● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 51 – ต่อหน้าต่อตา
ปิดเทอมย่อยครั้งนี้ดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเก่าหลายสิ่ง แต่เอาเข้าจริงแล้วมันแทบไม่มีอะไรต่างจากเดิมนักสำหรับคิมหันต์ หากไม่นับเรื่องเพื่อนใหม่ผู้เข้ากันได้ดีเหลือเชื่ออย่างบงกช และเรื่องที่วัสสานะผู้เป็นพี่สาวคนโตล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและสามภพจากปากเกือบจะทั้งหมด (ส่วนที่เหลือเธอคงพอเดาได้) นอกจากหลัก ๆ เท่านั้นแล้ว อย่างอื่นแทบไม่ได้ต่างไปจากเดิมชัดเจนอะไร แม้เขาจะลืมนับไปเรื่องที่ตัวเองเงอะงะบ่อยขึ้นจนสังเกตได้ไม่ยากเย็น
ขณะที่คิมหันต์ยังคงเปลี่ยนใบหูตัวเองเป็นสีแดงระเรื่ออยู่เนือง ๆ ทางสามภพก็พอใจจะลอบมองท่าทางแบบนั้นอยู่เงียบ ๆ เพื่อพบว่าอีกฝ่ายก็จ้องมาที่เขาอยู่เรื่อยเมื่อคิดว่าเขาไม่เห็น กระทั่งพอสบตากันเท่านั้นละ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนไปก้มหน้างุดแทบจะเป็นปฏิกริยาอัตโนมัติ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นวงจรที่น่าตลกลับหลังพี่สาวคนโต
ทริปสวนผึ้งแบบรวบรัดแทบไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ออกจากบ้านสายขนาดนั้นความจริงน่าจะกลับกรุงเทพฯกันเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่วัสสานะอยากได้รูปถ่ายเป็นหลักฐานให้ป๊ากับม้าที่บ้านเห็นสักหน่อยว่ามาแล้วจริง ๆ
พวกเขากินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารบรรยากาศเหมือนฟาร์ม (ฟาร์มอีกแล้ว..และฝูงแกะอีกแล้ว วัสสานะคงยังไม่รู้ว่าเขาเคยหิ้วคิมหันต์ไปให้อาหารแกะกันมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้แม้จะเป็นที่อื่น) ขากลับเธอพาแวะรายทางบางสถานที่ซึ่งเธอคิดว่าน่าสนใจ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสามคนก็เอาแต่จับจ้องน้องชายตัวเองไม่คลาดสายตา ราวกับกลัวว่าหากไม่ดูไว้ให้ดี สามภพจะงาบน้องรักของเธอเข้าไปทั้งตัว (ซึ่งชายหนุ่มไม่ปฏิเสธว่านั่นก็จริง)
สามคนและรถสองคันกลับถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพในเวลาโพล้เพล้ รวมตัวกันที่บ้านคิมหันต์ก่อนแม้ความจริงแล้วสามภพจะกลับคอนโดฯเลยก็ได้ แต่แน่ละ เขาเองก็อยากใช้เวลาอยู่ด้วย..หรืออย่างน้อยให้ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาให้นานที่สุด อาการหนักแล้วจริง ๆ
สภาพแต่ละคนเหนื่อยล้านิดหน่อย ชายหนุ่มแทบไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวคิมหันต์เลย ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายก็ค่อนข้างพอใจให้เป็นเช่นนั้นด้วย แค่เผลอสบตาบางครั้งก็ทำเขินม้วนแย่แล้ว ความรู้สึกช้าเหลือเกินในเมื่อก่อนหน้านี้เคยทำมากกว่าที่เป็นอยู่ตั้งเยอะแยะ บางทีอาจเป็นผลพวงหลังจากการสารภาพรักอย่างโจ่งแจ้งเมื่อวันก่อนก็เป็นได้
“จะมืดแล้ว ไม่รีบกลับหรือ?”
เป็นพี่สาวคนโตผู้ทำให้วงจรเวลาตามปกติกลายเป็นเรื่องโหดร้าย
ชายหนุ่มพยักหน้า คิดว่าควรทำตามเธอแนะนำไปก่อน หากไม่มีวัสสานะคอยช่วยเหลือ เรื่องคงยากกว่านี้อีกเยอะ อย่างไรเสียดูแล้วเธอก็ไม่ได้มีเจตนากีดกัน (ถ้าเขาไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก)
“ว่าจะกลับแล้วครับ”
“หิวไหมล่ะ?”
“..?”
“หืม?”
“นิดหน่อย”
หญิงสาวถอนหายใจ ดันหลังน้องชายนำเข้าบ้าน สะดุดหมารักที่ออกมารับหน้านิดหน่อยพอให้ได้กระฟัดกระเฟียดเบา ๆ ก่อนจะพยักพเยิดให้เขาเดินตามเข้าไป
“งั้นก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็เดินตามเจ้าบ้านเข้าไปอย่างว่าง่าย เชื่อมั่นว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีและถือว่าคุ้มค่าทีเดียวสำหรับการลงแรงทำอะไรเพี้ยน ๆ ไปในวันสองวันที่ผ่าน ต่อให้ต้องโดนซักฟอกบนโต๊ะอาหารอีกหนอย่างดุเดือดหลังจากนี้ก็เถอะ
แล้ววัสสานะก็ทำให้เห็นจริง ๆ เรื่องที่เขาคาดไว้ว่าคงต้องถูกซักไซ้ไล่เลียง เธอทำได้เกือบสมบูรณ์แบบ (แต่แน่นอนว่าบางเรื่องทั้งเขาและคิมหันต์ก็ปากหนักและเฉไฉเก่งพอดู) เสียเวลานิดหน่อยตอนรอให้เธอทำท่าตกใจ หรือไม่ก็หันไปจ้องหน้าน้องชายตาปริบ ๆ แล้วแข่งกันทำหน้าแดงเสร็จ
“จริง ๆ เล้ย”
วัสสานะบ่นออกมาจะเป็นรอบที่สิบอยู่แล้ว ส่วนสิสิรที่อยู่ร่วมบ้านด้วยวันนี้ หลังจากโดนถามก็บอกกับพี่สาวคนโตด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าเธอรู้เรื่องน้องชายกับสามภพนานแล้วจริง ๆ จากนั้นจึงขอตัวไปโทรศัพท์จัดการธุระของตัวเองในห้อง ดูเหมือนเธอตั้งใจจะลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ อะไรสักอย่างกับเพื่อนและต้องการใช้สมาธิเป็นอย่างยิ่งจนปิดห้องเงียบหายราวกับไม่ได้อยู่ในบ้าน
“เจ้สิเป็นอย่างนั้นแหละ” คิมหันต์อธิบายสั้น ๆ ถึงพี่สาวคนรองให้แขกฟัง
“สรุปว่าเกรียนกันจนได้เรื่องสินะ” ส่วนคุณพี่ใหญ่ หลังจากตกใจเสร็จกับความจริงว่าเธอรู้เป็นคนสุดท้ายก็กลับมาบ่นต่อ “ยังดีไม่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก”
เด็กหนุ่มยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าใช่จะไม่เคย เบือนสายตาไปยังดุ๊กดิ๊กลูกรักหน้าบ้าน พร้อมกับที่มือก็คลำแผลเป็นบนหัวเข่าไปด้วย
“ปล่อยยางรถเอย ขังห้องน้ำเอย นึกไม่ออกเลยว่าไปรักไปชอบกันตอนไหน วีรกรรมจะเยอะไปไหม”
สามภพพยักหน้าเห็นด้วย เขายังไม่ได้เล่าให้เธอฟังเรื่องเคยแอบปีนขึ้นห้องน้องชายเธอแล้วด้วยซ้ำ (ไม่รวมที่ปีนกำแพงบ้านอีกนับครั้งไม่ถ้วน) ไม่เช่นนั้นท่าทางว่าเจ้าต้นหมากประดับที่ลำต้นพุ่งไปในทิศทางใกล้กับระเบียงอาจโดนขุดทิ้งก็เป็นได้
“เอาละ...” เธอกอดอก หลังจากทิ้งช่วงไปเป็นนาที “ถึงจุดนี้พี่ก็ไม่ห้ามหรอก”
คิมหันต์หูผึ่งอยู่เงียบ ๆ แม้จะพยายามสงวนท่าทีเต็มที่แต่ยังมองเห็นว่าขยับแขนหยุกหยิก
“แต่ก็ต้องทำตัวดี ๆ ด้วย อย่างจะมากอดจูบในที่สาธารณะนั่นไม่เอา กำลังวัยรุ่น อันนี้พี่เข้าใจ แต่ก็โตแล้วในระดับหนึ่ง เรียนมหา’ลัยแล้ว ต้องมีสติยั้งคิดสักหน่อย ลองนึกดู พี่ยอมรับว่าอาจจะหัวโบราณไปสักนิด สมมติเป็นผู้ชายกับผู้หญิงก็เถอะ โจ่งแจ้งขนาดนั้นจะเพศไหนก็ไม่เหมาะ ถือว่าขอ”
“งั้นในที่ลับตา..” เขาพึมพำอย่างจงใจทำซื่อ เรียกให้หญิงสาวหันมาค้อนขวับตาแทบหลุด
“นี่ก็หาช่องว่างตลอดพ่อคุณ! พอกันเลยทั้งสองหน่อ”
“เกี่ยวไรกับผมอ้ะ” คิมหันต์โอดครวญ
“เราน่ะตัวดีเลย จะเป็นปลิงอยู่แล้ว”
“ปลิง?”
“เกาะหนึบ” สามภพอดไม่ได้จะช่วยต่อ
เกิดความเงียบอันเดาทิศทางไม่ได้อยู่หนึ่งอึดใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของผู้อายุมากกว่าทั้งสองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งสามภพนับว่าเป็นลางอันดี เข้าทางพี่ก็ไม่เลว เธอดูสนิทกับคิมหันต์มากกว่าป๊ากับม้าของเขาที่อีกบ้านเสียอีก
“คบกันก็อย่าให้นอกลู่นอกทาง พากันเรียนอะไรอย่างนี้จะน่ารักมาก อย่างถ้า...”
อีกเกือบชั่วโมงหลังจากนั้นแทบจะเหลือแต่การอบรมหลักสูตรระยะสั้นโดยวัสสานะ ว่าด้วยการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้ใหญ่ คิมหันต์หาวออกมาอย่างไม่เกรงใจพี่สาวอย่างน้อยก็สองครั้งได้แล้ว แต่ยังนั่งฟังต่ออย่างเจี๋ยมเจี้ยม สุดท้ายผู้เป็นเจ้าบ้านที่ถามเขาก่อนเชิญเข้ามาเมื่อเย็นว่า ‘จะมืดแล้ว ไม่รีบกลับหรือ’ นั่นแหละที่ทำเขาติดแหง็กฟังโอวาทหลังอาหารเย็นของเธอจนมืดค่ำป่านนี้ กว่าจะนึกได้ก็..
“ตายละ!..สองทุ่มกว่า”นั่นละ..เธอนึกออกตอนนั้น
“ถ้าอย่างนั้น ผม..” ชายหนุ่มลังเล เหลือบมองไปยังคิมหันต์ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
ควรกลับแล้ว..เขารู้ดี แต่เอาเข้าจริงยังไม่อยากเลยให้ตาย แค่ลูบผมไอ้ตัวแสบเบา ๆ อย่างทุกที วันนี้ยังไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ
“...กลับ?” วัสสานะเลิกคิ้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจนิดหน่อยคือรอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปากของเธอ ดูใจดีและคาดหวังอะไรบางอย่างไปพร้อมกัน
และสามภพพยักหน้าในที่สุด
“ครับ” เขายิ้มตอบน้อย ๆ บอกตัวเองว่าเวลายังเหลืออีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องเร่งรัด ในเมื่อเป็นการขอคบอย่างเปิดเผย ไม่ใช่จะมาขโมยน้องชายเธอไปไหน “วันนี้คงต้องขอตัวกลับก่อน”
สีหน้าเธอบอกชัดว่าพึงพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเอ็นดูคลี่ออกกว้างขึ้นกว่าเก่า ดันหลังคิมหันต์ที่ยังทำหน้าเหรอหราเบา ๆ มาทางเขา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ
“ไปส่งพี่เขาสิ”
พ่อน้องชายมัวแต่เหวอจนต้องเล่นบทโหดขึ้นอีกนิด “หรือนายจะเก็บจานไปล้าง?”
“งั้นเดี๋ยวผมมาช่วยนะ” คิมหันต์กระซิบกระซาบ รอยยิ้มขี้เล่นผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเกาะเอวสามภพหมับ “แป๊บเดียว เดี๋ยวผมมา”
เธอย่นจมูก ยักคิ้วกับสามภพทีหนึ่งแล้วหันไปกำชับน้องชาย “ไม่ใช่ติดรถเขาไปเลยล่ะ!”
“..เจ้ก็”
ทางเดินจากหน้าบ้านถึงจุดที่สามภพจอดรถไว้นั้นสั้นนิดเดียว แต่พวกเขาเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งร้อน มีกระทั่งหยุดแวะเล่นกับดุ๊กดิ๊กที่คิดถึงคุณพ่อคิมหันต์ใจจะขาด พอย่อตัวเข้าหาหน่อยก็แทบกระโจนเข้าใส่แล้วงาบเข้าไปทั้งหัว สามภพนั่งมองอีกฝ่ายลูบหูลูบหางหมารัก เห็นแล้วก็เอ็นดูจนย่อตัวลงนั่งยองตาม ลูบผมอีกฝ่ายเบา ๆ จากด้านหลังอีกที
“..แบบนี้ก็ดีนะ”
“อือ”
อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้น ๆ โดยไม่หันมามองหน้า ความช่างเจื้อยแจ้วของคิมหันต์ลดระดับลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่อยู่ท่ามกลางสายตาผู้ใหญ่ที่ราชบุรีแล้ว แต่ไม่นึกว่าเวลาอยู่กันตามลำพัง เด็กหนุ่มจะยิ่งปากหนักกว่าเก่าราวกับเป็นคนละคน
“นี่มาส่งหรือมาเล่นกับหมาน่ะ”
คิมหันต์เงียบไปอีกครู่หนึ่ง แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ พักใหญ่จึงหันมาทำยียวนใส่เขาก่อนจะยอมตอบด้วยคำพูดซึ่งยียวนไม่แพ้สีหน้า
“ผมมาส่งหมา”
“ไอ้เด็กเวรนี่” พูดแค่นั้นชายหนุ่มก็หัวเราะแผ่วเบา บิดจมูกไอ้ตัวปากเสียตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว ตอนแรกตั้งใจอยากถามว่าแล้วสัญญาหนึ่งปีที่ตกลงกันไว้จะเอาอย่างไร ในเมื่อผลออกมาแพ้ราบคาบตั้งแต่ตัวเองสารภาพออกมาเมื่อวานแล้ว แต่จะให้ถามตอนนี้ก็กลัวว่าเดี๋ยวคงได้เขินม้วนอีก แกล้งให้อายก็ชอบอยู่หรอก แต่ขืนมาทำท่าน่ารักใส่บ่อย ๆ ได้เผลอจับฟัดมันตรงนี้เป็นแน่
“คิม”
“..หือ”
เขาตัดใจชั่วคราวก่อน รอมาตั้งเกือบปี รออีกนิดจะเป็นไรไป
“พี่กลับแล้วนะ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน หันหลังทำท่าจะเดินไปที่รถ ยังก้าวขาไม่ทันเท่าไร อีกฝ่ายก็ผละจากหมาแล้วมาเกาะชายเสื้อเขาแทน ก้มหน้าก้มตาเดินตามต้อย ๆ พลางเอามือที่เพิ่งจับไอ้ตูบเช็ดเสื้อเขาไปด้วย ทั้งน่าเอ็นดูและน่าเตะพอกัน
“เช็ดเกลี้ยงรึยัง”
“ยัง”
เขาหัวเราะ “จะเช็ดไปถึงเมื่อไหร่”
“จนกว่าเฮียหมาบ้าจะขึ้นรถ”
ปากมอมจนหยดสุดท้ายจริง ๆ
สามภพโคลงศีรษะ ครั้งนี้คงต้องบันทึกไว้เลยว่าเขาขึ้นรถได้อย่างเอื่อยเฉื่อยจนน่าหมั่นไส้ตัวเองที่สุดตั้งแต่จำความได้ นั่งเสร็จก็ยังไม่ยอมปิดประตู มัวแต่มองคนเดินมาส่งที่ตอนนี้ก็กำลังรีรออยู่เช่นกันแต่บวกท่าทางขัดเขินขึ้นไปอีกระดับ จนกระทั่งเขาสตาร์ทเครื่อง พึมพำว่าไว้เจอกัน เอื้อมมือจะไปดึงประตูปิด ไอ้ตัวยุ่งก็โผใส่ชนิดกะทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่
"หยุด!"
เขาดันหน้าผากเหม่ง ๆ เอาไว้ ทันเวลาก่อนอีกฝ่ายจะพุ่งลงซบตรงกลางอกพอดิบพอดี
“..!?”
คิมหันต์ทำหน้าเอ๋อ และทั้งที่เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้วว่าเดี๋ยวได้เห็นสีหน้าอย่างนี้แน่ แต่ความตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายฟัดก็ยังไม่วายสั่นคลอนไปยกใหญ่
“เย็นไว้ตี๋” เขาหัวเราะ “ปลิงน้อยอย่าเพิ่งลวนลาม”
พอโดนดักเข้าอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำหน้ามู่ทู่ เสียจังหวะแล้วเล่นเอาเขินจนหน้าแทบไหม้ เห็นใจขึ้นมานิดหน่อยเลยต้องพยักพเยิดให้ดูด้านหลัง บานหน้าต่างของตัวบ้านซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกลมีร่างคุ้นตาของใครบางคนยืนอยู่ วัสสานะแอบมองพวกเขาราวกับเป็นสไนเปอร์ที่รอจังหวะซุ่มยิง
“เห็นยัง?”
“ก็ไม่บอกก่อนเล่า” อีกฝ่ายบ่นหงุงหงิง
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ถือโอกาสโบกมือให้คุณพี่สาว จากระยะห่างเท่านี้พอมองเห็นได้ว่าเธอรู้ตัวแล้วเหมือนกันว่าถูกจับได้ ผ้าม่านที่หน้าต่างจึงถูกสะบัดพรึ่บก่อนร่างของเธอจะหลบไปอยู่หลังม่านนั้น ไม่รู้ว่ายังแอบดูอยู่หรือเปล่า
แต่ช่างเถอะ ดูจากองศาแล้ว ถ้าจะทำอะไรสักหน่อยเธอคงไม่เห็น เขาปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลอีกอย่างว่าตรงนี้ก็ใช่จะเป็นที่สาธารณะ
“คิม”
“อะไร”
“ดูนั่น ไอ้ดุ๊กดิ๊ก” เขาชี้ไปด้านหลัง เป้าหมายอยู่ที่เจ้าขนทองซึ่งนอนอืดไม่รู้เรื่องรู้ราว
คิมหันต์พอได้ยินว่าเป็นชื่อลูกชายก็หันขวับ เปิดช่องว่างให้เขากดจมูกลงไปเต็มแก้มใสฟอดใหญ่ในมุมที่มั่นใจว่ามองจากในบ้านไม่เห็น
เด็กหนุ่มผู้เผลอการ์ดตก รู้ตัวอีกทีก็โดนเข้าไปเต็มแก้มแล้ว
“ชื่นใจ”
“เฮียแม่ง!”
คิมหันต์ร้องเสียงหลง ส่วนเขานั่งหัวเราะ จับหัวไอ้ตัวยุ่งเขย่าเบา ๆ พร้อมกับยีจนผมยุ่ง ชอบจริง ๆ จะทำให้ผมสีน้ำตาลนั่นกระเจิงเป็นรังนก ดูเอ๋อผิดกับนิสัยตอนทำตัวเกรียนแตกบอกไม่ถูก
“ไว้เจอกันเด็กน้อย” เขาว่า เอานิ้วคีบจมูกอีกฝ่ายแล้วบิดเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูรถ แต่ขณะที่ถอยออกก็ยังเปิดกระจกลงจนสุดเมื่อเห็นชัดว่าอีกฝ่ายยังอยากคุยต่อจนสุดท้ายจริง ๆ
“จะมาหาผมอีกปะ”
“อยากให้มาไหม?”
เด็กหนุ่มเดินตามรถที่ถอยออกจากรั้วช้า ๆ ทำตาแป๋วใส่อย่างน่าสงสารโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นหนึ่งในมารยาไอ้เด็กแสบหรือเปล่า แต่มาจนป่านนี้โดนเด็กหลอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จะอีกเท่าไรเขาก็มั่นใจว่ารับมือไหว
“ว่าไงครับ?”
เขายิ้ม พร้อมกับที่รถถอยผ่านรั้ว หักเลี้ยวตรงหน้าบ้าน จอดรอไว้ก่อน กระจกฝั่งคนขับอยู่เกือบชิดกับกำแพง มีคิมหันต์เดินตามมาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง ปลอดจากสายตาผู้คนโดยสมบูรณ์
“มาสิ”
อีกฝ่ายอ้อมแอ้ม เหลียวซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีใครก็มุดตัวลอดเข้ามาในรถอีกแล้ว ถือว่าตัวบาง ๆ มุดสะดวก ยกให้เป็นท่าไม้ตายเลย ลอดเข้ามาได้ก็กอดคอหมับ ทำตัวเป็นปลิงได้น่าฟัดที่สุด
“..อะไร..?” เขากระซิบ เปล่าประโยชน์จะใช้เสียงให้มากกว่านั้นเพราะใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันนิดเดียว นัยน์ตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาววับ แก้มแดงระเรื่อเห็นชัดเจนต่อให้แสงสลัวเพียงแค่นี้ ยืดตัวอีกหน่อย ริมฝีปากบาง ๆ นุ่มนิ่มก็แตะลงตรงมุมปากเขา เป็นตำแหน่งที่เยื้องไปจากที่ควรนิดหน่อยอย่างจงใจ
“..มาหาผมบ่อย ๆ”
คิมหันต์ยักคิ้วหลิ่วตา ถอยออกไปยืนเรียบร้อยนอกรถ โบกมือไหว ๆ ให้เขา กระซิบส่งท้ายก่อนจากกันจริง ๆ
“ผมมีให้มากกว่าเมื่อกี้อีก”ทั้งที่พูดออกมาอย่างเท่ อย่างอ่อย อย่างยียวน แต่พอจบประโยคปุ๊บ เจ้าเด็กช่างจ้อก็ราวกับเป็นป๊อปคอร์นที่ใกล้ระเบิด โบกมือลาเขาส่ง ๆ ก่อนยกมือขึ้นจับหูตัวเองทั้งสองข้าง จากนั้นก็รีบหันหลังจ้ำอ้าวเข้าบ้านไปเลย ทิ้งเขานั่งงง หลังจากนั้นก็หัวเราะ ตามด้วยอาการหยุดยิ้มไม่ได้ ถ้าโดนเรียกตามด่านตรวจตำรวจอาจคิดว่าเมา ครุ่นคิดว่าไอ้ที่ให้มากกว่าเมื่อกี้อย่างที่คิมหันต์ว่าจะมีอะไรได้บ้าง
และให้ตายเถอะ ทำไมมีแต่ความคิดลามกก็ไม่รู้สิ
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v