จุนเจือออกรถจากสำนักงานเขตไปยังถนนสายหลัก พลางแอบมองท่าทีของพี่สาวเป็นระยะๆ ถึงเจนสุดาจะรอคอยวันนี้มานานแสนนานแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีกว่าอีกฝ่ายคงเสียใจไม่น้อยที่ต้องทำแบบนี้
" พี่เจน..จะบ่ายสองแล้ว หิวแล้วล่ะ ไปกินข้าวกันไหมฮะ "
"หิวแล้วเหรอ อืม เจืออยากกินอะไรก็ไปเลย พี่เลี้ยง" เจนสุดาหันไปมองหน้าของเด็กหนุ่ม
"เป็นอะไรรึเปล่า" สีหน้าที่เห็นนั้นทำให้กังวลอยู่ไม่น้อย
" เจือ... " เด็กหนุ่มถอนหายใจขณะที่เลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้าใกล้ๆเพื่อทานอาหารมื้อบ่ายกับพี่สาว
" มาคิดๆดูแล้วล่ะฮะ...คงให้คำตอบพี่เจนได้แล้วล่ะ "คำตอบของคำถามของทั้งเจนสุดา และ ทินกฤต หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่นับเดือน ในที่สุดจุนเจือก็ได้คำตอบเสียที แล้วเขาก็ต้องจัดการเรืองนี้ด้วยตัวเองเสียที
+++++++++++++++++
ยิ่งวันที่เจนสุดาจะเดินทางไปยิ่งอเมริกาใกล้เข้ามา ผู้เป็นพ่อแม่ต่างก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ที่จะให้ทั้งทินกฤตและเจนสุดากลับมาคืนดีกัน ถึงขนาดที่ว่าชักชวนให้ทินกฤตอยู่ที่เรือนหอต่อไปอีกซักพัก
"น้องก็แค่...งอน คงหลบไปพักสมองซักพักน่ะ รอน้องที่นี่ก่อนนะเทียนนะ อย่าเพิ่งย้ายไปเลย" เสียงคุณแม่ยายว่าพลางออดอ้อนลูกเขยคนโปรดด้วยดวงตาคู่สวยที่สืบต่อไปยังพี่น้องทั้งสองคน
ทินกฤตเองก็พยายามปฏิเสธอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่อาจต่อต้านคำยืนกรานของผู้ใหญ่ได้ เขาจำต้องอยู่ที่บ้านหลังนั้นไปอีกซักพัก โดยที่เรื่องที่ตกลงกันพับพ่อตาแม่ยายทั้งหมดนี้ เจนสุดาไม่ได้มีส่วนรับรู้อะไรเลยแม้แต่น้อย
+++++++++++++++++
สนามบินสุวรรณภูมิยังคงไม่หลับใหล ไฟฟ้ายังคงเปิดจนสว่างไปทั่วบริเวณ ผู้คนมากมายขวักไขว่ทั้งคนไทย ชาวต่างชาติและเจ้าหน้าที่สนามบิน จุนเจือยกกระเป๋าเดินทางใบโตสองใบใส่รถเข็มของทางสนามบินหลังจากที่ออกมาจากประตูรถไฟที่ชั้นล่าง ไฟลท์บินไปยังนิวยอร์กมีกำหนดเดินทางในอีกไม่นาน
เจนสุดาได้ร่ำลาผู้เป็นบิดาและมารดา โดยยืนยันจะให้น้องชายมาส่งเพียงคนเดียว แม้จะถูกเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกับทินกฤตอยู่ตลอด แต่หล่อนก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
" พี่เจน..ไม่ลืมอะไรแล้วนะ พาสปอร์ตล่ะ?..แล้วเปิด roaming ไว้รึยัง ถึงแล้วเจือจะได้โทรหา "เด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าพลางถามเพื่อเตือนความจำของพี่สาว
"เปิดแล้ว... แล้วก็ไม่ลืมอะไรด้วย" เจนสุดายิ้มให้กับน้องชาย สองมือลูบผมสีน้ำตาลแดงของเด็กหนุ่มเบาๆ พลางจับหัวน้องชายเหวี่ยงไปมา
"อย่าทำตัวให้พ่อแม่เป็นห่วงล่ะเข้าใจไหม แล้วตาเนี่ยเปิดๆไว้ด้วย เข้าใจไหม...อย่าให้ใครมาทำให้เสียใจได้อีกนะ" ท้ายประโยคเจนสุดาเอ่ยจริงจัง
"พี่มีน้องชายของพี่อยู่คนเดียว ใครมาทำให้น้องที่รักของพี่ร้องไห้นะ พี่คงรู้สุกอยากร้องไห้ยิ่งกว่าเราแน่"
" นี่..พี่อลิส..จะดูแลพี่เจนได้ใช่ไหม? " มือเรียวจับมือของพี่สาวให้หยุดจับหัวเขา มือของเด็กหนุ่มนั้นเย็นเฉียบ รู้สึกใจหายกับการไปของพี่สาว ผู้เป็นพ่อกับแม่ขอองพวกเขาไม่รู้หรอกว่า เจนสุดาจะไปนานขนาดไหน
เจนสุดายิ้ม ดวงตาคู่สบตาน้องชาย เธออยากให้จุนเจือเชื่อมั่นในคนที่เธอเลือกแล้ว
" เจือไม่ต้อห่วงหรอกนะ พี่เลือกอลิสแล้ว อลิสเองก็เลือกที่จะมีพี่...มันไม่ใช่ว่าเป็นหน้าที่ของใครคนนึงที่จะต้องคอยปกป้องดูแล แต่มันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องดูแลกันและกัน เพราะฉะนั้น เจือไม่ต้อห่วงว่าพี่จะไปซุ่มซ่ามเซ่อซ่าเดินชนอะไรที่โน่น เพราะอลิสอยู่กับพี่แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าอลิสจะไปปาร์ตี้ที่ไหนไกลตาพี่ แฟนพี่คนเดียวพี่ไปลากกลับบ้านเองได้ " ท้ายประโยคยังทิ้งท้ายให้อีกฝ่ายขำเล่นๆ
"เจือเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ...แล้วนี่...." หญิงสาวว่าพลางล้วงกระเป๋าหยิบเอาสิ่งหนึ่งขึ้นมา
"พี่ให้ มันเป็นของเจือแล้วนะ ดูแลดีๆล่ะ"
" พี่เจน นี่มัน? "กุญแจบ้าน ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเจนสุดา..บ้านหลังนั้น เรือนหอของเธอกับทินกฤต
" ให้เจือทำไมล่ะ..ทำอย่างกับว่าพี่จะไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว " ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาจนน่าใจหาย
"ฝากไว้...เดี๋ยวทะเลาะกับอลิสแล้วพี่จะบินกลับมาซบอกเราไง" เจนสุดาหัวเราะออกมาเบาๆกับเรื่องที่เธอรู้ดีว่ามันไม่มีทางจะเป็นจริง ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นไล้เส้นผมยาวสลวยของตัวเองเบาๆ
"ดูแลให้ดีก็แล้วกัน...ของสำคัญนะ"
" หวา..สงสัยต้องจ้างแม่บ้านกับคนสวนของโครงการดูแลเป็นพิเศษซะแล้ว เจือทำงานบ้านเป็นที่ไหนกันล่ะ ฮะ ฮะ " จุนเจือเองก็หัวเราะออกมาเบาๆกับมุกของตัวเองเช่นกัน เขาไหว้ขอบคุณพี่สาวคนสำคัญแล้วรับเอากุญแจบ้านมา ก่อนจะเหลือบเห็นตารางการบิน
" เขาเรียกแล้วนะ..พี่เจน รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันนะฮะ "
"จ้ะ...งั้น..."เจนสุดาหยุด สองมือดึงน้องชายร่างสูงของตัวเองเข้ามากอดเสียแน่น
"แล้วเจอกันนะ ดูแลตัวเองด้วย" ว่าพลางก็ผละออกมาแม้น้ำเสียงจะสั่นเล็กๆแต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะกัดกลั้นความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเองเอาไว้
....ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากใจ.. ....
...แล้วก็ขอบใจมากที่ให้พี่ไป...... "ไปนะ" ผู้เป็นพี่โบกมือให้น้องชายน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านหลังประตูกั้นเพื่อตรวจเอกสารเพื่อออกนอกประเทศ ปลายทางคือ ประเทศญี่ปุ่น ที่เธอกับอลิสจะอยู่ที่นั่นด้วยกันซักพัก ก่อนที่จะย้ายไปยังอเมริกา...การเดินทางที่ยาวไกลของพวกเธอ เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้นเอง
+++++++++++++++++
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงอยู่รอจนกระทั่งเครื่องบินของพี่สาวได้เหินฟ้าไปนั่นแหละจึงได้ตัดสินใจกลับด้วยรถไฟเช่นเดิม .. ร่างเพรียวบางหาที่นั่งให้ตัวเองที่มุมด้านหนนึ่ง ติดกับประตู มือเรียวล้วงเอากุญแจบ้านหลังนั้นขึ้นมา ริมฝีปากยิ้มน้อยๆ อดที่จะดีใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขามีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงล้วงเอากุญแจที่เคยห้อยคีย์การ์ดคอนโดกลางเมืองนั้นมาห้อยกับกุญแจบ้าน"ของตัวเอง" นิ้วเรียวจิ้มกับตุ๊กตาแมวหน้ายุ่งพลางยิ้มเล็กๆ ...เห็นทีเขาคงต้องไปดูบ้านหน่อยเสียแล้ว..เพราะหลังจากที่เจนสุดาย้ายกลับไปอยู่บ้านของตัวเอง บ้านหลังนี้ก็คงจะไม่มีใครดูแลแน่ๆ
ส่วนทินกฤตเองก็คงย้ายออกไปตั้งแต่ตอนที่หย่าแล้ว... แต่ถึงจะหย่าขาดกับพี่สาว จุนเจือเองก็ไม่กล้าส่งข้อความหาชายหนุ่มอีกเช่นเคย .. สองอาทิตย์ที่ผ่านมามือถือที่เขาใช้คู่กับอีกฝ่ายก็มีหน้าที่แต่ถูกหมุนไปมาบนโต๊ะ กับความคิดที่ฟุ้งซ่านก็เท่านั้นเอง
+++++++++++++++++
สถานีรถไฟอยู่ไม่ห่างจากบ้านจัดสรรที่ตั้งของเรือนหอมากนัก ประกอบกับบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังแรกของโครงการ จึงเข้าออกค่อนข้างง่าย เด็กหนุ่มเดินเข้าไปเช่นทุกที ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆ เมื่อหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว พลางเงยหน้าขึ้น .. จะว่าดีใจไหม ก็ใช่ แต่ลึกๆแล้วก็อดที่จะคิดถึงทินกฤตไม่ได้ .. ชายหนุ่มคนนั้น อดีตพี่เขยของเขา เคยเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ เขาเองก็เคยทำเรื่องที่ไม่สมควรกับชายหนุ่มในบ้านหลังนี้เช่นกัน
จุนเจือถอนหายใจก่อนจะใช้กุญแจบ้าน ไขเข้าไปด้านใน
ดวงตาคู่สวยมองไปรอบๆบ้าน ข้าวของของเจนสุดาถูกย้ายออกไปจนหมด เหลือเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งมาจากที่โครงการจัดเอาไว้ให้ ขาเรียวเดินสำรวจไปรอบๆชั้นล่างของบ้าน ห้องครัวยังอยู่ในลักษณะเดิม มือเรียวไล้ไปตรงเคาท์เตอร์บริเวณที่เขากับทินกฤตเคยแอบซ่อนทำเรื่องที่เร่าร้อนต่อกันและกัน .. จู่ๆ ทั้งภาพ ทั้งเสียงที่ปรากฏขึ้นในสมอง ทั้งรสจูบนั้น ก็ทำให้เขาต้องหน้าแดง จุนเจือสะบัดหน้าไปมาเพื่อลบความรู้สึกนั้นออกไป พร้อมกับๆขายาวๆที่สาวเท้าออกจากห้องครัว ก่อนจะไปยังห้องนั่งเล่น
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย เมื่อโซฟาตัวโปรดของทินกฤตยังอยู่..แต่มันก็คงเป็นสมบัติของโครงการอีกเช่นเคย .. ร่างบางนั่งลงกับโซฟานั้น มือเรียวลูบกับผิวผ้าไปมา ความเงียบทำให้จิตใจของเขาเหม่อลอยไปไกล นึกถึงวันที่เขากล้าจูบกับอีกฝ่ายบนนี้ ...ความเร่าร้อนของรสจูบนั้น แม้จะผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ก็ราวกับว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น ณ วินาทีนี้เอง มันยังไม่จางไปไหน มือเรียวยกขึ้นปิดปากตัวเอง พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ แล้วลุกขึ้น ..นี่เขาเป็นอะไรไป ..เพิ่งไปส่งพี่สาวที่รักมาก แต่ทำไม พออยู่แบบนี้ กลับคิดถึงแต่ทินกฤตกัน?..
" โอย..ฟุ้งซ่านอะไรกันน่ะเรา.. " จุนเจือบ่นตัวเองเบาๆ พลางตบหน้าเบาๆเพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะเปิดโทรทัศน์เพื่อทำลายความเงียบ
+++++++++++++++++
เสียงรถยนต์เอสยูวีคันโตนำเข้าจากอเมริกาของทินกฤตแล่นเข้ามาจอดยัที่จอดรถ ประตูรั้วที่มีระบบอัตโนมัติเลือนปิดเมื่อทินกฤตกดรีโมท ดวงตาคมเหลือบมองกระจกหลังเล็กน้อยเพื่อเช้คความเรียบร้อย ก่อนจะก้าวลงมาจากรถ มือหนึ่งถือกระเป๋าเอกสาร อีกมือมีเสื้อสูท ปลายนิ้วแกร่งรั้งปมของเนคไทให้คลายออก
เสียงพวงกุญแจดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้านแต่พอตั้งใจจะไขก็ต้องแปลกใจเมื่อมองดีๆแล้วเห็นว่าประตูนั้นแง้มเปิดอยู่เล็กน้อย
....ขโมย?.... แว่บแรกทินกฤตคิด มือแกร่งของชายหนุ่มฉวยคว้าเอาไม้กวาดด้ามอลูมิเนียมที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมา มือแกร่งค่อยๆผลักเข้าไปด้านใน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามีรองเท้าผ้าใบราคาแพงถอดวางอยู่ตรงหน้าชั้นวางรองเท้าตรงพื้นต่างระดับตรงทางเข้าบ้าน
...ขโมยบ้านไหนใส่รองเท้าดีขนาดนี้วะ....แต่ก็ยังไม่ลดการ์ดของตัวเองลง มือแกร่งยังคงกำด้ามไม้กวาดแน่น คิดว่า หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนักก็จะลองไล่ไปให้พ้นๆ แต่ถ้ามากกว่านั้นคงจะต้องเรียกตำรวจ
แต่เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขก ช่วงขายาวก็ต้องหยุดนิ่งจนอาจจะเรียกได้ว่าเข่าอ่อนเพราะหมดแรงไปกับอาการเกร็งอย่างรุนแรงเมื่อครู่ หลังจากที่ได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนฟุบหลับอยู่ข้างโซฟาตัวโปรดของเขา
ผ้าม่านฝั่งตะวันตกของห้องรับแขกนั้นเปิดออกเพียงเล็กน้อย ปล่อยให้แสงแดดเข้ามาลามเลียบนพื้นไม้สีอ่อนขัดเงา ส่วนหนึ่งกระทบลงบนพื้นผิวเรียบของโต๊ะกระจกสะท้อนเป็นประกายจ้า แต่คงจะด้อยกว่าร่างบางนั้น แสงแดดตกกระทบลงบนเส้นผมสีน้ำตาลแดง มองไกลๆให้ความรู้สึกเหมือนสีเพลิงสว่างจ้า ทินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึก เขาวางไม้กวาดลงพิงกับข้างฝา แล้วค่อยๆเดินเข้าไปหา "ขโมย" ที่เข้ามาหลับอยู่ในบ้านของเขา ไม่ได้ต่างอะไรจากในนิทานเด็กที่เหมือนพ่อหมีกลับบ้านมาบ้านก็พบกับเด็กคนนึงมานอนสบายอยู่บนที่นอนของตัวเอง
ริมฝีปากได้รูปของทินกฤตยิ้มเมื่อดวงตาคมมองเห็นใบหน้าสวยของจุนเจือ ขนตายาวเป็นแพหลับพริ้ม ริมฝีปากสีสดนั้นเผยอขึ้นน้อยๆ หากเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงลมหายใจดังขึ้นเบาๆ
จุนเจือนอนใช้แขนตัวเองหนุนต่างหมอน เข่าสองข้างคดคู้เข้าหากัน เสื้อยืดแขนยาวสีขาวตัวบางที่ห่อหุ้มร่างกายของเด็กหนุ่มอยู่นั้นสะท้อนกับแสงแดด โดยรอบเป็นเงาของผ้าม่านสีส้มนวลตาราวกับจะโอบกอดให้ความอบอุ่นกับร่างของคนที่ไม่ได้สติ
ร่างสูงค่อยทรุดตัวนั่งลงข้างๆโซฟา ในมุมที่ตัวเองจะมองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจน มือแกร่งยกขึ้นไล้เส้นผมนั้นเบาๆ ให้เขานั่งมองจุนเจืออยู่อย่างนี้ตลอดไปก็ยังได้ ร่างบอกบางในตอนนี้ไร้การป้องกันใดๆ เสียงลมหายใจนั้นก็สูดเข้าเป็นจังหวะ
"นึกว่าแมวขโมยตัวร้าย.... ทำไมกลายเป็นแมวหน้ายุ่งไปได้นะ" ทินกฤตยิ้ม มองหน้าของอีกฝ่ายอย่างนึกรักนึกเอ็นดู อะไรกันที่ทำให้คนๆนี้ตัดสินใจได้ อะไรกันที่ทำให้เขาได้เป็นคนที่ถูกเลือก ...ทำไมเขาถึงรักอีกฝ่ายมากขนาดนี้ รักจนไม่อยากจะปล่อยไปไหน รักมากเสียจนยอมทำผิด คิดแผนต่างๆนาๆ ขึ้นมาโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ...
แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ร่างบางที่นอนหลับพริ้มอยู่ตรงหน้านี้ คงเป็นสัญญาณจากสวรรค์ หรือ ใครก็ตามที่เฝ้ามองการกระทำของมนุษย์เช่นเขาแล้วบอกกับเขา ให้เขาเลิกโกหก เลิกคิดแผนใดเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ และให้เลิกที่จะหลบซ่อนตัวเองและเผยโฉมในสิ่งที่เขาเป็นออกไปเสียที
+++++++++++++++++
talk : เจอกันแล้วนะคะ^^