทำอะไรบ้าง” ลองแย๊ปถามเผื่อจะได้ไอเดียทำอะไรให้เขา เอาจริง ๆ เลยนะ เป็นคนง่อยเรื่องการทำอะไรแบบนี้มาก เข้าขั้นวิกฤติเลยแหละ

“วันพิเศษหรอ แบบยังไงอะ วันหยุดงี้ป่ะ ศิก็นอนตื่นมาเล่นเกมแล้วก็กินแล้วก็นอนอะ ฮ่า ๆ ๆ เนี่ยโครตพิเศษเลย”

“นั่นมันศิเมื่อก่อนเถอะ เดี๋ยวนี้พี่ไม่เห็นวันหยุดศิจะนั่ง ๆ นอน ๆ เลย ห้องพี่สะอาดยิ่งกว่าแม่บ้านมาทำให้ซะอีก ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องทำ ๆ”

“ก็ศิว่างนี่ ปิดเทอมทั้งที รอตั้งอาทิตย์กว่าจะถึงวันฝึกงาน พอศิจะกลับบ้านไปอยู่เล่นหมาบ้าง ลุงบางคนแถวนี้ก็ไม่ให้ไปนี่” ปิดฝายาหม่องแล้วจับมือเด็กที่มีรอยยุงกัดเต็มตัวให้เดินตามไปที่ลานจอดรถ

ผมยกยิ้มกับคำพูดคำจาของคนตรงหน้าที่ชักจะแก่กล้าขึ้นทุกวัน อีกหน่อยต้องเป็นคนต่อล้อต่อเถียงเก่งคนหนึ่งแน่ ๆ “งั้นวันนี้หลังจากกินข้าวเย็นแล้วพี่ไปส่งที่บ้านนะ หม่าม๊าศิไลน์มาบอกว่าช่วยกล่อมให้ศิกลับบ้านที ป๊าไม่มีคนดวลปิงปองด้วย”

“คิดถึงลูกก็น่าจะบอกกันตรง ๆ สิป๊าม๊าเนี่ย”

จู่ ๆ แผนการบางอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว คงต้องหาจังหวะโทรไปเตี๊ยมกับบ้านน้องก่อนจะไปส่งลูกเขาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

บางคนเขาน่าจะลืมวันเกิดตัวเองด้วยซ้ำ



“พูลล์มันทำแบบนี้แน่หรอ ทำไมมันถึงดูไม่สุก”

“นั่นน่ะสิพี่ดิม เฌอมาดูให้หน่อยสิ”

ครัวในคอนโดของผมดูเล็กไปขนัดตาเมื่อมีผู้ชายถึงสี่คนและผู้หญิงอีกหนึ่ง กำลังขมักเขม้นเตรียมวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับเด็กที่นอนเล่นกับน้องหมาอยู่ที่บ้าน โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเย็นนี้จะมีเซอร์ไพร์สเป็นปาร์ตี้วันเกิดเล็ก ๆ สำหรับเขา

ตอนแรกพูลล์และเฌอโต้โผจัดงานวันเกิด เลือกร้านอาหารของญาติพูลล์เป็นโลเคชั่นจัดงาน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว อยากจะให้เขาใช้เวลาพิเศษแบบนี้ได้อยู่กับเพื่อน ๆ แบบเป็นกันเอง อีกอย่างผมก็อยากรู้จักเพื่อนเขาให้มากขึ้น ทั้งเฌอ ทั้งเมฆ ส่วนน้องนักแสดงคนอื่น ๆ ก็จะทยอยตามมาทีหลัง ตอนนี้คอนโดผมเลยถูกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ามุมเพื่อเพิ่มพื้นที่ เมื่อคืนผมเลยได้นอนไปแค่ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ วันนี้ก็แลกเวรกับเพื่อนอีกคนเพื่อการณ์นี้

ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มชิมเค้กที่ผมพยายามทำจากสูตรในอินเทอร์เน็ต แต่เหมือนมันจะผิดขั้นตอนอะไรสักอย่าง ทำให้เนื้อเค้กร่วนไม่จับตัวเป็นก้อน “พี่หมอหนูว่า....เราซื้อเอาดีมั้ยอ่า แป้งมันไม่สุกอะค่ะ” เธอทำหน้าตาเหยเกหลังจากบริโภคเนื้อแป้งดิบ ๆ เข้าไป

“เฮ้อ แค่นี้มึงก็ยังทำไม่ได้” ผมสบถกับตัวเอง เพราะนี่เป็นเค้กก้อนที่ 3 แล้ว

“เอาน่าพี่หมอ ถ้าศิมันรู้ว่าพี่ตั้งใจทำขนาดนี้มันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ เอางี้มั้ยเปลี่ยนมาเป็นบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ทำง่ายค่ะไม่ยาก อร่อยด้วย” สาวสวยสุดเฉี่ยวในสายตาผม ภายนอกที่ดูมั่นใจ แต่ภายในอ่อนโยนมาก ศิมาเล่าให้ฟังถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนคนนี้ยุ ศิก็คงตัดใจจากผมไปนานแล้ว

“ลองดูก็ได้ครับ พี่ต้องทำยังไงบ้าง”

เฌอสอนผมทำขนมเค้กที่ว่าอย่างคล่องแคล่ว เธอดูช่ำช่องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ขัดกับลุควันนี้เสียจริง

เรามีธีมคือสีน้ำเงินและสีเหลือง เพราะเป็นสีที่เจ้าของวันเกิดชอบ อาหารที่เราเตรียมก็เป็นอะไรง่าย ๆ อย่างสุกี้ และสั่งอาหารจากห้องอาหารข้างล่างมาด้วย มีแต่คนทำกับข้าวเก่งกันทั้งนั้นที่อยู่ตรงนี้

ผม เมฆ ศิ คุณภีม และเฌอ จัดการทุกอย่างเสร็จราวห้าโมงกว่า ทั้งที่ไม่ได้นอนแต่กลับไม่มีความง่วงเลย นี่จะเป็นแผนเซอร์ไพร์สครั้งแรกในชีวิตและหวังว่าจะไม่ปล่อยโป๊ะตอนที่โทรไปบอกน้องว่าให้เขานั่งแท็กซี่มาเองเพราะติดเคสต์กะทันหัน ทั้งที่บอกว่ายังไงก็จะไปรับแท้ ๆ และการโกหกคำโตเกือบไม่รอดเพราะน้ำเสียงอ้อมแอ้มเกือบจะงอแงของเขาเพราะผมผิดคำพูด ได้แต่เพียรขอโทษและทำเสียงออดอ้อนจนคนที่ได้ยินอย่างเพื่อนเขากลั้นขำกันลำบาก สุดท้ายหกโมงกว่าเด็กเมืองนนท์ก็มาถึงแล้ว

“ทำไมเย็นจัง พี่ดิมลืมปิดแอร์หรอ แต่มันเป็นระบบออโต้นี่” เสียงพูดราวกระซิบ ก่อนที่จะได้เห็นสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงตกคีย์ของผม

“happy birthday to you
happy birthday to you
happy birthday to my love
happy birthday to you”


เดินอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ถือบลูเบอรี่ชีสเค้กพร้อมปักเทียนสุดน่ารักที่เฌอซื้อมา เข้าไปหาคนที่กำลังอึ้งอิมกี่กับการเซอร์ไพร์สจากผม

“วันนี้วันเกิดศินี่!! พี่ดิม! จำได้ด้วยหรอ!!” เขาตื่นเต้นยิ้มและดีใจจนทำตัวไม่ถูก ลืมตัววางกระเป๋าสะพายลายหมีสามตัวที่พื้นอย่างไม่ใยดี

“อธิษฐานเร็ว” เด็กตรงหน้าหลับตาอธิษฐานไม่นานก็ลืมตาขึ้นก่อนจะยิ้มให้ผม ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับพร้อมไฟในห้องก็เปิดขึ้นอย่างรู้งาน ไม่รีรอวางเค้กที่ไม่ควรใช้เป็นเค้กวันเกิดไว้ที่เคาเตอร์บาร์ เจ้าของวันเกิดโถมตัวกอดผมอย่างไม่ได้ตั้งหลัก

“ฮื้อ ศิดีใจมาก ๆ เลยนะ!” กอดตอบคนตัวเล็กที่ทำเอาผมโงนเงนจากการโถมตัวเข้ามาแบบไม่ตั้งหลัก
 

“กอดแน่นจังหนู” ศิกอดแน่นจนผมหายใจเกือบไม่ออก พอแกะมือที่กอดผมแน่นออกก็ต้องรีบสารภาพขณะที่น้องยังดีใจอยู่  “ก่อนที่จะให้ของสิ่งนี้ พี่มีเรื่องจะสภาพ...จริง ๆ พี่จำวันเกิดศิไม่ได้แต่มีคนบอกพี่ล่วงหน้า พี่เลยสั่งทำอะไรไม่ทัน แต่หวังว่าศิจะชอบนะ” เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่ยู่หน้าแบบโคตรจะทำลายล้างหัวใจให้หนึ่งดอก

ผมเปิดกล่องกัมมะยี่สีน้ำเงินออก ภายในบรรจุแหวนสีเงินสองวง เลือกหยิบวงเล็กสุดออกมาแล้วจับมือเล็กข้างขวาที่เย็นเฉียบก่อนจะค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนลงที่นิ้วนางอย่างช้า ๆ คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงยิ้มบาง ๆ นัยย์ตาคลอไปด้วยน้ำใส และเขาทำเช่นนั้นให้ผมด้วยแหวนวงใหญ่กว่าอีกวงในกล่อง

“บนแหวนมีรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์คนละเสี้ยว มันเหลือแค่สองวงในร้าน พี่ไม่อยากบอกว่ามันบังเอิญเดี๋ยวไม่โรแมนติก พี่จะคิดว่ามันรอเราไปครอบครองแล้วกัน แบบนี้ดีกว่าเนอะ” คนตรงหน้าพนักหน้ารับ เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาก่อนที่จะควักของขวัญอีกชิ้นที่แสนพิเศษและไม่คิดว่าจะมีโอกาสมอบให้ใครอีก “คุณแม่พี่ให้ศิเป็นของขวัญวันเกิดครับ”

ล้วงของขวัญอีกชิ้นออกจากกระเป๋าเสื้อ สร้อยทองคำขาวสั่งทำพิเศษก่อนที่คุณยายจะเสียชีวิต เพื่อมอบให้หลานสะใภ้ทั้งสามคน โดยมีจี้ทรงกลมเป็นงานแกะสลักลวดลายจีนโบราณอย่างงดงาม ผมสวมให้คนตรงหน้า เขามีสีหน้าตื้นตันและดูเหมือนจะดีใจจนจะร้องไห้อีกแล้ว

“ไว้ไปถามแม่พี่เองนะว่ามันหมายความว่ายังไง”

ศิยกมือไหว้แนบอก ก่อนที่จะเข้ามากอดผมแน่น เสียงอู้อี้ในลำคอผมฟังไม่ออกว่าเด็กคนนี้พูดอะไร “พูดอะไร หื้อ ไหนบอกพี่ชัดๆ ซิ” ดึงผู้ชายที่ตัวไม่เล็กแต่คิดว่าตัวเองตัวเล็กกว่าผมเสมอออกจากอ้อมกอด ก็เลยเห็นสีหน้าที่แดงเพราะทั้งร้องไห้และเขินปนเปกันไปหมด

“ขอบคุณนะครับ ศิไม่คิดเลยว่าจะมีงานวันเกิดแบบนี้” ยังคงก้มหน้างุดกับอกแล้วพูดงึมงำ ๆ

“แฮปปี้ เบิร์ธเดย์!!!”

กลุ่มเพื่อนรักของเขาและคนที่มาสมทบ คือ อาโป และแฟนของเขา นอกจากนี้ยังมีไม้เบื่อไม้เมาของผมอย่างภัทร ปาล์ม น้องปลา และเด็กเงิน ซึ่งในนี้มีเพียงน้องปลาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ปีหน้าน้องก็เข้ามหาลัยแล้วเจ้าปาล์มบอกว่าอยากสอนให้น้องเข้าสังคม สุดท้ายทั้งแอลกอฮอล์และอาหารเย็นที่เตรียมไว้ก็ถูกยกออกมาวางเรียงรายเต็มโต๊ะอาหารสำหรับสิบกว่าคน

เจ้าของวันเกิดเซอร์ไพร์สหนักไปใหญ่เมื่อเดินเข้ามาถึงโซนห้องรับแขก เพราะทุกอย่างถูกจัดแต่งไว้อย่างดี พอดีกับที่เขาใส่เสื้อสีเหลืองมาด้วย เข้าธีมแบบไม่ตั้งใจ แต่ผมคิดว่าถ้าน้องใส่สีอื่นเขาคงวิ่งเข้าไปเปลี่ยน

ทุกคนอิ่มหนำกับสุกี้และอาหารสารพัดที่วางบนโต๊ะ “เรามาร้องเพลงให้ศิอีกทีดีป่ะ”

“แต่เทียนถูกเป่าไปแล้วนะ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยขึ้น

“กูมีมาอีกชุดจ้า แถมมีเค้กอีกก้อนด้วย กูไม่ให้มึงเป่าทับไลน์เค้กที่พี่หมอทำหรอก” ศิดูตกใจเล็กน้อย เพราะผมยังไม่ได้บอกว่าบลูเบอรี่ชีสเค้กที่เขาหม่ำคนเดียวไปตั้งครึ่งน่ะเป็นฝีมือของผมเอง

“พี่ดิมทำเองหรอ อร่อยมากเลยอะ ขอบคุณน้าาา” จู่ ๆ ผมก็โดนหอมแก้มฟอดใหญ่ ไม่คาดคิดว่าศิจะกล้าแสดงความรักต่อหน้าเพื่อน ๆ คิดว่าตอนนี้หูตัวเองคงแดงก่ำแน่ ๆ “งั้นศิขอกินคนเดียวเลยนะ ไม่แบ่งใคร” สงสัยเจ้าเด็กคนนี้เมาน้ำพั๊นซ์ที่ปาล์มทำแหง่ ๆ

“แหมมมม่” เสียงดังจากรอบวง แน่สิถ้าเห็นเพื่อนมาแสดงความรักต่อหน้าแบบนี้ก็แอบหมันไส้เหมือนกันนะ

น้องปลาขอกลับก่อนเพราะคุณพ่อมารอรับด้านล่าง ผมลงไปส่งน้องเพราะเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียว เธอไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เหมือนอย่างที่พวกทะโมนจะแกล้ง พอกลับขึ้นมาบนห้องอีกทีแฟนผมก็ถูกเจ้าเงิน ปาล์ม และภัทรแกล้งมอมจนถูกให้ไปเต้นมะละกอกล้วยส้ม เสียงหัวเราะดังอย่างสนุกสนานรอบวง หยิบแก้วของตัวเองไปนั่งข้างผู้ชายที่เคยมานั่งปรับทุกข์ที่นี่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน

“ไงเรา”

“ไงอะไรพี่หมอ” เมฆอมยิ้มและรู้ดีว่าผมถามถึงเรื่องอะไร

“ดีขึ้นมั้ย” คนถูกถามพยักหน้า การยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ผมแน่ใจกับคำตอบ เพราะสายตาที่ทอดมองไปยังอาโปและเพทายมันแทบไม่หลงเหลือความเจ็บปวด “ดีแล้ว หาความสุขให้ตัวเองบ้าง ศิบอกว่าเมฆเข้าไปทำงานในบริษัทของที่บ้านหรอ”

“ครับ ฝึกงานไปในตัว อีกอย่างถ้าได้ทำอะไรยุ่ง ๆ ก็จะได้ไม่คิดเท่าไหร่” พูดถึงเรื่องฝึกงานสรุปศิฝึกงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดผม ในตำแหน่งนักจิตวิทยาตามที่เขาเรียนมา น้องยื่นสมัครไปโดยไม่บอกผมด้วยซ้ำมารู้อีกทีก็คือวันที่เขาสอบเสร็จนั่นแหละ ก็คงอยากจะพยายามด้วยตัวเอง เพราะถ้าบอกป๊าหรือบอกผมก็คงเสนอให้ไปฝึกที่บริษัทแน่นอน

“ไม่ใช่เพราะจะได้มีข้ออ้างไปบาร์ใกล้ออฟฟิศหรือไง” เมฆยิ้มกว้างกว่าเดิม ศิเด็กขี้เมาธ์เล่าให้ผมฟังแทบจะทุกเรื่องไม่เว้นแม้เรื่องเมฆไปนั่งฟังเพลงที่บาร์นั่นบ่อย ๆ

“พี่ดิมมมมม ทำไมโคมไฟมันหนุนอ่าาา” เด็กที่เดินแทบไม่ตรงล้มตัวแหมะที่โซฟาว่างข้างผม และตอนนี้ร่างกายเหมือนไม่กระดูกปวกเปียกไปหมด

ภัทรหัวเราะดังเพราะผมเห็นเขาเป็นคนมัดจุกสามจุกให้แฟนผม ตอนแรกก็หึงบอกตัวเองในใจให้ใจเย็น ๆ คงไม่มีอะไร “พี่หมอพาเด็กไปนอนเหอะ อ่อนว่ะ” ผู้ชายหน้าหล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติทั้งที่ดวลแอลกอฮอล์กับเจ้าปาล์มไปเยอะ

“งั้นพี่พาศิไปนอนก่อน ทุกคนตามสบายนะ ไม่ไหวก็นอนในห้องนี้ได้เลย มีที่นอนแล้วก็ผ้าห่มในตู้” ผมชี้ไปที่ห้องนอนแขก ก่อนจะอุ้มผู้ชายที่พูดอ้อแอ้ไม่ต่างจากเด็กขึ้นไปห้องนอน

ผู้ชายวัย 22 ปีบริบูรณ์ในวันนี้นอนเกลือกลิ้งบนเตียง ตอนแรกคิดว่าเขาจะเมามายจนไร้สติ แต่เปล่าเลยเขาเพียงตาลายมากไปหน่อยก็เท่านั้น

“พี่ดิมมม มานอนด้วยกันซี่~” ผมเท้าสะเอวมองเด็กที่อ้อนเก่งตอนเมาอย่างน่าฟัดที่สุด

ทิ้งตัวบนเตียงแต่ไม่ได้กะจะนินตามคำเชื้อเชิญ เพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำ “สรุปเมาหรือไม่เมา หื้ม” ได้ทีก็ย้ายตัวเองมานอนตักเฉย บอกแล้วว่าอ้อนเก่งกว่าปกติ

“ไม่รู้~ รู้แค่วันนี้พี่ดิมน่ารักจังเลย ใจดีมากกกก”

“ชอบมั้ยครับ” ลูบหัวคนที่พยายามมุดเอาหน้ามาถูกกับแผ่นท้องของผม

“อื้อ ชอบมาก ศิไม่เคยถูกเซอร์ไพร์สวันเกิดเลย ป๊ากับม๊าชอบจัดงานให้แต่มันก็ไม่เซอร์ไพร์สอะ แบบนี้ก็น่าตื่นเต้นดี”

“ถ้าพี่จำได้ งานก็คงดีกว่านี้ โกรธพี่มั้ยที่พี่ลืมวันเกิด” หัวเล็ก ๆ ส่ายไปมากับหน้าท้อง

“พี่ดิมไม่ต้องจำอะไรแบบนี้ก็ได้นะ ถึงศิจะชอบ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรอะ ไม่มีพวกนั้นได้แต่ไม่มีพี่ดิมไม่ได้นะ โอเคมะ”

“ตัวน่ารักเอ้ยย” หมันเขี้ยวเขาเลยเอาหน้ามุดท้องเขากลับบ้าง คนถูกมุดหัวเราะเสียงดัง เราพากันเกลือกกลิ้งผลัดกันแกล้งจั๊กจี๋เหมือนเด็ก ๆ แต่เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจดบันทึกกับการหัวเราะสุดเสียงของผมตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่มา ศิปลดล็อกและปลดแอกผมจากหลาย ๆ อย่าง

อาชีพแพทย์หลายคนบอกเป็นอาชีพที่เสียสละ โดยเฉพาะสละเวลา หลายคนอาจจะบอกว่าอาชีพอื่นก็ต้องสละเวลาเช่นกัน ใช่ครับ ไม่ผิดเลย แต่เวลาของบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐอย่างผม ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านด้วยซ้ำ แม้จะมีตารางเวรที่แน่นอน แต่บางวันที่คนไข้มาจำนวนมาก เมื่อหมดเวลาใช่ว่าจะกลับบ้านแล้วให้คนไข้ที่มารอความช่วยเหลือมาใหม่วันพรุ่งนี้ นี่แหละครับสละเวลาเพื่อให้ลดระยะเวลาลดรอคอย

น้องเข้ามาเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายให้ผมอยากทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ในรูปแบบของคนไข้ แต่คือคนรัก คุณค่าของการทำเพื่อคนอื่นมันสร้างความภูมิใจให้เราได้ประมาณหนึ่ง แต่คุณค่าของการทำเพื่อคนรักมันทำให้หัวใจพองโตเพียงแต่เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขา

เราตะกองกอดกันทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำทั้งสองคน หลังจากที่เด็กตาลายเริ่มมึนหัวมากกว่าเดิม กลิ่นกายของเขายังคงเป็นกลิ่นที่ผมเสพติดมันยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพง อาจจะเพราะฟีโรโมนแห่งความรักที่แผ่ออกมาแบบไม่รู้ตัว

“วันนี้ศิมีความสุขมากเลยนะ ได้กลับไปหาป๊ากับม๊า ได้อยู่กับพี่ดิม ได้อยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ มีความสุขมาก ๆ กอไก่แสนล้านตัวเลย”

“มากขนาดนั้นเลย?”

“อื้อ ก็ใครจะคิดจะฝันว่าจะได้เจอกับพี่ดิมอีกหลังจากเจอในห้องน้ำวันนั้น” เกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงออกจากหน้าผากมน ดวงตากลมหวานฉ่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “แถมได้ทำงานด้วยกันอีกต่างหาก มันเหนือจินตนาการมากเลยนะครับวันนี้ได้นอนกอดพี่ดิมแบบนี้ ได้สัมผัสพี่ดิมแบบนี้ และถูกพี่ดิมรักตอบด้วยนะ” คำพูดยาวที่ชัดเจนของเขาทำเอาคนฟังอย่างผมตัวลอยจะติดเพดาน เขามองผมเป็นเทวดาขนาดนี้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนธรรมดาแท้ ๆ

“ใช่ศิคนเดียวที่ไหนที่มองว่ามันเหนือจินตนาการ พี่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรักใครได้ขนาดนี้ พอได้รู้จักกับศิจริง ๆ แล้วการที่ทุกคนมองว่าพี่เลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ เทียบไม่ได้กับจิตใจของศิด้วยซ้ำ”

“ช่วง!..คนอวดแฟน!” เขาทำเป็นขำกลบเกลื่อนความเขิน ซึ่งจริง ๆ ผมก็คิดว่ามันดีเหมือนกัน การพูดอะไรแบบนี้ใครไม่เขินบ้าง การบอกรักมันธรรมดาไปเลยเทียบกับการบอกความดีของกันและกันเนี่ย

“พี่ดิมเชื่อมั้ยว่าศิแอบคิดว่าชีวิตของเราเหมือนในนิยายเลยอะ แบบพระอาทิตย์กับพระจันทร์อะไรแบบนี้ นิย๊ายนิยายเนอะ ฮ่า ๆ แต่ศิชอบจัง”

“ถ้างั้นพระจันทร์จะอยู่กับพระอาทิตย์นาน ๆ เลยได้มั้ย” ว่าจะไม่พูดเลี่ยน ๆ แต่ในเมื่อคนฟังก็มึน ๆ ผมก็มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดนิดหน่อยมันเลยสร้างความกล้าที่จะพูดอะไรแบบนี้ เอาหน่อยนาน ๆ ที

“นานนนนนนนนนนน จนกว่าพระอาทิตย์จะแก่เลย ดีมั้ย”

“พี่มีความสุข หนูเป็นความสุขของพี่”

“มีทูมีทูนะ”


เป็นอีกค่ำคืนที่กอดเจ้าเด็กคนนี้หลับคาอก และมันจะเป็นเช่นนี้ทุกค่ำคืน อย่างที่น้องบอกว่าไม่ได้อยากมีอะไรพิเศษในวันสำคัญ หรือไม่ต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ แค่เป็นสิ่งประจำวัน เป็นความธรรมดาที่มีเราสองคนอยู่ในเรื่องราวทุก ๆ วัน มันก็โคตรจะวิเศษแล้วสำหรับผม

ผมสัญญากับตัวเอง ไม่ว่าวันเกิดปีไหน ๆ ผมจะทำให้น้องรู้ว่าเขาสำคัญกับผม และเพื่อขอบคุณที่เกิดมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตทีเหลือ


ถ้าผมเป็นพระอาทิตย์อย่างที่เขาบอก เขาก็เป็นพระจันทร์ในทุกค่ำคืนของผม ค่ำคืนที่ไม่มีใครรู้ว่าดวงดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในกาแล็กซี่จะโด่ดเดี่ยว การมีอยู่ของพระจันทร์มันทำให้ผมรู้ว่าพลังของการรอคอยมันมีค่ามากแค่ไหน  เพราะไม่ว่าอย่างไรธรรมชาติจะพาเรามาบรรจบกันได้เสมอ และจะเป็นเช่นนี้ตราบเท่านาน

นานจนกลายเป็นกาลครั้งที่รักคุณ
กาลครั้งที่มีแต่ความทรงจำ
กาลครั้งที่เมื่อใดที่เล่าขานจะมีเพียงรอยยิ้ม
กาลครั้งที่เราจะก้าวเดินนับจากนี้ไปด้วยกัน


Once upon a time, I told you how much I love you
Now, always be certain




------------The Beginning-----------




ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จบแล้วหวานกันดี๊ดี
 :pig4:

ออฟไลน์ maplub_oyaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮือออออจบแล้ว ดีมากๆๆๆๆเลยค่ะ สารภาพเลยว่าตอนที่เข้ามาอ่านเกือบหยุดไปแล้วช่วงมรสุมจัดๆรู้สึกโชคดีที่สู้อ่านต่อ ฟ้าหลังฝนสวยงามจริงๆ มันละมุน อบอุ่นไปหมดเลยค่ะ สัมผัสได้ถึงความรักที่อบอวลจริงๆอิ่มใจมากๆเลยย ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้นะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น่ารักมากเลย เป็นอีกเรื่องที่เราชอบมาก เหมือนต่อสู้และดูต้นทางมาด้วยกัน ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปแน่นอนค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เห็นชื่อเรื่องนี้มานานจนคุ้นค่ะ
พอเห็น END แปะหน้า ก็พุ่งเข้ามาทันที

หมอน่ารักนะคะช่วงหลัง
แต่ช่วงแรก ๆ ที่มีอะไรกับน้องขณะที่ยังไม่เลิกกับแฟน
อันนั้นไม่น่ารักเลยค่ะ แย่มาก ..
ยังดีที่แฟนสาวก็ ... พอกัน ขนมพอสมน้ำยาแท้ทรู

แต่หลังจากนั้น หมอก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ

ส่วนน้องศิ .. ตอนแรก ๆ เหมือนอินเนอร์น้องจะแมน ๆ
แบบเด็กติดเกมคนหนึ่ง
แต่ตอนหลัง ๆ ออกแนว เคะ ชัดแจ้งจนเหมือนคนละคน
อ่านแล้วถึงกับ เอ๊ะ ... คนเดียวกันหรือนี่
แต่โดยรวม น้องก็น่ารักค่ะ

ส่วนกรณีของคู่เพื่อนรักเพื่อนไม่ได้นั้น
หน่วงดีค่ะ เข้าใจเลย ...
แอบคิดว่า จะมีซีนเมฆกับหนุ่มตัวเล็ก .. ที่ร้านที่เมฆไปเมาหรือเปล่า
ดูเหมือนมี clue อยู่นะคะ ...

แต่จะอย่างไรก็ตาม "ขอบคุณค่ะ" สำหรับการเขียนจนจบ
แล้วจะรอติดตามอ่านเรื่องต่อไป (ถ้าทราบและเขียนจบแล้วนะคะ) นะ! :bye2:

ออฟไลน์ sackyjung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 Thanks na kaa ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ น่ารัก ๆ ยะคะ

ออฟไลน์ MinorMa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
จบแล้ว ชอบเรื่องนี้มากเลย เขียนดีมากๆ ชอบสุดช่วงคอมเม้นชาวเน็ต เหมือนเห็นตัวเอง55555

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ขอบคุณ  :pig4: สำหรับนิยายดีๆน่ารักๆค่ะ หวังว่าคงมีเรื่องราวใหม่ๆให้ติดตามต่อไปนะคะ
เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ชอบมากเลย..ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆจ้า รอเรื่องต่อไป   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
จบแล้วววว สนุกมากเลยค่า


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ duckka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :o8: มันดีต่อใจจริงๆเรืีองนี้ ไม่มีอุปสรรคเลยหวายจนจบเรืรองพี่หมอดิมได้ใจศิไปเต็มๆ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

มันดีต่อใจ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
Day 1-1 : I told the star about you



Mhek’ Part

เป็นอีกค่ำคืนที่ใช้เวลานั่งจิบแอลกอฮอล์รสดีบนเคาเตอร์บาร์สำหรับนั่งคนเดียว เสียงร้องเพลงโดยผู้ชายคนเดิมดึงความสนใจให้ผมละสายตาจากแก้ววิสกี้ตรงหน้าไปมองเขา นิ้วเรียวเริ่มขยับนิ้วกับกีตาร์โปร่งคู่ใจ บทเพลงที่ผู้ชายคนนี้เล่นมักจะเป็นเพลงที่ตรงกับความรู้สึกผมในทุกวันแบบทึกทักเอาเอง

หลังจากฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อในตำแหน่ง officer ธรรมดา นอกจากตัวงานที่ได้เรียนรู้แล้ว ก็ยังได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะใช้เวลาไปกับการทำนู้นทำนี่มากมายแค่ไหน แต่ถ้าสมองและหัวใจทำงานสวนทางกันมันก็ไม่มีทางที่จะไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วได้แม้สักวันเดียว

แต่สิ่งหนึ่งที่สอนผมได้ดีที่สุดคือ การทำเป็นลืมทั้งที่ยังจำ ดีกับหัวใจมากกว่า

“We keep this love in a photograph
We made these memories for ourselves
Where our eyes are never closing
Hearts are never broken
And time's forever frozen still”

จะไม่ให้คิดเอาเองได้ยังไงว่าเขาร้องเพลงที่ตรงกับความรู้สึกผมทุกครั้งที่มานั่งที่นี่ รอยยิ้มสว่างไสวถูกแจกไปให้แขกทุกคนในร้าน แม้วันนี้จะเป็นวันอังคารและพรุ่งนี้ทุกคนต้องทำงาน แต่ภายในร้านบาร์เล็ก ๆ ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาเสพดนตรี เสพแอลกอฮอล์ เสพการพูดคุยพบปะ และเสพการนั่งคิดอะไรคนเดียวเช่นผม

“ขอแบบเดิมอีกแก้ว” ผมพูดกับบาร์เทนเดอร์ที่คุ้นหน้ากันดี คนนี้จะทำหน้าที่ถึงประมาณสี่ทุ่ม และต่อจากนั้นจะเป็นนักร้องเสียงดีลงมาทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ต่อแทน และผมมักจะนั่งจนถึงเวลานั้นเสมอ

เลื่อนไอจีไปเรื่อยเห็นรูปถ่ายฉลองวันครบรอบของอาโปและพี่เพทาย กว่าครึ่งปีที่เขาเริ่มต้นกันอย่างราบรื่น ผมยินดีด้วยเสมอที่อาโปมีวันที่มีความสุข ไม่ต้องมาจมกับการรอคอยอีกต่อไป เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่าสามเดือนที่ต้องแยกย้ายกันฝึกงานทำให้ไม่ค่อยไปเจอกันสักเท่าไหร่ จะบอกว่ามันดีก็ดี แต่เคยได้ยินมั้ย ภูเขาน้ำแข็งถูกทำลายได้เสี้ยววินาทีจากเปลวไฟหัวไม้ขีด นั่นแหละความรู้สึกผม

“สวัสดีครับคุณ” ผู้ชายยกมือไหว้ผมเหมือนทุกครั้ง เราไม่เคยแนะนำตัว ไม่รู้ชื่อ เขารู้แค่ว่าผมอายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร และนี่คือสิ่งที่ผมสบายใจเวลาคุยกัน

“สวัสดี”

“งานเครียดหรือเปล่าครับวันนี้” ผมไม่รู้แน่ชัดกับอายุของเขาเพราะไม่เคยถาม คิดว่าคงเด็กกว่าไม่กี่ปี แต่น่าจะมากพอที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ท่าทางคล่องแคล่วในการจัดของ จับขวดเหล้า ใส่นั่นผสมนี่ มันมีความชำนาญพอสมควรและเพลินตาดี

“ไม่เท่าไหร่ แค่เซ็งหัวหน้าแผนกที่ชอบจับผิด”

“งั้นวันนี้ลองแก้วนี้ เผื่อจะหายหงุดหงิดครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเลื่อนแก้วน้ำสีสวย ผมไม่แน่ใจว่าเขาผสมอะไรลงไปบ้างเพราะดูไม่ทัน แต่แน่ใจว่ามันต้องออกฤทธิ์ตามที่เขาบอก เพราะมันเป็นเช่นนั้นตลอดมา กระดกเครื่องดื่มที่ว่า ความร้อนของแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในนั้นเล็กน้อย ทำหน้าที่เสียดลำคอและไหลลงกระเพาะไป

“อื้ม ดี เธอเก่ง”

“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มเจิดจรัสของเขาผสมกับเครื่องดื่มรสดีทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไร้เหตุผล “จริง ๆ วันนี้ผมกะจะมาบอกว่าคงไม่ได้มาบ่อย ๆ แล้ว”

“ลูกค้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้บาร์เทนเดอร์ทราบด้วยหรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“หึ” ยกยิ้มกับตัวเอง นั่นสินะทำไมต้องบอกเขาด้วย ยกเครื่องดื่มแก้วเดิมดื่มจนหมดแก้ว “คิดซะว่าเป็นประโยคบอกเล่าก็แล้วกัน”

“ผมก็คงจะมาทำได้แค่สุดสัปดาห์เหมือนกัน” เสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอในร้าน กับอุปกรณ์ชงเหล้ากระทบกันดังปนเปกับประโยคที่เขาพูดขึ้นเบา ๆ แต่ผมได้ยินชัดเจน “นี่ก็เป็นประโยคบอกเล่านะครับ”

ความสัมพันธ์ของผมและนักร้องควบบาร์เทนเดอร์หนุ่มมีแค่สายใยของแอลกอฮอล์เกี่ยวโยงเราเป็นเส้นบาง ๆ การแวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้งของผม ทำให้พนักงานในร้านต่างรับรู้ความสัมพันธ์อันพิลึกนี้ดี บางคืนผมนั่งดื่มจนเข้าวันใหม่กระทั่งร้านปิด จนได้เดินไปส่งที่ถึงจักรยานกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดอิงแอบกำแพงบ่อยครั้ง

“เธอจะไปไหน ถามได้หรือเปล่า”

“อยู่ที่ว่าคุณอยากรู้หรือเปล่า ผมยินดีบอกทุกเรื่องแค่คุณถาม” ผู้ชายตรงหน้าเช็ดแก้วไวน์ที่กำลังจะรินเสิร์ฟลูกค้าคนที่นั่งถัดจากผมไปสองเก้าอี้ ก่อนจะเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้มสดใส “เปิดเทอมแล้วครับ ก็ต้องไปเป็นนักเรียน” นี่อาจจะเป็นการเผยอีกหนึ่งความลับระหว่างเราว่าเขายังอยู่ในวัยเรียน ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ได้ถามต่อ ทั้งที่ในใจก็อยากรู้ว่าเขาเรียนที่ไหน แต่กลับปากหนักที่จะถาม

“แล้วคุณล่ะครับจะไปไหน”

“กลับไปในที่ที่มา”

“กวนหรอครับคุณลูกค้า”

ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับการทำเช่นนี้ เขาไม่อยากรู้จักผมมากไปกว่าที่ผมอยากให้รู้ และผมก็ไม่ได้อยากรับเขาเข้ามาในชีวิตทั้งที่ยังไม่พร้อม มันเป็นความสบายใจแบบไม่รู้จักกัน

บรรยากาศเปิดเทอมปีสุดท้ายของผมและเพื่อน ๆ ดูจะคึกคักตั้งแต่วันแรก การรับน้องปี 1 แบบสร้างสรรค์เป็นข้อตกลงของนิสิต ผู้ปกครอง และคณาจารย์ในคณะ เลยได้เห็นการทำกิจกรรมเป็นกลุ่มใต้อาคารคณะเสียงแซงแซ่แต่เช้า

“นี่เราปีสี่แล้วหรอวะ อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเรียนจบแล้วอะ” เฌอบ่นงุ้งงิ้งตั้งแต่ผมโทรไปถามว่าวันนี้เราต้องเข้ามหาลัยหรือเปล่า ด่าผมก่อนหนึ่งยกว่าโทรไปปลุกแต่เช้า และได้ไปรับเธอมามหาลัยพร้อมกันด้วย  ส่วนผู้ชายที่ดูจะน่ารักขึ้นทุกวี่วันดูดนมและกัดแซนวิชไม่พูดจา แก้มมันดูหนาขึ้นกว่าก่อนปิดเทอมสงสัยพี่ดิมขุนมาดี

“และนั่นนะคะน้อง ๆ เป็นรุ่นพี่ปีสี่ของคณะเรา คุ้นหน้าใชมั้ยล่ะคะ” หัวหน้าสันทนาการปี2 จู่ ๆ ก็กล่าวแนะนำพวกผมที่โต๊ะกลมใต้อาคาร แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังจากนั้นเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาว ๆ ที่จำศิได้ก็ดังขึ้น “นั่น ๆ พี่อาโปครับ” ผู้ชายหน้าหล่อหุ่นนายแบบเดินตรงมาด้วยท่าทีงงสุดขีด

“อะไรวะ”

“อิน้องปีสองแนะนำพวกมึงสองตัวไง คนดังนะเนาะ” เฌออธิบายเพิ่มเติม สุดท้ายเราก็ย้ายที่ไปนั่งที่โรงอาหาร เพราะคลาสเช้าอ.แจ้งมางด จึงต้องรอเรียนบ่าย บรรยากาศในกลุ่มเราก็เหมือนเดิมแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน มีเพียงศิไม่ได้เป็นเด็กติดเกมเหมือนเดิมแล้ว กลายเป็นเด็กเนิร์ดไปซะงั้น สงสัยอยากเดินสายวิชาการเหมือนแฟน ส่วนผมและอาโปเราก็คุยกันได้แม้ผมจะไม่ได้สนิทใจ ทั้งที่เขาวางผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

“เมฆกินข้าวมันไก่เป็นเพื่อนหน่อยดิ” ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์ของมาร์ค รัฟฟาโล้ ที่สปอย์ภาพยนตร์สุดโปรด

“เออกินดิ เฌอ ศิ เอาไรป่ะ” ทั้งสองคนส่ายหน้า เลยเดินมาร้านข้าวมันไก่ของป้าสุดโหดในโรงอาหารกลาง

“ป้าครับเอาข้าวมันไก่ ส่วนอก ข้าวน้อย เพิ่มแตงกวา น้ำจิ้มซอสดำ แล้วก็ข้าวมันไก่ต้มไม่หนังอีกหนึ่งครับ” ผมสั่งให้เมฆด้วยสีหน้าปกติ เป็นอย่างนี้มาตลอดสามปีตั้งแต่อาโปสั่งข้าวมันไก่ด้วยคำสั่งแปลก ๆ แล้วเจอป้าสวนมาว่าเรื่องมาก แต่คนข้าง ๆ ดันบอกว่าร้านนี้อร่อยที่สุดในย่านนี้ เวลาอยากกินก็มักพาผมหรือไม่ก็ศิมาเป็นไม้กันมาเสมอ

“แต๊งกิ้วนะ ไม่ขาดไม่เกิน เป๊ะ!”

“เออก็ทำให้ตลอดป่ะวะ” ระหว่างทางที่กำลังจะเดินกลับโต๊ะ ผู้ชายที่เดินตามกระซิบเบา ๆ ว่าขอบคุณ และนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดในความสัมพันธ์ของผมและอาโปหลังจากวันนั้น ซึ่งผมมองว่ามันไม่ใช่ความหวังแต่เขาแค่เป็นคนน่ารักไง

จังหวะนรกมักจะเกิดขึ้นเวลาแบบนี้เสมอ มีผู้ชายคนหนึ่งทำของบางอย่างตกที่พื้นและผมหลบไม่ทันเลยเหยียบเข้าเต็ม ๆ

แกร๊บ

พอยกเท้าออกก็เห็นเป็นมือถือไอโฟน 5s และหน้าจอแตกละเอียดเพราะน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงไป “เฮ้ย ผมขอโทษ” รีบปรี่วางถาดจานข้าว แล้วก้มลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กนั่น

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับผมทำตกเอง”

ก้มไปหยิบมือถือก่อนจะปรากฏภาพพักหน้าจอผ่านกระจกแตกละเอียดเป็นผู้ชายคุ้นตานั่งก้มเล่นมือถือที่เคาเตอร์บาร์แห่งหนึ่ง และใช่ นั่นผมเอง! พอเงยหน้ามองเจ้าของมือถือที่หน้าจอแตกละเอียดนั่นก็พบว่าเขาคือคนคุ้นหน้าที่เพิ่งเจอเมื่อคืน

“เธอ!”

“เอ่อ คุณ”


เขาดูทำอะไรไม่ถูกแย่งมือถือกลับไป ก่อนที่จะลุกลี้ลุกลน ยืนหัยซ้ายหันขวาแล้วรีบเก็บของที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะวิ่งหนีไป ป้ายที่ห้อยคอเขาทำผมรู้ว่าคน ๆ นี้เป็นเด็กปี 1 เท่านั้น

“ใครหรอ”

“คนรู้จักน่ะ”

จริง ๆ เราแทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำว่ามั้ย




APO’s Part

เลิกเรียนกลุ่มเราไม่ได้นัดไปไหนต่อ เพราะรู้สึกอยากแยกย้ายกันกลับไปนอน ฝึกงานเสร็จก็แทบไม่ได้หยุดเลยดันมาเปิดเทอมเสียก่อน วันนี้ต้องพึ่งท้องที่วิลล่าแถวคอนโดเพราะพี่เพทายคงไม่ได้แวะมากินข้าวด้วย เขามีไฟล์ทตอนสี่ทุ่ม

[MY BEAR calling]

“ครับคุณหมี”

(พี่เห็นว่าเลิกเรียนแล้วเลยโทรมาหาครับ เย็นนี้กินข้าวกับอะไร)

“พี่ห่วงแต่เรื่องปากท้องโปตลอดเลย โปโตแล้วน่า”  ปลายสายหัวเราะ ก่อนหน้านี้ผมน้ำหนักลดลงเพราะมีเรื่องให้คิดหลายอย่างและเขาก็รู้สาเหตุนั่นดี เลยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ คอยเฝ้าถามไถ่ตลอดว่าได้กินอาหารครบสามมื้อหรือเปล่า

(ก็โตแล้วนี่แหละยิ่งดื้อ แล้ววันนี้เป็นยังไงครับ)

“ถามถึงเรื่องเรียนหรือเรื่องเมฆล่ะพี่หมี”

(ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับคุณยีราฟ)

“หึหึ วันแรกได้คอร์สซิลลาบัสมาตามเคย ส่วนเมฆก็ปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงโอเคมั้ย”

(จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง คุณยีราฟของผมบอกเองว่าเคยเกือบเลือกเขาไปแล้วนี่นา) เสียงกระเง้ากระงอดของผู้ชายอายุ 30 ทำผมยิ้มออกมา (แน่ใจใช่มั้ยที่เลือกพี่)

“พี่เพทาย โปรู้ว่าทำให้พี่กังวล แต่เชื่อโปนะว่ามันจะไม่มีมากไปกว่าความเป็นเพื่อน โปเป็นเพื่อนเมฆมาได้ตั้งสามปี”

(ทั้งที่โปยังรักเขามาโดยตลอด)

“แต่ตอนนี้อาโปรักพี่เพทายไง”

(...) ปลายสายเงียบไป ตั้งแต่วันที่ผมคุยกับศิและพูลล์ ก็ตัดสินใจบอกทุกอย่างให้พี่เพทายรับรู้ พอเล่าเรื่องทุกอย่างจบเขาไม่แม้แต่จะพูดอะไร นอกจากรวบตัวผมไปกอดแล้วทึกทักว่าที่ผมยังอยู่ตรงนี้และเลือกที่จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟังก็เพราะผมเลือกเขา ผมไม่ได้เลือกเขาเลย เขาต่างหากที่เลือกผม เลือกที่จะอยู่ข้าง ๆ หัวใจโลเลและไม่มั่นใจตัวเองเลยในเวลานั้น

“อาโปรักพี่นะ เนี่ยเห็นนมตราหมียิ่งคิดถึงคุณหมีเลย”

(ทำเป็นพูดดี พรุ่งนี้จะไปชกพุงคุณยีราฟให้แฟ่บเลย)

“พี่เพทายก็อย่าลืมกินข้าวนะ เสร็จงานแล้วโทรหาด้วยนะ”

(ครับยีราฟ พี่ไปทำงานก่อน)

สรรพนามน่าจั๊กจี๋เป็นผมเองที่เริ่มมัน เพราะเวลาขึ้นรถมักจะเห็นกล่องนมเปล่าตราหมีทิ้งอยู่ในรถเสมอ เพราะเขาชอบกินมันมาก จนอายุขนาดนี้ก็ยังติดอยู่ ว่าไปแล้วซื้อไปติดตู้เย็นที่คอนโดไว้หน่อยจะดีกว่า

“อาโป อาโปป่ะ” ผู้ชายสูงโปร่งหน้าตาคุ้นเพราะดูล้ำกว่าตอนมอปลายโข

“จิม?”

“เราเอง คิดว่าทักคนผิดซะอีก อาโปดู...หล่อขึ้นว่ะ”

“จิมก็เหมือนกัน”

ความรู้สึกประดักประเดิดเกาะกุมกริยาท่าทางผมรู้ดี การมาพบเจอกับเพื่อนคนนี้ผู้ที่ร่วมก่อเหตุการณ์เลวร้ายช่วงหนึ่งในชีวิตย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง เป็นความบังเอิญที่น่าดีใจหรือควรเสียใจดี

“ดีใจจังที่ได้เจอ เอ่ออาโป...พอจะมีเวลาหรือเปล่า เรามีเรื่องคุยด้วย” จิมที่คงรู้สึกไม่ต่างกันพูดขึ้นทั้งที่ไม่ค่อยกล้ามองหน้าผมเท่าไหร่

“ก็ได้ เราขอซื้อของตรงนี้แป๊บนึง จิมไปรอที่ร้านกาแฟข้างหน้าก่อนก็ได้” เพราะคงแปลก ๆ ที่เพื่อนเก่ามาเจอกันแล้วจะมาเดินช้อปปิ้งซื้อของด้วยกันจริงมั้ย


ร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขาทั่วโลกมีผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง และผิวขาวกว่าช่วงมัธยมด้วยเพราะไปเรียนต่อต่างประเทศ แม้ผมจะเฟดตัวออกจากลุ่มเพื่อนช่วงนั้นแต่ก็ยังพอรับรู้ข่าวสารพวกมันเรื่อย ๆ จากโซเชียลมีเดียที่พอจะมีคอนแท็กกันอยู่

“สั่งช็อคโกแล็ตร้อนให้นะ”

“ขอบใจ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเราหรอ” พอนั่งลงที่เก้าอี้บุนวมอย่างดีก็ไม่รีรอคุยธุระทันที

“เข้าเรื่องเลยนะ กับเมฆนี่เป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย แบบว่าคุยกันหรือยัง”

“ก็คุยกันปกตินะ มีอะไรหรือเปล่า” ผมทำท่าหยิบนั่นหยิบนี่ไม่ได้ตั้ใจฟังเท่าไหร่ แต่ดูคนอีกคนเขาจะพยายามพูดคุยทั้งที่เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

“หมายถึงคุยเรื่องตอนนั้นอะ ที่ว่าทำไมมันถึงต้อง...เอ่อ…เลิกกับมึงอะ” พอได้ยินคำนี้ถึงกับหยุดนิ่งและมองหน้าคนตรงข้าม เขาประหม่าและดูกลัวที่จะพูดมัน

“...” คิดว่าเรื่องตอนนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรให้เราทำความเข้าใจกันอีก ในเมื่อทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจที่จะรับความรักของพี่เพทายแล้ว

“อาโป กูของโทษนะเว้ย เรื่องตอนนั้น” คนพูดก้มหน้าลง น้ำเสียงติดจะหม่นหมองตามความรู้สึก “ขอโทษที่เล่นกับความรู้สึกของมึงและเมฆ พวกกูไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้”

“มันผ่านไปแล้วช่างมันเถอะ”  เรายังเด็กและมันก็ผ่านมานานเกินกว่าจะรู้สึกโกรธเคืองให้มันเผาหัวใจตัวเองอีก การปล่อยวางและก้าวเดินต่อไปข้างหน้า คือสิ่งที่เยียวยาบาดแผลครานั้นได้ดี

“แต่เมฆมันไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย กูไม่รู้ว่ามึงทำยังไงที่ต้องมองหน้ากันตลอดสามปีโดยที่ไม่พูดคุยเรื่องนั้น แต่กูอึดอัดเหี้ย ๆ กูไม่เคยรู้สึกดีเลยที่เห็นมึงกับมันถ่ายรูปในเฟรมเดียวกันทั้งที่มันมีบาดแผลในใจพวกมึง จากฝีมือกู” คนตัวสูงกว่าเสียงสั่น มันคงไม่ใช่แค่ผมกับเมฆที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดที่เกิดจากความคึกคะนอง แต่ผู้ชายตรงหน้าก็ด้วย

“รู้มั้ยทำไมมันถึงบอกเลิกมึง” เขามองตาผมด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “เพราะมันอยากให้พวกกูเลิกแกล้งมึง ห่าเหตุผลโคตรเด็ก แต่เสือกได้ผล พอพวกกูคิดว่าเพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมกูก็ไม่สนใจมึงอีก”

“....”

“มันปกป้องมึง พอมันเข้ามหาลัยพวกกูก็ไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเลย จนเมื่อสามเดือนที่แล้วได้เจอมัน มันบอกว่ามันยังรักมึงอยู่ กูรู้สึกผิดจับหัวใจเลย กูไม่คิดเลยว่าการเล่นพิเรนทร์ของกูจะทำให้เพื่อนกูเจ็บปวดยาวนานขนาดนี้ ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงกับฝ่ามือ มั่นใจว่าน้ำตาลูกชายของเขามันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่นี่คือความจริงที่สุดตลอดสามปีที่ผ่านมาต่างหาก

“แล้วทะ...ทำไม เมฆไม่เคยบอกเราเลย ทะ...ทำไมปล่อยให้เราเข้าใจแบบนั้นมาโดยตลอด”

“เพราะมันรู้สึกผิดจนละลายใจ จนไม่กล้ามีความสุข กระทั่งมีความสุขกับมึง”

“โง่! โง่ที่สุด!” ผมพูดจนเกือบติดตะเบง ยังดีที่ร้านในยามพลบค่ำไม่ค่อยไม่คนนั่ง “มาบอกตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

“กูรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์เพราะมึงก็เริ่มใหม่ไปแล้ว สิ่งที่บอกวันนี้ก็เพื่อไม่ให้มีอะไรติดค้างในใจต่อกันอีก หลังจากที่เจอเมฆกูภาวนาให้มันมาพูดความจริงกับมึง แต่แล้วมันก็ไม่ทันใช่มั้ยวะ”

จู่ ๆ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็รินไหลลงข้างแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ได้รับรู้วันนี้มันถาโถมและโหมกระหน่ำในหัวใจจนชาไปหมด สิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้ดี และรู้จริงมาตลอด กลับตาลปัตรไปเสียหมด การที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง สามารถวางใจในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนให้กับเมฆมาได้โดยตลอด ยังสู้ไม่ได้กับผู้ชายอีกคนที่ยอมรับทั้งความเจ็บปวด แบกข้อเท็จจริง และเก็บกุมมันมาคนเดียวตลอมาด ปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยที่ไม่ได้สนใจว่ามันจะหยดเปียกเสื้อนิสิตเป็นวง

นานเท่าไหร่ไม่มั่นใจ เพื่อนตรงข้ามยื่นทิชชู่มาให้ แต่ผมไม่ได้สนใจใยยี จนมันต้องย้ายมานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ แล้วเช็ดน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะหยุดไหลง่าย ๆ ให้

“ต้นเหตุมันมาจากพวกกูเอง ถ้าพวกกูไม่ใจแคบ กูเข้าใจในความรักดีกว่านี้สักนิด พวกมึงคงไม่ต้องเจ็บขนาดนี้”

“เราจะไปคุยกับเมฆ” พูดอย่างเลื่อนลอยแต่คิดว่าตัวเองมีสติพอที่จะทำแบบนี้ การได้ฟังเรื่องราวจากปากของเขามันคงชัดเจนกว่า

“เดี๋ยวกูไปส่ง มึงไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย” ผมส่ายหัวและยินดีที่จะให้เพื่อนเก่าคนนี้เป็นสารถี

กลุ่มก้อนเมฆที่ขมุกขมัว ไม่เคยได้รับความสดใส เขามีชีวิตอยู่แบบนั้นได้อย่างไรตลอดหลายปี




มีต่อ








ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Star, Tell me what he say

รถยนต์ยุโรปสุดหรูจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านของคนมีอันจะกินแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ผู้ชายร่างโปรงนั่งประจำที่ข้างคนรับ กดโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อต่อสายหาคนที่ต้องเจอในวันนี้ให้ได้

“คุณ เราอยู่หน้าบ้านคุณ” เมื่อสารถีที่ขับรถมาส่งถึงที่หมาย ก็รอจนกระทั่งเพื่อนอีกคนเปิดประตูเล็กข้างรั้วออกมา พยักหน้าทักทายกันเล็กน้อยแล้วก็ขับรถออกไปด้วยความหวังที่ว่าความเจ็บปวดที่เขาเป็นก่อขึ้นจะทุเลาเบาบางลงบ้าง

“ทำไมเราต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่นวะ” ชโลทรพูดขึ้นเมื่อได้เห็นผู้ชายที่เห็นหน้ากันมาตลอดสามปี แต่เขาไม่แม้จะปริปากพูดคุยเรื่องสำคัญนี้

“...” ฆิฆาทัศน์ใจวูบโหวงที่คนตรงหน้าใช้สรรพนามแบบนี้เรียกกันอีก ทั้งสายตาที่ไม่เคยมีเขาอยู่ในนั้นมานานแล้ว กลับสะท้อนอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเขากระตุกอย่างรุนแรง

“ตอบดิ ทำได้ยังไง ใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้ยังไง” จับแขนอีกคนที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไรเขย่าแรง มีเพียงการจ้องเข้ามาในนัยน์ตาเท่านั้น

ฆิฆาทัศน์ไม่ตอบอะไรคนที่ตาแดงก่ำกำลังจะร้องไห้รอมร่อเข้ามาสู่อ้อมอก นานมากแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้ คนในอ้อมกอดดูจะตัวโตกว่าเมื่อครั้งนั้นมากทีเดียว กอดเขาไว้โดยที่อีกคนไม่ได้กอดตอบมีเพียงไหล่ที่สั่นตามแรงสะอื้นจากการร้องไห้

“ผมยังเจ็บไม่เท่าคุณเจ็บด้วยซ้ำ บอกแล้วอย่าร้องไห้ให้ผมอีก” ชโลทรได้ยินประโยคแรกจากผู้ชายที่เจอหน้ากันมาโดยตลอด การต้องแกล้งทำว่าทุกอย่างมันโอเค มันผ่านไปได้ โดยที่คิดถึงแต่ความรู้สึกของคนอื่น เขาทำได้ยังไง

“ทำไมไม่พูดอะไร” หมัดแข็งแรงจากคนถูกกอดชกเข้าที่แผ่นหลังของผู้ชายตัวสูงกว่า เสียงอู้อี้ข้างหูทำเอาฆิฆาทัศน์กอดอีกคนแน่นกว่าเดิม “คุณแม่ง”

“ขอแค่นี้ แค่ได้กอดคุณวันนี้ก็ดีแล้ว”

แขนแกร่งเลิกชกแผ่นหลังแล้วเปลี่ยนเป็นกอดตอบแทน เสียงสะอื้นหนักขึ้นอีก สองร่างโอบกอดกันราวกับปลาในบึงน้ำแห้งขอดได้ฝนชะโลมจนมันมีชีวิตอีกครั้ง เป็นสัมผัสที่ปลดล็อกความรู้สึกในใจที่มันขุ่นมัวให้ได้เห็นอะไรที่มันชัดเจน อย่างน้อยก็ความรู้สึกที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยของเมฆ เขาจะไม่ต้องหลบซ่อนความรู้สึกเหมือนเงาอีก และอาโปก็ได้รับรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เก่งอย่างที่เคยทำมาได้โดยตลอด

ร่างสูงผละอ้อมกอดที่คิดว่าแค่นี้ก็มากเกินไปที่เขาควรจะได้รับ มันเหนือความคาดหมายที่เขาจะได้รับจากผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำไป แม้จะได้อ้อมกอดที่คิดถึงมาตลอดคืนอีกครั้ง แต่ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของมันอีกแล้ว คนตรงหน้ามีความสุขดีกับคนของเขา ยอมรับว่าการได้เจอกันในวันนี้มันจะเติมเชื้อเพลิงแห่งความหวัง เป็นเปลวไฟตะเกียงพายุที่วูบไหวไปตามแรงลมในคืนพายุโหมกระหน่ำ และจะขอให้มันเป็นความหวังเล็ก ๆ ที่จะทำให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เท่านั้น

มือหนาขยี้ผมคนตรงหน้าที่น้ำตาเหือดแห้งเหลือเพียงดวงตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้ “ไม่คิดว่าจะยังร้องไห้เก่งเหมือนเดิม แต่ว่าอย่าร้องไห้เลย มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยนะ”

“ใครล่ะวะที่ทำให้เป็นแบบนี้”

ชโลทรช้อนตามองคนตรงหน้าอย่างเผลอตัวว่าไม่ควรทำเช่นนี้ เพราะตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแง่งอนเพื่อนคนนี้ด้วยซ้ำ หัวใจกระตุกเมื่อคิดถึงผู้ชายที่คุยโทรศัพท์ด้วยตอนเย็น ใครกันที่ย้ำกับเขาว่าไม่มีอะไรต้องห่วงในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนตัวสูงกว่าไม่มีอะไร ทั้งที่ภูเขาเอเวอร์เรสที่สร้างในใจผุกร่อนจนกลายเป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ บนทุ่งหญ้ากว้างเท่านั้น

ทั้งสองยืนมองหน้ากันอย่างที่ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศรอบข้างเงียบงันสมกับเป็นหมู่บ้านที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง เมฆชวนอาโปเข้าบ้านแต่อีกคนปฏิเสธ และเลือกที่จะนั่งริมฟุตบาธหน้าบ้านแทน ยามที่ตรวจตรารอบหมู่บ้านด้วยจักรยานยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยและตะโกนว่าระวังยุงกัดก่อนจะฮึมฮัมเพลงแล้วจากไป

“ผมดีใจที่คุณไม่เกลียดผม ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกว่าเป็นแฟนแน่นอน” ฆิฆาทัศน์พูดขึ้นอย่างมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ตามที่กล่าวออกไปแน่นอน

“เราก็เหมือนกัน” ชโลทรมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืดทำให้พอจะเห็นดาวที่แต่งแต้มท้องฟ้าได้บ้าง แม้จะถูกเสียงไฟจากมหานครสว่างกว่ากลบ แต่ก็ยังเห็นแสงระยิบระยับไกลหลายปีแสงส่องทอดมาถึง อาโปไม่ได้พูดกับคนข้าง ๆ เท่านั้น แต่ยังบอกไปถึงดวงดาวดวงนั้น ดาวที่เราเคยนั่งมองมันด้วยกันบนดาดฟ้าโรงเรียนในวันเข้าค่ายผู้นำเยาวชน ดาวที่เราจับจองว่านี่คือดาวของเรา แม้ตอนนี้เราของคนจะไม่ใช่ของกันและกัน แต่ดาวดวงนั้นมันยังจะมีเขาและคนข้าง ๆ ติ๊ต่างเอาเองว่ายังเป็นเจ้าของมันอยู่ไม่ว่าจะอย่างไร

ดาวดวงนั้นฆิฆาทัศน์ไม่เคยลืม มันสุกสว่างและเป็นดาวนำทิศทางของผู้หลงทาง เราสองคนเคยนั่งมองมันด้วยกันอย่างไร้เดียงสาเมื่อครั้งนั้น เป็นการจินตนาการที่ขอบเขตและไม่คิดถึงกฎเกณฑ์ใด ๆ นอกจากเรานั่งดูมันอยู่ด้วยกันสองคน และมันยังคงเป็นอยู่ ดาวของเรา

ไม่มีใครเอ่ยถึงการกลับมา หรือเริ่มต้นอะไรใหม่ เพราะสองหัวใจต่างรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่เพราะตัวอาโปที่มีพันธะกับใคร ทว่าหัวใจทั้งสองดวงมันแปรเปลี่ยนสภาพไปเสียแล้ว หัวใจที่ไม่ได้มีเพียงเพื่อกันและกัน มันถูกกาลเวลา และความเจ็บปวดกัดกร่อนมานาน ทำให้แม้ว่าอยากเริ่มต้นเยียวยากันและกันมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นยังเด็ก ตอนนี้เราเติบโตขึ้น หัวใจที่ร่ำร้องและเพรียกหากันและกันเกิดอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกคน พอมันรวมกันแล้วทุกอย่างมัน ‘ไม่ใช่’ อีกต่อไป

ไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า ที่จะลบเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับฉายซ้ำและคั่งค้างในความรู้สึก มันอาจจะต้องใช้เวลาจนกระทั่งมันตกตะกอนกลายเป็นสันดอนในหัวใจ เป็นหลักฐานที่ครั้งหนึ่งมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในนี้ รู้จักความรักที่ไม่ใช่แค่รักและทุกอย่างจะจบ ความรักที่มีแค่คนสองคนไม่มีทางเกิดขึ้นได้บนโลกอันบิดเบี้ยว ฉะนั้นการเลือกเส้นทางที่ทำให้ใครบางคนที่จะเป็นคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิตไว้ โดยที่ไม่มีวันต้องเลิกรากัน ก็คือการคงสถานะกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันตราบชีวิตจะสิ้นสุด

ฆิฆาทัศน์ทำหน้าที่สารถีแทนจิราวัฒน์ที่ขับรถมาส่งแต่ไม่ได้รอรับกลับ รถยนตร์เปิดประทุนถูกเลือกเป็นพาหนะในค่ำคืนที่มืดมิดแต่สว่าสไวในความรู้สึกของเขา มันเป็นความสบายใจที่ยิงกว่าได้ยกภูเขาออกจากอก มันคือโลกที่เคยแบกไว้ได้กลับไปหมุนตามวงโคจรของมัน

“ไม่ใช่ไปส่งแล้วจ๊ะเอ๋กับพี่เพทายอีกนะ”

“ฮ่า ๆ ทำไมกลัวหรอ”

“เออกลัวโดนต่อย”

“ถ้าเขาต่อยคุณ เราจะร่วมวงด้วย โทษฐานที่ปากหนัก” พวกเขาสองคนหัวเราะให้กันอย่างสบายที่สุดในรอบหลายปี ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านตัวพวกราวกับกำลังดีใจไปพร้อมกันด้วย

“นี่ เราอึดอัดเรื่องนึงว่ะ”

“เรื่อง?”

“ไม่อยากพูดกูมึงกับคุณเลย ไม่ชอบ”

“แล้วทำได้ตั้งหลายปี”

“ทำไมคุณไม่ถามตัวเองวะ”

ยกยิ้มมุมปากให้คนที่ยอกย้อนเก่งไม่เปลี่ยน “งั้นจะพูดแบบนี้หรอ”

“เออพูดแบบนี้เหอะ สบายปากกว่าตั้งเยอะอะ” เมฆเห็นด้วยกับความคิดนี้ การใช้สรรพนามกูมึงแทนกันพวกเขาต่างคิดเอาเองว่าจะดูสนิทกัน ทั้งที่มันทำให้ห่างเหินขึ้นไปอีกเท่าตัว นี่อาจจะเป็นคำขอเดียวของชโลทรที่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับฆิฆาทัศน์หลงเหลือความทรงจำที่บ่งบอกว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง

พอร์ชคันเดิมจอดบนหน้าคอนโดของชโลทร เจ้าของรถหรูยืนพิงรถและสูบบุหรี่อย่างกับรอคอยใครบางคน ทั้งที่จริง ๆ เขาขึ้นไปรอในห้องก็ได้ ชโลทรมีแต่คำว่างานเข้าวนเวียนเต็มความคิดคิด มองนาฬิกาก็เห็นว่านี่เที่ยงคืนกว่าแล้วพี่เพทายเสร็จงานแล้วก็คงมาหาเหมือนทุกครั้ง จินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่หมีของเขาจะโกรธแค่ไหนที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะแบตหมดตอนไหนไม่รู้ แถมยังนั่งรถมากลับแฟนเก่าที่เพทายไม่เคยคิดว่าชโลทรลืมได้อย่างที่ปากบอกจริง ๆ

“เดี๋ยวผมเดินไปส่ง” เมฆเอ่ยขึ้นเพราะเห็นคนข้าง ๆ เริ่มลุกลี้ลุกลน อาการกลัวของเพื่อนทำให้เขาแน่ใจ ว่าสายตาที่สะท้อนภาพของเขามันไม่ได้หมายความไปมากกว่าคนตรงหน้าเพียงแค่สบายใจมากขึ้นก็เท่านั้น

“พี่เพทาย”

“พี่โทรไป…” เพทายที่ส่งสายตาเป็นห่วงมากกว่าเชิงตำหนิมาให้อาโป ทำให้เมฆยกยิ้มมุมปากว่าสิ่งที่ตัวเองและเพื่อนทำนั้นถูกต้องแล้ว แม้ภายในใจจะยังรู้ต่อกันมากเพียงไร สุดท้ายเราจะก็จะพ่ายแพ้ต่ออดีตที่เลวร้ายแม้เราต่างจะเข้าใจถึงเหตุผลกันและกันดีก็ตาม

“อาโปแบตหมด” ชโลทรยกมือถือให้เพทายดูยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

“ยังไงผมกลับก่อน”

“ขอบคุณที่มาส่งอาโปนะ” เพทายพูดกับผู้ชายที่ยืนข้างหลังแฟนตัวเอง ด้วยสีหน้าปกติไม่ได้เชิงหงุดหงิด แม้ในหัวใจจะคันยุบยิบและอยากซักไซร้คุณยีราฟตรงหน้าแค่ไหน

“ยินดีครับ ฝากเพื่อนผมด้วย” เพทายพยักหน้าอย่างรู้ความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ “ฝากแบบไม่ถอนคืนนะครับ”

ฆิฆาทัศน์มีสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ว่าสายตาของชโลทรมองตัวเขา มันแตกต่างากที่มองเพทายอย่างสิ้นเชิง เขาจำได้ว่าสายตาที่ชโลทรมองเขาเมื่อหลายปี กับสายตาที่มองเพทาย มันเป็นความรักที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ความรักของเด็กมัธยมปลายอีกต่อไป เพื่อนคนนี้มีความรักที่โตขึ้น และหวังว่าชโลทรจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นของตัวเอง และเพทายจะมั่นใจในความรู้สึกของชโลทรเร็ววัน

“ขับรถดี ๆ นะ” อาโปกล่าวขึ้นพร้อมกับเพทายใช้แขนแกร่งโอบเอวและยกยิ้มให้เมฆ เป็นการกล่าวคำอำลาสำหรับค่ำคืนนี้การแสดงออกของผู้ชายที่เหมาะสมที่จะดูแลเพื่อนรักของเมฆทำเอาเจ้าตัวนึกขำในใจว่าคืนนี้อาโปจะโดนซักจนขาวแค่ไหน

ในใจเพทายไม่ใช่ไม่เชื่อใจแฟนของตัวเอง ทว่ารู้ดีว่าการตัดขาดความสัมพันธ์ที่เรื้อรังมานานไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่ใช้ความรัก ความดี การเอาใจใส่ แต่ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพทายยินยอม เพียงเพราะอยากให้คนของตัวเองหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด แม้จะรู้ว่าวันนี้จะยังทำให้ชโลทรตัดใจจากเพื่อนคนนั้นไม่ได้หมด แต่วันหนึ่งหัวใจอันเหี่ยวเฉาจะฟูพองเพราะรักเขาเต็มหัวใจ

และวันนี้เพทายได้รับรู้แล้วว่าตัวเองแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของชโลทรได้มากกว่าที่คิดไว้

“คืนนี้ยาวคุณยีราฟ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูคนที่ถูกโอบ เจ้าตัวเลยได้แต่ยู่หน้าเล็กน้อยกลับไปให้ กระนั้นก็ไม่ได้มีความหวั่นเกรงคำขู่สักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าคำขู่ของหมีตัวโตไม่ได้น่ากลัวเพราะความใจดีมันมากกว่า มีแต่จะทำทีงอนเพื่อให้ง้อด้วยวิธีที่ชอบ เช่น ได้กินน้ำผึ้งรสหวานจากวิธีป้อนที่แสนพิเศษ

สุดท้ายแม้มันจะเหมือนการจากลา ทว่าไม่ใช่ มันคือการทักทายกันในความรู้สึกใหม่ ไร้พันธนาการจากห้วงอดีต ตัดจากความโกรธ ราคะ ที่พัวพัน หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่สั่งสม เหลือเพียงความทรงจำที่เกิดขึ้นจริงเก็บมันไว้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิต ให้เป็นเข็มทิศไม่ให้หลงทางอีก

ขอให้เช้าวันพรุ่งนี้เมฆไม่ขุ่นมัว มีแต่ความสดใส
ขอให้สายน้ำจงฉ่ำเย็น ไหลธารไม่เหือดแห้ง



------------------End Day 1-1------------------



เป็นพาร์ที่เขียนยากมากกกกกกกก5555555555555
ที่เราไม่ให้เมฆเป็นคนพูดเอง เพราะคนอย่างเมฆมันไม่มีวันพูด!
ให้อีกหนึ่งในตัวต้นเรื่องพูด่าจะโอเคกว่า ทุกคนเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งที่ผิดพลาดได้นะ
อนึ่ง น้องนักร้องยิ้มสวยปี 1 กับเมฆจะเป็นอย่างไรรรร โปรดติดตามมมมมมมม
อสอง พี่หมีและน้องยีราฟอาจจะมีเพิ่มในเล่มมมมม
อสาม สเปเชียลยังไม่จบ555555555555555
อสี่ คิดถึงชาวเน็ตสเปหน้าแจจจจจจจจ น้องศิและพูลล์จาคัมแบ็คสู่อ้อมกอดแม่ๆ
อห้า รักส์เด้อออออ

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1




ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ความรักที่รู้ว่าไปต่อไม่ได้มันก็มีทางเลือกไม่กี่ทางให้เลือกสินะ  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ แมว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้สึกดีที่เรื่องเป็นแบบนี้อ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด