1
ของฝาก
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงในเมืองใหญ่ รถบนถนนจอดติดกันเป็นทางยาวหลายกิโลเมตร เสียงบีบแตรคันต่อคันดังสนั่นไปทั่วบริเวณเมื่อเหล่าผู้คนที่นั่งอยู่ในห้องผู้โดยสารเริ่มเกิดอาการหงุดหงิดเนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นสภาพจราจรในวันนี้ถึงได้เลวร้ายจนรถติดยาวเหยียดไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแบบนี้
“คิดจะติดไปถึงไหนกันนะ”
เสียงสบถของนิธิศดังขึ้นภายในห้องโดยสารที่เงียบสงบ ให้มันได้อย่างสิ วันนี้มันวันซวยอะไรของเขานะถึงได้เจอแต่เรื่องบ้าบออะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้ายันเย็น เริ่มตั้งแต่อาการเมาค้างต่อเนื่องจากเมื่อคืนซึ่งปกติจะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเขาจนเป็นเหตุให้เช้าวันนี้ผู้จัดการอย่างเขาต้องไปทำงานสายกว่าพนักงานคนอื่นๆ ครั้นตกบ่ายเจ้านายที่อยู่ต่างประเทศก็ส่งงานข้ามทวีปมาให้สางอย่างเร่งด่วนชนิดที่ว่ากว่าจะลุกจากเก้าอี้ทำงานได้ก็เล่นเอาปวดหลังกันไปข้างหนึ่ง แล้วพอได้เวลาจะกลับไปพักผ่อนเหมือนชาวบ้านเขาหน่อยก็ยังต้องมาเจอรถติดยาวแบบนี้อีก
ถ้าวันนี้ไม่เรียกว่าซวยก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ครืด ครืดนิธิศเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งไว้เป็นระบบสั่นที่วางเอาไว้บริเวณเบาะข้างคนขับ เบอร์แปลกที่โชว์อยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วหนาเผลอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะตั้งสติปรับอารมณ์ที่หงุดหงิดอยู่ให้สงบลงแล้วกรอกเสียงลงไป
“ครับ นิธิศพูดครับ”
“ไนท์ นั่นแกใช่ไหม?”
เสียงปลายสายที่ฟังดูคุ้นหูบวกกับการที่เรียกชื่อเล่นของเขาได้อย่างสนิทสนมทำให้นิธิศนึกสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจ หวังว่านี่คงจะไม่ใช่ความซวยอีกอย่างของวันนี้นะ...
“ใช่ครับ แต่ไม่ทราบว่า...”
“อรอนงค์ป้าของแกไง...รู้แล้วก็อย่าเพิ่งรีบวางล่ะ...ฉันมีธุระจะคุยกับแก”
ทันทีที่นิธิศแน่ใจว่าปลายสายนั้นคือใคร เขาก็แทบอยากจะรีบกดวางเสียเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ก่อน
“ป้าอรมีอะไรก็รีบว่ามาครับ แต่ถ้าจะโทรมาถามหาเรื่องสมบัติที่เหลือล่ะก็ ไม่มีหรอกนะ”
“หึ แกไม่ต้องทำห่วงไปหรอก เพราะธุระของฉันวันนี้น่ะไม่ใช่เรื่องนั้น”
อรอนงค์...พี่สาวแท้ๆของพ่อหรืออีกนัยหนึ่งก็คือป้าของเขา ผู้หญิงที่นิธิศรู้จักดีในฐานะซาตานในคราบนางฟ้า เพราะในขณะที่พ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ เธอเสแสร้งและปฏิบัติต่อเขาและแม่เป็นอย่างดีจนเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเปลี่ยนไปได้เป็นคนละคนหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตลงและทรัพย์สมบัติมากมายที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้เขากับแม่ถูกผู้หญิงคนนี้ใช้กลโกงโอนไปเป็นชื่อของตัวเองเกือบจะทั้งหมด
“แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วมันเรื่องอะไรล่ะครับ”
“ฉันไม่สะดวกที่จะคุยทางโทรศัพท์ ตอนนี้ฉันคอยอยู่ที่โถงคอนโดแก...ลงมาคุยกันตรงนั้น”
“ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่ห้อง แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าจะกลับไปถึงเมื่อไหร่...เพราะฉะนั้น ถ้าป้าอรรอได้ก็เชิญตามสบายนะครับ”
นิธิศตอบกลับไปแบบนั้นแล้วกดวางสายไปทันทีโดยที่ไม่รอฟังความเห็นของปลายสาย มือหนาเอื้อมไปกดปุ่มเปิดวิทยุเพื่อฟังฆ่าเวลาพลางสายตาก็ทอดมองออกไปนอกกระจกเพื่อประเมินสถานการณ์การจราจรที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับไปไหน...ติดขนาดนี้ก็คงไม่ต่ำกว่าชั่วโมงล่ะนะ
........................
......................................
แล้วก็เป็นไปดังที่เจ้าตัวคิดไว้ เพราะกว่านิธิศจะพาตัวเองให้หลุดพ้นมาจากการจราจรอันติดขัดนั่นได้ก็กินเวลาไปกว่าสองชั่วโมง ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาในโถงรับแขกของทางคอนโดซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยดูแลอย่างหนาแน่น ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่โทรศัพท์ไปหาตนเมื่อสองชั่วโมงก่อนยังนั่งรออยู่ที่โซฟาที่ทางคอนโดจัดไว้สำหรับแขกพร้อมกับเด็กหนุ่มที่แต่งตัวโทรมๆคนหนึ่ง
“ผมคิดว่าป้าจะกลับไปแล้วเสียอีก ท่าทางจะธุระสำคัญนะครับถึงได้ทนนั่งรอได้นานขนาดนี้”
“หึ ก็เรื่องสำคัญน่ะสิ ไม่งั้นฉันคงไม่อดทนมานั่งรอแกเป็นชั่วโมงๆแบบนี้หรอก”
อรอนงค์ตอบกลับไปพร้อมกับลุกขึ้นยืนจ้องหน้าหลานชายอย่างนึกเอาเรื่อง ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพงปกปิดริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัยบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“อืม ถ้าไม่ใช่เรื่องสมบัติอย่างที่บอกแล้วธุระสำคัญที่ว่านี่ของป้ามันเรื่องอะไรเหรอครับ”
“แกอย่ามาทำเป็นพูดกระแทกแดกดันฉันหน่อยเลยไนท์ ตอนแม่แกอยู่ก็ยังไม่เห็นจะว่าอะไรฉันสักคำ แล้วแกจะคอยไปขุดเรื่อง
เก่ามาเล่าใหม่ทำไม หยุดพูดถึงเรื่องนั้นแล้วมาเข้าเรื่องที่ฉันมาหาแกวันนี้ดีกว่า”
อรอนงค์พูดพลางยิ้มเหยียดใส่อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า...ก็ใช่สิ แม่เขาจะไปว่าอะไรผู้หญิงคนนี้ได้ล่ะ ก็ในเมื่อหลังจากที่พ่อเขาเสียไปได้ไม่ถึงปีแม่ของเขาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ไม่พูดไม่คุยกับใครจนตรอมใจตายตามไปเสียอีกคนนี่นะ
“...”
นิธิศสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านก่อนจะหันไปรอฟังธุระสำคัญของอรอนงค์ที่ทำให้เจ้าตัวถึงขนาดลงทุนมาหาเขาถึงที่นี่
“เอ้านี่ ของฝากของแก ไนท์”
อรอนงค์ว่าแล้วหันไปกระชากแขนของเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดบทสนทนาให้ลุกขึ้นมาอย่างแรง จนนิธิศที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เองที่ยังอดกลัวไม่ได้ว่าแขนเล็กๆนั่นจะหลุดติดมือคนเป็นป้าของเขาขึ้นมา
“ป้าหมายความว่ายังไง? ของฝาก? เด็กคนนี้?”
นิธิศมองไปยังร่างผอมแห้งของเด็กหนุ่มคนนั้นสลับกับอรอนงค์อย่างนึกสงสัย
“ไหนๆแกก็อยู่คนเดียวไม่ได้มีภาระอะไรอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไนท์ งั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรนักถ้าฉันจะเอาเด็กนี่มาทิ้งให้แกเลี้ยงไว้สักคน”
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ถึงผมจะอยู่คนเดียวแต่มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของป้าที่จะเที่ยวเอาใครต่อใครมาทิ้งไว้ที่ผม...ป้าเอาคนของป้ากลับไปเถอะ ผมไม่ต้องการ”
ร่างสูงพูดเสียงแข็ง
“หึ ฉันกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองนอกถาวรแล้ว และถ้าฉันคิดจะเอามันไปด้วยก็คงไม่ลำบากหิ้วมันมาให้แกถึงที่นี่หรอก”
อรอนงค์ว่าแล้วหันไปดึงแขนร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้นิธิศยิ่งขึ้น
“แล้วเด็กนี่เป็นใคร ป้าไปเอามาจากไหนก็เอาไปคืนเขาสิ”
“เด็กคนนี้แม่มันส่งมาทำงานใช้หนี้เงินที่กู้ฉันไป เหอะ แต่ก็นะ ใช้อะไรก็ไม่ค่อยจะได้ แถมยังเป็นใบ้อีก ฉันเลยสุดจะทนกับมัน จะเอาไปคืนแม่มัน แม่มันก็ไม่รับคืน จะให้เอาไปทิ้งให้เดินเร่ร่อนอยู่ข้างถนนมันก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเสียเท่าไหร่ พอดีฉันนึกถึงแกขึ้นมาได้...”
“...ก็เลยคิดจะโยนภาระมาให้ผมแทนสินะ”
นิธิศต่อประโยคของอีกฝ่ายให้จนจบ
“หึ ก็คงประมาณนั้นล่ะมั้ง...เอาล่ะ แกจะเอามันไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็เชิญ ถือซะว่ามันเป็นสมบัติที่พ่อแกทิ้งไว้ให้เป็นชิ้นสุดท้ายก่อนตายก็แล้วกัน เพราะเงินที่ฉันปล่อยกู้ไปก็เป็นเงินที่พ่อแกทิ้งเอาไว้ให้แกนั่นแหละ”
“คนอย่างป้านี่มัน...”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างไม่นึกว่าจะสรรหาคำประเภทไหนออกมาพูดกับคนอย่างอรอนงค์
“...เอาเป็นว่าธุระของฉันกับแกวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันไปล่ะ ลาขาดนะหลานรัก...เพราะครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันกับแกจะได้เจอกันอีก...”
อรอนงค์รีบชิงพูดตัดบทอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่คิดรอให้หลายชายได้ทักท้วงอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไปขึ้นรถยนต์ที่มาจอดรอรับอยู่แล้ว
............................
............................................
ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นเร็วมากจนนิธิศตั้งตัวแทบไม่ทัน เสียงถอนหายใจที่พ่นออกมาอย่างแรงทำให้ร่างบางที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นต้องเผลอเหลือบตาขึ้นมามองแต่ก็ต้องผลุบลงต่ำอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาดุๆของอีกฝ่าย
“นี่ นายน่ะ เรื่องอื่นจะเอายังไงเดี๋ยวว่ากันอีกที ตอนนี้เดินตามฉันมาก่อนแล้วกัน”
นิธิศหันไปพูดกับเด็กหนุ่มเมื่อไม่เห็นว่าการที่ยืนเงียบกันอยู่แบบนี้จะช่วยให้เขาแก้ปัญหาอะไรได้ก่อนจะเดินนำเจ้าตัวเข้าไปในตัวอาคารเพื่อรอลิฟต์ที่จะพาขึ้นไปยังห้องของเขา
“ชื่ออะไร...”
ร่างสูงเอ่ยถามอีกหนึ่งชีวิตที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องเงียบๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด จนนิธิศเองก็เริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิด
“ฉันถามว่าชื่ออะไร ไม่ได้ยินหรือไงหือ”
เขาสบถขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำดื่มดับกระหายและความหงุดหงิดใจของตัวเอง
วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วทำไมเขายังต้องมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้อีก ส่วนเด็กนี่อีกมันเป็นอะไรของมัน ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบเอาแต่ยืนก้มหน้าหน้าก้มตาอยู่นั่นแหละ ทำไม ทำไม ทำไมวันนี้มันถึงมีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดนะ ให้ตายเถอะ
เสียงวางแก้วน้ำที่วางกระทบกับเคาท์เตอร์กระเบื้องเซรามิกในครัวดังขึ้นอย่างหนักมือ ก่อนที่ร่างของนิธิศจะเดินออกมาทิ้งตัวเองลงนั่งบนโซฟาแล้วหลับตาลงเพื่อพักสมองและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน แต่นั่นก็ทำได้ไม่นานนักเมื่อเขารับรู้ได้ถึงแรงดึงเบาๆของใครอีกคนที่แขนเสื้อ
“อะไร...”
นิธิศลืมตาขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยถามกลับไปเสียงเหนื่อยๆ ทว่ากระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ตอบ แต่กลับใช้การยื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขาแทน
‘ ชื่อวิพารันต์ เรียก รัน ก็ได้’นิธิศอ่านข้อความในเศษกระดาษแผ่นนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่ยืนรอดูปฏิกิริยาของเขาอยู่
“...ใช้อะไรก็ไม่ค่อยจะได้ แถมยังเป็นใบ้อีก...”
ใจเหมือนจะอ่อนวูบลงในทันทีเมื่อในเสี้ยวหนึ่งของความคิดนึกไปถึงสิ่งที่อรอนงค์พูดให้เขาฟังก่อนหน้านี้ ความรู้สึกผิดที่เมื่อกี้เขาหงุดหงิดจนเผลอตะคอกใส่อีกฝ่ายเกิดขึ้นจนนึกอยากจะตำหนิตัวเองที่ทำแบบนั้นลงไป
“...นาย...พูดไม่ได้?”
ตัดสินใจลองถามอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจดูอีกครั้ง ซึ่งวิพารันต์เองก็พยักหน้าช้าๆกลับมาให้เป็นคำตอบก่อนจะดึงกระดาษแผ่นเดิมที่อยู่ในมือของนิธิศมาเขียนต่อ
‘พูดไม่ได้ แต่ฟังรู้เรื่องนะ’TBC.
แวะมาเปิดเรื่องใหม่ค่า อิอิ เกิดอารมณ์อยากเขียนขึ้นมาตงิดๆเลยรอช้าไม่ได้ต้องเขียนซะหน่อย มาลงให้ลองอ่านเป็นตอนแรก ชอบไม่ชอบยังไงก็บอกด้วยเน้อ จะได้ไปปรับปรุงค่ะ จริงๆอยากทำสแปไว้ซักสองตอนก่อนค่อยลง แต่เห็นวันนี้มันวันดี เลขสวยเลยอยากลงประเดิม คงไม่ว่ากันนะคะ ขอระบายๆ วันนี้มันเซ็งจริงจัง เครียดกับผลการสอบ นั่นมันชีวิตกรูเลยนะนั่น!!! แว๊กก อยากจะตะโกนดังๆ พอและ 555
เข้าไปพูดคุยกันได้นะคะ
Rafael's Fanpage