จนกระทั่งถึงวันครบกำหนดการฝึกงาน เด็กฝึกงานทั้งหกคนในบริษัทได้รับหนังสือผ่านงาน พร้อมกับเสียงกระซิบจากฝ่ายบุคคลว่าจะมีงานเลี้ยงส่งเล็กๆน้อยๆให้กับเด็กฝึกงานทั้งหกคน
ด้านแผนกของพวกวิศวะ เด็กฝึกงานจากเชียงใหม่ เขียนใบสมัครทิ้งเอาไว้ที่ฝ่ายบุคคลเรียบร้อย ส่วนน้องภรรยาประธานบริษัทกับเพื่อนยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ จุนเจือดูจะสงบปากสงบคำ และทำงานเสร็จตามกำหนดเวลา ตามที่ได้รับมอบหมาย
"ผ่านงานจนได้นะพวกนาย....."เสียงศักดิ์ชัยว่าพลางตบลงบ่าของบาสอย่างแรง
"ถึงจะไรท์ดีวีดีขายตลอดก็เถอะ ถามจริงรายได้ดีกว่าที่พวกพี่ให้เยอะเลยล่ะซิ่"
"ฮะ ฮะ ไม่เท่าหรอกพี่..ผมก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัวน่ะฮะ หนักเอาเบาสู้น่ะนะ " บาสลูบบ่าตัวเองป้อยๆ นึกเป็นห่วงเก่งไม่น้อย กับความมือหนักของศักดิ์ชัย
"อะไร อายุแค่นี้เลี้ยงครอบครัวแล้ว?" ศักดิ์ชัยหัวเราะออกมาเบาๆ
"แหม่..ก็พอดีว่าจะสร้างครอบครัวเล็กๆอยู่อะครับ " มือแกร่งทำมือเป็นคำว่าเล็กๆ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิทที่เขย่าแก้วน้ำอัดลมของตัวเองไปมา
" จุนเจือ..มึงไม่สบายอีกเหรอ กลับไปก็ได้นะ เดี๋ยวกูบอกพวกพี่ๆให้ "
" กูสบายดี วันสุดท้ายแล้ว กลับก่อนได้ไงวะ " ริมฝีปากบางพยายามที่จะยิ้ม
" อีกอย่าง .. กูต้องคอยคุมมึงแทนน้องเอกด้วย "
" เออ ให้มันจริง .. แล้วก็ไม่ต้องห่วงชีวิตคู่ของกู..เลิฟๆเหมือนเดิมโว๊ย! "บาสยกแก้วไปชนอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันไปชนแก้วกับศักดิ์ชัย เสียงหัวเราะของบาสกับผู้คนมากหน้าหลายตา ห้องอาหารที่ถูกจองเอาไว้สำหรับเลี้ยงนักศึกษาฝึกงานและเป็นการเลี้ยงอาหารเล็กๆน้อยๆให้กับพนักงาน เป็นการเลี้ยงขอบคุณจากประธานบริษัท
ส่วนประธานบริษัทนั้นนั่งคุยอยู่กับหัวหน้าแผนกบัญชี และฝ่ายบุคคลดวงตาคมเหลือบมองจุนเจืออยู่เป็นระยะๆ หลังจากออกจากโรงพยาบาลเขาก็ยิ่งต้องคอยสังเกตอาการของเด็กหนุ่มอยู่เรื่อยๆ ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้พักผ่อนเสียจนเป็นลมเป็นแล้งไปอีก ก่อนที่จะมีอาหารนำมาเสริฟให้กับแต่ละโต๊ะ เมนูอาหารนั้นเน้นหนักไปทางเนื้อสัตว์ แต่ก็ยังมีเมนูพวกผักเอาให้กับพนักงานที่ทานมังสวิรัติ ไก่ทอดจานใหญ่วางลงตรงหน้าของจุนเจือพอดิบพอดี
บาสตักไก่ทอดชิ้นโตใส่ในจานของเพื่อน พลางบ่นราวกับเป็นผู้ปกครองเด็กเล็กๆ
" กินเข้าไปเลย จุนเจือ แม่ง..ผอมลงๆนะมึง " หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาก็ได้แต่เป็นห่วงเพื่อนคนนี้ตลอดจุนเจือเปลี่ยนไป หลังจากที่มาทำงานในสภาพอิดโรยขนาดนั้น กินข้าวน้อยลงมาก จนผอมลงกว่าเดิมจากที่ผอมอยู่แล้วอีก วันนี้ยงไงก็ต้องบังคับเพื่อนให้กินเข้าไปเยอะๆให้ได้
"มึงเป็นพ่อกูตั้งแต่เมื่อไหร่ .. เออ กูกินเองได้ สาดดดด ไม่ต้องป้อนโว๊ย~ "
"เอ้าๆ จะกินหรือจะเล่น ตรงนั้นน่ะ เมารึไง" เสียงทินกฤตดังขึ้นปรามจากหัวโต๊ะ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ เด็กหนุ่มหน้าสวยหันไปทางหัวโต๊ะ ดวงตาคู่คมสบตาอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงทานไก่ทอดของตัวเองไปอย่างเงียบๆ โดยที่ก็ต้องโวยวายเป็นระยะ เมื่อบาสตักนั่น-นี่ที่ไม่ชอบกินมาใส่จานตัวเองอยู่ตลอด
++++++++++++++++
เมื่องานเลี้ยงดำเนินต่อไป สีของน้ำในแก้วของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป จากสีสดใสก็กลายเป็นน้ำสีเหลืองทองที่มีพรายฟองอยู่ที่ปากแก้ว เสียงพูดคุยกันธรรมดา ก็เริ่มกลายเป็นเสียงอ้อแอ้กับเสียง
หัวเราะอย่างไม่มีสาเหตุ บาสเริ่มเมาโวยวาย แถมยังอวดกิตติศัพท์ความคอแข็งของจุนเจือเพื่อนรักจนมีแต่คนอยากจะทดสอบเต็มไปหมด
"กินอีก กินอีก กินอีก "
ดูเหมือนจะมีแต่เสียงคนเชียร์เมื่อจุนเจือดื่มเข้าไปอีกแก้ว และอีกแก้ว เสียงแก้วเปล่ากระแทกกับพื้นโต๊ะ ครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าขาวเริ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ หยาดน้ำเบียร์ไหลจากมุมปากลามมาถึงลำคอขาว และเสื้อเชิ้ตนักศึกษาเองก็เริ่มเปียกชื้น มือเรียวยกขึ้นเช็ดปากแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์อย่างลวกๆ
ท่าทางเหมือนจะเมาเละกันทั้งสองคน ทำเอาเจ้าของบริษัทที่นั่งเงียบอยู่นาน ต้องปรบมือเชิงเรียกความสนใจจากพนักงานรุ่นพี่ทั้งหลายที่กะจะทิ้งทวนกันไม่ให้เจ้าพวกเด็กฝึกงานพวกนี้ลืมกันเลยทีเดียว
"เอ้าๆ พี่ๆทั้งหลายพอแล้ว พอแล้ว จะให้เด็กมันคลานกลับรึไง ได้ทีแกล้งใหญ่เลยนะ พอๆ "
แต่ดูเหมือนจุนเจือจะไม่อยากสนใจ
" อีก..แก้ว.. " เสียงงึมงำในคอ มือเรียวหาขวดเบียร์ที่เมื่อครู่ยังอยู่ตรงหน้า ส่วนบาสก็เมาฟุบไปแล้ว จุนเจือก้มลง เห็นเพื่อนตัวเองฟุบกับโต๊ะแบบนั้นก็รู้สึกขัดใจ ตบหลังหัวของคนที่นอนอยู่ก่อนจะทำหน้ามุ่ย
" สาดนี่..หลอกกูกิน แล้วแม่งหลับ ตื่น!! "
เมื่อเห็นว่าจุนเจือกำลังจะลงมือทำร้ายเพื่อน ร่างสูงมองหาเก่ง อีกคนที่ดูน่าจะพึ่งได้
"เก่ง...เก่งอยู่ไหนไปห้ามเพื่อนหน่อยซิ่" แต่เมื่อกวาดตามองรอบๆก็เห็นว่าทั้งศักดิ์ชัยและเจ้าของชื่อที่เขาเรียกหานั้นหายตัวจากงานไปอย่างลึกลับ ร่างสูงลุกขึ้นถอนหายใจออกมาคำรบใหญ่
"เดี๋ยวผมจะกลับแล้วนะทุกคน เงินจ่ายไปแล้ว จะกินอะไรก็กินกันไปก็แล้วกัน ...." ทินกฤตว่าก่อนจะเดินตรงเข้าไปหยุดมือที่กำลังตบตีบาสอยู่ของน้องเมีย
"ไป กลับได้แล้วเรา "
"อย่ามายุ่ง..พี่ไม่สนใจผมแล้ว ก็อย่ามายุ่งกับผมนะ ปล่อยยยยยยย " มือเรียวสะบัดเพราะความเมาจึงเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป ทินกฤตแทบตะปบมือลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มก่อนจะหันซ้ายขวาแล้วยิ้มแห้งให้กับใครต่อใครแทบไม่ทัน ทั้งที่ในใจนึกเจ็บ ถึงจะไม่นึกกล่าวโทษอีกฝ่ายที่ไม่เคยรู้เรื่องที่เขาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล แต่คำพูดนั้นของจุนเจือก็ยังทำให้เขาเจ็บ ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ หากเขาไม่สนใจใยดีอะไรอีกฝ่ายแล้วคงไม่ไปหาถึงที่โรงพยาบาลแบบนั้นไม่นึกโหยหาในใจอยู่ตลอดแบบนี้เป็นแน่..
"หา จะอ้วกเหรอ อย่าตรงนี้นะเจือ มานี่เลย " ว่าพลางก็ลากเอาเด็กหนุ่มคนนั้นเดินตามไปด้วย
"อื้อ..อื้อ " ร่างบางดิ้นให้ทินกฤตปล่อยมือจากปากและจากแขนที่ดึงเขาออกมาจากร้านดูท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ จนกระทั่งมาถึงรถนั่นล่ะทินกฤตถึงจะได้ปล่อย เพื่อไขกุญแจรถ
++++++++++++++++
"พี่จะพาเราไปส่งที่คอนโด เข้าใจไหม เจือ ฟังพี่ดีๆนะ พี่จะขับรถพาเราไปส่งที่คอนโด" ทินกฤตพูดซ้ำช้าๆชัดๆให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่คนเมากลับเดินโซเซหนีไปอีกทางเสียแล้ว มือเรียวโบกไปมา
"มะเป็นไร..กลับเองได้ "
"เจือ.....อย่าดื้อได้ไหม" ทินกฤตขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเดินไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้
"มานี่ เมาเละแบบนี้เกิดกลับไม่ถึง เจนจะว่ายังไง" ร่างสูงเอ่ยซ้ำด้วยคำพูดเดิมๆที่มักจะใช้กับอีกฝ่ายเสมอมา มือแกร่งนั้นออกแรงมากขึ้นอีก เพื่อลากเอาเด็กหนุ่มให้เดินโซซัดโซเซตามมาขึ้นรถ
++++++++++++++++
รถคันโตของทินกฤตมุ่งหน้าไปยังคอนโดของจุนเจือทันที เมื่อมาถึงคอนโดมิเนียมของจุนเจือ ชายหนุ่มเดินอ้อมไปอีกทางเพื่อเปิดประตูและดึงให้เด็กหนุ่มร่างบางก้าวลงมาจากรถเช่นเดียวกับคืนที่เขาเคยพาเด็กหนุ่มกลับไปส่งที่บ้านในสภาพเช่นเดียวกัน
มือแกร่งจับแขนของเด็กหนุ่มพาดบ่าก่อนใช้มืออีกข้างตบๆที่กระเป๋ากางเกงของเด็กหนุ่มจนได้กุญแจมาก่อนจะค่อยๆพยุงให้คนเมาเดินเข้าไปในคอนโดโดยที่มีพนักงานของคอนโดช่วยเขาพยุงเอาเด็กหนุ่มขึ้นไปส่งจนถึงประตูหน้าห้อง ทินกฤตจึงกล่าวขอบคุณโดยไม่ลืมที่จะให้สินน้ำใจเล็กๆน้อยๆติดมือกลับไปด้วย ประตูห้องของจุนเจือปิดลง ชายหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงอยู่ที่โซฟา
"ไม่พูดแล้วล่ะเรา นิ่ง? "
จุนเจือนั่งหน้ามุ่ยเหลือบตามองทินกฤต แผ่นหลังบางเอนลงกับโซฟา สภาพเรียกได้ว่าหมดสภาพเลยทีเดียว
" พี่กลับไปเลย..ไป " มือเรียวโบกไล่ส่งๆ พยายามยันตัวเองขึ้น นึกเหม็นกลิ่นเบียร์ที่เลอะเสื้อก็ถอดมันโยนทิ้งเอาไว้แบบนั้น ทินกฤตยืนมองร่างบางที่ดูซูบผอมไปของเด็กหนุ่ม ก่อนจะถอนหายใจ จุนเจือดูไม่ต่างไปจากช่วงที่เข้าโรงพยาบาลตอนนั้นเลย
"ยังโกรธพี่ซิ่นะ...พี่เข้าใจ แต่ก็ดูแลตัวเองด้วยยังมีคนเป็นห่วงเจืออยู่นะ" ชายหนุ่มหยิบเสื้อของจุนเจือขึ้นมา
"เหรอ..ใครอะ..อยากรู้จัง "เด็กหนุ่มเริ่มถามกวนประสาท เสียงหัวเราะแปลกๆเพราะว่าเมานั้นดังในลำคอร่างบางเซเดินเปิดประตูห้องนอนก่อนจะเปลี่ยนชุดออกคิดจะอาบน้ำผ้าขนหนูพันรอบเอวอย่างลวกๆ ก่อนจะปรือตาอย่างง่วงงุนเพราะฤทธิ์เหล้า
"..................เจือรู้ดีพี่ไม่ต้องบอกก็ได้" ทินกฤตว่า พลางวางเสื้อของอีกฝ่ายลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปเสียบปลั้กกาต้มน้ำร้อน สองมือหยิบแก้วและขวดแก้วที่ใส่กาแฟสำเร็จรูปมาเตรียมจะชงกาแฟ
"ไปอาบน้ำทั้งแบบนั้นได้หัวฟาดพื้นกันพอดี มากินกาแฟก่อนมา เผื่อจะสร่างหรืออะไรขึ้นมาบ้าง"น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นแฝงความห่วงใยเอาไว้ไม่น้อย
หากแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากในห้องนอน ร่างบางโงนเงนก่อนจะทิ้งตัวลงกับเตียงนุ่มทั้งแบบนั้น..
เป็นครั้งที่เท่าไรในรอบวันที่ทินกฤตได้แต่ถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มดึงปลั้กหม้อน้ำร้อนออกทั้งๆที่น้ำยังไม่ทันจะได้เดือดเลยด้วยซ้ำไป ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องนอนของเด็กหนุ่มที่เกือบจะนอนเปลือยอยู่บนเตียง เขาไม่รู้ว่าจุนเจือผล็อยหลับไปแล้วหรือยังแต่ก็เดินตรงเข้าไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดที่อีกฝ่ายชอบใส่นอนออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งที่ขอบเตียง มือแกร่งเขย่าแขนของเด็กหนุ่มเบาๆ
"จะนอนก็ใส่เสื้อผ้าเสียหน่อย เดี๋ยวเป็นหวัด " ยิ่งพูดแต่ละคำ แต่ละประโยคในใจก็ยิ่งเจ็บ ดวงตาคมที่มองร่างบางนั้นอ่อนแสงลงพอๆกับใจที่ค่อยอ่อนยวบลงเช่นกัน
แต่เจ้าของห้องก็ไม่ได้ดิ้นหนี หรือลุกขึ้นมาทำอะไรอีก .. เพราะฤทธิ์เหล้าและเบียร์ และความเครียด เสียใจ และเจ็บปวด นั้น มันทำให้ร่างกายไม่อยากจะฝืนอีกต่อไปแล้ว ..
ทินกฤตเม้มริมฝีปากแน่น เขาจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหายเสียใจ และ หยุดเรียกร้องในสิ่งที่เขาทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ซักที ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เขาไม่ได้ติดต่อมาหาจุนเจือเลยนั้นเพราะอยากให้อีกฝ่ายพิจารณาดีๆ เขาไม่อยากจะบังคับให้เด็กหนุ่มตกลงปลงใจปล่อยมือของพี่สาวไป แล้วมาเลือกตัวเอง เพราะสิ่งนั้นก็จะทำให้จุนเจือทุกข์ไม่น้อย แต่สิ่งที่อีกฝ่ายควรจะทำก็ไม่น่าจะใช่การที่จะดึงรั้งไว้ทั้งสองมือเช่นนี้เพราะไม่ว่าจะมือใด ทั้งมือของคนที่รั้งเองและมือของคนที่ถูกรั้งเอง ก็ต่างเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น ทินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึก
"ความจริง...พี่คงจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเองก็ได้ ถึงได้ทำให้เราเจ็บแบบนี้ บางทีพี่อาจจะคิดเพียงแค่ตัวเองจะยืนอยู่ได้ยังไงในสังคมแบบนี้โดยที่มีเราอยู่ข้างๆ...." น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเมื่อทินกฤตค่อยๆเอ่ยความในใจพลางจับให้อีกฝ่ายที่หลับไม่ได้สติลุกขึ้นนั่ง เพื่อที่เขาจะได้ใส่เสื้อให้กับอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถะหนี่
"เลยต้องทำอะไรแบบนี้ พรากพี่พรากน้อง... แต่พี่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะห้ามอะไรเจนได้เลย... พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกันที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขให้ได้หมด...ไม่ใช่ว่าพี่ไม่สนใจเจือนะ พี่คอยมองเจืออยู่ตลอด ว่าจะเป็นอะไรไหม...ไม่สบายหรือเปล่า ...ไม่ได้อยากให้เจือต้องทรมานแบบนี้เลย ถ้าเหนื่อยนัก.....ก็พักซะเถอะ " ดวงตาคมหันกลับมามองใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มเมื่อค่อยดึงกางเกงขาสั้นขึ้นมาจนเกาะที่บั้นสะโพกของเด็กหนุ่มได้สำเร็จ
"ฝันดีนะครับเจือ...." มือแกร่งลูบเส้นผมของอีกฝ่ายแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปก้มลมจูบแนบขมับ ก่อนจะลุกขึ้นห่มผ้าให้กับอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องไป
++++++++++++++++
จุนเจือค่อยๆลืมตาตื่นในตอนเช้าของอีกวันถัดมา กลิ่นเหล้าจากตัวเองทำให้ต้องย่นจมูก มือเรียวค่อยๆยันตัวเองขึ้นจากที่นอน ก้มลงดูตัวเองก็ต้องแปลกใจเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มนั่งทบทวนเหตุการณ์อยู่นานว่าหลังจากที่ดื่มเบียร์จากแรงยุของพี่ๆที่บริษัทแล้ว ตัวเองกลับมาที่นี่ได้อย่างไร ภาพเลือนลางในสมองเห็นร่างสูงของพี่เขย พยุงพาเขามาส่ง รวมถึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ .. ริมฝีปากที่จูบกับผิวหน้าเขาอย่างอ่อนโยนขณะที่เขากำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น
..อยากจะขอบคุณ..และขอโทษ..
มือเรียวคว้าโทรศัพท์ที่ใช้เฉพาะกับทินกฤตเครื่องนั้นขึ้นมา ..ถึงจะไม่ได้ใช้อีกเลยหลังจากวันที่ทะเลาะกัน แต่เขาก็ไม่เคยปิดมันเลย .. นิ้วเรียวกดข้อความไปเงียบๆ แต่ก่อนที่จะได้กดส่งมันออกไป
---RRR----
เสียงริงโทนเพลงการ์ตูนแปลงร่างดังหนวกหูทำให้ร่างบางต้องสะดุ้ง เขาผละจากแบลคเบอร์รี่ แล้วหันไปรับโทรศัพท์ไอโฟนของตน
"มีอะไรวะไอ้บาส..เออ กูตื่นแล้ว ไม่ได้เมาค้าง สาด..หา? อยู่ใต้คอนโด พาน้องเอกมาเยี่ยม?? "พอได้ยินแบบนั้นเจ้าของห้องจึงต้องรีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรับแขกทันที ลืมเรื่องโทรศัพท์อีก
เครื่องไปเสียสนิท
++++++++++++++++
หลังจากฝึกงานแล้วก็เป็นช่วงปิดเทอม เมื่อไม่มีแขกประจำอย่างทินดกฤต แล้วยังมีเรื่องที่หมางเมินต่อกันแบบนี้ เด็กหนุ่มที่ชอบพบปะพูดคุยกับใครๆ อย่างจุนเจือก็ต้องจิตตกเป็นธรรมดา การอยู่คอนโดคนเดียวแบบนี้ ...เพิ่งเคยรู้สึกว่ามันเหงาแบบนี้...สุดท้ายแล้วจึงได้ตัดสินใจจะกลับไปอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยที่บ้านของเขาก็ยังมีแม่ให้อ้อน มีใครต่อใครคอยเป็นห่วงเขา มันย่อมดีกว่าการอยู่คนเดียวอยู่แล้ว
แน่นอนว่า เมื่อโทรศัพท์กลับไปบอกกับทางบ้าน คุณแม่ก็ดีอกดีใจเป็นการใหญ่ พลางบ่นคิดถึงลูกชายคนเล็กที่แทบจะไม่กลับบ้านเลยหลังจากย้ายกลับไปอยู่คอนโด ซึ่งมันก็จริง จุนเจือมาคิดย้อนหลังดูแล้ว ตอนที่เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี่ก็มัวแต่ห่วงเรื่องตัวเอง และให้ความสำคัญกับความรักที่ต้องหลบซ่อนนั้น จนไม่สนใจคนรอบข้าง เขาเอ่ยขอโทษกับผู้เป็นแม่ .. ใช่...เขาควรจะเข้มแข็งและเห็นค่าของตัวเอง อย่างที่คนรอบข้างนั้นรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีค่าเสียที..
++++++++++++++++