เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน...
สวัสดีค่ะ กะว่าจะไม่เขียนตอนพิเศษเรื่องนี้แล้วเชียวน้าาาา แต่ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว
ใครก่อหวอด ใครเป็นกองหนุน ใครเป็นกำลังเสริมบ้างก็ไม่รู้เนอะ วันนี้เลยเอาตอนพิเศษมาให้อ่านกันค่ะ
ลืมไปเลยว่าวันเด็กยังไม่ได้พาเด็กคนหนึ่งไปเที่ยวเลย ไม่รู้ลืมกันหรือยัง หวังว่าจะชอบนะคะ
ขอบคุณที่ยังถามถึงกันอยู่ค่ะ มีตอนพิเศษกันไปแล้วนาาาาา ทั้งเรื่อง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า แล้วก็เรื่องคุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก
ต่อไปจะปั่นหน้ากากดอกไม้มาให้อ่านนะคะ ขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้ต้องรอนานค่ะ
....
ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
ในขณะที่ทุกสายตาพุ่งไปที่ปลาหมอทะเลตัวมหึมาที่กำลังโบกสะบัดครีบอยู่กลางอุโมงค์กระจกภายในศูนย์แสดงพันธ์ุสัตว์น้ำ แต่ดวงตาทอประกายวับวาวคู่หนึ่งกลับจับจ้องไปยังเจ้าปลากระเบนที่ว่ายวนอยู่เหนือขึ้นไปเกือบจะถึงผิวน้ำ เห็นท้องสีขาว หางเรียวเล็ก หัวโหนก และครีบด้านข้างแยกออกจากหัวเห็นได้ชัดเจน ปลายครีบแหลมที่ขยายออกด้านข้างนั้นทำให้พวกมันเหมือนติดปีกบิน หากแต่เป็นการบินอยู่ใต้น้ำท่ามกลางปลานานาชนิด
“อย่างกับนกเลยเนอะพี่เต็ม” เด็กชายชี้มือให้พี่ชายดูฝูงกระเบนที่กำลังว่ายอยู่เหนือศีรษะ ก่อนหน้านี้เคยคิดอยากเป็นนกจะได้บินอย่างอิสระอยู่บนฟ้า แต่วันนี้กลับคิดอยากเป็นปลาบ้างเสียแล้ว
“เขาถึงได้เรียกมันว่ากระเบนนกไง เพราะเวลาว่ายน้ำเหมือนนกบิน”
“โอ้โห!! สวยจังเลยครับ” หนุ่มน้อยยังคงตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า ไม่ต่างจากเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่บางคนเกาะกระจกอ้าปากหวอ ในขณะที่บางคนก็ยืนชูสองนิ้วเต๊ะท่าให้พ่อแม่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เผื่อว่าโตขึ้นได้มีโอกาสเปิดรูปเก่า ๆ ออกมา ดูจะได้จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่นี่ ได้เที่ยวเล่นตามใจในวันที่ผู้ใหญ่บอกว่ามันคือวันของพวกเขา
“เอ้า! ถ่ายรูปคู่กันหน่อยสองพี่น้อง” ร่างสูงที่ถือกล้องโพลารอยด์อยู่ในมือเอ่ยขึ้น ก่อนจะรอให้คุณพ่อที่กำลังเดินจูงมือลูก ๆ ใกล้เข้ามาผ่านไปก่อน จากนั้นจึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพพี่ชายที่กำลังยืนกอดคอน้องชายโดยมีฉากหลังเป็นใต้ท้องทะเลจำลองที่เต็มไปด้วยปลาแปลกตาจำนวนมาก
เมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์กระดาษก็ค่อย ๆ เลื่อนออกมา เมื่อน้ำยาในกระดาษสัมผัสกับอุณภูมิค่อนข้างเย็นก็ทำให้ภาพปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เห็นภาพที่ถูกบันทึกไว้ได้อย่าชัดเจน ศิธาพัฒน์มองดูคนในภาพพลางยิ้มน้อย ๆ นั่นเป็นเพราะทิฐิที่เคยสะสมเป็นตะกอนทับถมกันจนกลายเป็นกำแพงกั้นระหว่างสองคนพังทลายไปแล้ว เหลือเพียงสายใยระหว่างพี่น้องที่นับวันก็ยิ่งจะผูกเกี่ยวกันแน่นขึ้นทุกที
ตามตะวันเดินปรี่เข้ามาก่อนจะชะเง้อมองภาพถ่ายในมือพี่ชายตัวสูง “ตามขอเก็บไว้นะฮะพี่ปุ่น”
“ได้สิ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ส่งภาพถ่ายใบนั้นพร้อมกับกล้องโพลารอยด์สีขาวคืนให้เจ้าของ
“ถ้าอย่างนั้นตามเดินไปดูม้าน้ำทางโน้นก่อนนะครับ” หนุ่มน้อยไม่รอฟัง คว้าของจากมือได้ก็รีบวิ่งแนบไปรวมกลุ่มกับบรรดาเด็ก ๆ ที่กำลังมุงดูปลารูปร่างประหลาดในตู้กระจก หน้าตาของมันดูไปก็คล้ายลูกม้าที่พ่อเลี้ยงเอาไว้ไม่น้อย หลายคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นครีบบางใสที่เอวของเจ้าปลากระดูกแข็งกระพือไปมา แต่เจ้าม้าน้ำเหล่านั้นก็เคลื่อนไหวขึ้นลงได้เพียงช้า ๆ เท่านั้น
ศิธาพัฒน์มองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กชายที่แม้จะดูเรียบร้อยจนเกือบจะเข้าใกล้นิยามคำว่าอ่อนแอแต่จริง ๆ แล้วก็มีความซุกซนอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กผู้ชายอยู่เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ คนที่ยังคงง่วนอยู่กับการถ่ายภาพปลาที่กำลังว่ายผ่านไปผ่านมาด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ
“สนุกไหม”
เต็มฟ้าเงายหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจกอย่างแปลกใจก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของคำถาม “ถามอย่างกับเต็มเป็นเด็ก”
“เป็นผู้ใหญ่ก็ถามได้ แล้วสนุกไหมล่ะ”
เต็มฟ้าสบตานิ่ง มันอาจจะไม่สนุกเท่ากับเมื่อตอนเขายังเด็ก ตอนที่จับมือพ่อและแม่เที่ยวเล่นไปตามใจ ไปที่ไหนก็ได้ที่อยากจะไปหรือเล่นอะไรก็ได้ที่อยากจะเล่น แต่ถ้าเทียบกันที่ความอบอุ่นแล้ว มันอุ่นไม่แพ้กันเลย ชายหนุ่มยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจปลาในอุโมงค์กระจกอีกครั้ง และก็ดูเหมือนว่าจะสนใจปลายิ่งกว่าคนที่มาด้วยกันเสียอีก แม้แต่เสียงพูดคุยเป็นนกกระจอกแตกรังของกลุ่มสาว ๆ ที่เพิ่งเดินมาถึงก็ไม่สามารถเรียกความสนใจของเต็มฟ้าได้จนกระทั่ง…
“พี่รูปหล่อคะ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ”“ได้สิครับ” ศิธาพัฒน์ตอบรับคำขอด้วยไมตรีก่อนจะรับโทรศัพท์มือถือจากสาวสวย “นับหนึ่งถึงสามนะครับ หนึ่ง สอง สาม”
“ขออีกรูปนะคะพี่” คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่คนอื่นพากันหัวเราะคิกคักเดินสลับตำแหน่งกันอย่างสนุกสนาน และเมื่อเห็นว่าสาว ๆ คงถ่ายภาพกันจนหนำใจแล้ว ตากล้องจำเป็นจึงส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้
“ส่งคืนพร้อมกับเบอร์โทร.คนถ่ายด้วยได้ไหมคะ”
ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มและดูจะยิ้มกว้างกว่าเก่า
‘ยิ้มจนน่าหมั่นไส้’ นั่นคือสิ่งที่เต็มฟ้าที่ยืนมองเหตุการณ์กำลังคิด
“ไม่ดีละมั้ง” คำพูดที่ฟังแล้วไม่ต่างอะไรจากมะนาวปราศจากน้ำทำเอาสาว ๆ หันมองหนุ่มน้อยหน้ามนกันเป็นตาเดียว
“พอดีพี่ชายของผม เขามีแฟนแล้วน่ะครับ”
ศิธาพัฒน์หันขวับมองหนุ่มน้อยที่เดินมายืนข้าง ๆ รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากร่างของคนตัวเล็กกว่า
“อ้าว มีแฟนแล้วหรอกเหรอคะ” คนพูดหน้าจ๋อยก่อนจะรับโทรศัพท์คืน แต่แล้วดวงตาของเธอก็กลับเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
“พี่ชายมีแฟนแล้ว แล้วน้องชายล่ะคะยังโสดอยู่หรือเปล่า”
ไม่ทันที่เต็มฟ้าจะอ้าปากพูด ท่อนแขนแกร่งของ ‘พี่ชาย’ ก็โอบเข้าที่ไหล่ของเขาเสียแล้ว
“ไม่โสดหรอกครับ น้องชายของผมก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน”
เล่นเอา ‘น้องชาย’ หน้าแดงลามไปจนถึงใบหู ทำอะไรไม่ถูกได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ แม้จะรู้ว่าศิธาพัฒน์ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองขนาดไหน และไม่มีครั้งใดที่จะปิดบังความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาแสดงใครรู้กันง่าย ๆ เช่นนี้
มือหนาค่อย ๆ เลื่อนลงมาก่อนจะกระชับแน่นรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้ “ดุเสียด้วยสิ”
“อ...อย่าบอกนะคะ ว..ว่า...” พูดไปก็กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะหันไปสบตาคนอื่น ๆ ที่ยืนจับกลุ่มอยู่ด้านหลังอย่างขอความเห็น ซึ่งพวกเธอที่เหลือก็พากันพยักหน้าหงึก ๆ เพื่อยืนยันในสิ่งที่เพื่อนกำลังคิด
“ฟ...แฟน หน้าตาดีนะคะ ท...ทั้งคู่เลย”
“ครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มร่าได้อย่างหน้าตาเฉย “ถ้าอย่างนั้นผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ”
“อ...เอ้อ ค่ะ”
เจ้าของร่างสูงยังคงยิ้มก่อนจะรั้งเอวคนที่กำลังยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เดินไปด้วยกัน และเมื่อคล้อยหลังทั้งคู่เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ ก็ดังระงมราวกับพวกเธอกำลังถูกแผดเผาด้วยไอร้อนของความอิจฉาที่จุดขึ้นในดวงตาของแต่ละคน
ทันทีที่หลุดออกจากฝูงชนได้เต็มฟ้าก็รีบแกะมือที่เกาะเอวตนเองออกทันที “ทำไมพี่ปุ่นไปพูดกับเขาแบบนั้น”
“พี่พูดอะไร”
“ก็พูดให้เขาเข้าใจว่า...ร...เรา”
“เป็นแฟนกันน่ะเหรอ”
คนถูกถามไม่ตอบ เพียงแต่นิ่วหน้าให้รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคาดเดานั้นถูกต้อง
“ก็แล้วทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ สำหรับพี่น่ะเป็นแฟนก็บอกว่าเป็นแฟน ไม่เหมือนบางคนหรอก มากับแฟนกลับบอกว่าเป็นพี่ชาย”
“ก็...” เต็มฟ้าถอนใจ อยากจะเถียงแต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาสู้เพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตู
“ก็อะไร เถียงมาสิ”
“ก็...ไม่เถียงก็ได้” เสียงอ่อยทำเอาศิธาพัฒน์เกือบหลุดหัวเราะ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการรักษามาดของพี่ชายผู้คุมกฎได้อย่างเหนียวแน่น นี่ก็เป็นอีกคนที่ข้างนอกอาจะดูแข็งกร้าวจนเกือบจะกลายเป็นความแข็งกระด้าง แต่จริง ๆ แล้วมันก็แค่เกราะป้องกันตัวเองที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นความอ่อนโอนข้างในก็เท่านั้น
“ดีมาก เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย”
ยังไม่ทันจะได้พูดออกไป รอยยิ้มแปลก ๆ ของคนตรงหน้าจุดความสงสัยขึ้นในใจจนต้องถามให้รู้เสียก่อน “อารมณ์ดีอะไรนักหนา”
“วันนี้โชคดีจังได้เห็นคนหึง”
“ใคร? ใครหึง”
“ก็ใครล่ะที่บอกสาว ๆ พวกนั้นว่าพี่มีแฟนแล้ว”
“หรือไม่จริง”
“พี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่ ยอมรับอย่างเต็มใจเลยละ” ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบจะชนกัน ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่เห็นทีไรก็พาให้หัวใจสั่นไหวอยู่ร่ำไป
“ห่าง ๆ หน่อยก็ได้” เต็มฟ้าขยับหนี หนีทั้งหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ หนีทั้งสายตาที่ยังคงมองมาที่เขา นึกอยากจะถามอยู่หลายครั้งว่าไม่เบื่อหรือไงถึงมองอยู่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้แต่กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงคอไปทุกที อยากจะเขกหัวตัวเองที่นับวันก็ยิ่งปล่อยให้คนตรงหน้าเข้ามามีอิทธิพลมากเข้าไปทุกที เคยคิดว่าหัวใจของตัวเองไม่ต่างอะไรกับดินที่ใช้ขึ้นรูปเซรามิค ยิ่งเจอความร้อนก็ยิ่งแข็งแกร่ง แต่พอเอาเข้าจริงมันก็แค่ขี้ผึ้งที่เพียงเจอไออุ่นก็อ่อนยวบ ในความเป็นคนรักกันมันมีอะไรมากกว่านั้น บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่มีพี่ชายคอยปกป้อง อีกหลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลจนจะเข้าใกล้ความเป็นสาวน้อยเข้าไปทุกที
“พี่เต็ม พี่ปุ่น” เสียงของเด็กชายที่กำลังหอบของพะรุงพะรังวิ่งเข้ามาทำให้ศิธาพัฒน์ต้องละสายตาจากดวงหน้าที่มองทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด
“มาอยู่นี่เอง ตามเดินหาตั้งนาน”
“หอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ย” เต็มฟ้าถามอย่างแปลกใจพลางมองทั้งกล่องของขวัญ ตุ๊กตาเต่าและลูกโป่งรูปฉลามในมือน้องชาย
“ตามเล่นเกมชนะ พี่เจ้าหน้าที่เขาเลยให้มาครับ” หนุ่มน้อยยิ้มอย่างภูมิใจ
“เหนื่อยหรือยัง อยากไปไหนอีกไหม” พี่ชายถามขณะกอดคอน้องชายเดินออกมาจากอควาเรียม
“อืม...ไม่แล้วฮะพี่เต็ม” ปากเล็กยังคงฉีกยิ้มกว้าง
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเนอะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงที่วันนี้อาสาเป็นคนขับรถให้เพื่อจะขอความเห็น
“เต็มอยากไปไหนอีกหรือเปล่า” ศิธาพัฒน์ถาม
“ไม่แล้ว วันนี้ก็แค่จะพาน้องมาเที่ยวเท่านั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นกลับเลยก็ได้ ผ่านไปเร็วจังเลยน้าาา วันเด็กแห่งชาติเนี่ย” พูดจบก็โยกศีรษะเด็กชายอย่างเบามือ
“เดี๋ยวปีหน้าเรามาเที่ยววันเด็กด้วยกันอีกนะฮะ พี่ปุ่น พี่เต็ม”เต็มฟ้าชะงักกึก จู่ ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
‘ปีหน้าเหรอ?’
‘ปีหน้า...ยังจะได้มาด้วยกันอีกไหม?’ “เต็ม คิดอะไรอยู่”
“ป...เปล่า ไม่มีอะไร” เป็นคำตอบที่แสนจะแผ่วเบา
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าก็ทำให้ศิธาพัฒน์รู้ได้อยู่ดีว่าต้องมีอะไรสักอย่าง “ไม่มีก็ไปเถอะ ดูสิตามวิ่งไปถึงรถแล้ว” พูดจบก็โอบไหล่เล็กเอาไว้แน่นราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีทั้งหมดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
จริงอย่างว่า ตามตะวันกำลังยืนโบกไม้โบกมือให้กับพี่ชายทั้งสองคนอยู่ที่รถแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสดงให้รู้ว่าในใจคงกำลังมีความสุข สุขกับช่วงเวลาในปัจจุบัน...
...
“ตามหลับแล้วเหรอ” ศิธาพัฒน์ที่กำลังนั่งอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์ถามขึ้นเมื่อร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีนวลที่มีต้นกำเนิดจากโคมไฟที่แขวนประดับไว้เป็นระยะตามแนวทางเดิน
“อื้อ กว่าจะเข็นกันอาบน้ำได้งอแงน่าดู” คนเป็นพี่ถอนใจเบาพลางนึกถึงเด็กชายที่นั่งหลับคอพับคออ่อนมาตั้งแต่รถยังไม่ออกจากเขตจังหวัดเชียงใหม่เสียด้วยซ้ำ คงเหนื่อยเพราะเล่นสนุกมาทั้งวัน ถึงบ้านจึงอยากจะเข้าห้องนอนท่าเดียว
“เต็มขอบคุณมากนะที่วันนี้อุตส่าห์ขับรถให้”
เป็นศิธาพัฒน์ที่ต้องถอนหายใจบ้าง “ใครสอนให้พูดกับแฟนแบบนี้นะ แทนที่จะถามว่าวันนี้พี่ปุ่นเหนื่อยไหมครับ กลับมาขอบอกขอบใจกันอย่างกับเป็นคนอื่น”
“ก็อยากขอบคุณจริง ๆ” เต็มฟ้ายังคงยืนยัน
“พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นดีกว่า” คนพูดยิ้มกริ่ม ชี้ที่แก้มป่อง ๆ จริง ๆ ก็แกล้งทำไปอย่างนั้นเองเพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเต็มฟ้าก็ไม่มีทางที่จะยอมทำแน่นอน
(มีต่อค่ะ)