บทที่ 5
ชินจิกำลังเห่อทำอาหาร เพราะเควินบอกว่าชอบอาหารที่เขาทำ
ปกติชายหนุ่มไม่ได้ทำอาหารกินเองบ่อยนัก เมื่อตอนอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารบ้าง ข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อบ้าง ร้านราเม็งหรือร้านอาหารสำหรับครอบครัวราคาไม่แพงบ้าง นาน ๆ ทีมีเวลาก็ทำกินเองสักที แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาทำอาหารบ่อยขึ้นเพราะไม่ได้ชอบอาหารฝรั่งมากเท่าไร กินติด ๆ กันเข้าก็เบื่อ ต้องหันกลับมาหาข้าวสวยทุกครั้ง
หลังจากคบกับเควิน ชินจิทำอาหารทุกวัน เขาเปิดอินเตอร์เน็ตหาสูตรอาหาร หรือไม่ก็ขอคำแนะนำจากมายะ
อาหารที่เขาทำส่วนใหญ่เป็นอาหารญี่ปุ่นด้วยความที่คุ้นเคยมากกว่า และเควินก็ชมว่าอร่อย คนรักกินอาหารเย็นกับเขาแทบทุกวันจนเจอโรมแซวว่า
“ตั้งแต่เป็นแฟนกับนายเนี่ย ฉันไม่เคยเห็นมันเข้าครัวเลย มีคนทำกับข้าวให้กินตลอด น่าอิจฉาจริงวุ้ย”
ชินจิก็ได้แต่ยิ้มอาย ๆ
วันนี้เขาก็ทำอาหารอยู่ในครัวเหมือนทุกวัน แต่มีมายะกับอัตสึโตะอยู่ด้วย มายะสอนเขาทำผักต้มซอสและผลงานของเขาก็ออกมาดี ดีจนอัตสึโตะกินเอา ๆ เกือบจะหมดหม้อนี่แหละ
“นายทำอาหารเก่งชะมัดเลย ฉันว่าเก่งกว่ามายะแล้วล่ะ” อัตสึโตะชม
“พูดยังงี้เดี๋ยวฉันเลิกทำให้กินซะเลย” มายะงอน แต่อัตสึโตะไม่สนใจตามเคย เขายกถ้วยขึ้นซดน้ำซุปที่เหลือจนเกลี้ยง
“อย่าทะเลาะกันน่า” ชินจิห้าม ก่อนจะขอคำปรึกษาว่า “ฉันอยากทำอาหารออกไปปิกนิก พวกนายคิดว่าดีไหม เสาร์อาทิตย์ไหนว่าง ๆ ออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน”
“เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน เปลี่ยนบรรยากาศ” มายะเห็นด้วย เขาเองก็อยากไปเที่ยวกับอัตสึโตะเหมือนกัน การทำอาหารไปปิกนิกก็น่าสนใจ
“อากาศหนาว ๆ เนี่ยนะ” แต่คนที่มายะอยากให้ไปด้วยกลับทำหน้ายุ่ง ต้นเดือนพฤศจิกายนอย่างนี้อากาศเย็น อัตสึโตะไม่เข้าใจเลยว่าการออกไปปิกนิกท่ามกลางอากาศหนาว ๆ มันจะดีกว่าการนอนห่มผ้าห่มอุ่น ๆ ตรงไหน
“ก็ดีกว่าจับเจ่าอยู่ในหอพักล่ะน่า” มายะว่า
“ไปไหนกันดีล่ะ” ชินจิถาม
ทั้งชินจิและมายะพากันนิ่งคิด แต่อัตสึโตะที่ไม่ค่อยยินดียินร้ายในตอนแรกกลับมีไอเดียให้
มานูเอลไม่มีอะไรขัดข้องเมื่ออัตสึโตะมาทวงสัญญาเรื่องไปเที่ยวมึกเกลเซ แต่เมื่อจุดประสงค์คือการไปปิกนิก ชายหนุ่มก็เลือกเปลี่ยนโปรแกรมเล็กน้อยเพราะคงไม่เหมาะสมที่จะเทร็กกิ้งกันสักเท่าไร
“เราไปกันแบบสบาย ๆ ก็แล้วกัน ออกตอนสาย ๆ แล้วไปกินข้าวเที่ยงที่ทะเลสาบ บ่าย ๆ ข้ามไปเดินเที่ยวที่รานส์ดอร์ฟ แล้วก็กลับ”
ทุกคนไม่มีปัญหาอะไร
ในตอนแรกคนที่จะไปมีมานูเอลในฐานะไกด์ อัตสึโตะ มายะ ยูเลี่ยน (มายะสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันรู้ได้อย่างไรในเมื่อเขาอุตส่าห์กำชับทุกคนแล้วว่าไม่ให้บอก) ชินจิ และเควิน แต่วันที่จะไปกันนั้นกลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน เควินชวนเจอโรม มัตส์ และเอริคไปด้วยโดยที่ไม่ได้บอกชินจิก่อน แล้วเมื่อรู้ ชินจิก็อึ้งไปเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้ทำอาหารเผื่อสามคนนั้นนะ นายน่าจะบอกฉันก่อนว่าจะชวน ฉันจะได้ทำอาหารเพิ่ม” ชินจิเป็นกังวล
นี่ยังไม่นับเรื่องผิดแผนที่จะได้อยู่กันสองคนโดยที่ไม่มีเพื่อน ๆ ของเควินอยู่ด้วยอีก ส่วนพวกมานูเอลนั่นยกไว้เถอะ ถึงเวลาก็คงป้วนเปี้ยนกันอยู่รอบตัวอัตสึโตะทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครมารบกวนเขาหรอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนั้นหาอะไรกินกันเองได้แหละน่ะ” เควินไม่เดือดร้อน แต่ชินจิก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ถึงกระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่หิ้วถุงใส่กล่องอาหารหนักอึ้งเดินตามคนรักไปสมทบกับคนอื่น ๆ
มึกเกลเซเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของเบอร์ลิน ตั้งอยู่ในเขตเคอเพนิค เป็นสถานที่ตากอากาศยอดนิยมของชาวเมืองในตอนหน้าร้อน เหมาะกับการเล่นกีฬาทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพายเรือ เล่นเซิร์ฟ หรือว่ายน้ำ รอบ ๆ ทะเลสาบยังมีเรือให้เช่าตั้งแต่เรือยนต์ไปจนถึงเรือแคนู และยังมีบริการนั่งเรือชมวิวด้วย
จากหอพัก พวกเขานั่งรถรางสายหกสิบมาลงที่ป้ายถนนบาห์นโฮฟตัดกับถนนเซเล่นบินเดอร์ จากนั้นต่อรถบัสสาย X69 มาลงที่ป้ายถนนโอแดร์นไฮเมอร์ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย
“มึกเกลเซมีสองส่วนคือ ทะเลสาบใหญ่กับทะเลสาบน้อย ที่เราจะไปกันคือมึกเกลเซน้อย เพราะถ้าเราจะข้ามไปรานส์ดอร์ฟด้วย ตรงนี้จะสะดวกกว่า” มานูเอลอธิบายให้อัตสึโตะฟังขณะอยู่บนรถบัส
เมื่อนั่งรถมาถึงป้าย ทั้งหมดก็เดินไปตามถนนที่สองข้างทางเป็นป่าร่มครึ้มเพื่อไปยังจุดที่เป็นหาดทรายให้เล่นน้ำและนั่งปิกนิกกันได้
“รู้งี้ฉันน่าจะแบกจักรยานมาด้วย นี่ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย” มายะโอดครวญเพราะเขาต้องแบกเป้หนัก ๆ ใส่กล่องอาหารที่บรรจุของกินลงไปแบบเต็มพิกัด และถึงมานูเอลจะแบ่งไปช่วยแบกด้วย แต่เขาก็ยังบ่นอยู่ดี
“ไม่ไกล อีกแป๊บนึงก็ถึงแล้ว” มานูเอลที่เดินอยู่ข้าง ๆ บอก
ชินจิหิ้วถุงอาหารเดินเยื้องไปทางข้างหลังเล็กน้อยรั้งท้ายทุกคน ชายหนุ่มอยากบ่นเหมือนกัน แต่คนละเรื่องกับมายะ เควินไม่ช่วยเขาหิ้วของ ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร แต่เควินทิ้งเขาไปเดินนำโด่งอยู่ข้างหน้า รวมอยู่กับเจอโรม มัตส์และเอริค ชินจิไม่ชอบแบบนี้เลย เขาอยากให้เควินเดินอยู่ข้าง ๆ เขามากกว่า ชายหนุ่มพยายามไม่คิดมาก เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่เขาก็ไม่ค่อยพอใจที่มันเป็นแบบนี้
หลังจากที่เดินกันมาประมาณสิบนาทีก็ถึงจุดหมาย หาดริมฝั่งมึกเกลเซน้อยเป็นหาดทรายสีน้ำตาลกว้างพอประมาณ น้ำนิ่งสงบเป็นสีน้ำเงินหม่น ๆ มองออกไปเห็นบ้านน่ารักสีขาว สีเหลือง สีส้ม สีชมพูอ่อนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ และถึงแม้จะเป็นตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาว แต่ก็มีคนมาเที่ยวกันอย่างหนาตา
เควินกับเจอโรม มัตส์และเอริคพากันเดินลงไปหาที่นั่งอย่างรวดเร็ว มานูเอล มายะ อัตสึโตะและยูเลี่ยนตามลงมา รั้งท้ายด้วยชินจิ และเพราะกำลังไม่พอใจ ชินจิจึงเลือกนั่งบนผ้าผืนเดียวกับพวกอัตสึโตะซึ่งเป็นผ้าปูผืนใหญ่ ปล่อยให้เควินนั่งกับเพื่อนบนผ้าปูอีกผืนหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่า
อัตสึโตะคว้าเป้ของมายะมาเปิดเอากล่องอาหารออกมาทันทีที่นั่งลง แล้วก็คีบอาหารเข้าปากตุ้ย ๆ
มานูเอลชวนชินจิคุยเมื่อเห็นเขานั่งเงียบ ๆ ฟังมายะกับยูเลี่ยนเถียงกัน หลังจากที่ยกอาหารทั้งกล่องไปวางไว้ให้เควินแล้ว
“นายมาจากคานาซาว่าเหมือนอัตสึโตะรึเปล่า”
“เปล่า ฉันมาจากโกเบ นายรู้จักไหม”
มานูเอลพยักหน้า
“รู้จักสิ เคยเห็นรูป ที่มีสวนสนุกตรงท่าเรือใช่ไหม”
“ใช่แล้ว นายนี่รู้เยอะเหมือนกันนะ”
“ฉันชอบญี่ปุ่น ฉันว่าประเทศนายสวยมาก อาหารก็อร่อย สักวันหนึ่งฉันอยากจะไปเที่ยวบ้าง”
“มาสิ แล้วอย่าลืมมาเที่ยวที่โกเบด้วยนะ”
“ต้องไปแน่นอน” มานูเอลตอบอย่างกระตือรือร้น และนั่นทำให้ชินจิแอบสะท้อนใจนิด ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองเควินที่กำลังนั่งคุยกับเจอโรมพลางดื่มเบียร์กันไปพลาง เควินไม่เคยถามเลยว่าชินจิมาจากเมืองอะไร หรือแสดงทีท่าสนใจอะไรญี่ปุ่นเป็นพิเศษ มันคงจะดีนะถ้าเควินสนใจประเทศของเขาเหมือนที่มานูเอลสนใจบ้าง
มัตส์กับเอริคชวนกันไปเช่าเรือมาพายเล่น ท่าทางสนุกสนานมาก มายะจึงหันมาชวนอัตสึโตะที่ทำท่าจะล้มตัวลงนอนหลังจากกินอิ่มให้ไปพายเรือเล่นกับเขา
“ฉันอยากนอนสักงีบอะ” อัตสึโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ
“มาถึงนี่ทั้งทีจะนอนทำไม นายไปพายเรือเล่นกับฉันดีกว่า ฉันจะพายให้นายนั่งเอง” มายะยังพยายามตื๊อและแน่นอนว่ายูเลี่ยนไม่มีทางน้อยหน้า เขาจับมืออัตสึโตะทันที
“นายไปพายเรือเล่นกับฉันก็ได้นะถ้าไม่อยากไปกับมายะ”
“อัตสึโตะไม่อยากไปกับนายหรอกเจ้าเด็กบ้า อัตสึโตะจะไปกับฉัน” แล้วมายะก็จับมืออัตสึโตะอีกข้างหนึ่ง
มายะกับยูเลี่ยนมองหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
อัตสึโตะรำคาญเต็มแก่ เขาสะบัดมือออก แล้วประกาศว่า
“ถ้าอยากพายเรือนักก็พายด้วยกันสามคนเนี่ยแหละ”
พูดจบเขาก็เดินดุ่ม ๆ ไปจัดการเช่าเรือ มายะกับยูเลี่ยนต้องรีบวิ่งตามมา
“เอาจริงเหรอ อัตสึโตะ” มายะถาม เขาอยากนั่งเรือกับอัตสึโตะ แต่ไม่อยากมีเจ้าเด็กแสบพ่วงไปด้วยนี่นา ยูเลี่ยนก็ทำหน้าเซ็งพอกัน
“ก็ไหนบอกว่าอยากพายเรือ พวกนายอย่าเรื่องมากได้ไหม” อัตสึโตะเอ็ด “ยูเลี่ยน นายลงไปก่อน”
ยูเลี่ยนจำต้องลงไปนั่งในเรือ สองมือจับพายเอาไว้
“ต่อไปมายะ” อัตสึโตะสั่ง และเมื่อมายะยึกยัก เขาก็ดันตัวเพื่อนลงไปนั่งในเรือจนได้ มายะต้องรีบจับกราบเรือเพื่อพยุงตัวไม่ให้ตกน้ำเพราะอัตสึโตะผลักเขาอย่างแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“พายเรือกันให้สนุกนะทั้งสองคน”
อัตสึโตะพูดพร้อมกับถีบเรืออย่างแรงให้ลอยห่างออกจากท่า
“ไม่นะ! อัตสึโตะ!” มายะร้องโหยหวน มือของเขายืดออกสุดเอื้อม ขณะที่เรือลอยห่างจากฝั่งเรื่อย ๆ
“บ๊ายบาย” อัตสึโตะยืนโบกมือส่งอยู่ที่ท่า เสียงหัวเราะชอบใจของเขาดังประสานกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของทั้งมายะและยูเลี่ยนบนเรือที่กำลังหมุนเป็นวงกลม
“ไอ้ยูเลี่ยน พายกลับสิวะ นี่นายพายเรือเป็นรึเปล่าเนี่ย”
“ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง ปากดีนัก มาพายเองไหมล่ะ”
บนฝั่ง มานูเอลโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ อัตสึโตะนี่ก็เอาเรื่องไม่หยอก บทจะเกรียนขึ้นมา แม้แต่เจ้าเด็กแสบยูเลี่ยนยังหลงกล แล้วเมื่ออัตสึโตะเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมา เขาก็ถามว่า
“แกล้งให้สองคนนั่นนั่งเรือด้วยกันยังงั้นไม่สงสารพวกนั้นรึไง”
“สงสารทำไม ก็สองคนนั้นอยากนั่งเรือนี่ ฉันก็ช่วยให้สมหวังแล้วไง”
อัตสึโตะตอบพร้อมกับล้มตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์
ชินจิไม่ได้สนใจวีรกรรมของอัตสึโตะมากนัก สายตาของเขาคอยแต่จะเหลือบแลไปทางเควินมากกว่า แต่เควินก็ไม่ได้มีท่าทีจะรับรู้หรือสังเกตอะไร สนใจเบียร์ในมือมากกว่าสนใจมองหาเขาด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ
“ไม่สนุกเหรอชินจิ” มานูเอลถาม
“เปล่า ๆ” ชินจิรีบปฏิเสธทันที “ฉันแค่สงสัยว่าเราจะไปรานส์ดอร์ฟกันตอนกี่โมง”
“บ่าย ๆ หน่อยก็ได้ รานส์ดอร์ฟอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง นั่งเรือเฟอรี่ไปไม่นาน นายจะหลับสักงีบก็ได้นะ”
ชินจิไม่ได้นอน และในที่สุดชายหนุ่มก็ทนความอึดอัดที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองไม่ไหว ต้องลุกไปหาเควินจนได้
“อาหารอร่อยไหม”
“ก็ดี ขอบใจนะ” เควินตอบพลางตบที่ว่างข้างตัว ชินจิจึงทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ซบศีรษะลงกับไหล่เควิน
“เบียร์ไหม” เควินถาม ชินจิพยักหน้า คนเยอรมันดื่มเบียร์กันเป็นน้ำ ความจริงที่ญี่ปุ่นก็ดื่มกันเยอะเหมือนกัน เขาจึงไม่แปลกใจที่เควินเอะอะก็ชวนเขาดื่มเบียร์ทุกที
“ฉันชอบที่นี่จัง นายเคยไปที่มึกเกลเซใหญ่ไหม เป็นยังไงมั่ง” ชินจิชวนคุย
“ก็เหมือนที่นี่แหละ แต่กว้างกว่า มีที่เล่นน้ำ พายเรือ มีร้านอาหารริมน้ำ มีโรงเบียร์ด้วย อ้อ แล้วยังมีมึกเกลเทาเวอร์ให้ขึ้นไปชมวิวได้”
“น่าไปจัง”
“เอาไว้วันหลังค่อยไปกันก็ได้”
ได้คุยกันแบบนี้ ชินจิเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่น่างี่เง่าเลย การไม่ทะเลาะกันแบบนี้มันดีออก แต่เรื่องที่เควินทิ้งเขาให้เดินคนเดียวก็คิดว่าจะต้องลองเปรย ๆ ดูตอนกลับไปที่ห้อง บางทีถ้าเควินรู้ เขาอาจจะไม่ทำอย่างนี้อีกก็ได้
หลังจากปล่อยให้พักผ่อนกันตามสบายอยู่อีกครู่ใหญ่ มานูเอลก็ปลุกอัตสึโตะและบอกทุกคนให้เตรียมตัวไปรานส์ดอร์ฟ ตอนนั้นเองปัญหาก็เกิด มัตส์กับเอริคปฏิเสธที่จะไปด้วย พวกเขายังอยากจะพายเรือเล่นมากกว่า เควินกับเจอโรมก็ไม่สนใจเช่นกันเนื่องจากเคยไปกันมาแล้ว อยากจะนอนเล่นจิบเบียร์กันอยู่ตรงนี้มากกว่า ชินจิละล้าละลัง อยากอยู่กับคนรักก็อยาก แต่ก็อยากจะไปกับพวกอัตสึโตะเหมือนกัน
“ไปเถอะเควิน ไหน ๆ ก็มาด้วยกันแล้วนะ” เขาพยายามชวน
“ไม่ดีกว่า รานส์ดอร์ฟมันก็แค่หมู่บ้านชาวประมงธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่หรอก อย่างดีก็มีโบสถ์เล็ก ๆ ให้ดู ไม่มีอะไรมาก”
“แต่ฉันยังไม่เคยไปเลยนะ ฉันอยากไปดู”
“งั้นนายก็ไปกับพวกมานูเอลนั่นแหละ แล้วค่อยกลับไปเจอกันที่หอพัก” เควินบอกง่าย ๆ ชินจิจึงไม่พอใจกรุ่น ๆ ขึ้นมาอีก แต่เขาพยายามระงับอารมณ์สุดความสามารถ
“ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกมานูเอล ถ้านายไม่ไป งั้นฉันฝากถุงใส่กล่องอาหารกลับด้วยนะ”
พูดจบก็เดินไปสมทบกับพวกมานูเอลที่ยืนรออยู่ อัตสึโตะยืนตาปรือ มีมายะกับยูเลี่ยนขนาบอยู่คนละข้าง พยายามไม่มองหน้ากันอย่างสุดความสามารถ เพราะเหตุการณ์บนเรือเมื่อสักครู่มันยังหลอนอยู่ไม่หาย แค่คิดว่าได้ไปอยู่ด้วยกันบนเรือสองคนกันอย่างนั้น ผื่นก็จะขึ้นแล้ว
“ไม่ไปด้วยกัน ไม่เป็นไรเหรอ” มานูเอลถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก เควินเขาไม่อยากไปนี่นา ฉันไปกับพวกนายก็ได้ คนเป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องตัวติดกันก็ได้นี่นา ใช่ไหม”
ชินจิยิ้มก็จริง หากมานูเอลดูออกว่าเพื่อนกำลังฝืนความรู้สึกตัวเองอยู่อย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อชินจิยืนยันอย่างนั้น เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เดินนำทุกคนไปที่ท่าเรือนอยเฮลโกลันด์ซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มีจุดสังเกตเป็นโรงแรมและร้านอาหารริมน้ำสีขาวชื่อเดียวกับท่าเรือ
มานูเอลพาทุกขึ้นขึ้นเรือยนต์สายยี่สิบสาม เขาเล่าเพิ่มเติมว่า
“มีเรือข้ามแม่น้ำแบบใช้คนพายด้วยนะ ลำเล็กสีส้มนั่งได้ประมาณแปดคน สายยี่สิบสี่”
เรือแล่นไปตามแม่น้ำที่มีบ้านหลังเล็กสวยงามเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ถ้าเป็นหน้าร้อนคงเห็นดอกไม้และสนามหญ้าเขียวขจี แต่นี่มากันตอนใกล้หน้าหนาว ทุกอย่างเลยดูแห้ง ๆ แถมลมก็พัดแรง แต่กระนั้นทุกคนก็ยังตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ชินจิเองก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นเมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าเรือครู้กกัซเซ่อแล้วเจอถนนปูหินและสองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือนหน้าตาสวยงาม ล้อมรอบด้วยรั้วเตี้ย ๆ สีขาว ชายหนุ่มชอบหมู่บ้านเล็ก ๆ น่ารักแบบนี้มาก รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในหมู่บ้านในหนังสือนิทาน
มานูเอลพาเดินนำไปตามถนนที่ทอดไปสู่โบสถ์ยอดแหลมสีน้ำตาล เขาถามทุกคนว่า
“อยากเข้าไปดูในโบสถ์ไหม”
ทุกคนพยักหน้า เขาจึงเดินนำเข้าไปข้างใน โบสถ์เล็ก ๆ แห่งนี้สร้างเป็นแบบผสมระหว่างโรมาเนสก์และกอธิค ภายในโบสถ์จึงมีหน้าต่างแบบโค้งและมีหน้าต่างติดกระจกสีอย่างสวยงามอยู่เหนือแท่นบูชา อัตสึโตะเงยขึ้นมองโครงหลังคาที่ทาสีฟ้าอ่อนสวยงามด้วยความสนใจ
“หายง่วงแล้วเหรอ” มานูเอลอดแซวไม่ได้ เพราะเมื่อครู่นี้อัตสึโตะยังตาปรือท่าทางจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่เลย ตอนนี้กลับเงยหน้ามองหลังคาตาแป๋วเสียแล้ว
“สวยอะ ฉันชอบสีฟ้าแบบนี้” อัตสึโตะตอบ
“ฉันก็ชอบสีฟ้าเหมือนกัน”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ นายมันโอตาคุอวกาศ ชอบสีอื่นสิแปลก”
“ในอวกาศมีสีทุกสีน่ะแหละ ไม่ใช่สีฟ้าอย่างเดียวสักหน่อย”
“แต่อวกาศของนายมันอยู่บนฟ้าที่เป็นสีฟ้า”
มานูเอลยอมจำนนกับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของอัตสึโตะ เรียนรู้นิสัยของอีกฝ่ายได้อีกอย่างหนึ่งแล้วว่านอกจากจะเกรียนในบางครั้งแล้ว หมอนี่มันยังดื้อด้วย แต่เป็นความดื้อที่ทำให้เขาขำ เพราะอัตสึโตะกวนเขาเสร็จก็ทำปากยื่นเหมือนเด็ก หน้าตาตลกมาก
“เราจะไปไหนกันต่อ” ชินจิเดินเข้ามาถาม สีหน้าของเขาสดชื่นขึ้นมาก ในมือถือกล้องถ่ายรูปคอมแพ็คเล็ก ๆ ที่เก็บภาพไว้มากมาย
“นอยเวเนดิก นายน่าจะชอบนะ บ้านเล็ก ๆ สวย ๆ ริมคลองที่มีเรือแล่นไปมา มีสะพานข้ามคลอง ดูคล้ายกับในเมืองเวนิซ ก็เลยเรียกว่านอยเวเนดิก”
มานูเอลตอบ เขาสังเกตว่าชินจิสนใจบ้านเรือนและถนนปูหินของหมู่บ้านนี้มาก เขาจึงมั่นใจว่าเพื่อนน่าจะชอบที่ที่เขากำลังจะพาไปด้วย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ชินจิตื่นเต้นมากเมื่อเห็นภาพของบ้านหลังเล็กเรียงรายอยู่ริมคลองเล็ก ๆ ที่มีสะพานเล็ก ๆ พาดผ่านด้านบน นาน ๆ ครั้งก็มีเรือยนต์สีขาวแล่นมาตามคลอง
“นี่ เวนิซของจริงมันต้องสวยกว่านี้อีกใช่ไหม” อัตสึโตะหันมาถามมานูเอลกับยูเลี่ยน เขาตื่นตาตื่นใจกับวิวสวย ๆ ตรงหน้าเหมือนกัน แม้ว่าปากจะชอบพูดว่าขี้เกียจไม่อยากออกไปไหนหรืออิดออดไม่อยากจะมาในตอนแรก แต่เขาก็มักจะตื่นเต้นชอบใจกับสิ่งที่ได้เห็นในท้ายที่สุดเสมอ
“สวยมาก คลองเยอะกว่าถนน ใช้เรือแทนรถ บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร สวย ๆ ทั้งนั้น แล้วก็มีกอนโดลาให้เช่านั่งชมเมือง คนพายเรือจะร้องเพลงให้เราฟังด้วยนะ”
“แต่น้ำในคลองมันเน่า” ยูเลี่ยนสรุป
ทุกคนเดินชมบ้านเรือนริมคลองและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานจนบ่ายคล้อยและฝนทำท่าจะตกจึงตัดสินใจกลับ มานูเอลพาทุกคนนั่งรถบัสมาที่สถานีเอสบาห์นรานส์ดอร์ฟ แล้วนั่งรถบัสไปต่อรถรางที่ฟรีดริชส์ฮาเก้น ใช้เวลาราวสี่สิบนาทีก็กลับมาถึงหอพัก
ชินจิตรงไปที่ห้องของเควินทันที เมื่อเควินเปิดประตูมาเจอหน้าคนรัก เขาก็ทักว่า
“สนุกไหม”
“ก็ดี สวยดี ถ่ายรูปมาเยอะแยะเลย ฉันขอเข้าไปข้างในได้ไหม”
เควินเบี่ยงตัวให้ชินจิเข้ามาในห้อง ห้องของเควินกลับมารกเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ชินจิไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องนี้ เขาเดินไปนั่งลงบนเตียง เควินตามมานั่งลงใกล้ ๆ พลางโอบตัวเขามากอดไว้
“ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะ”
“แต่ฉันคงสนุกกว่านี้ถ้ามีนายไปด้วย” ชินจิพูด เบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อคนรักก้มหน้าลงมาจะจูบ เควินชะงักนิดหนึ่ง ถามว่า
“นายโกรธฉันเหรอ”
“โกรธนิดหน่อยที่นายปล่อยฉันให้ไปคนเดียวกับพวกอัตสึโตะ แล้ววันนี้นายก็ให้ฉันเดินคนเดียว เควิน ฉันขอร้องได้ไหม คราวหลังอย่าเดินไปคนเดียวอย่างวันนี้อีกได้ไหม ช่วยหันกลับมามองฉันบ้าง”
“ขอโทษที ฉันไม่รู้เลยว่านายโกรธ ก็เห็นนายทำท่าเฉย ๆ แล้วที่ไม่ไปรานส์ดอร์ฟด้วยก็เพราะเห็นว่านายไปกับเพื่อนนายอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แค่ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้ามีนายไปด้วย”
“โอเค โอเค คราวหน้าฉันจะไปด้วย”
ชินจิหายงอนทันที่ที่เห็นเควินดูมีทีท่าตกใจเมื่อรู้ตัวว่าทำให้เขาโกรธและชายหนุ่มยังสัญญาด้วยว่าคราวหลังจะไม่ทำอีก คราวนี้เขาจึงเต็มใจรับจูบของเควิน แต่แล้วก็ชะงักนิดหนึ่งเมื่อมือของอีกฝ่ายเริ่มไล้ลงต่ำไปเรื่อย ๆ เขาตะครุบมือเควินไว้ทันก่อนที่จะขยับลงไปต่ำกว่านั้น
“นะ ชินจิ ขอฉันนะ” เควินกระซิบเสียงพร่า ริมฝีปากของเขาจูบเรื่อยไปตามแนวคางของคนรัก
“แต่...แต่ว่า...” ชินจิอึกอัก เขาชอบจูบและกอดของเควินนะ แต่เขายังรู้สึกไม่พร้อมกับสิ่งที่มันเกินกว่านั้นและชายหนุ่มก็บ่ายเบี่ยงสำเร็จมาตลอด เควินไม่เคยว่าอะไร ชินจิก็ยิ่งประทับใจที่เควินไม่เร่งรัดหรือฝืนใจเขา ถึงแม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องทำมัน
“ชินจิ ฉันรักนายนะ อย่าปฏิเสธฉันอีกเลย”
เหมือนเป็นคำวิเศษ ชินจิใจอ่อนยวบทันทีและไม่ปฏิเสธเมื่อเควินดันร่างของเขาให้นอนลงไปบนเตียง เควินถอดเสื้อผ้าของตัวเองและถอดให้ชินจิจนเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ก่อนจะก้มลงไปใช้ปากเล้าโลมให้จนชินจิครางไม่หยุด แล้วเขาก็ยกสะโพกของชินจิขึ้น นิ้วชุ่มเจลของชายหนุ่มค่อย ๆ แทรกเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย
“เจ็บ เควิน ไม่เอาแล้ว” แม้จะเป็นแค่นิ้วและมีเจลช่วย แต่ชินจิก็เจ็บมาก เขารั้งมือของเควินไว้ทันทีพร้อมกับกระถดตัวหนี หน้าตาเหยเก
“พอเถอะ ฉันเจ็บ”
“เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว”
“ไม่เอา ฉันเจ็บ”
ชินจิไม่ยอมให้ความร่วมมือ เขาดิ้นหนีตลอดเวลาจนเควินหมดอารมณ์ สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงใช้มือให้กันและกันเท่านั้น
“เควิน ฉันขอโทษ” ชินจิพูด เมื่อเห็นคนรักยังมีสีหน้าเหมือนคนอารมณ์ค้าง แม้ว่าจะปลดปล่อยไปแล้วก็ตาม ทั้งคู่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงของเควินโดยที่เควินหันหลังให้ ชายหนุ่มบอกว่าเขาเป็นคนนอนยาก ไม่สามารถเป็นฝ่ายกอดชินจินอนได้อย่างที่ชินจิชอบ เขาจะนอนไม่ถนัดถ้าทำอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรเมื่อชินจิเป็นฝ่ายเอื้อมมือมากอดเขาเอง ดังนั้นเวลาที่นอนด้วยกันตอนกลางคืน เควินจะนอนหันหลังให้โดยมีชินจินอนซ้อนอยู่ข้างหลังและเป็นฝ่ายเอามือข้างหนึ่งมาพาดเอวเควินและกอดไว้
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
เควินหันกลับมากอดชินจิและจูบที่หน้าผาก แล้วหันหลังกลับไปนอนท่าเดิม
ชินจิยังไม่รู้สึกดีขึ้นแม้เควินจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม เควินต้องรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ เขารู้ แต่เขายิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าหลายเท่าที่ไม่สามารถทำให้เควินมีความสุขได้ เขากอดคนรักแน่นขึ้นอีกนิดพร้อมกับซบศีรษะลงกับแผ่นหลังของชายหนุ่มโดยระวังไม่ให้ลมหายใจของตัวเองรดหลังของอีกฝ่ายเพราะชายหนุ่มเคยบอกเขาว่านอนไม่หลับเพราะรู้สึกจั๊กจี้ที่ชินจิหายใจรดแผ่นหลังของเขาตลอดเวลา
ฉันขอโทษนะเควิน แต่ฉันสัญญาว่าครั้งหน้าฉันจะพร้อม ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังเหมือนครั้งนี้อีก ..................................
เซ็งอะ คิดงานไม่ออก ลงนิยายดีกว่า
แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าอย่างมากจริง ๆ