วิวาห์อามันต์
ตอนที่ 2
“ตรงนู้นค่ะวีว่า น้าวินอยู่ตรงนู้น” เด็กหญิงหยันยิหวากระตุกมือมารดาพลางชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มร่างสูงเก้งก้างที่ยืนรออยู่ข้างนอก วิวาห์จับมือลูกสาวเอาไว้แน่นกลัวว่าลูกจะวิ่งถลาออกไปแล้วถูกคนชนเข้า
“คนเยอะยี่หวาอย่าวิ่งนะคะ จับมือวีว่าเอาไว้ก่อน”
เสียงพูดคุยโต้ตอบอย่างอ่อนหวานของชายหนุ่มหน้าอ่อนกับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักทำให้ใครหลายคนหันไปมองอย่างเอ็นดู เดาจากอายุใบหน้าแล้วทั้งคู่น่าจะเป็นพี่น้องหรือไม่ก็อาหลาน
อามันต์จับตาดูคนทั้งคู่อยู่เช่นกัน ชายหนุ่มเดินตามหลังทุกคนออกมาเงียบ ๆ พี่ชายของวิวาห์เป็นคนเอากระเป๋าทั้งหมดไปถือเอาไว้เอง ปล่อยให้น้องชายจูงลูกสาวเดินตามต้อย ๆ ...ไม่มีเงาของผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนนั้น หรือว่าเธอจะไม่ได้กลับมาด้วยกัน...
วิวาห์กับภรรยาแยกกันอยู่งั้นเหรอ?
อามันต์เดินตามพวกเขาออกมาข้างนอก น้องชายคนเล็กของวิวาห์มารอรับอยู่ก่อนแล้ว เขาเคยเจอหน้าเด็กคนนี้เมื่อหลายปีก่อน วิรัตน์ยกกระเป๋าขึ้นรถยนต์คันใหญ่ รุนหลังหลานสาวเข้าไปนั่งข้างในตามด้วยวิวาห์และน้องชาย จากนั้นเขาก็เข้าประจำที่หลังคนขับ
รถคันนั้นแล่นออกไปจากสนามบินแล้ว อามันต์ยืนมองตามจนลับสายตา
วิวาห์ลอบถอนหายใจยาว เขาละสายตาจากกระจกมองหลังที่มีเงาร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่ อามันต์ยืนมองอยู่ตรงนั้นจนรถของพวกเขาขับออกมา อันที่จริง...พี่อาร์มก็เดินตามหลังออกมาตลอดตั้งแต่ลงจากเครื่อง ว่านพยายามทำเป็นไม่เห็น ไม่สบตา ขนาดปวดฉี่จะแย่ก็ยังไม่อยากหยุดเข้าห้องน้ำก่อนเพราะกลัวว่าจะจ๊ะเอ๋กันในห้องน้ำอีก
ตอนที่เจอกันที่นู่น ...ว่านยังมองโลกในแง่ดีว่าอาจจะเป็นความบังเอิญ ตอนที่มาพักที่เดียวกัน ว่านก็ยังคิดว่าโลกคงกลมมาก ๆ แต่พอขึ้นไฟล์ทกลับเที่ยวเดียวกันแล้ว ว่านก็ชักไม่แน่ใจเท่าไหร่ พี่อาร์มรวยจะตายไปจะมานั่งชั้นประหยัดทำไม คนอย่างพี่อาร์มไม่มีทางทนนั่งที่แคบ ๆ เด็ดขาด
ยกเว้นมีจุดประสงค์อะไร...
นัยน์ตากลมโตเหลือบมองเด็กหญิงที่ยังพูดจ้อคุยกับน้าชายไม่หยุด ...หรือว่าพี่อาร์มรู้เรื่องยี่หวาแล้ว... ไม่น่า นอกจากคนในครอบครัวของเขาแล้วไม่มีใครรู้ความลับเรื่องนี้อีก ทุกคนรอบตัวเข้าใจว่าวิวาห์เป็นพ่อหม้ายลูกติด ภรรยาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุไปนานแล้ว ไม่เคยมีใครสงสัย...
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างกังวลจนถึงบ้าน พอเห็นสายตาของพี่วัตที่มองมาวิวาห์ส่งยิ้มฝืน ๆ กลับไปให้ เขาไม่อยากให้พี่ชายต้องกังวลไปด้วย
ใจเย็น ๆ เอาไว้วิวาห์ ...คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“ยี่หวาคิดถึ๊งคิดถึงคุณตาคุณยายค่ะ” เด็กหญิงพูด เข้าไปกอดญาติผู้ใหญ่พลางเอียงแก้มให้คุณตาคุณยายหอมซ้ายขวา “คุณตาคุณยายคิดถึงยี่หวามั้ยคะ” ริมฝีปากแดงสดเป็นกระจับน้อย ๆ ช่างพูดจาฉอเลาะ ไม่แปลกใจที่หลานสาวสุดที่รักไม่อยู่บ้านแค่อาทิตย์เดียวแต่ทำเอาบ้านทั้งหลังเงียบเหงา
“คิดถึงสิลูก ตากับยายรอให้ยี่หวากลับมา ไปเที่ยวสนุกมั้ยคะ”
“สนุกสุด ๆ เลยค่ะ ยี่หวามีขอมาฝากคุณตาคุณยายด้วยนะคะ” เด็กน้อยกุลีกุจอไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่มาแจกจ่ายข้าวของที่ซื้อมาฝากทุกคน “ยี่หวาเลือก วีว่าจ่ายค่ะ” เด็กหญิงพูดอย่างภาคภูมิใจ สะบัดผ้าพันคอลายสวยในมือให้คุณยายดูไปด้วย “อันนี้ของคุณตาค่ะ ขนมถั่วแดง อร่อยมาก รสชาติหวานนุ่ม..” เธอสาธยาย
“พูดซะตานึกว่าเราเป็นคนขายเสียเองนะยี่หวา” คุณสารสินหัวเราะ รับของฝากจากหลานรักมาเปิดชิม “อร่อยจริง ๆ ด้วยแฮะ ยี่หวาไม่โม้นะเนี่ย”
หลานสาวยิ้มหน้าบาน กระโดดไปทางโน้นทีทางนี้ที แจกจ่ายของฝากให้คนในบ้านรวมถึงยายเอิบพี่เลี้ยงที่คอยดูแลยี่หวามาตั้งแต่เกิด ยายเอิบถึงกับน้ำตาไหลเมื่อเห็นของฝากของคุณหนูที่รัก
“ขนมถั่วแบบนี้ ยายเอิบไม่มีฟันจะกินยังไงล่ะคะคุณหนู”
“ไม่ยากค่ะ เดี๋ยวยี่หวาช่วยเคี้ยวเอง”
“เคี้ยวแล้วก็กลืนเลยใช่มั้ยคะ” วิวาห์นั่งเก็บของอยู่หันมาแซว ลูกสาวหัวเราะคิกที่โดนรู้ทัน “หมดเงินไปกับขนมของยี่หวานี่แหละครับ แทบจะขนมาทั้งชั้น”
“ก็ยี่หวาอยากให้คุณตาคุณยาย ยายเอิบ พี่ต๋อม พี่รุ่งได้กินกันทุกคนนี่คะ...อ้อ พี่โบ้ด้วย” ฟังลูกสาวร่ายยาวแล้ววิวาห์ก็รู้สึกเหมือนขี้หูจะไหล ชายหนุ่มลุกขึ้นจากกองข้าวของแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน พอกลับมาถึงบ้านแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ไม่ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลาอีกต่อไป โดยเฉพาะต่อหน้าผู้ชายคนนั้น
เสียงข้อความดังขึ้นจากพี่ที่ทำงาน ถามไถ่เรื่องการเดินทางของเขาตบท้ายด้วยของฝากและเจอกันที่ออฟฟิศพรุ่งนี้ วิวาห์ถอนหายใจเฮือก อะไรนุ่ม ๆ อย่างหนึ่งขยับชนข้อเท้าเบา ๆ ชายหนุ่มก้มลงมองก็เจอแมวขนนุ่มฟูตัวหนึ่งเดินเข้ามาคลอเคลียไม่ไปไหน
“ว่าไงพี่โบ้ ...คิดถึงกันใช่มั้ย ไม่เจอกันนาน ..คิดถึงกันล่ะซิ” วิวาห์ย่อตัวลงไปอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวโปรดขึ้นมากอดเอาไว้ พี่โบ้หรือชื่อเต็มคือจัมโบ้ร้องครวญเหมือนออดอ้อน คงคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนานล่ะสิ “แต่ว่านไม่คิดถึงหรอกนะ ไม่คิดถึงเลย” เขาพูดกับแมวตัวนั้น มองจ้องตาแป๋วตอบกลับมาพลางร้องเมี้ยว “ฟังรู้เรื่องด้วยเหรอ”
วิวาห์ใช้เวลาสั้น ๆ จัดการธุระส่วนตัว เขานอนแช่น้ำอุ่นผ่อนคลายความเมื่อยขบและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง บางคนชอบท่องเที่ยวแต่ไม่ใช่ว่านคนนึงล่ะ เขาชอบนอนเล่นดูหนังฟังเพลงมากกว่า อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องใช้พลังงานเยอะ ไปเที่ยวครั้งนี้เหนื่อยกว่าทุกทีเพราะว่านต้องดูแลลูกด้วย ว่านรู้สึกเหมือนโดนสูบพลังเลย
“วีว่า ยี่หวาเข้าไปได้มั้ยคะ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นตามมารยาทที่วิวาห์อบรมลูกสาวอย่างเคร่งครัด พอมารดาอนุญาต เด็กหญิงถึงได้เปิดเข้าไป วิวาห์ยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจก “คุณยายให้มาเรียกไปกินข้าวค่ะ”
“ยี่หวาอาบน้ำก่อนมั้ยลูก” วิวาห์ถาม เด็กหญิงส่ายหน้าจนหางเปียแกว่งไปมา “กลับมาข้างนอกสกปรกออก”
“ยี่หวาขอกินข้าวก่อนค่ะ” เธอทำท่าเหมือนแมวพองขน เด็กหญิงหวันยิหวาไม่ชอบอาบน้ำเอาเสียเลย
บนโต๊ะอาหารวิวาห์สังเกตได้ว่าพ่อกับแม่คอยมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นห่วงจนเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่วัตคงจัดการ ‘ฟ้อง’ ให้ฟังไปหมดแล้ว วิวาห์อยากบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่าไม่ต้องเป็นห่วง วิวาห์คนนี้โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก ๆ อ่อนต่อโลกโดนหลอกง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน
วิวาห์เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว เหนื่อยจนพอแล้วล่ะ
“ว่าน เข้ามานวดให้แม่หน่อยสิลูก” แม่ของเขาเรียกเอาไว้หลังทานข้าวเสร็จจริง ๆ ตามคาด
“ว่านขอพายี่หวาอาบน้ำเข้านอนก่อนได้มั้ยครับแม่”
แม่ตอบตกลง ว่านพาลูกสาวอาบน้ำอย่างใจลอยจนเกือบเอายาสระผมมาอาบน้ำแทน อดคิดถึงคำพูดของเพื่อนสนิทไม่ได้ว่าเขายังเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่แบบนี้ก็เพราะว่ายังอยู่กับบิดามารดานี่เอง.. ขนาดโตจนอายุเบญจเพสเข้าปีนี้แล้วแถมมีลูกอีกคน ว่านก็ยังเหมือนเด็ก ๆ ที่ทำอะไรต้องคอยบอกคอยปรึกษาพ่อแม่อยู่ทุกฝีก้าว
คงเป็นเพราะว่านเคยล้มเหลวมาก่อน พ่อแม่เลยไม่อยากให้ผิดหวังอีก แต่ใครจะรู้ดีเท่าว่านว่าเขารู้สึกอึดอัดอยู่ข้างในลึก ๆ กับความเป็นห่วงเป็นใยนี้ คิดมาถึงตรงนี้...ชายหนุ่มก็รีบส่ายหน้าไล่ความไม่สบายใจออกไป วันที่ว่านเสียใจที่สุด มีคนเสียใจกว่าว่านก็คือพ่อกับแม่
“ยี่หวาหลับแล้วเหรอลูก” คุณปราณีเงยหน้าขึ้นทัก เธอกำลังปักผ้าอยู่ ถึงจะอายุมากขึ้นแต่สายตาก็ยังดี เวลาว่างก็เลยทำงานฝีมือเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปแก้เบื่อ “มานั่งตรงนี้สิ”
“พ่อเราบ่นว่าง่วงก็เลยเข้านอนก่อนน่ะ” เธอตอบเนิบ ๆ รอจนลูกชายเข้ามานั่งตรงหน้า “ไปเที่ยวสนุกมั้ย”
“ก็ดีครับ ไปเปิดหูเปิดตา ยี่หวาชอบมาก” ว่านหยิบผ้าปักของมารดามาพลิกดูเล่น “คุณแม่อยากไปเที่ยวบ้างมั้ยครับ”
“แม่แก่แล้ว พวกหนูไปกันเถอะ” คุณปราณีหัวเราะ มองลูกชายอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นเนิบ ๆ “เห็นพี่วัตเล่าว่าว่านเจอพี่อาร์มที่นู่นเหรอลูก”
วิวาห์ยังมีสีหน้าเป็นปกติ เพราะเขาเตรียมตัวมาแล้วว่าจะต้องโดนถามแน่นอน
“ครับแม่” รับคำแล้วก็รู้สึกว่าห้วนสั้นไปหน่อย เลยเสริมต่ออีกนิดหนึ่ง “พี่อาร์มก็เหมือนเดิม ไม่ได้เจอกันนาน”
“แล้วเขาว่ายังไงบ้าง คุยกันบ้างมั้ย”
“ครับ ทักทายตามปกติ พี่อาร์มก็ไม่ได้ว่าอะไร เจอกันแป๊บเดียว ...แล้วก็เจอบนเครื่องอีกหน่อย กลับเที่ยวเดียวกัน บังเอิญไหมล่ะครับ” วิวาห์หัวเราะออกมาเบา ๆ
“เขากลับมาด้วยเหรอ” ปราณีพูดเรียบ ๆ “คงไม่ได้จะมาอะไรกับเราอีกแล้วใช่มั้ย”
“โธ่แม่ เห็นว่านเป็นคนยังไง ว่านเจ็บแล้วจำนะ”
“ก็แล้วไป แม่จะได้โล่งอก” เธอพูด “พ่อเขาก็เป็นห่วงอยู่ รายนั้นกลัวแค่เขาจะมาเอาหลานไปแค่นั้นแหละ”
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ เขาจะไม่มีทางรู้เรื่องยี่หวาเด็ดขาด” วิวาห์พูดเสียงหนักแน่น “หรือถึงรู้ เขาก็เอายี่หวาไปจากว่านไม่ได้ ยี่หวาเป็นลูกของว่านคนเดียว ว่านไม่ยอมให้ใครทั้งนั้น”
คุณปราณีพยักหน้ารับ ลูกชายคนกลางของเธอถึงจะเป็นคนหัวอ่อนเชื่อคนง่าย ตามใครไม่ค่อยทัน แต่ถ้าลงได้ฝังใจเรื่องอะไรเข้าแล้วล่ะก็ ไม่เคยเปลี่ยนใจเลยสักครั้งเดียว ใจแข็งเสียยิ่งกว่าบรรดาพี่น้องทั้งหมด แม้แต่วิรัตน์ที่ว่าดุก็ยังต้องยอมให้
“ได้ยินแบบนี้แม่ก็ค่อยสบายใจ”
วิวาห์นอนไม่หลับอีกหนึ่งคืน เขาตื่นมาอาบน้ำอย่างสะโหลสะเหล่ก่อนจะปลุกลูกสาวขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนบ้าง นั่งกินอาหารเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตา วิรัตน์ขับรถไปส่งเขากับลูกที่หน้าโรงเรียนอนุบาลก่อนจะเลยไปทำงานและแวะส่งน้องชายคนเล็กที่โรงเรียนซึ่งเป็นทางผ่าน
เด็กหญิงในชุดนักเรียนกระโปรงแดงผูกเปียเดินแกมวิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ อย่างรวดเร็ว วิวาห์มองตามหลังลูกสาวแล้วอมยิ้ม รู้สึกว่าทำภารกิจสำเร็จไปอีกวันหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อของน้องยี่หวา...วันนี้มาแต่เช้าเลย” เสียงใส ๆ ดังขึ้นข้างตัว พอหันไปดูก็เจอร่างเล็กบางของผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ยืนยิ้มให้เขาอยู่
“ครูเตยสวัสดีครับ” วิวาห์พูดทักทาย ครูเตยเป็นครูประจำชั้นของหวันยิหวา “ฝากยี่หวาด้วยนะครับ เพิ่งไปเที่ยวมาเป็นหวัดนิดหน่อย มีขนมมาฝากเพื่อนในห้องกับครูเตยด้วยนะครับ อยู่กับยี่หวา” เขาบอก
หญิงสาวอมยิ้มบอกขอบคุณ สบตาเขาแวบเดียวก็เมินหลบ ข้างแก้มเป็นสีชมพูเรื่อ วิวาห์กระแอมรีบบอกขอตัวกลับออกมา คุณครูสาวไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเท่าไหร่ว่า ‘ปลื้ม’ เขาอยู่ แถมเคยพูดเป็นนัย ๆ ด้วยว่าไม่รังเกียจพ่อหม้าย
วิวาห์เคยคิดเรื่องหาแม่ให้หวันยิหวาอยู่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าสถานะตอนนี้ของเขากับลูกมันแปลกประหลาด ตอนนี้ลูกยังเล็กเลยยังไม่เข้าใจ แต่อีกหน่อยถ้าลูกโตขึ้น วิวาห์ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายให้หวันยิหวาฟังว่าตัวเองเป็นแม่หรือเป็นพ่อดี วิวาห์ไม่อยากให้ลูกรู้สึกมีปมด้อยเลย
“มาแล้วน้องว่าน ไปเที่ยวสนุกมั้ยจ๊ะ ไหนของฝาก” พอถึงที่ทำงานได้ พี่ ๆ ที่นั่นก็ทักทายพร้อมกับทวงของฝากจากเขาหน้าตาเฉย วิวาห์หยิบขนมที่ซื้อมาส่งให้ “หน้าตาผ่องใสจังนะว่าน สงสัยพักผ่อนเต็มที่ ดี ๆ” พี่อีกคนพูดยิ้ม ๆ แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย
ว่านรีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบริษัทที่เป็นส่วนของเขา เขารู้ว่าทุกคนออกจะหมั่นไส้ความเป็นเด็กเส้นของว่าน เพราะนอกจากจะไม่มีใบปริญญามาสมัครทำงานแล้ว วิวาห์ยังขอลาหยุดไปเที่ยวต่างประเทศได้เป็นอาทิตย์ ไม่รู้ว่าใช้อภิสิทธิ์อะไร
“คุณว่านกลับมาแล้วเหรอ” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นเหนือโต๊ะทำงาน ว่านกำลังวุ่นอยู่กับการจัดการเอกสารที่ใครต่อใครมากองทิ้งเอาไว้เต็มโต๊ะ คนที่ยืนเท้าโต๊ะของเขาอยู่นั้นส่งยิ้มมาให้ผ่านแว่นสายตา “เข้าไปคุยในห้องกันหน่อย” พูดจบร่างสูงได้สัดส่วนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่อีกฟากของชั้น
วิวาห์รู้ว่ามีสายตามองตามหลังพร้อมกับคำซุบซิบแต่ว่านก็ชินแล้ว ชายหนุ่มหิ้วของฝากสำหรับผู้ชายคนนั้นติดมือไปด้วย คุณฟอร์ดนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน มองมาที่ว่านยิ้ม ๆ
“ของฝากเหรอ ขอบคุณมากครับ” รองประธานบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ที่ว่านทำงานด้วยอยู่พูดอย่างเป็นกันเอง ราวกับว่านเป็นพนักงานระดับสูงสักคน ไม่ใช่แค่เสมียนคอยนั่งตามเก็บงานทั่วไป “นั่งก่อนสิ คุณผอมลงนะ เดินเหนื่อยแน่ ๆ” รอยยิ้มหลังแว่นตาดูจริงใจจนว่านอดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้
“เหนื่อยเหมือนกันครับคุณฟอร์ด”
“หรือจะไม่สบาย ลาพักได้นะถ้าไม่ไหว” อีกฝ่ายเสนอ ว่านรีบปฏิเสธ แค่นี้เขาก็โดนมองค้อนทุกวันอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี ...ขอกลับไปทำงานก่อนนะครับ”
“เย็นวันพรุ่งนี้ที่งานเลี้ยงสามสิบปีของบริษัท ผมอยากให้คุณว่านช่วยร้องเพลงให้ด้วยสักเพลงสองเพลง ได้มั้ยครับ” อีกฝ่ายพูดยิ้ม ๆ คนฟังชะงัก
“ว่านไม่ได้ร้องเพลงแล้วครับ” ...ไม่ได้ร้องนานมาก ๆ แล้ว
“นาน ๆ ทีน่ะครับ ถือว่าช่วย ๆ กัน ฝ่ายอื่นเขาก็มีโชว์เด็ด ๆ กันทั้งนั้น ของเราอุตส่าห์มีคุณว่านแล้ว ใคร ๆ ก็อยากฟังคุณว่านร้องเพลงอีกสักครั้งนะครับ” ธาดาคะยั้นคะยอ “เพลงเดียวก็ได้ ...ผมยังจำได้สมัยก่อน ตอนที่ Forearm ดัง ผมชอบคุณว่านมาก ๆ ชอบมากกว่าเสียงคุณอาร์มอีกนะ”
วิวาห์ยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนถูกสะกิดเปิดปากแผลแรง ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว
“ผมร้องเพลงของพวกคุณได้ทุกเพลง คุณว่านไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ผมไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้นหรอก” ธาดาหัวเราะเบา ๆ “เรื่องตั้งหลายปีแล้ว พวกคุณยังติดต่อกันอยู่ไหมครับ”
“เปล่าครับ” วิวาห์ส่ายหน้า
ธาดาอมยิ้ม ทำท่าเหมือนอยากบอกอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจ
“เอาเป็นว่า ..คุณว่านอย่าลืมมางานฉลองพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ชุดธีมสีเงินนะครับ”
“ครับ” วิวาห์รับคำส่ง ๆ อีกฝ่ายจะได้เลิกเซ้าซี้
วันรุ่งขึ้นพี่ ๆ ในทีมวิ่งวุ่นเตรียมงานกันใหญ่ ว่านเองก็วิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ทีตามแต่ที่จะมีใครเรียกให้ช่วย ชายหนุ่มแอบมองนาฬิกาเป็นระยะ ตั้งใจว่าพอสี่โมงเย็นจะอ้างว่าต้องไปรับลูกสาวแล้วแวบกลับบ้านไปเลย
“ว่าน” เสียงเรียกดัง ๆ ตามด้วยมือฟาดใส่หลังเขาไม่เบานักทำให้ว่านสะดุ้ง เพื่อนสนิทของเขายืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า “กลับจากเที่ยวแล้วไม่ยอมส่งข่าวกันบ้างเลยนะ เงียบหายเข้ากลีบเมฆ”
“แป้ง” ว่านเรียกเสียงอ่อย แป้งในวันนี้ไม่ใช่เด็กสาวร่างแบบบางอีกแล้ว เธอเป็นคุณแม่ลูกสามเลยพลอยอ้วนท้วนสมบูรณ์ตามลูก ๆ ทั้งสามไปด้วย “วันนี้ไม่ไปรับเจ้ายี่หวาหรือไง”
“ว่าจะไปนี่แหละ แต่ยังไม่เสร็จงานเลย” ว่านพูด แป้งชะโงกเข้ามาดู ‘งาน’ ของเขาแล้วหัวเราะลั่น
“ไอ้การตัดแปะกระดาษเนี่ยนะ งานของเธอ ให้ใครทำต่อก็ได้น่า”
“ไม่ได้ ๆ” วิวาห์ปฏิเสธ งานจำพวกตัดแปะรวบรวมเข้ากองก็อปปี้ใส่แฟ้มนี่แหละคืองานของเขา ...งานที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก “ใกล้เสร็จแล้วล่ะ แป๊บนึง”
แป้งถอนหายใจเฮือก ทรุดลงนั่งขัดสมาธิข้าง ๆ เพื่อน
“เดี๋ยวฉันช่วย ว่านนะว่าน...ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะมาทนทำงานแบบนี้ทำไม แทนที่จะไปร้องเพลงต่อ หาเงินได้เยอะแยะ”
“เธอก็รู้เหตุผล” ว่านตอบเนิบ ๆ ใช้กรรไกรตัดกระดาษสีเป็นรูปต่าง ๆ แปะลงไปบนบอร์ดตกแต่ง
แป้งลดเสียงลง
“จริงสิ ฉันได้ยินมาว่าค่ายจะทำโปรเจ็กรวมนักร้องเก่ายุคทองอะไรทำนองนี้”
“แล้ว? ”
“แล้วเธอก็ควรจะเข้าร่วมนะซิ ยัยยี่หวาจะได้ไปเที่ยวอีกบ้าง ไม่ใช่แม่มันนั่งทำงานงก ๆ เงินเดือนเท่าขี้เล็บ”
“เธอหยุดดูถูกอาชีพฉันได้แล้ว” ว่านพูดเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “ฉันทำงานที่นี่ก็มีความสุขดี..”
“เหรอ” เพื่อนสนิทยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน “โดนจิกใช้เป็นเจเนรัลเบ๊เนี่ยนะ”
“ก็มันเป็นงานฉัน” ว่านเริ่มหงุดหงิด “อย่างฉันจะไปทำงานอะไรอีกได้ มีเงินเดือนเยอะขนาดนี้ก็ดีแล้ว สวัสดิการก็มีพร้อม”
“แล้วแต่...ฉันขี้เกียจพูดแล้ว” แป้งแบมือยักไหล่ “ชวนมาทำงานด้วยกันก็ไม่เอา”
ว่านไม่โกรธแป้ง หญิงสาวหวังดีกับเขาเขารู้ แต่แป้งไม่เข้าใจเขา ชีวิตของแป้งเหมือนซินเดอเรลล่า เข้าวงการเป็นดาราหน้าใหม่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เข้าตาเถ้าแก่เจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่ภรรยาเพิ่งตาย จากเด็กสาวเพิ่งเข้าวงการก็เลยจับพลัดจับผลูกลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยร่ำรวย มีลูกให้เถ้าแก่อีกสามคน ใช้ชีวิตมั่งมีศรีสุขอยู่บนกองเงินกองทอง สามีก็แก่เกินกว่าจะไปมีเมียน้อยคนอื่นอีก หลังจากยกบริษัทให้กับลูกชายคนโตจากภรรยาคนแรกไปดูแลแล้วก็อยู่บ้านเฉย ๆ เล่นกับลูกไปวัน ๆ
แป้งขับรถมารับหวันยิหวาด้วยกันแล้วก็เลยไปรับลูกชายของเธอทั้งสาม ปิง ปั้น ปูนเขากับยี่หวาได้ดีมากเพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก เสียงหัวเราะประสานเสียงของเด็ก ๆ ทำให้ว่านเกือบไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า
“ที่ทำงานโทรมา” ว่านพึมพำ
“ไม่ต้องรับหรอกน่า” แป้งพูด
“เดี๋ยวเขาไล่ว่านออกทำไง” วิวาห์กดรับสาย เสียงพี่ป้องหัวหน้ากองบรรณาธิการดังมาตามสายฟังดูเข้มงวดกว่าปกติเล็กน้อย
“ว่านอยู่ไหนแล้ว งานจะเริ่มแล้วนะ รีบมาเร็ว”
“พี่ป้อง ..ว่านติดธุระ..” ดวงตากลมโตเหลือบมองเลิ่กลั่ก ว่านโกหกใครไม่เก่งเลย
“ถ้าว่านไม่มา พี่จะตัดโบนัสเดือนนี้นะ” เสียงพี่ป้องไม่ได้พูดเล่น “คุณฟอร์ดก็ถามหาว่านอยู่ ว่านจะทำให้งานล่มเหรอ”
“ขาดว่านคนเดียวงานจะล่มได้ยังไง” วิวาห์งง
“ว่านรีบมาก่อนที่ฉันจะโดนคุณฟอร์ดว้าก” ปกป้องพูดก่อนจะวางสาย ว่านหันไปมองหน้าเพื่อนงง ๆ แป้งจุ๊ปาก
“นี่เธอเป็นเสมียนแน่เหรอว่าน ทำไมเขาต้องโทรตามด้วย หรือจะให้ไปช่วยเก็บขยะในงาน” แป้งพูด
ว่านนั่งเงียบกริบมาจนถึงงานเลี้ยง แป้งบอกว่าจะดูแลยี่หวาให้ก่อนชั่วคราวระหว่างที่เขาเข้าไปในงาน ว่านรีบบอกว่าเขาจะโผล่หน้าเข้าไปครู่เดียวแล้วจะรีบเผ่นออกมา พี่ป้องดูดีใจมากที่เห็นหน้าเขารีบตรงเข้ามาลากตัวว่านเข้าไปในห้องแต่งตัวหลังเวที
“อะไรน่ะพี่” ว่านรับเสื้อสีเงินวิบวับเหมือนพวกเสื้อลูกทุ่งหางเครื่องมาถืองง ๆ
“ก็โชว์ของเราไง ว่านออกไปร้องเพลงเดียวเท่านั้นแหละ จบ”
“ทำไมต้องเป็นว่านด้วยล่ะ พวกพี่ก็ซ้อมเต้นอะไรกันมานี่” วิวาห์ถาม ปกป้องจุ๊ปากท่าทางหงุดหงิด
“นั่นสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นนาย คุณฟอร์ดเขาสั่งมาแบบนี้ ฉันก็ต้องทำตาม เอ้า ออกไปได้”
ว่านงง ปกป้องลากเขามายืนข้างเวทีที่ตอนนี้กำลังมีโชว์ร้องเต้นจากฝ่ายบัญชีอยู่ เสียงปรบมือเป่าปากดังมาจากเหล่าคนดูข้างล่าง ปกป้องบอกชื่อเพลงที่ว่านจะร้อง มันเป็นเพลงของว่านเอง...เพลงแจ้งเกิดของว่านเมื่อหลายปีก่อน
“จำเนื้อได้อยู่แล้วเนอะ ร้องมาไม่รู้กี่ล้านรอบแล้วใช่มั้ย” ปกป้องว่า ตบหลังเขาแทนการให้กำลังใจ
“ว่านทำไม่ได้ ...ว่านร้องไม่ได้” วิวาห์พูด รู้สึกปวดมวนในท้องขึ้นมา “พี่ป้องให้คนอื่นร้องแทนเถอะนะ”
“เห้ย ได้ยังไง” ปกป้องคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ “ร้อง ๆ ไปเหอะ สามนาทีก็เพลงจบแล้ว นายเป็นนักร้องนะลืมหรือเปล่า นาน ๆ จะได้ทำประโยชน์ให้ทีมเสียที คุณฟอร์ดเขาก็รอฟังอยู่”
“ว่านร้องไม่ได้จริง ๆ” วิวาห์ย้ำ โชว์ก่อนหน้าเขาจบลงแล้ว เสียงปรบมือกึกก้องยิ่งทำให้วิวาห์ยิ่งปวดท้องมากขึ้น มือเย็นเฉียบ เขาก้าวถอยหลัง “ให้คนอื่นร้องเถอะ”
“ไปน่าว่าน สู้เค้า” ปกป้องกึ่งผลักกึ่งดันเขาออกไปกลางเวที แสงไฟส่องจ้าสว่างเข้าตาจนว่านต้องหรี่ตาลง เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับทำนองเพลงคุ้นหูที่เขาเคยร้องมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ..เพลงที่คน ๆ นั้นแต่งให้เขา
...เพลงนี้พี่แต่งให้ว่าน ชื่อเพลงยิ้มหวาน ภาษาอังกฤษว่า Y I’ m Wan...ว่านชอบมั้ย...
เสียงแหบ ๆ ของผู้ชายคนนั้นดังก้องอยู่ริมหู แวดล้อมด้วยเสียงอื้ออึงรอบตัว ดนตรีเข้าสู่ท่อนที่ว่านจะต้องร้องทว่าว่านกลับจำเนื้อไม่ได้เลย เหงื่อซึมออกมาทั่วตัว แว่วเหมือนเสียงตะโกนด่าทอดังขึ้นเบื้องหน้าจนว่านตื่นตระหนก
“เกาะดัง คิดจะสร้างกระแสให้ตัวเองหรือยังไง”
“คนเขาดูออก รีบ ๆ ไปให้พ้นจากเขานะ”
“ตายไปเสียเลยก็ดีเหมือนกัน รกหูรกตา ไม่เห็นจะได้เรื่อง ดีแต่ใช้หน้าตา เสียงร้องงั้น ๆ”
“เลิกจับอาร์มได้แล้ว เธอทำให้เขาตกต่ำลง”
ท่ามกลางเมฆหมอกขาวหนาทึบ ว่านมองไม่เห็นเจ้าของเสียงที่มาพวกนั้น หัวใจของเขาเต้นเร็วเสียจนเลยขีดจำกัดไปแล้ว ในอกแน่นเหมือนจะระเบิดออกมา ว่านหายใจหอบลึก พยายามสูดอากาศเข้าปอด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายในไม่ช้า
..............................................................................................
“ตื่นแต่เช้าเชียว แต่งตัวหล่อจะไปไหนลูก” แม่ทักตอนที่ว่านเดินแกมวิ่งลงมาจากห้องนอน ว่านยิ้มกว้าง เข้าไปหอมแก้มมารดาอย่างอารมณ์ดี
“ไปกินข้าวกับเพื่อนครับ ไม่ไปนานหรอก”
“ดูแลตัวเองด้วยนะ ลืมอะไรหรือเปล่า”
“ว่านดูสามรอบแล้วน่า ไม่ลืมของเลยด้วย” วิวาห์พูดเหมือนอวดแล้วก็รีบใส่รองเท้าออกไปข้างนอก ส่วนกับพี่ชายคนโตที่เดินเข้ามางง ๆ
“ไอ้ว่านรีบไปไหนน่ะ เดี๋ยวก็สะดุดหน้าทิ่มหรอก”
“ไปก่อนนะพี่วัต บาย” ว่านโบกมือ “ว่านสายแล้ว”