- 06 - แม่คุณไป๋เขาแวะมาเยี่ยมหลานกับเหลนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นผมทำโอทีอยู่ที่บริษัทเลยกลับดึกและไม่ได้เจอกัน พอกลับมาบ้านก็ต้องแปลกใจที่โดนคนข้างบ้านเรียกตัวไว้ ก่อนจะเอาของฝากจากเชียงใหม่ข้ามรั้วมาให้ เป็นสตรอเบอรี่สดกล่องใหญ่ กับสตรอเบอรี่อบแห้งอีกหนึ่งกล่อง
ผมงงไปเลยตอนที่รู้ว่าได้ของฝากจากผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเจอ ก่อนจะมาเข้าใจตอนที่คนตรงหน้าอธิบายให้ฟัง
“หม่าม้าถามว่าใครมาช่วยตอนทำคลอด ผมก็บอกไปว่าคุณ ม้าเลยเอาของฝากมาให้แทนคำขอบคุณไง”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถามออกไปตามที่คิด
“แล้วแม่คุณรู้ใช่มั้ยว่าแมวผมนี่แหละที่ไปทำเป่าเป้ยท้องจนไม่ได้ผสมกับพ่อพันธุ์ที่คุณเล็งไว้”
“รู้สิ วันนี้ม้าเจอมะตูมแล้วนะ ยังชมอยู่เลยว่ามะตูมหน้าหล่อ เป็นแมวไทยที่หน้าหล่อที่สุดที่เคยเจอมา แม่ผมบอกแบบนั้น”
“...”
ถามจริง? ผมขมวดคิ้วรับสิ่งที่ได้ยิน คือพอจินตนาการไปถึงหน้าเหลืองๆ จมูกเลอะเทอะกับแววตากวนตีนของไอ้ลูกชายแล้วมันอดสงสัยไม่ได้ แบบนั้นอะนะที่โดนชมว่าหล่อ?
“เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าแอบด่ามะตูมในใจ อย่าอิจฉาแมวสิคุณ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไว้ใต้คางแล้วพูดต่อ
“ผมก็หล่อในแบบของผมปะ”
คำตอบคือเสียงหัวเราะ แล้วคำพูดที่ตามมาน่ะเหรอ
“ตูมหล่อกว่าเห็นๆ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ และมันก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งบ้านตัวเองหลุดหัวเราะออกมามากกว่าเดิมจนผมยังยิ้มตาม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีเรื่องจะคุยเหมือนกัน
“เออ วันเสาร์นี้คุณไปไหนมั้ย”
“วันเสาร์เหรอ ผมมีนัดอะคุณ”
“อ้าว...”
ปากน่ะพูดออกมาแค่นั้น แต่ในใจถามไปเรียบร้อยแล้วว่านัดกับใคร เพื่อน...หรือว่าแฟน?
“มีอะไรรึเปล่า”
“ที่ผมเคยบอกคุณน่ะ ว่าเพื่อนผมจะขอมาดูลูกไอ้ตูม”
“อ๋อ จะมากันช่วงกี่โมง”
“เออ ยังไม่ได้นัดเวลาเลย คงสายๆ บ่ายๆ ประมาณนั้นแหละ”
“ถ้าช่วงนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก นัดผมช่วงค่ำๆ”
นัดกลางคืนด้วยว่ะ...
“งั้นผมบอกให้พวกมันมาเร็วหน่อยแล้วกัน”
“โอเคเลย บ่ายๆ ก็ยังได้”
ผมพยักหน้ารับ แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนั้นน่ะเตลิดไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้
แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงซึ่งเพื่อนผู้หญิงที่ออฟฟิศเปิดฟังอยู่บ่อยๆ ช่วงนี้ ที่ร้องประมาณว่า ‘ไม่ได้อยากถาม แต่แค่อยากรู้’ อะไรสักอย่างนี่แหละ ครั้งแรกที่ฟังผมยังแอบคิดในใจว่า ถ้าอยากรู้แล้วทำไมมึงไม่ถามวะ จะมาไม่อยากถามทำซากอะไร ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ เหตุการณ์แบบนั้นจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง
แล้วคนตรงหน้าก็ถามขึ้นมา
“มีธุระอะไรอีกรึเปล่าคุณ”
“อะ...อ๋อ ไม่มีๆ”
“งั้นผมขอไปทำงานต่อก่อนนะ”
“โอเค”
พอคนตรงหน้ายกมือขึ้นมาโบกบ๊ายบาย ผมก็โบกมือกลับไป แล้วเดินหิ้วสตรอเบอรี่เข้าบ้านกับความรู้สึกขุ่นๆ เล็กน้อยที่เกิดขึ้นในใจ
ด้วยวัยยี่สิบหกปี...หรืออะไรก็ช่างเหอะ ผมเข้าใจตัวเองได้ไม่ยากว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือผมชอบคุณไป๋
อันที่จริงมันก็น่าอายอยู่นิดหน่อยที่ต้องยอมรับ ว่านี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่ผมได้รู้สึกชอบใครสักคน
ครั้งแรกมันเกิดขึ้นตอนอนุบาลสามกับน้ำหวาน เพื่อนผู้หญิงที่ต้องเต้นเพลงมนต์รักลูกทุ่งคู่กัน ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าผมจำอะไรแทบไม่ได้ เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านแม่ของผม ว่าตอนนั้นผมเขินซะจนร้องไห้ พอร้องไห้ก็น้ำมูกไหล และเมื่อฉากที่พีคที่สุดในการแสดงมาถึง ซึ่งก็คือการที่ผมต้องเอาปลายจมูกไปแตะเบาๆ ตรงแก้มสาวน้อยที่แอบชอบ น้ำมูกที่สะสมมาจากการร้องไห้ก็ยืดเป็นทางยาว
แน่นอนว่ารักครั้งแรกของผมจบลงในคืนนั้น ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ไหนยอมเป็นแฟนกับผู้ชายที่เอาขี้มูกมายืดติดแก้มหรอก
โชคดีที่ผมไม่ขี้มูกยืดอีกแล้วเมื่อเป็นวัยรุ่น แต่ก็ยังไม่คิดจะชอบใครอีก มีแฟนน่ะก็เคยอยู่บ้าง ในช่วงเวลาที่รู้สึกว่าต้องมีเพราะเพื่อนก็มีกันหมด ในตอนนั้นใครที่หน้าตาน่ารักอยู่สักหน่อย แล้วมาแสดงออกให้รับรู้ว่ามีใจให้ ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะสานต่อ ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายก็ไปไม่รอด
พอถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างน้อยก็มากพอที่จะเรียนรู้ว่าการคบกับใครสักคนทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็คือวิธีหนึ่งที่คนเห็นแก่ตัวทำโดยไม่คิดถึงคนอื่น ผมเลยไม่ได้คบใครอีก
ผมโสดสนิทในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนมหา’ ลัย เวลาว่างจากการเรียนหมดไปกับการไร้สาระอยู่กับพวกลุงไอ้ตูม ซึ่งก็สนุกสนานดี ไม่ได้เหงาอะไร แล้วก็เลิกคิดเรื่องการมีแฟน การตกหลุมรักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ระหว่างที่นั่งอยู่บนพื้น มองมะตูมกินข้าว ผมก็คุยกับตัวเอง หลังจากใช้ชีวิตมาได้ยี่สิบกว่าปี ในที่สุดผมก็มาถึงจุดนี้ จุดที่ตกหลุมรักผู้ชายเข้าจนได้ทั้งที่คบหากับผู้หญิงมาตลอด แถมยังสามารถรับมือกับความรู้สึกนั้นได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
คงต้องขอบคุณทั้งเจ้านายและไอ้ธีร์เพื่อนสนิทของผม ทั้งคู่คือคนใกล้ตัวที่พูดออกมาว่าตัวเองเป็นเกย์ได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไปแบบฝนตกรถติด มันเลยทำให้ผมเคยชินกับการเปิดรับทุกความเป็นไปได้
การเป็นเกย์ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ มันคือรูปแบบหนึ่งของความรัก ที่อาจจะแตกต่างกับสิ่งที่ใครก็ไม่รู้มากำหนดไว้ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ยังไงความรักก็คือความรัก และความรักก็เป็นสิ่งที่ดี ผมเชื่ออย่างนั้น
แต่เรื่องการค้นพบตัวเองของผมไม่สำคัญเท่าอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องที่ว่า สรุปวันหยุดนี้คุณไป๋เขามีนัดกับใครวะ
ผมมองไอ้แมวเหลืองที่กินอาหารไม่เสร็จสักที แล้วพูดออกมา
“ตูม...มึงเคยกังวลบ้างมั้ยว่าเป้ยเค้าอาจจะไปกุ๊กกิ๊กกับคนอื่นตอนที่มึงไม่อยู่”
พูดจบก็คิดขึ้นมาได้ ว่าไอ้ตูมมันก็ไปผสมพันธุ์กับเป้ยทั้งที่เขามีคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่แล้วนี่หว่า แล้วถ้าคุณไป๋ก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหมือนเป้ยล่ะ ผมจะทำไงดี
ผมเก็บความคิดนั้นไว้ แล้วก็ตั้งใจจะเอามันมาปรึกษาพวกลุงไอ้ตูมในวันเสาร์
และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็ไม่คิดเลยว่าจะเห็นเพื่อนตัวเองถือกระเช้าของเยี่ยมอันใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารสูตรแม่แมว นมสำหรับแมวเด็ก และของสำหรับลูกแมวอื่นๆ อีกมากมาย
นั่นมันติดโบว์มาที่กระเช้าด้วยใช่มั้ยวะ
พอเดินไปถึงระตูรั้วบ้าน สิ่งที่ผมทำคือการยกมือขึ้นชี้กระเช้ากับดอกไม้ช่อเล็กหนึ่งช่อ ทั้งที่ยังไม่เปิดประตูด้วยซ้ำ
“พวกมึง...ซื้อกระเช้ากับดอกไม้?”
“เออดิ มามือเปล่าน่าเกลียดตายห่า แค่ไอ้เวรตูมมันไปทำเค้าท้องก็ขายหน้าจะแย่อยู่แล้ว แมวเค้าอย่างสวย”
ไอ้บาสเพื่อนผมพูดออกมา ก่อนที่ไอ้ธีร์จะถามต่อ
“แล้วแฟนไอ้ตูมอยู่บ้านหลังไหน”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ชี้ไปยังบ้านหลังสีขาวเทา พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ
“ตอนนั่งรถมา กูคุยกับพวกมันว่าเมียไอ้ตูมอะ โคตรแพงเลยนะมึง แฟนกูบอกว่าแบบเดียวที่พวกเน็ตไอดอลเค้าเลี้ยงกัน หน้าตาแบบนี้เลย ตัวนึงแปดเก้าหมื่น”
แปดเก้าหมื่น!! ทำไมช่วงนี้มีเรื่องช็อกบ่อยจังวะ
ผมมองเพื่อนตัวเองนิ่งๆ รอให้มันพูดต่อว่ากูล้อเล่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ ไอ้ไอซ์ยืนเฉย ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ แล้วก็ไม่พูดอะไร
ตอนนั้นเองที่ไอ้ตูมเดินออกมาจากในบ้าน แล้วถูตัวไปมาที่ข้อเท้าพวกผมเพื่อทักทาย พอก้มหน้าลงไปมองตัวเหลืองๆ ของมันก็อยากจะถอนหายใจออกมา
ไอ้เวรตูมเอ๊ย! บุญแค่ไหนแล้วที่พ่อเขาไม่แจ้งความจับมึงข้อหาล่วงละเมิดทางเพศแมวแพง!
ว่าแต่สัตว์ล่วงละเมิดสัตว์นี่ผิด พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์มั้ยวะ
หลังจากนั้นพวกผมก็พากันไปกดออดหน้าบ้านคุณไป๋ พอเจ้าของบ้านออกมาผมก็รับหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ก่อนจะเดินเข้าบ้าน แล้วก็ได้รู้ว่าดอกไม้ที่พวกมันซื้อมาเนี่ย ไม่ได้จะเอามาให้เป่าเป้ยหรอก แต่เอามาวางไว้บนหลุมศพต้นเลมอนของเจ้ามะนาว
ระหว่างที่พวกมันกำลังวางดอกไม้ แถมยังยกมือไหว้อธิษฐานนอะไรไปเรื่อย ผมก็หันไปหาคนที่ถือกระเช้าของเยี่ยมแม่แมว แล้วถามออกมา
“หนักปะคุณ ผมช่วยถือมั้ย”
คำตอบคือรอยยิ้มและการส่ายหน้า ตามมาด้วยคำพูด
“ไม่ได้หนักมากซะหน่อย”
พอพวกเพื่อนๆ วางดอกไม้เสร็จ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปบอก
“เข้าไปแรกๆ พวกมึงก็พูดเบาๆ หน่อยแล้วกัน กูกลัวเป้ยตกใจ”
“เออๆ” ไอ้บาสรับคำก่อนจะพูดต่อ “กูเคยคิดนะเว้ยว่าในกลุ่มเราอะ ใครจะมีเมียมีลูกคนแรกวะ กูจะได้ไปงานแต่งใครก่อนวะ พอเอาเข้าจริง แม่งคนแรกที่มีลูกคือไอ้ตูม สรุปไม่ได้เยี่ยมลูกเพื่อนหรอก มาเยี่ยมลูกแมวแทน”
ไม่ใช่แค่ผมที่หัวเราะ แต่คุณไป๋ที่ยืนอยู่ข้างกันยังขำตามไปด้วย
พวกเพื่อนๆ เงียบกันไปทันทีที่เข้าบ้าน ก่อนที่ผมจะเดินนำ พาพวกมันไปหยุดอยู่ที่หน้าคอกแม่แมว เรื่องมหัศจรรย์คือไอ้ตูมมันมาโผล่อยู่นี่ได้ไงวะ ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นอ้อนพวกผมที่บ้านอยู่เลย
ตอนนี้พวกมันนั่งกันอยู่ที่หน้าคอกแมว พูดด้วยเสียงกระซิบเบาๆ แถมต่างคนก็ต่างยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ส่วนผมเดินเข้าไปในครัวแล้วก็เดาถูกด้วยว่าเจ้าของบ้านจะต้องเข้ามาเตรียมน้ำดื่ม
“มีน้ำลิ้นจี่ด้วย”
คนฟังหันมามอง ยกยิ้มแล้วก็ยื่นแก้วน้ำในมือมาให้
“ชิมก่อนมั้ย แม่ผมซื้อมาให้ตั้งแต่วันพุธแล้ว”
ผมรับแก้วน้ำมาดื่ม ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายจัดแก้วน้ำใส่ถาดใบเล็กที่วางอยู่ พอมองไปเห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังเอาผ้าสะอาดเช็ดแก้วให้แห้ง ความรู้สึกฟูนุ่มในใจมันก็กลับมาอีกครั้ง โชคดีที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยและรับมือกับมันได้มากขึ้น
หลังจากนั้นผมก็ยกน้ำดื่มออกไปที่ห้องรับแขก ปล่อยให้เพื่อนนั่งดูลูกแมวอยู่พักใหญ่ คุยกับคุณไป๋ต่ออีกหน่อย แล้วก็กลับมานอนกองกันอยู่ที่บ้านผม
ในบรรยากาศอันแสนเกียจคร้านของบ่ายวันอาทิตย์ พัดลมตัวเก่าที่วางอยู่ส่ายไปมาให้ความเย็นแก่พวกผมและไอ้ตูมที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่บนพื้นกับโซฟา โทรทัศน์มีรายการเกมโชว์เปิดไว้ ซึ่งไม่มีใครสักคนใส่ใจที่จะดู อยู่ๆ ไอ้บาสก็พูดขึ้น
“เย็นนี้เราทำหมูกระทะกินกันมั้ย”
มันคือคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม แน่นอนว่าช่างสรรหากินที่สุดด้วย ได้ยินอย่างนั้นไอ้ไอซ์ก็พูดต่อทันที
“เออ เตาถ่านที่พวกกูเคยซื้อไว้ยังอยู่มั้ยวะ”
“น่าจะอยู่มั้ง”
ผมตอบกลับ หันไปมองไอ้ธีร์ที่ไม่พูดอะไร แล้วก็ตัดสินใจถามต่อ
“กูว่าเตาไฟฟ้าก็ได้มั้ง ตัวไม่กี่บาท หุ้นกันไม่กี่ร้อย ดีไม่ดีพอๆ กับค่าของกิน มึงว่าไงธีร์”
“กูได้หมดอะ”
มันเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่เรื่องมาก แต่เชื่อผมเหอะ ในพวกเราทุกคนมันคือคนที่สติดีที่สุด
“อ้าว เชี่ยนี่ นึกว่าจะเข้าข้าง”
มันเหลือบมามองผม แล้วตอบกลับหน้าตาเฉย
“สุกก็แดกได้หมดอะ เตาอะไรก็ช่าง”
“นี่คือกูต้องไปหาเตาให้พวกมึงใช่มั้ย”
แล้วคำตอบก็คือการที่ไอ้บาสขยับเข้ามาเอาเท้าขี่ยให้ผมลุกจากเก้าอี้
ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นไปเปิดตู้เก็บของใต้อ่างล้างจาน ซึ่งก็ยังมีบรรดาจานชามของแม่เก็บไว้เต็มไปหมด และมุมในสุดของตู้ก็ยังมีเตาถ่านกับกระทะย่างหมูอยู่จริงๆ
ผมจัดการเอามันออกมา ล้างกระทะจนสะอาด ก่อนจะยกทั้งเตามาวางลงหน้าบ้านแล้วพูดต่อ
“จะแดกก็ลุกไปซื้อของ”
ผมกับเพื่อนหุ้นเงินกันซื้อเตานี่ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ พวกผมกินกันเยอะ บางทีไปกินที่ร้านบ่อยๆ ก็บอกตามตรงเลยว่าไม่มีเงิน แต่จะให้เลิกกินก็ไม่ได้ สุดท้ายทางออกก็คือการซื้อเตาซื้อหมูมาทำกินกันเอง
เถลไถลอยู่สักพัก พวกผมก็พากันออกจากบ้าน ก่อนออกก็อดไม่ได้ที่จะแอบเหล่บ้านข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นคนที่มองหา ใช้เวลาซื้อของไม่นาน สุดท้ายก็กลับมาบ้านในสภาพพร้อมรบ
หน้าที่ของพวกผมถูกแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ไอ้ธีร์กับไอ้บาสเตรียมของกิน ส่วนผมกับไอ้ข้าวซึ่งตอนนี้กลับไปอยู่บ้านเกิดมันที่เชียงใหม่เรียบร้อยต้องจุดถ่าน เหลือไอ้ไอซ์ที่มีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และด้วยความที่ไอ้ข้าวไม่อยู่ ไอ้ไอซ์ก็เลยต้องมาช่วยผม
ขอบอกเลยว่า การจุดถ่านไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ตะเกียบไม้แบบใช้ได้ครั้งเดียวที่ซื้อมาจะถูกแบ่งมาเป็นเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง โดยต้องปูเอาไว้ด้านล่างสุดก่อนจะวางถ่านด้านบน ส่วนช่องข้างใต้ต้องเอากระดาษจุดไฟแล้วใส่เข้าไป หลังจากนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการพัดจนกว่าเตาถ่านจะร้อนจนสามารถทำให้หมูสุกได้
ระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาเอาจานกระดาษที่ซื้อมาพัดให้ไฟติด ส่วนไอ้ไอซ์มันเข้าบ้านไปเตรียมอุปกรณ์การกิน เสียงที่ดังมาจากข้างหลังก็ทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของผมหยุดลง
“ทำอะไรกันอะ”
เวรแล้ว คุณไป๋!
พอหันไปมองก็เจอกับอีกฝ่ายในสภาพหล่อเนี้ยบ แถมยังเซ็ตผมซะดูดี คือปกติคุณเขาก็ไม่ได้โทรมอะไรนะ แค่มักจะปล่อยผมธรรมชาติ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นบ้าง กางเกงขายาวหลวมๆ สบายๆ บ้าง แต่วันนี้คือหล่อเลยอะ
เวรแล้ว เมื่อกี้ถามอะไรวะ
“เอ่อ...พวกผมจะกินหมูกระทะกันคุณ”
“เตาถ่านด้วยเหรอ”
“ใช่ วินเทจป้ะล่ะ”
“มาก น่ากินอะ ถ้าไม่มีนัดนะจะไปขอกินด้วย”
“พลาดแล้ว”
ผมพูดอย่างนั้นทั้งที่ใจอยากบอกออกไปจะแย่ ว่างั้นก็ไม่ต้องไปนัดอะไรนั่นหรอก อยู่บ้านกินหมูกระทะกับพวกผมก็ได้
“เสียดายเลยอะ ไปละนะ”
คนตรงหน้าพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นโบกบ๊ายบาย ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ไปให้ โบกมือกลับไปแล้วพูดต่อ
“ขับรถดีๆ นะคุณ”
“อือฮึ”
สักพักรถยนต์ของเจ้าตัวก็ขับผ่านบ้านผมไป...หมดแรงพัดไฟเลยให้ตาย
พวกผมเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในช่วงเวลาของมื้อเย็น ก่อนจะลงมือนั่งย่างนั่งกินกันหน้าบ้าน แน่นอนว่าต้องมีแอลกอฮอล์มาร่วมด้วยอยู่แล้ว เตาแรกยังไม่ทันสุกดี ไอ้ตูมก็เดินมานั่งตัวตรงรออยู่ข้างๆ ตามประสาแมวฉลาด แถมแผลทำหมันก็ปิดสนิทเรียบร้อย
พอหมูชิ้นแรกสุก ไอ้บาสก็คีบและเอามาวางให้ไอ้ตูมตรงหน้า
“อะ วันนี้เลี้ยงฉลองมึงเป็นพ่อคน ชิ้นแรกกูย่างให้มึงโดยเฉพาะเลยตูม”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไป ตั้งใจจะห้าม แต่ก็ไม่ทันไอ้ตัวแสบที่ก้มหน้าลงกินหมูเข้าปากไปเรียบร้อย
“มึง ไอ้ตูมกินหมูกระทะไม่ได้ ชิ้นเดียวพอละนะ”
ได้ยินอย่างนั้นไอ้บาสก็หันมาทำหน้างงแล้วถามต่อ
“อ้าว ทำไมวะ เมื่อก่อนก็แดกหัวกุ้งอยู่ที่ร้านเหล้า”
“คืองี้ คุณไป๋เค้าบอกว่าแมวไม่ควรกินอาหารคนเพราะมันเค็ม ละถ้ามันแดกเค็มมากๆ มันจะเป็นโรคไต”
คราวนี้เป็นไอ้ไอซ์ที่ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ
“อ้าว ฉิบหายละ ละนี่มันไม่เป็นไปแล้วเหรอวะ”
“ตอนกูเอามันไปตรวจตั้งแต่มาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่เป็นนะ แต่ถ้ายังแดกของเค็มอยู่ก็มีโอกาส”
“นั่งกลืนน้ำลายไปแล้วกันนะมึง”
จบลงที่ไอ้บาสยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ตูมเบาๆ แล้วกลับไปกินหมูย่างต่อ ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้นมาอีก
“เลี้ยงแมวแม่งก็ลำบากเนอะ ถ้าวันนี้ไม่ไปซื้อของมาทำกระเช้า กูก็ไม่เคยรู้เลยว่าอาหารแมวแม่งจะถุงละหกเจ็ดร้อย เอาจริงพวกกูตกใจไปเลย คิดว่าโลไม่กี่บาท มึงก็ไม่พูดสักคำว่าแบกค่าอาหารแมวอยู่เดือนละกี่ร้อยกี่พัน”
“ดราม่าเหี้ยไรอีกเนี่ย พวกมึงก็ออกค่าทำหมันแล้วไง ที่มันไม่แพงขนาดนั้นก็มี ช่วงทำงานแรกๆ กูก็ผสมเอา เอาแบบดีๆ เลยผสมกับที่ถูกมาหน่อย อีกอย่างกูนะที่ทำงานก็ใกล้ ค่าหอค่าคอนโดก็ไม่ต้องจ่ายอย่างพวกมึง เงินเดือนเหลือพอเลี้ยงแมวโว้ย เปลี่ยนเรื่องๆ”
พูดจบผมก็คีบหมูกระทะใส่ปาก ก่อนที่ไอ้ธีร์จะพูดขึ้น
“งั้นมาเรื่องนี้ เรื่องที่มึงชอบคนข้างบ้าน”
มือของผมที่ถือตะเกียบอยู่ชะงักไปในทันที ก่อนจะกวาดสายตามองเพื่อนๆ ทุกคน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ แล้วไอ้คนเปิดประเด็นขึ้นมานั่นแหละที่พูดต่อ
“อ้าว นี่กูเข้าใจผิดเหรอ โทษที”
พูดจบมันก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมากินหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วยอมรับ
“กูว่ามึงเข้าใจไม่ผิดหรอก”
คราวนี้กลายเป็นไอ้ไอซ์ที่พูดขึ้นมา
“นั่นไงกูว่าแล้ว!”
“ว่าแล้วเหี้ยอะไร”
“ว่าแล้วว่ามึงชอบเค้า”
“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ก็พอตัวอยู่ สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา...”
“คั่น มึงสมมติอย่างอื่นได้มั้ย”
“ฟังกูก่อนสิ! สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา เวลาเจอเค้านี่หางกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ เลยนะ...”
“กูว่ามึงเว่อร์ละ”
การต่อล้อต่อเถียงของผมกับไอ้ไอซ์จบลงตอนที่ไอ้บาสหันมามองหน้าผม แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ ส่วนไอ้ธีร์คีบหมูเข้าปากแล้วพูดต่อ
“แต่กูว่าคุณไป๋อะไรนั่นอะ เค้าเป็นนะ”
“เป็นอะไร”
“เป็นหมาแบบมึงมั้ง”
“ฮะ?”
“เป็นเกย์!”
“ตลกละ”
“ตลกเหี้ยไรล่ะ กูจริงจัง”
“มึงมั่นใจขนาดนั้นเลย”
“เต็มร้อยกูให้เจ็ดสิบ อีกสามสิบเผื่อเค้าเป็นคุณหนู ไม่ก็แบบผู้ชายเนี้ยบๆ หรือไม่ก็เป็นไบ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปถามเพื่อนอีกสองคน
“พวกมึงว่าไง”
ไอ้บาสที่ไม่หยุดกินเลยตลอดระยะเวลาที่พวกผมคุยกันตอบกลับมาทั้งที่ยังเคี้ยวหมูอยู่ในปาก
“กูไม่รู้เว้ย ตอนเรียนครูไม่สอน”
แล้วไอ้ไอซ์ก็พูดในสิ่งที่ผมคิดอยู่ออกมา
“เหตุผลมึงเหี้ยมาก แต่ว่านะมึง ในกลุ่มเราคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ที่สุดก็คือมัน มึงไม่เชื่อมันแล้วมึงจะไปเชื่อใคร”
ผมหันไปมองไอ้ธีร์ ก่อนจะพบว่ามันกำลังตอกไข่ใส่วุ้นเส้น ก็คือมึงไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่มึงเปิดประเด็นขึ้นมาเลยถูกมั้ย
ต้องยอมรับว่าที่ไอ้ไอซ์พูดโคตรมีเหตุผล ไอ้ธีร์เคยเล่าให้พวกผมฟังว่ามันรู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เรียนมัธยมต้น จะบอกว่ามันเชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุดในกลุ่มเราก็คงจะใช่
สุดท้ายผมก็ถามออกมา
“ธีร์มึง”
“อือ...” มันตอบ แต่ไม่ยอมละสายตาจากวุ้นเส้น
“มึงว่าคุณไป๋เค้าจะมีแฟนยัง”
ไอ้ธีร์หันมามองผม ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ
“ถามกู?”
“อืม”
“กูแค่เป็นเกย์มาก่อนมึง ไม่ได้เป็นหมอดู”
“สัด”
“แต่กูว่าเค้าก็โอเคกับมึงนะ”
“โอเคนี่คือโอเคแบบไหน”
“นั่นแหละที่ยาก ผู้ชายสองคน ไม่มีใครออกสาวชัดเจน มีเรื่องให้ต้องคุยต้องเจอกันบ่อย มันง่ายมากที่จะเข้าใจผิด คนนึงอาจจะคิดว่าเพื่อนกัน อีกฝ่ายแค่อัธยาศัยดี แต่อีกคนอาจจะคิดไปไกลแล้วก็ได้”
พูดจบวุ้นเส้นก็สุกพอดี ไอ้ธีร์เลยตักวุ้นเส้น ไข่ หมูขึ้นมากิน ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วก็คีบหมูใส่ปากไปทั้งที่ยังไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มด้วยซ้ำ
จนไอ้ธีร์มันเคี้ยวทำแรกกลืนลงท้องเสร็จถึงได้หันมาพูดต่อ
“มึงต้องคุยให้เคลียร์ไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเค้าก็ย้ายบ้านหนีเองแหละ”
ย้ายบ้านเลยเหรอวะ ผมหันไปมองคนพูด ขนาดเป็นเพื่อนกันมานาน บางทีก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่ามันพูดเล่นหรือพูดจริง
“ไม่ต้องมามองหน้ากู มึงแดกซะ ก่อนที่ไอ้บาสจะแดกหมด”
“เออ...”
ผมรับคำ คีบหมูมาใส่ปากอีกชิ้น พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์จะยกแก้วขึ้น แล้วพูดออกมา
“มาๆๆ ชนหน่อย หมดแก้ว ฉลองให้กับการมีความรักครั้งที่สองของไอ้ชุน”
ผมมองพวกเพื่อนๆ ที่กลั้นขำแล้วขมวดคิ้ว ไม่น่าเลย! ไม่น่าพาพวกมันมาที่บ้านเลย!
แน่นอนว่าทุกคนรู้เรื่องมนต์รักลูกทุ่งขี้มูกยืดของผมกันหมดแล้ว เพราะแม่เล่าให้ฟัง
พวกผมกินไปพลางดื่มไปพลางจนถึงสี่ทุ่ม จากที่นั่งคุยกันไปเรื่อย ตอนนี้เริ่มมีการเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ส่วนไอ้ตูมก็ยังอยู่ร่วมวงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีอาหารเปียกใส่ถ้วยไว้นั่งกินเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาขอหมูย่างกิน
ส่วนผมกำลังรู้สึกกังวลโคตรๆ หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ นี่สี่ทุ่มแล้ว แต่คุณไป๋ยังไม่กลับบ้าน หลังจากเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ไอ้บาสก็ถามขึ้น
“มึงเป็นไรชุน”
“ยังไม่กลับบ้านเลย”
ผมพูดพลางชี้นิ้วหัวแม่มือไปที่บ้านข้างๆ
“ก็มึงบอกว่าเค้ามีนัด”
“ไม่รู้นัดกับใครว่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมาเค้าก็ไม่เคยออกไปไหนค่ำๆ เลยนะ”
ได้ยินอย่างนั้นไอ้ธีร์ก็เหลือบตามามองผมแล้วถามต่อ
“ตั้งแต่รู้จักกันมาของมึงเนี่ยกี่วัน”
“เดือนกว่า”
ผมพูดออกมาแล้วถอนหายใจ พอได้ยินคำตอบของผมไอ้ไอซ์กับไอ้บาสก็กลั้นขำทันที ก่อนไอ้ธีร์จะหันมาแล้วให้คำแนะนำตามประสาผู้มีประสบการณ์
“มึงก็ถามเค้าดิวะ อ้างเรื่องลูกแมวอะไรก็ว่าไป”
“เออว่ะ กูขอตัวไปใช้สมาธิกับการพิมพ์ไลน์แป๊บ”
พูดจบผมก็คว้ามือถือลุกขึ้นจากวง เดินเข้าบ้านไปนั่งลงบนโซฟา เปิดไลน์ ใช้ความคิดอยู่สักพักแล้วพิมพ์ข้อความลงไป
‘คุณอยู่ไหนเนี่ย? ’พิมพ์เสร็จอ่านจบแล้วสรุปกับตัวเองว่า ‘โคตรจิกเลยว่ะ จิกเป็นไก่เลย เอาใหม่ๆ ’
‘ยังไม่กลับบ้านเหรอคุณ? ’ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่กลับไงล่ะโว้ย!
เอาไงดีวะ!
‘วันนี้กลับดึกนะคุณ’เอ๊า! แล้วมึงจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขาทำไม
พอหาทางออกสำหรับความว้าวุ่นอันนี้ไม่ได้ สุดท้าย ผมก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์ ‘Hello’ ไปให้เขาอันหนึ่ง
สิ่งที่ผมส่งไปถูกอ่านในทันที และมีข้อความตอบกลับมา
‘ว่าไงคุณ? ’
‘ผมนั่งอยู่หน้าบ้านกับพวกเพื่อนๆ ’
‘ดึกแล้วเห็นคุณยังไม่กลับมา’
‘เลยเป็นห่วงพวกเด็กๆ ’พอได้ปะวะ
‘วันนี้ผมไม่ได้กลับแหละ’
‘เป็นห่วงเป้ยกับเด็กๆ เหมือนกัน แต่เติมอาหารกับน้ำไว้ให้แล้วนะ’
‘พรุ่งนี้เช้าจะรีบกลับก็แล้วกัน’ไม่กลับ! แล้วนอนที่ไหนวะน่ะ!
ถ้าอยากรู้ก็แค่ถามออกไปปะวะ เชี่ย...เรื่องแค่นี้เอง มึงก็แค่ถาม!
ผมสรุปกับตัวเอง แล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความลงไป
‘แล้วคืนนี้คุณนอนที่ไหนเนี่ย? ’ใช่...ผมพิมพ์ลงไปแต่ไม่ได้กดส่ง พิมพ์เสร็จก็นั่งมองตัวหนังสืออยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งมีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา
‘พอดีไปกินข้าวกับที่บ้านมาอะคุณ’
‘แล้วดื่มไวน์ไปนิดหน่อย’
‘หม่าม้าเลยไม่อยากให้ขับรถ’พอเห็นข้อความผมก็ถอนหายใจออกมาสุดแรง อย่างน้อยก็แรงจนเพื่อนหันมามอง ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะถาม
“ตกลงเป็นไง”
ผม...ซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพทิ้งตัวนอนแผ่หมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวเรียบร้อยก็ตอบกลับไป
“เค้าไปกินข้าวกับที่บ้าน แล้วกินไวน์ไปด้วย แม่เลยไม่อยากให้ขับรถมาคนเดียว”
“ก็แค่เนี้ย”
ไอ้ธีร์คือคนที่ตอบกลับมา ก่อนไอ้บาสจะรีบทับถมกันทันที
“แม่งเอ๊ย เหมือนจะตายซะให้ได้”
เพื่อนดีทั้งนั้น...
,