แฟนผมเป็นตำรวจ ++++
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แฟนผมเป็นตำรวจ ++++  (อ่าน 237444 ครั้ง)

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
ป้ารออ่านต่อจ๊ะ
แต่ตอนท้ายเมื่อกี้มันค้างแบบชวนเศร้านะ
อิอิ  :z2:

sharp2

  • บุคคลทั่วไป
โว้ว โวว เย่ เย้ ห้าห้าห้าห้า

มาต่ออีกด่วนเลย ร๊ากกกันแล้วจะเปนไงต่อหว่า  :n1:

dokjarn

  • บุคคลทั่วไป
:laugh:

อ้างถึง
ตอนนี้เด็กอายุต่ำกว่า 40 ปีควรพิจารณานะครับ ไม่รู้ว่าจะติดเรทป่าวเนี่ย อิอิ

 :m25:

มานน่ากลัวตรงใหนเนี่ย คิก คิก เรทตรงหนายเนี่ย

ธรรมดามากมาย...แต่เอาแบบนี้อีกก็ดี ชอบ

คุณศักดิ์...เอี้ย..เพื่อนพี่เชษฐ์เนี่ย

เข้ามาขัดจังหวะหัวใจ ทำไมไม่รู้

ที่บ้านรับจ้างขัดพื้นป่าวเนี่ย...ก๊ากกก .. มีอารมณ์

บ่ายๆ ต่ออีกใช่มะครับ

รอ ครับ รอ

 :z2: :pig4: :z2:

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาแล้วครับ หลังจากที่เน็ตเดี้ยงไปเมื่อช่วงเช้า ทำให้การอัพเว็บบอร์ดต้องช้าไปด้วยครับ จากเดิมตั้งใจว่าวันนี้จะอัพให้หมดทั้ง 67 หน้า แต่เอาน่า ยังงัยวันนี้ก็จะอัพเท่าที่แรงเน็ตจะเอื้ออำนวย ขอขอบคุณทุก Reply นะครับ ตอนแรกตั้งใจว่าจะลงให้อ่านกันเพลินๆ เพราะรู้ว่ายังสู้นักเขียนเก๋าๆของที่นี่ไม่ได้  แต่พอรู้ว่ามีคนติดตามก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ที่ท่านผู้อ่านให้ความสนใจในเรื่องราวความทรงจำเล็กๆของผม นอกเรื่องกันเยอะแล้ว อัพต่อดีกว่า

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่เก้า  ชีวิตที่แขวนไว้บนเส้นด้าย

พฤษภาคม 2548
   บ่ายวันเสาร์กลางเดือนพฤษภาคม ฤดูร้อนกำลังจะผ่าน ไป ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าเริ่มกลับกลายเป็นสีหม่นๆ  ผม พี่เชษฐ์ พี่ศักดิ์ กำลังนั่งเล่นเกมส์กันอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของพี่เชษฐ์ได้ดังขึ้น  พี่เขาเลยลุกออกไปรับ  คุยได้แป๊บเดียวก็มาบอกผมว่า ต้องไปทำงานก่อน อาจจะกลับดึก  ไม่ต้องรอ
   “อ้าว  จับวงไพ่อีกแล้วเหรอ”  พี่ศักดิ์ถามขึ้น  แต่ตายังมองที่หน้าจอ นิ้วกดปุ่มจอยสติ๊กยิกๆอยู่
   “ประมาณนั้นแหล่ะว่ะ  พี่ไปก่อนนะโม”  ผมพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ดูสีหน้าท่าทางแล้ว เรื่องราวน่าจะใหญ่กว่าจับวงไพ่แหล่ะ  หลังจากนั้นผมก็นั่งเกมส์กับพี่ศักดิ์สักพักหนึ่ง พี่ศักดิ์บ่นว่าเหนื่อยแล้ว เลยเลิกเล่น แล้วขึ้นไปนอนข้างบน ผมก็เลยคิดว่า เดี๋ยวออกไปจ่ายตลาดดีกว่า เพราะเมื่อวานวันศุกร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตคนเยอะ ขี้เกียจรอ  ว่าแล้วก็เข้าบ้านหยิบกระเป๋าสตางค์ เดินออกไปหน้าปากซอยซื้อของ
   ผมก็เดินจ่ายตลาดไปเรื่อยๆวันนี้ว่าจะทำหมูมะนาว เห็นพี่เชษฐ์บ่นว่าอยากกิน ขณะที่เดินไปเรื่อยๆอยู่นั้น ผมก็บังเอิญได้ดูข่าวในทีวีที่แม่ค้าเปิดเอาไว้
   “เกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับพ่อค้ายาบ้า แถวชุมชนแออัดย่านคลองเตย  ทำให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1คน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บคือ ร้อยตำรวจเอก วรเชษฐ์ .................................”  ได้ยินดังนั้น ตัวผมก็ชาไปหมด ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ๆในหัว ได้สติดีแล้ว ผมก็รีบวิ่งกลับบ้าน แล้วไปบอกพี่ศักดิ์ว่า พี่เชษฐ์โดนคนร้ายยิง พอพี่ศักดิ์ได้ยินก็เด้งขึ้นมาจากที่นอน พอผมตั้งสติและเล่าเรื่องที่ผมได้ยินมาจากข่าวแล้ว พี่ศักดิ์ก็เลยขับรถพาผม ไปที่โรงพยาบาลตำรวจทันที ในระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพี่เชษฐ์ด้วย ถึงขนาดบนศาลกล่าวเลยทีเดียว (ก็คนมันกลัวอ่ะ) พอไปถึงที่โรงพยาบาล เราก็สอบถามกับประชาสัมพันธ์ และได้ทราบว่า พี่เชษฐ์ถูกยิงเข้าที่หัวไหล่ขวา กระสุนฝังใน ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัดเพื่อเอากระสุนออกก่อน  และเราก็ได้ถามทางไปยังห้องผ่าตัด ในแต่ละก้าวที่ผมก้าวเดินไปยังห้องผ่าตัด ผมรู้สึกว่าเท้าผมเดินไม่ติดพื้นเลยครับ อยากไปหาพี่เชษฐ์ให้เร็วที่สุด แม้ผมจะช่วยอะไรไม่ได้ก็ตาม ในที่สุดผมกับพี่ศักดิ์ก็ได้ไปรอที่หน้าห้อง สักประมาณ เกือบชั่วโมง เจ้าหน้าที่พยาบาลก็เข็นเตียงออกมา พี่เชษฐ์ ยังสลบอยู่ หน้าตาซีดเหมือนไม่มีเลือด  แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง กระสุนไม่ได้เข้าที่สำคัญ ซึ่งทำให้ผมโล่งอกขึ้นมาก
   ผมเข้าไปในห้องพักฟื้น แล้วเอาเก้าอี้มานั่งลงข้างๆเตียง  หน้าตาของพี่เชษฐ์ตอนนี้นิ่งสงบ จนผมอดคิดว่า ถ้าพี่เขาไม่ตื่นขึ้นมาล่ะ คิดได้แบบนั้นผมก็เอาหน้าลงไปซบกับฝ่ามือของพี่เชษฐ์ จำได้ว่าผมร้องให้ จนพี่ศักดิ์เข้ามาบอกให้ใจเย็นๆ พี่เชษฐ์ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ นั่นแหล่ะ ผมถึงจะหยุดร้อง สักครู่นึงผมก็ได้ยินเสียงพี่เชษฐ์ ร้องครางขึ้นมา ผมเลยรีบไปเรียกพยาบาลให้มาดู  พยาบาลก็เข้ามาพร้อมถาดเข็มฉีดยาสองหลอดและได้ฉีดเข้าไปที่แขนของพี่เชษฐ์ พยาบาลได้บอกว่าเป็นยาแก้ปวดกับยานอนหลับ หลังจากนั้นพี่เชษฐ์ก็สงบลงแล้วก็หลับต่อไป  พี่ศักดิ์จึงชวนผมกลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาเยี่ยมวันหลัง พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไรแล้ว พี่ศักดิ์ก็เข้าใจดี เพราะพวกเราสองคนก็เป็นห่วงพี่เชษฐ์จนไม่อยากทำอะไรทั้งคู่เหมือนกัน

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
น่ารักมากๆ เลยครับ

คนอัพก็ขยัน

โอ้ สวรรค์จริงๆ


ผมเงยหน้าขึ้นมามองพี่​เชษฐ์​ ​แล้ว​เอื้อมตัวไปหอมที่​แก้มพี่​เขา​ทีนึง​  “​ยินดีครับ​”  ​ผมพูดขึ้น​ ​พี่​เชษฐ์ยิ้ม​ให้​ผม​ ​มัน​เป็น​ยิ้มที่ผม​ไม่​มีวันลืมเลย​ ​ผม​ยัง​จำ​รอยยิ้ม​ได้​จน​ถึง​ทุกวันนี้​ ​แม้ว่าพี่​เชษฐ์​จะ​ไม่​อยู่​แล้ว​ก็ตาม​............................



จบเศร้าสินะครับ  :m15:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2009 13:13:43 โดย Vesi »

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
บทที่เก้า  ชีวิตที่แขวนไว้บนเส้นด้าย (ต่อ)

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาผมก็รีบไปเยี่ยมพี่เชษฐ์ทันที แต่ว่าพี่ศักดิ์นัดกับที่ทำงานไว้ต้องส่งงานด่วน เลยไม่ได้มาด้วย ผมเข้าไปยังห้องพักฟื้น ก็พบว่าพี่เชษฐ์ยังไม่ตื่น แต่สีหน้าดีกว่าเมื่อวานขึ้นมาหน่อย ผมนั่งมองพี่เชษฐ์อยู่เป็นนาน ความกังวลก็คลายลงไปมากแล้ว เหลือแต่ความเป็นห่วงที่อยู่เหมือนเดิม  ผมก็เลยเอาหน้าลงไปซบที่ข้างพี่เชษฐ์  พอกำลังจะคล้อยหลับ ก็รู้สึกว่ามีมือกำลังลูบหัวผมอยู่ เย้ พี่เชษฐ์ฟื้นแล้ว
   “ว่างัย”  พี่เชษฐ์ทัก
   “พี่ฟื้นแล้ว เหรอครับ เจ็บมากมั้ยอ่ะ” ผมถาม และกำลังเริ่มจะร้องให้อีกแล้ว
   “อื้ม พอทน........ อย่าร้องสิ เป็นแฟนตำรวจอย่าขี้แย” เสียงปลอบของพี่เชษฐ์แผ่วเบาเหมือนจะหลุดหายไป
   “ครับ ไม่ร้องแล้ว” ผมรับปาก  พอดีมีนางพยาบาลเข้ามาดูแล ผมเลยต้องออกไปรอข้างนอกก่อน พอพยาบาลออกไปแล้ว ผมจึงเข้ามานั่งข้างๆพี่เชษฐ์ แล้วกุมมือเอาไว้เหมือนกับว่า ผมกลัวพี่เชษฐ์จะหายไปจากผม
   “พี่ครับ  พอผมได้ข่าวว่าพี่โดนยิง ผมกลัวว่าจะเสียพี่ไปซะแล้วสิ”
“อื้ม ตอนที่พี่โดนยิง พี่กลัวมากเหมือนกัน แต่พี่ไม่ได้กลัวตายหรอกนะ พี่กลัวว่าพี่จะไม่ได้กลับมาหาเราอีก แต่พี่อยากให้เราทำใจ ชีวิตทำงานของพี่ เอาแน่นอนไม่ได้หรอก วันนี้อยู่ พรุ่งนี้อาจไม่อยู่ก็ได้”
   เราสองคนเงียบไป เพราะต่างรู้ว่า นั่นเป็นสัจธรรมของชีวิต โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจ ครู่หนึ่งพี่เชษฐ์ก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยา  ผมจึงเอื้อมตัวจูบที่แก้มพี่เขาไปทีนึง แล้วก็ออกมานั่งอยู่ข้างนอก มองจากข้างบนตึก ก็เห็นยอดเจดีย์ของวัดที่อยู่ตรงข้าม เลยนึกว่าไปไหว้พระเข้าวัดซะหน่อยก็คงจะดี ผมเลยเดินลงมาจากตึก ข้ามถนนเข้าไปในวัด
   พอไปถึงวัดแล้วผมก็รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่เมื่อนาทีก่อน ยังมีอารมณ์ไม่แจ่มใสอยู่ เห้อ นี่แหล่ะ สมัยนี้คนที่จะเข้าวัดก็ตอนมีทุกข์กับตอนตายเท่านั้นแหล่ะ   สายๆของวันอาทิตย์ก็ยังคงมีผู้คนมาสักการะกันอยู่พอสมควร ดูจากสีหน้าของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านแล้ว ทำให้ใจของผมคลายความเป็นกังวลลงได้เยอะเหมือนกัน ถึงแม้จะอยู่กลางเมือง แวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ก็สงบใช้ได้ ผมก็ได้เข้าไปไหว้พระประธาน ซึ่งเขาบอกว่าได้อัญเชิญมาจากเมืองลาวตั้งแต่สมัยอยุธยาโน่น ผมก็เข้าไปในพระอุโบสถไหว้และขอพร 
   “ถ้าผมยังพอมีความดีอยู่บ้าง ก็ขอให้ความดีของผมช่วยปกปักษ์รักษาคนที่ผมรักด้วยเถิด”
พอผผมไหว้พระเสร็จ ก็เลยนั่งมองพระพุทธรูปอยู่ครู่หนึ่ง พระพักต์ท่านสมกับเป็นผู้หลุดออกจากทุกข์แล้วทั้งหมดทั้งปวง ซึ่งก็สามารถทำให้จิตใจที่หวั่นไหวของผม สงบลงอย่างประหลาด พอนั่งมองเป็นที่พอใจแล้ว ผมก็ออกเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาล  พอไปถึงห้อง พี่เชษฐ์ยังไม่ตื่น  ความเหนื่อยก็เขามาแทนที่ ผมก็เลยหลับไปบนโซฟาที่อยู่ในห้องพักฟื้นของพี่เชษฐ์นั่นเอง
   “โม ..... โม ตื่นได้แล้ว”
   “หืม อ้าว พี่ศักดิ์เองเหรอ “ ผมงัวเงียตื่นขึ้น มองดูนาฬิกา ตอนนี้ก็บ่ายสองโมงครึ่ง มองไปที่เตียงก็เห็นพี่เชษฐ์ตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มให้ เป็นช่วงที่ดีที่สุดของวันเลยทีเดียว
   “พี่เชษฐ์ตื่นนานยังอ่ะคัรบ “ ผมถาม
   “ก็ตะกี๊นั่นแหล่ะ เห็นลิงหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก”   
“อ้าว มาว่ากันซะงั้น ฮ้าววววววววววว.....” ผมหาวเสียงดัง
   “พี่ว่าเรากลับไปพักก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวพี่ดูแลแทนเอง” พี่ศักดิ์แนะนำ
   “อื้ม กลับเถอะ พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ตะกี๊ฝันว่ามีพระเอาบุญมาให้ ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปวดแผลเท่าไหร่ ” พี่เชษฐ์พูดขึ้นมาเสริม
   ผมพยักหน้ารับทราบ เดินเข้ากอดพี่เชษฐ์ทีนึง แล้วเดินออกมา ท้องฟ้าที่ครึ้มเมื่อเช้านี้ ตอนนี้ก็เริ่มมีพระอาทิตย์ส่องแสงออกมาให้เห็นแล้ว ผมถือว่าเป็นลางที่ดีแล้วกันนะ

   อาทิตย์นึงผ่านไป พี่เชษฐ์ก็ออกมาจากโรงพยาบาล เพื่อมาพักฟื้นที่บ้านแล้วล่ะครับ พี่เขาอาการดีขึ้นเยอะแล้ว  แต่แขนข้างขวายังขยับไม่ได้มาก ผมก็เลยต้องช่วยพี่เขาอย่างเช่น ล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด จนถึงเช็ดตัว เพราะหมอยังไม่ให้แผลโดนน้ำ ก็เลยยังอาบน้ำไม่ได้  อ้อ ตอนนี้ก็ต้องป้อนข้าวด้วยนะครับ ที่จริงพี่เขาก็กินเองได้อยู่นั่นแหล่ะ แต่เค้าก็มีลูกอ้อนน่ารักๆ ทำให้ผมใจอ่อนอยู่เสมอ พอผมไม่ทำให้ก็บ่นว่า มีแฟนไว้ทำไมเนี่ย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2009 19:57:36 โดย HuaTangMo »

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
บทที่สิบ   ก็เสียงหัวใจมันบอก

กรกฎาคม 2548
ขอพักเรื่องของผมกับพี่เชษฐ์ไว้ก่อนสักตอนนึงครับ เพราะว่าตอนนี้ผมมีเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับเพื่อนของพี่เชษฐ์ อะแฮ่ม นั่นคือ พี่ศํกดิ์ นั่นเอง (ที่ผมเล่าตอนนี้ให้อ่าน มันอาจจะเป็นความรักทั่วๆนี่แหล่ะครับ แต่ก็เกี่ยวกับเนื้อเรื่องของผมตอนท้ายๆไม่น้อยเลย)  ยกให้แกเป็นพระเอกสักตอนก็แล้วครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า  มีอยู่สัปดาห์หนึ่งเนี่ยอ่ะคัรบ พี่สาวของผมต้องมาประชุมที่กรุงเทพ พี่สาวผมเป็นครูครับ สอนที่โรงเรียนแถวบ้านสวนของผมนี่ล่ะครับ  ความสวยก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆได้ (เห็นพี่สาวผมบอกว่า หน้าตาแบบนี้ก็เร้าใจนะเฟ้ย) แล้วก็ชอบมีผู้ชายมาจีบพี่สาวผมบ่อยๆ ผมก็ชอบรวมหัวกับพ่อแกล้งผู้ชายพวกนั้น  อย่าง ให้แม่ทำกับข้าวประหลาดๆ มาให้พวกเขากินมั่ง หรือเวลาที่พวกผู้ชายที่มาจีบพี่สาวผม ขับรถมอเตอร์ไซด์มา แล้วเอาเข้าไปจอดไว้ในใต้ถุนบ้าน ผมก็จะแกล้งถอดสายหัวเทียน ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดมั่ง  และวีรกรรมอื่นๆอีกมากมาย ตามประสา พ่อ และ น้องชายที่หวงพี่สาวนี่แหล่ะครับ จนตอนหลังๆ ที่ผมมาทำงานและมาอยู่ที่กรุงเทพ  พ่อผมก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า    
“พอแล้ว เดี๋ยวนังกวามันจะขึ้นคาน   ไม่อยากเลี้ยงมันจนแก่ตาย”  พ่อผมโทรมาบ่นให้ฟัง อ้อ ลืมบอกไปครับ พี่สาวผมชื่อ แตงกวา เลยเรียกสั้นๆว่า กวา ของผมก็เหมือนกัน  ผมก็ชื่อ แตงโมครับ พ่อแม่ก็เรียกสั้นๆว่าโม เหมือนกัน
พี่กวากับเพื่อนๆนัดกันไว้ว่าจะมา วันอาทิตย์ วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวครับ พี่เชษฐ์ก็เข้าเวร ส่วนพี่ศักดิ์ก็ออกไปข้างนอก ตกบ่าย พวกพี่ๆผมก็ถึงบ้านผมกันครับ ซึ่งก็เป็นพวกครูที่สอนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับพี่สาวผมนั่นแหล่ะครับ พี่กวาเอาของมาฝากผมเยอะเลย  บอกว่าพ่อกับแม่ฝากมาให้ มีทั้งผลไม้ ของกินอื่น  ขนาดปลาแห้งยังเอาใส่ชะลอมมาให้เลย  อิอิ คิดแล้วก็ประหยัดค่ากับข้าวไปได้เยอะทีเดียว ขอบคุณพ่อกับแม่มากๆคร๊าบ พวกพี่กวามากันห้าคน ครับ วันนี้ตอนเย็นเลยตกลงกันว่าจะปาร์ตี้กันซะหน่อย  แต่ตอนนี้ยังบ่ายอยู่ เลยขอออกไปเที่ยวก่อน แล้วพอนั่งพักสักครู่ก็เลยตกลงกันว่า ไปจตุจักรกัน เพราะแค่เดินออกไปหน้าปากซอย แล้วเดินไปตามถนนใหญ่ร้อยกว่าเมตร ก็จะถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว  อ้อ ที่จริงเขาก็มีงบค่าที่พักให้นั่นแหล่ะคัรบ พี่สาวเห็นบ้านผมมันยังว่างอยู่เยอะ ก็เลยชวนกันมาพักที่บ้านผมดีกว่า แล้วก็ไกล้ที่ประชุมกว่าโรงแรมด้วย (ผมก็พอรู้ทันอยู่หรอกครับ ว่าจะงุบงิบเอาตังค์ไปเที่ยวมากกว่า)  แต่ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกครับ ขออยู่บ้านเตรียมของทำกับข้าวดีกว่า กะว่าวันนี้จะทำกับข้าวชุดใหญ่ต้อนรับพี่สาวหน่อยน่ะครับ เหอๆ
ผมก็ทำอะไรของผมไปเรื่อยๆ พอดูเวลาอีกที อ้าว จะหกโมงแล้ว เลยเตรียมตัวเข้าครัวทำกับข้าว วันนี้ต้องหุงข้าวเผื่อเยอะหน่อย เพราะมีคนกิน พี่สาวกับพวกเพื่อนๆ เป็นห้าคน ผม พี่เชษฐ์ แล้วก็พี่ศักดิ์  อีกสามรวมเป็นแปดคน  สนุกล่ะทีนี้ พออีกสักครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมเลยโผล่หัวออกไปดู อ้าว พี่เชษฐ์กลับมาแล้ว
   “โม ทำอะไรน่ะ”  พี่เชษฐ์ทักขึ้น
“อ๋อ วันนี้พวกพี่สาวผมมาพักด้วยน่ะครับ พอดีเค้าเข้ามาประชุมกันน่ะ อยู่เป็นอาทิตย์เลย พี่หิวยังอ่ะคัรบ ถ้าหิวก็หาขนมกินก่อนได้นะ อยู่ในตู้เย็นเยอะเลย” ผมบอก
“หิวข้าวน่ะไม่ค่อยหิวหรอก แต่หิวคนตรงหน้ามากกว่า”  พี่เชษฐ์พูด พลางทำตากรุ้มกริ่มใส่ผม
“เดี๋ยวก็เสียบให้เลยนี่” ผมชูมีดขึ้นทำท่าจะจิ้ม
“เอ้อ โหดจัง ไม่กินก็ได้ ฮ่าๆๆ” พี่เชษฐ์พูดจบก็เดินไปหาของกินในตู้เย็นรองท้องก่อน
สักพักหนึ่งพวกพี่ๆก็กลับมากันครับ ต่างคนต่างหอบของพะรุงะรังกันมาเลยทีเดียว กะว่าไปเหมาสวนจตุจักรมาเลยนะเนี่ย พอเข้ามาในบ้านแล้ว ผมก็แนะนำให้รู้จักกับพี่เชษฐ์ พอเท่านั้นแหล่ะครับ
“อุ๊ย ไม่ยักกะรู้ว่ามีตำรวจหล่อๆมาอยู่บ้านข้างๆด้วย”   พี่เค้าไม่เหมาะกะป้าหรอก
“โห เป็นถึงผู้กองเหรอคะ มีแฟนยังคะเนี่ย”    ยืนอยู่ตรงนี้ไง ป้า ไม่เห็นเหรอ
“พี่คะ คือว่าบ้านน้องมันเปลี๊ยว เปลี่ยวนะค่ะ อยากให้พี่ช่วยไปรับไปส่งจัง”    โถ เจ๊มีหน้าตาเป็นอาวุธ ยังจะกลัวอะไรอีกอ่ะ
 เสียงกรี๊ดกร๊าดยังตามมาเรื่อยๆโดยมีผมยืนพยายามทำหน้าตาบอกให้รู้ว่า  “เฮ้ย แฟนกรู แฟนกรู”  แต่ไม่ยักกะมีใครสังเกตุเห็น  พี่เชษฐ์ของผมเลยเป็นของให้พวกเพื่อนๆ พี่ผมแทะโลมก่อนถึงเวลาอาหาร
“เพื่อนพี่แรงๆ ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย”  ผมคุยกับพี่สาวผม ขณะที่เราสองคนกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว
“เออ ปล่อยพวกมันไปเหอะ นานๆทีผู้ชายจะตกถึงท้อง”  พี่สาวผมนินมาให้ฟัง
“ฮ่าๆๆๆ พี่กวาไปเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหนอ่ะ”
ขณะที่ผมกำลังจัดผักลงจานอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“กลับมาแว้วว  โห อยู่กันหลายคนจัง มีอะไรเหรอครับ วันนี้”

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
“กลับมาแว้วว  โห อยู่กันหลายคนจัง มีอะไรเหรอครับ วันนี้”  พี่ศักดิ์นั่นเอง กลับมาจากออกไปข้างนอกแล้ว
“อ้าว พี่ศักดิ์ กลับมาแล้วเหรอครับ เดี๋ยวรอแป๊บนึงนะคัรบ ไกล้จะเสร็จแล้ว อ้อ นี่พี่สาวผมครับ พี่กวา พี่กวา นี่พี่ศักดิ์ครับ เป็นพี่เลี้ยงที่ทำงานโมเอง” ผมแนะนำพี่ศักดิ์ให้พี่สาวรู้จัก ตอนที่พี่กวากำลังยกจานอาหารออกมาจากในครัวแต่ดูเหมือนพี่ศักดิ์จะไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่นัก ได้แต่จ้องหน้าพี่สาวผมอยู่
“อ่ะ เอ่อ ..ง ผมศักดิ์ครับ ยินดีที่รู้จักครับ” ในที่สุดก็ได้สติ
“ค่ะ ยินดีค่ะ”  พี่สาวผมก็หน้าแดงๆ เอ๊ะ มันยังงัยนะเนี่ย ไม่ใช่แต่พี่สาวผมเท่านั้นนะคัรบ พวกสาวๆที่เหลือก็พากันเข้ามา
“ว๊ายย เพื่อนคุณเชษฐ์ก็หล่อนะคะ ขาว ตี๋ สเปคเลยค่ะ”
“ชื่อศักดิ์เหรอคะ ดิฉันดาค่ะ ยินดีที่รู้จัก มีแฟนยังคะ ทำงานอยู่ที่ไหน ......”
“อุ๊ย แถวนี้พอจะมีบ้านว่างให้เช่ามั้ยคะ อยากย้ายมาอยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้เลย”
เป็นอันว่าวันนี้ที่โต๊ะอาหาร มีผู้ชายสองคนเป็นของให้สำหรับเพื่อนๆพี่กวาแทะโลม แทนของหวาน โดยเฉพาะพี่เชษฐ์  ซึ่งออกจะถูกใจสาวๆพวกนั้นมากกว่า ด้วยความหล่อเข้มแบบไทย (ผมเคยคิดว่า ถ้าพี่เค้าจะไปเป็นพระเอกละคร ก็น่าจะเรื่อง จำเลยรัก ที่ตบจูบๆกัน ท่าจะรุ่งนะ) แต่พี่ศักดิ์ก็ไม่แพ้กัน ด้วยหน้าตาที่ขาวตี๋  ตัวล่ำสูง ตัดผมทรงนักร้องเกาหลี   ซึ่งก็เข้ากับใบหน้าเลยทีเดียว แต่ดูพี่ศักดิ์ไม่ค่อนสนใจใครเท่าไหร่หรอกครับ นอกจากมองหน้าพี่สาวผมจนพวกเรากินข้าวเสร็จโน่นล่ะ
“แล้วจะอยู่กันกี่วันเหรอครับ เนี่ย” พี่เชษฐ์ถามขึ้น
“ก็อาทิตย์นึงน่ะค่ะ แต่ถ้าอยากให้อยู่ประจำก็ได้นะคะ ยินดีค่ะ” ป้าดาตอบ พลางพยายามส่งสายตาหวานๆให้พี่เชษฐ์
“แหม แก เค้าคงจะให้อยู่อยู่หรอก มาแค่นี้ ผีบ้านผีเรือนก็กระเจิงแล้ว”  พี่อีกคนหนึ่งพูดสวนขึ้น พอได้ยินแบบนั้นแล้ว ป้าดาก็ได้แต่ทำท่าขัดใจอย่างแรง
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะเธอ ป่าช้าบ้านเราผีดุจะตาย แต่ยัยดาเดินผ่านทุกวัน ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย” พี่อีกคนหนึ่งเสริมขึ้น พอพูดจบแค่นั้นแหล่ะ พี่แกก็โดนหมอนปาเข้าที่หน้า แล้วก็มีเสียงวี๊ดว๊าย เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เว้นแต่สองคนนี่สิ อีกคนก็เอาแต่มองๆ อีกคนก็นั่งก้มหน้าเขินอยู่นั่นแหล่ะ เอ มันชักกจะยังไงๆแล้วนา
   นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ป้าดาจึงชวนพวกสาวๆ ไปอาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปประชุม
   “แล้วพรุ่งนี้เราจะไปกันยังไงล่ะ” ป้าดาถามขึ้น
   “ก็เดี๋ยวไปแทกซี่ก้ได้นี่”  พี่สาวผมตอบ
   “เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้ครับ ทางเดียวกันกับที่ทำงานผมเลย” พี่ศักดิ์พูดขึ้น พอได้ฟังแล้ว ผมก็สำลักลูกชมพู่ที่กำลังกลืนพอดี ทำให้พี่เชษฐ์ต้องเอามือมาทุบหลังผมเบาๆ จะบ้าเหรอไงเนี่ย ไอ้คุณพี่ศักดิ์ มันทางเดียวกันตรงไหนวะ  มันย้อนกลับไปคนละทางเลยนะเฟ้ย ขณะที่ผมกำลงัจะพูดค้าน ป้าดาก็พูดขึ้นมาว่า
   “อุ๊ย จะดีเหรอคะ เกรงใจแย่ พวกเราก็ต้องออกตั้งแต่หกโมงเช้าด้วย”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว” ผมกับพี่เชษฐ์มองหน้ากัน พี่ศักดิ์น่ะเหรอ ตื่นเช้า  บางวันพระอาทิตย์จะตรงหัวอยู่แล้วพี่เค้ายังไม่ตื่นเล้ย วันนี้แปลกๆแฮะ สงสัยหิมะจะตก
   “งั้นก็ขอรบกวนด้วยนะค๊า” ป้าดาตอบขอบคุณ
   “ไม่เป็นไรครับ ยินดี” พี่ศักดิ์พูดแล้วก็หันไปมองพี่สาวผมอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกจากประตูไป  แล้วพี่เชษฐ์ก็หันมาทางผมถามว่าวันนี้จะนอนยังไง ผมก็ตอนว่า เดี๋ยวเอาที่นอนมาปูที่ห้องรับแขกก็ได้ครับ
   “อ้าว งั้นไปนอนกับพี่เหอะ เดี๋ยวไม่สบายเอา” พี่เชษฐ์ชวนผม
   “ไม่เป็นไรครับ พี่ ผมนอนดิ้นน่ะ” ผมตอบไป
   “เออน่า นอนกับพี่ นอนดิ้นไม่ได้หรอก” พี่เชษฐ์พูด พลางทำสายตาเจ้าเล่ห์ แล้วก็ดึงมือผมเดินออกไปที่บ้านของพี่เขา ผมเลยบอกว่าพี่สาวว่า เดี๋ยวผมไปนอนบ้างๆข้างแล้วกัน ช่วยปิดบ้านให้ด้วย
   ท่านผู้อ่านคงคิดว่าผมกับพี่เชษฐ์คงจะมีอะไรกันใช่มั้ยครับ แต่ปล่าวเลย เราสองคนแค่นอนกอดกันเท่านั้นแหล่ะคัรบ สาบานได้ (ตั้งแต่วันที่เราเกือบจะมีอะไรกัน แล้วพี่ศักดิ์มาเห็นก่อน เราก็ไม่ได้มีอะไรกันตั้งแต่นั้นมาครับ ดีหน่อยก็แค่หอมแก้ม จูบ หรือว่ากอดแค่นั้นเอง พี่เค้าบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ดูกันไปเรื่อยๆก่อนดีกว่า)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
วันรุ่งขึ้น พี่ศักดิ์ก็ทำให้ผมกับพี่เชษฐ์แปลกใจ ด้วยการตื่นตั้งแต่ตีสี่ (จะตื่นมาทำบ้าอะไรฟะ) อาบน้ำ แต่งตัว ผมกับพี่เชษฐ์ ตื่นกันประมาณตีห้าครึ่งได้ เพื่อเตรียมทำอาหารเช้าให้พวกพี่ๆเค้า อาหารก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็เป็นอเมริกัน เบรคฟาสต์ ง่ายๆ ขนมปัง ไข่ดาว หมูแฮม มีกาแฟกะโอวัลตินแค่นั้นแหล่ะ แล้วแต่ใครจะกินอะไร ตอนนี้พวกผมก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารที่บ้านผมครับ กำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ พี่ศักดิ์ก็เดินเข้ามาร่วมวง พอเห็นพี่ศักดิ์เท่านั้นแหล่ะครับ ผมก็อุทานแม่เจ้าโว้ย ขึ้นในใจเลยครับ เพราะพี่เค้าแต่งตัวด้วยชุดสูทสุดหรู รองเท้าหนังมันแปล๊บ ผมจัดทรงอย่างดี ใส่น้ำหอมกลิ่นใหม่ซะด้วย  (บริษัทผมทำเกี่ยวกับครีเอทีฟครับ เลยไม่ค่อยจำกัดการแต่งตัวเท่าไหร่ ปกติพี่เค้าก็ใส่กางเกงธรรมดา รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด ไม่ก็เชิ้ตสีพื้นๆ ถ้าวันไหนออกไปเจอกับลูกค้าก็แค่ใส่แจคเก็ตทับแค่นั้นเอง) อืม สงสัยวันนี้หิมะจะตกหนักแน่นอน เพราะเห็นพี่ศักดิ์เคยบอกว่าไม่ชอบแต่งตัวแบบนี้ พอหกโมงกว่าๆทานอาหารเสร็จพวกพี่สาวผมก็พากันออกไปประชุม โดยมีพี่ศักดิ์อาสาไปส่ง แต่ที่ทำให้ผมประหลาดใจรอบสองก็คือ พี่ศักดิ์เปิดประตูรถให้พี่สาวผมขึ้นไปนั่ง โดยมีผมกับพี่เชษฐ์ยืนเกาะรั้วสังเกตุอยู่ พี่เชษฐ์ยังอุทานขึ้นว่า มันไปกินยาผิดขวดหรือเปล่าวะ  จนพี่ศักดิ์ขับรถออกไปโน่นแหล่ะ ผมกับพี่เชษฐ์มองหน้ากัน แล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนท้องแข็งไปหมด เออ วันนี้ท่าจะกินยาผิดขวดจริงๆ
   ประมาณเก้าโมงกว่า พี่ศักดิ์ก็กลับเข้ามาในสำนักงาน โดยมีทุกคนที่เห็นพี่เค้าก็ต้องทำหน้าแปลกใจหมดทุกคน พอมาถึงที่โต๊ะ พี่เค้าก็โยนสูทพาดไว้กับพนักเก้าอี้ พลางบ่นว่า
   “ฮู่วววว ทำไมมันร้อนจังวะ” พี่ศักดิ์บ่นพร้อมกับปลดเนคไท แล้วกระดุมสองเม็ดบนออก ทำให้เห็นเสื้อกล้ามที่อยู่ข้างในชุ่มไปด้วยเหงื่อ
   “ก็กรุงเทพมันยังร้อนไม่พอเหรองัยพี่ ใส่เต็มยศขนาดนั้นอ่ะ” ผมพูดย้อนขึ้น
   “ก็เมื่อเช้ามันไม่ร้อนขนาดนั้นนี่” พี่ศักดิ์พูดกล้อมแกล้ม พร้อมกับเอามือไปเกาท้ายทอย เหมือนกำลังอาย
   “แล้วนึกยังไงวันนี้ใส่สูทมาทำงานเนี่ย”
   “ก็... ป๊าวว  วันนี้เกิดอยากใส่อ่ะ ทำไมเหรอ”
   “ก็ ป่าวเหมือนกันอ่ะครับ สงสัยเฉยๆ นึกว่ากินยาผิดขวด” ผมพูดแล้วทำหน้าตากวนๆ
   “เออ มาจับผิดกันอยู่นั่นแหล่ะ งานอ่ะ เสร็จยัง เสร็จแล้วจะได้เอาไปพรีเซนต์ แล้วรับเงิน” อ้าว ทำไมต้องมาพาลกันด้วยล่ะ สงสัยจี้ใจดำ วันนั้นทั้งวันผมสังเกตุดู รู้สึกว่าพี่ศักดิ์จะเหม่อๆยังไงไม่รู้ เดินชนโน่นชนนี่บ่อยๆ รินกาแฟจนล้นมั่งล่ะ หรือจำชื่อลูกค้าผิดมั่งล่ะ (ปกติพี่ศักดิ์เป็นคนความจำดีมากครับ ไม่เคยเรียกชื่อลูกค้าผิด จำได้ขนาดว่าลูกค้าแต่ละคนมีไฝบนหน้ากี่เม็ดนั่นน่ะ) อืม เหมือนกับที่ผมกำลงัมีความรักเลย หรือว่า...................

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
พอสักประมาณบ่ายสามโมง พี่ศักดิ์ก็ขอตัวออกไปข้างนอก
   “โม เดี๋ยวพี่ออกไปข้างนอกก่อนนะ ฝากงานด้วยแล้วกัน ถ้ามีใครถามหาบอกว่า ไม่เข้ามาแล้วนะ” พี่ศักดิ์พูดไปพร้อมกับแต่งตัวให้เหมือนเมื่อตอนเช้าไปด้วย
   “อ่า ครับ นัดลูกค้าไว้เหรอครับ” ผมถาม
   “อ่อ เอ่อ... ก็ประมาณนั้นแหล่ะ พี่ไปนะ” พูดเสร็จพี่ศักดิ์ก็เดินออกประตูไปยังกับว่าสำเร็จวิชาตัวเบาขั้นสุดยอด เพราะจากโต๊ะทำงานของพี่เขาซึ่งอยู่ข้างในสุด ห่างจากประตูประมาณเกือบ 30 เมตร พี่แกยังใช้เวลาเดินออกไปไม่ถึง 3 วินาที ผมเกาหัวแล้วพูดกับตัวเองว่า จะรีบไปไหนว๊า..............
   ผมเลิกงานก็กลับบ้านครับ พี่เชษฐ์โทรมาบอกว่าวันนี้อาจจะกลับค่ำๆ ให้กลับบ้านก่อนเลย ไม่ต้องรอ ผมก็เลยนั่งรถเมล์กลับเองครับ พอไปถึงบ้านก็เจอรถพี่ศักดิ์จอดอยู่หน้าบ้าน อ้าว ไหนว่าไปพบลูกค้างัย  ทำไมกลับเร็วจัง พอเดินเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากในบ้าน สงสัยพวกพี่สาวผมกลับมาแล้ว ไอ้ที่เกินมาหนึ่งคนก็คือพี่ศักดิ์ครับ นั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ที่โต๊ะ คุยกับ พี่สาวผมและพวกเพื่อนๆพี่ พอพี่สาวเห็นผมเดินเข้ามาก็ทักว่า
   “อ้าว โมกลับมาแล้ว วันนี้ดีจัง พอดีเจอพี่เขาที่ประชุมพี่น่ะ เห็นเค้าบอกว่าพอดีผ่านทางนั้นแล้วทำธุระนิดหน่อย เค้าเลยรับพวกพี่มาด้วย”
   “อ๋อออออ เหรอครับ”  ผมพูดขึ้นแล้วมองไปยังพี่ศักดิ์  พยายามส่งสายตาค้นหาความจริง แต่พี่ศักดิ์รู้ทัน เลยหันหน้าหนี มองดูจิ้งจกบนผนังบ้านไป เมื่อคนร้ายไม่สารภาพ ผมก็เลยถามพวกพี่ๆว่า หิวกันหรือยัง พี่เขาก็เลยบอกว่า ตะกี๊ก่อนเข้าบ้านกินมาแล้ว พี่ศักดิ์เป็นเจ้ามือเอง
   “หา พี่ศักดิ์เป็นเจ้ามือ” ผมทำหน้าไม่เชื่อ แล้วมองไปยังพี่เขาเพื่อเค้นความจริง แต่ก็พี่ศักดิ์ก็รู้ทันอีกเหมือนเคย เลยหันหน้า ไปนับรอยแตกบนฝาบ้านแทน เหอะ ทีกับเพื่อนกับน้องนุ่ง ทำไมขี้เหนียวจังวะ
   พอพี่เชษฐ์กลับมาถึงบ้าน วันนี้ผมก็ต้องไปนอนกับพี่เขาอีก ผมก็เล่าให้ฟังว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่เชษฐ์ก็เลยเล่าให้ฟังว่า เคยเห็นพี่ศักดิ์เคยทำแบบนี้ก็ตอนที่กำลังมีความรักคนที่ชื่อ นิด นั่นแหล่ะ มันก็เลยตรงล็อคกับเข้าที่ผมคิดไว้พอดี เลยคิดต่อไปเพลินๆว่า ถ้าเกิดพี่ศักดิ์เป็นพี่เขยเราล่ะ คิดแล้วก็รู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจแฮะ

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
ตลอดทั้งสัปดาห์พี่ศักดิ์ก็ไปรับไปส่งพี่สาวกับเพื่อนๆ จนถึงเย็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุม พอเลิกงานกลับถึงบ้านแล้ว ป้าดาก็นึกอยากจะออกไปเที่ยวก็เลยชวนว่า
   “เห้อ มากรุงเทพทั้งที อยากออกไปดูแสงสีมั่งจัง เห็นเขาว่าสวยๆ อยากรู้จังว่าเป็นยังไง”  เสียงป้าดารำพึง
   “อยากไปดูอย่างอื่นมากกว่าม๊าง พี่ดา” เพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้น
   “ก็อยากดูหมดนั่นแหล่ะ ทั้งแสงสี ทั้งผู้ชาย อุ๊บ ตายแระ รู้หมดเลย” ป้าดาแกล้งทำเป็นเขิน แล้วก็มีเสียงหัวเราะตามมาด้วย
   “อ่ะ ไปก็ไป อยากเป็นอะไรที่มันเจริญหูเจริญตาเหมือนกัน ฮิๆ” ตกลงเป็นอันว่า วันนี้เราจะไปท่องราตรีกันครับ  พอตกลงได้ดังนั้นแล้ว พวกสาวๆก็พากันไปแต่งตัว เสริมสวยเพื่อออกไปล่าเหยื่อ เอ๊ย ท่องราตรี จนเหลือแต่ พี่ศักดิ์ กะพี่กวา นั่งคุยกันอยู่ โดยมีผมทำหน้าที่เป็นก้างขวางคอ ฮ่าๆๆ สะจายยยย...
   “ขอบคุณ คุณศักดิ์มากนะคะ อุตส่าห์ไปรับไปส่ง เกรงใจจริงๆน่ะค่ะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่สาวของโม ก็ถือว่าเป็นครอบครัวผมเหมือนกัน” เอ พี่ศักดิ์พูดแปลกๆแฮะ
   “ไม่เป็นไรหรอกพี่กวา พี่ศักดิ์เค้าใจดีอยู่แล้ว แต่กับผมให้นั่งรถเมล์ไปกลับทุกวัน” ผมแซวขึ้น
   “แล้วก็อุตส่าห์เลี้ยงข้าวตั้งหลายมื้อ ขอบคุณจริงๆนะคะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง แหะๆ” พี่ศักดิ์ยิ้มเขิน
   “ช่ายยยยยยยยยยยยยยยย ขนหน้าแข้งพี่ศักดิ์ไม่ร่วงหรอก พี่กวา แต่กับพี่เชษฐ์กับผม พาไปกินแต่กระเพราไก่”  พอผมหันไปมองพี่ศักดิ์  ก็เจอกับสายตาหวานเยิ้ม มองไปยังพี่สาวผม พี่กวาก็เอาแต่ยิ้มเขินหน้าแดงอยู่
   “โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย  มดกัด ไม่รู้ใครเอาน้ำตาลมาไว้แถวนี้” ผมพูดขึ้นด้วยความหมั่นใส้ พลางเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปเที่ยว ปล่อยให้สองคนเค้านั่งมองตากันอย่างนั้นแหล่ะ มองตาอย่างเดียวคงไม่ท้องเหมือนปลากัดหรอก
   ประมาณสามทุ่มเราก็ออกไปเที่ยวแล้วครับ ผมโทรไปบอกพี่เชษฐ์ พี่เค้าบอกว่าเดี๋ยวเลิกงานจะตามไป พวกผมเลยออกมาก่อน พวกเราเลยไปนั่งในร้านอาหารกึ่งคาราโอเกะเพื่อรอเวลา เพราะไปตอนนี้ก็ยังไม่สนุกเท่าไหร่ พอพวกเราสั่งเครื่องดื่มกับ อาหารไปแล้วสักพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าพี่ศักดิ์ไปเลือกเพลงไว้ตอนไหน พอถึงคิวก็มีคนถือไมค์มาให้ที่โต๊ะ พอเสียงเพลงอินโทรขึ้นมา พี่ศักดิ์ก็ถือไมค์ออกไปยืนหน้าโต๊ะ อ่า... ตอนนี้ผีนักร้องเข้าสิงแล้วสิ
    “แอบรักเธออยู่ในใจ   เก็บหัวใจไว้ให้เธอ
   วันทั้งวันฉันมองเหม่อ คิดถึงเธอทุกเวลา
   เธอเหมือนฉันหรือเปล่า รักคราวแรกแปลกหนักหนา
   สุขๆซึ้งๆ ตรึงอุรา สองสายตาประสานหวานเสียจริง
   แอบรักเธอสุขเกินใคร อยู่หนใดหมายแอบอิง
   ใจฉันยังหวังเธอยิ่ง ขอรักจริงรักเพียงเธอ.........”  (เพลง รักในซีเมเจอร์ ครับ เข้าใจหาเพลงมาร้องนิ)
พี่ศักดิ์ร้องเพลงไป ตาหวานไป เห้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ มองดูพี่สาวตัวเอง ก็นั่งยิ้มเขิน เหมือนจะรู้ว่าเพลงที่เขาร้องอยู่นั้น หมายถึงใคร  พอเราดื่มเครื่องดื่มกันหมดแล้ว ก็ได้เวลาที่จะย้ายไปผับที่อยู่ข้างๆแล้วครับ พอไปถึงก็มีบริกรนำไปยังโต๊ะที่เราโทรจองไว้ พอนั่งได้สักพักนึง ก็มีนักร้องรับเชิญที่ทางร้านเชิญมาได้ขึ้นแสดง
   “ว้ายยยยยยยยยย น้องออฟของพี่” ป้าดาออกอาการปลื้มสุดๆ เมื่อเห็นนักร้องคนโปรดขึ้นมาร้องเพลง (ไม่รู้ว่าตอนนี้ป้าดาจะยังปลื้มอยู่เหรอเปล่า ที่นักร้องในดวงใจของเค้าออกสาวขึ้นทุกวัน ฮิๆ) ก็เลยพากันเฮโลไปข้างหน้าเวทีกันหมด เหลือแต่ผม พี่ศักดิ์ กับพี่สาว นั่งอยู่บนโต๊ะกันสามคน  พักหนึ่ง ก็มีโทรศัพท์เข้ามายังพี่ศักดิ์ เป็นพี่เชษฐ์นั่นเอง บอกให้พี่ศักดิ์ช่วยเอากุญแจรถลงมาให้หน่อย จะเอาของเข้าไปเก็บที่รถ พอพี่ศักดิ์เดินลงไปเอากุญแจรถให้พี่เชษฐ์อยู่ ก็มีผู้ชายเดินมาที่โต๊ะกันสองคน ท่าทงจะกรึ่มๆได้ที่เลยทีเดียว
   “น้องครับ พี่ขอเบอร์หน่อยสิ”  หนึ่งในสองคนพูดขอเบอร์โทรพี่สาวผม
   “ไม่มีน่ะค่ะ” ตอนนี้พี่สาวผมได้ถอยมาอยู่ข้างหลังผม
   “ขอเบอร์แค่นั้นแหล่ะ น้อง” มันยังตื๊อไม่เลิก แต่พี่สาวผมก็เงียบไว้ไม่พูดอะไรออกไป
   “เฮ้ย ขอเบอร์หน่อยไม่ได้เหรอ เล่นตัวจังอีนี่ เด๋วตบให้เลย” มันเงื้อมือจะตบ ผมเลยออกไปขวาง มันเลยเอามือมากระชากคอเสื้อผมไว้ๆ
   “จะเอากะกูเหรอมึง” ตอนนี้โต๊ะข้างเริ่มมีเสียงร้องว้าย แล้วเริ่มขยับออกห่างๆเพราะกลัวโดนลูกหลง ผมเลยหลับตาปี๋ เพราะคิดว่า กูโดนแน่แล้ว ก่อนที่อะไร จะเกิดขึ้นต่อไปนั้น ผมก็ได้ยินเสียง ดังพลั่กแล้วต่อด้วย กร่อก.. เหมือนอะไรกระแทกกัน แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าตัวเองล้มลงก้นกระแทกพื้น พอลืมตาขึ้นมาก็เจอไอ้บ้าที่กระชากคอเสื้อผมลงไปนอนแอ้งแม้งข้างๆโดยที่เพื่อนของมันวิ่งหางจุกตูดไปทางอื่นแล้ว  (เพื่อนตายจริงๆ) แล้วผมก็หันไปมองทางต้นเสียงก็เจอพี่ศักดิ์ทำท่าง้างขาเหมือนเพิ่งเตะอะไรมาหยกๆ (มารู้ทีหลังเนี่ยล่ะคัรบ ว่าพี่ศักดิ์เขาเคยเป็นนักกีฬาเทควันโด้ของมหาวิทยาลัย) ทำหน้าตาเหมือนพระเอกต่อสู้กับโจรเลยแฮะ พอฉากนั้นผ่านไปแล้ว พี่ศักดิ์ก็รีบเดินเข้าไปหาพี่กวาแล้วถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า (คนที่เป็นคือกูโว้ยย จุกไปหมดแล้วเนี่ย ฮือๆ) พี่กวาก็ได้แต่ส่ายหัว แล้วทำตาแดงๆเหมือนจะร้องให้ พี่เชษฐ์ก็เดินเข้ามาพอดี เลยเรียกผู้จัดการร้านคุมตัวไอ้บ้านี่ไปสงบสติก่อน (แต่มันยังไม่ได้สติเลยอ่ะ) แล้วช่วยพาไปส่งโรงพักด้วย หลังจากนั้นอารมณ์ก็กร่อยกันหมดน่ะครับ ผมเลยไปเรียกป้าๆ ที่พากันไปกรี๊ดอยู่หน้าเวทีไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วพากันกลับบ้าน

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
วันรุ่งขึ้น  ผมกับพี่เชษฐ์ก็ต้องแปลกใจมากกว่าเก่าครับ เมื่อเจอพี่ศักดิ์กับพี่กว่านั่งคุยกันอยู่หน้าบ้านกันสองคน ท่าทางสนิทสนมกันมากขึ้น ผมมองหน้าพี่เชษฐ์ แล้วก็ยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ครับ เพิ่งหกโมงเช้าเอง ผมเลยเข้าครัวไปทำอาหารเช้าให้ วันนี้มีเวลาเยอะหน่อยครับ เลยทำข้าวต้มหมูสับกินกันดีกว่า  พอพวกเราทานข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ก็เลยวางแผนกันว่า วันนี้จะทำอะไรดี  ต่างคนก็ออกความเห็น
   “งั้นไปสวนสนุกกันมั้ยครับ” ผมชวนทุกคน
   “สวนสนุกเหรอ อืม ดีเหมือนกัน ไปๆๆ” พี่เชษฐ์สนับสนุน
   “คุณกวาไปสวนสนุกกันมั้ยครับ”  พี่ศักดิ์หันไปมองพี่กวาแล้วถามชวน
   “ก็ได้ค่ะ ไปไหนก็ได้” พี่กวาตอบออกไปแล้วก้มหน้าก้มตามองแต่พื้น พอแล้วพี่ ไม่ต้องเขินขนาดนั้นหรอก
ตกลงว่าวันนี้เราจะไปเที่ยวสวนสนุกกันครับ พอตกลงกันได้ พวกเราก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อไปเที่ยวกัน พอสายๆหน่อย พวกสาวๆก็พากันไปกับรถของพี่ศักดิ์ครับ เพราะนั่งได้ 6 คนพอดี ผมกับพี่เชษฐ์ก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์กันไป พอไปถึงสวนสนุกแถวๆรังสิต เราก็พากันซื้อบัตรรวมเครื่องเล่นกันน่ะคัรบ จะได้เล่นกันได้หลายๆรอบหน่อย  แต่คนที่ดูน่าจะสนุกที่สุด ก็เป็นพี่เชษฐ์นั่นแหล่ะครับ ชวนดูโน่นดูนี่ตลอด เหมือนเด็กๆยังไงยังงั้นเลย
   “โม พี่อยากขึ้นไอ้นั่นจัง เราไปเล่นกันป่ะ” พี่เชษฐ์ชวนผมไปขึ้นเคเบิลคาร์  แต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไร ก็โดนลากไปแล้ว ผมก็ได้ขึ้นกระเช้าไปกันสองคนน่ะครับ พอมองดูกระเช้าข้างหลังก็มีพี่กวา กับพี่ศักดิ์ นั่งอยู่ ดูท่าทางสองคนจะมีความสุขมาก ผมเองก็ไม่เคยเห็นพี่กวามีความสุขแบบนี้มานานแล้วนะ
   “มองอะไรอยู่เหรอโม” พี่เชษฐ์ถามขึ้น
   “พี่ดูพี่ศักดิ์กะพี่กวาสิครับ ท่าทางมีความสุขจัง”  ผมชี้ให้พี่เชษฐ์ดู
   “อืม ก็ดีแล้วล่ะ ให้มันมีความสุขซะบ้าง  ดีไม่ดี มันอาจจะได้เป็นพี่เขยเราก็ได้นะ”
   “ฮ่าๆๆๆอย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้นครับ  ยังมีก้างอย่างผมอยู่ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะขึ้น เหมือนตัวอิจฉาเลยแฮะ แล้วเราก็นั่งกระเช้าไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงตัวประกอบอีกสี่คนร้องวี๊ดว๊าย อยู่ในกระเช้าถัดออกไป
   พอพวกเราลงจากกระเช้ากันแล้ว ก็พากันไปเล่นเครื่องเล่นอย่างอื่นต่อ อย่างเช่น เฮอริเคน ที่มันเหวี่ยงพวกเราขึ้นไปหมุนๆอยู่ข้างบน พอเล่นเสร็จแล้ว พวกเราก็ต้องเอายาดมให้พวกป้าๆ ดมกันทีเดียว แต่คนที่ดูจะสนุกที่สุดก็คงเป็นพี่เชษฐ์นั่นแหล่ะครับ ชวนผมขึ้นไปเล่นตั้งสามรอบ (ไม่รู้พี่เค้าติดใจอะไรเหมือนกันครับ ตอนใกล้จะกลับก็ยังชวนผมขึ้นไปเล่นอีกสองรอบ)  พวกเราก็เดินเล่นเครื่องเล่นกันไปเรื่อยๆนี่แหล่ะครับ หยุดถ่ายรูปมั่ง เล่นเกมส์มั่ง จำได้ว่า พี่เชษฐ์ กับพี่ศักดิ์ท้าประลองกันว่าใครจะยิงปืนจุกน้ำปลาได้แม่นกว่ากัน แข่งกันเสร็จก็ปรากฏว่าพี่ศักดิ์ยิงแม่นกว่าครับ (เสียชื่อร้อยตำรวจเอกเลยมั้ยล่ะ) ได้รางวัลเป็นตุ๊กตากระต่ายสีชมพู (ตอนแรกเค้าให้ตุ๊กตาแรด แต่พี่ศักดิ์ขอเปลี่ยน) ซึ่งพี่ศักดิ์ก็ได้ให้พี่กวาไป ตอนนี้หน้าพี่สาวผมก็กลายเป็นสีชมพูแป๊ดกว่าสีของกระต่ายอีก อิอิ
   ตอนนี้ผมก็คิดแผนชั่วออกได้แผนหนึ่งครับ เลยชวนพี่เชษฐ์เข้าบ้านผีสิงกัน
   “พี่เชษฐ์ เราไปเข้าบ้านผีสิงกันดีกว่า”  ว่าแล้วผมก็ขยิบตาให้พี่เชษฐ์เหมือนจะมีแผนการอะไร  พี่เชษฐ์ก็รู้ทัน
   “เออ ไปสิ มึงกล้าหรือเปล่าศักดิ์”  หุๆๆ ดูพี่ศักดิ์หน้าซีดลงไป หันไปมองพี่สาวผม ก็เห็นว่าพี่สาวผมก็อยากเข้าไปเล่นเหมือนกัน
   “นั่นสิคะ คุณศักดิ์ ไปเล่นด้วยกัน” พี่กวาหันไปชวนพี่ศักดิ์ พี่ศักดิ์ก็หน้าซีดลงอีก แต่ต่อหน้าผู้หญิงแล้ว ถึงไหนถึงกัน  เข้าแผนผมพอดี แล้วพวกป้าๆทั้งสี่คนก็ไม่กล้าเข้า ก็เลยขออยู่ข้างนอกดีกว่า พูดจบผมก็ดึงพี่เชษฐ์ พี่กวาเข้าไป โดยมีพี่ศักดิ์วิ่งตามเข้าไปอย่างหวาดๆ พอผมเข้าไปในบ้านผีสิงแล้ว ผมกับพี่เชษฐ์ก็มองตากัน แล้วจับมือพากันออกวิ่งโดยทิ้งพี่ศักดิ์กับพี่กวาไว้ข้างหลัง มันก็ไม่มีอะไรมากกว่าอ่ะ ส่วนมากมันจะน่าตกใจกับเสียงไฮดรอลิก พอผม กับพี่เชษฐ์ วิ่งออกมาข้างนอกเรียบร้อยแล้ว รออีกสักครู่นึง เราก็ได้เห็นภาพที่ทำให้พวกเราหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง คือว่า พี่กวาเดินออกมาโดยมีพี่ศักดิ์เกาะอยู่ข้างหลังพี่กวา  แล้วเอาหน้าซุกลงไปบนหลังของพี่สาวผมแล้วก็ตัวสั่นๆ  พี่กวาก็เดินออกมาทำหน้าตาเหมือนกลั้นหัวเราะอยู่ ฮ่าๆๆ บอกแล้วงัย มีก้างอย่างผมอยู่ อิอิ

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
วันนั้นพวกเราก็กลับกันเย็นๆน่ะคัรบ วันนี้เหนื่อยมากเลยผลอยหลับไปบนหลังของพี่เชษฐ์  พอพี่ศักดิ์ขับรถมาถึงหน้าปากซอย ก็ซื้อกับข้าวเข้ามาด้วย พอทานกันเสร็จ ผมกับพี่กวาสองคนก็พากันเก็บจานมาล้าง
   “โม คุณศักดิ์ เค้าเป็นยังงัยบ้างอ่ะ”  พี่กวาถามผมขึ้น
   “อ๊ะแน่ สนใจเค้าเหรอพี่”  ผมแกล้งกระเซ้า
   “บ้าสิแก ฉันก็ถามไปเฉยๆนั่นแหล่ะ กลัวเค้าจะทำไม่ดีกะแกงัย”  พี่กวาก็ยังหาเหตุผลข้างๆคูๆ ไปเรื่อยๆ ไหนว่าไม่สนใจทำไมหน้าแดงยังงั้นล่ะพี่
   “อ่ะ พี่ศักดิ์เค้าก็เป็นคนดีน่ะพี่ ไม่ต้องห่วงอะไรหรอก”  เราสองคนก็ล้างจานเสร็จพอดี  พอออกไปที่โต๊ะกินข้าว พี่ศักดิ์กับพี่เชษฐ์ก็นั่งแทะชมพู่ที่สอยมาจากสวนของผมอยู่ มันเป็นความรู้สึกดีลึกๆน่ะครับ ว่าการได้ดูแลคนที่เรารัก มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน   พอนั่งพักได้สักครู่ ผมก็รู้สึกเหนื่อยเลยขอตัวไปอาบน้ำก่อน พี่เชษฐ์ก็เลยขอไปอาบน้ำด้วยคน (แต่เราสองคนไม่ได้อาบด้วยกันหรอกนะครับ) พออาบเสร็จ ผมกับพี่เชษฐ์ก็พากันเดินกลับเพื่อนั่งคุยกันต่อ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูบ้านอยู่นั้น ก้ได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากหน้าต่าง เลยดึงพี่เชษฐ์ไว้ก่อน เราสองคนเลยแอบกันตรงที่หน้าประตูนั่นแหล่ะครับ
   “เอ่อ  คุณกวาครับ จะรังเกียจมั้ย  ที่ผมจะขอคบกับคุณกวาจริงๆน่ะครับ”  พี่ศักดิ์เอ่ยปากถามพี่กวา
   “อื่มมมมมม มันไม่เร็วไปเหรอคะ”  โถพี่ ทำไมไม่รับๆไปล่ะ เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก
   “ไม่หรอกครับ ผมอยากให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองน่ะครับ ถ้าคุณกวาจะให้โอกาสผม” แหวะ ไปหาคำพูดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย
   “ถ้าคุณศักดิ์จริงใจ กวาก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่อยากให้เราดูกันไปเรื่อยๆแล้วกัน”   อิอิ ต้องอย่างน๊านนนน
พอสองคนคุยกันจบ ผมกับพี่เชษฐ์ก็หัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น  พี่ศักดิ์ได้ยินก็รีบวิ่งมาไล่เตะพวกผมสองคนกัน ฮ่าๆๆ ผมมีแววจะได้พี่เขยแล้วงัยล่ะ
   วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่พวกพี่สาวผมจะต้องกลับอยุธยาแล้ว  พวกเราใช้เวลาในตอนเช้าไปเดินเที่ยวที่จตุจักรก่อนกลับ พอบ่ายกว่า ผม กับ พี่ศักดิ์ก็พากันไปส่งพวกพี่สาวผมที่ท่ารถ
   “ขอบคุณพี่ศักดิ์มากนะคะ ที่ช่วยดูแลไอ้โมมัน ถ้ามันทำอะไรไม่ดีก็ลงโทษมันได้นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ” อ้าว พี่ ทำไมยกผมให้คนอื่นยังงั้นล่ะ
    “ อ๋อ โมเค้าเป็นเด็กดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมดูแลให้เอง” อิอิ ดูแลดีๆด้วยนะพี่ อยากจะเป็นพี่เขยผม ต้องทำตัวดีๆกับผม จำไว้
   “งั้นคราวหน้าถ้ามีโอกาสยังไงไปเที่ยวที่บ้านกวาได้นะคะ ยินดีค่ะ” พี่กวาเอ่ยปากชวน
   “ขอบคุณครับ มีโอกาสไว้ผมไปแน่ครับ”  พี่ศักดิ์รับปาก
   “ดีเลยพี่กวา เดี๋ยวให้พี่ศักดิ์ไปกับผมก็ได้ เดี๋ยวจะไปวันไหน จะบอกพ่อให้ขัดลูกซองไว้ต้อนรับ” ฮ่าๆๆๆ พี่ศักดิ์ได้ยินแบบนั้น ก็ทำหน้าใจเสียน่ะสิครับ พี่กวาก็เลยบอกว่า ไม่ต้องกลัวหรอก พ่อแม่เราใจดี เออ เดี๋ยวก็ได้รู้ ฮ่าๆๆ
   หลังจากวันนั้น พี่ศักดิ์ก็ทำท่าเลียบๆเคียงๆถามเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวผมบ่อยขึ้นน่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องราวของพี่กวา  พูดไปความรักของพี่ทั้งสองก็น่าจะลงเอยดีอยู่แล้วล่ะครับ พอมามองที่ตัวผม ผมยังไม่รู้เลยว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง เอาน่า วันนี้เรามีความสุขที่สุดก็พอแล้วนี่ เรื่องของพรุ่งนี้ปล่อยให้เป็นของพรุ่งนี้เถอะ ผมคิดปลอบใจตัวเอง

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
แฮ่กๆๆๆ ช่วงนี้เน็ตกำลังแล่นครับ ต้องรีบอัพก่อนที่จะเดี้ยงไปอีก ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ไฮ้ สู้ตายย

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่สิบ   ฤดูแห่งความรัก

ธันวาคม 2548
   ชีวิตของผมก็ยังดำเนินไปตามปกติครับ ตื่นเช้ามาก็ไปทำงาน เย็นเลิกงานก็กลับมาทำกับข้าวให้พี่เชษฐ์กับพี่ศักดิ์ทานกัน  ถ้าวันไหนพิเศษหน่อย เช่นวันเงินเดือนออก หรือได้โปรเจคท์งานมา พวกเราก็จะออกไปทานข้างนอกกันครับ แต่ก็จะหารกัน เพราะคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่มีงานการทำกันแล้วครับ เลยไม่มีใครเลี้ยงใคร หยุดเสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้านไม่ก็ออกไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ ถ่ายรูปไปตามเรื่องตามราว วันไหนพี่เชษฐ์กับผมหยุดตรงกัน ก็จะพากันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ ออกไปร่อนรอบเมืองๆกันครับ  ผมกับพี่เชษฐ์ก็จะมีอะไรคล้ายๆกันอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นคนง่ายๆสบายๆ ไม่ค่อยจะยุ่งกับคนอื่นเท่าไหร่ แล้วก็ชอบออกไปหาของอร่อยๆกิน ได้ยินว่าที่ไหนมีของอร่อย ต้องไปลองกันทุกครั้ง (ที่บ้านเรียกตะกละอ่ะคัรบ แหะๆ)
   ช่วงนี้อากาศในกรุงเทพเย็นลงพอสมควรครับ แต่ยังไม่ถึงกับเรียกว่าหนาวหรอก  ดูๆแล้วเป็นบรรยากาศของการเสียตัว เอ๊ย ไม่ใช่ ของความรักสิ หลายคู่ที่คบหาดูใจกัน จนความรักเริ่มสุกงอม เลยพากันเข้าประตูวิวาห์กันไปเป็นแถว ที่ทำงานผมก็แต่งกันหลายคู่สำหรับปีนี้ เลยได้ซองเชิญไปงานมาหลายซอง ฮือๆ หมดไปหลายตังค์ ชาตินี้คงไม่ได้คืน เพราะคงไม่ได้แต่งงานแน่ๆ (ยังเหลืองานศพแกอีกงัย -----------เสียงจากเจ้าของเรื่องข้างๆ)  ผมว่างานแต่งงานนเป็นอะไรที่น่าเบื่ออ่ะครับ ยิ่งสำหรับคนโสดแล้ว อาจจะทรมานใจที่ต้องมานั่ง ดูคนอื่นเค้ามีความสุข แล้วคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวกูว้า..... แล้วเท่านั้นยังไม่พอครับ ยังต้องมานั่งฟังอะไรไม่รู้ จากญาติพี่น้องของคู่บ่าวสาว ไล่มาตั้งแต่อุแว้ออกตกฟากวันที่เท่าไหร่ ตอนเด็กก็เคยแก้ผ้าวิ่งเล่นน้ำฝนด้วยกัน แล้วพอโตขึ้นมาหน่อยก็พรากจากกัน มาเจอกันตอนทำงาน เริ่มก่อร่างสร้างตัว จนความรักสุกงอมเต็มที่ก็เลยมีวันนนี้ แล้วก็ร่ายคำอวยพรต่อไปเรื่อยๆ เห้อ (เคยมีคนข้างๆบ่านว่า ใครก้ได้ช่วยไปถอดปลั๊กไมโครโฟนออกที กูหิวจะตายอยู่แล้ว) สำหรับผมก็เดินออกมาจากงานตั้งแต่เค้าเชิญพ่อแม่คู่บ่าวสาวขึ้นไปพูดอวยพรโน่นแหล่ะคัรบ ฮิๆ อ่ะ นอกเรื่องแล้วสิเรา
   “โม วันที่ 31 เราว่างหรือเปล่าอ่ะ” พี่เชษฐ์ถามผมขณะที่กำลังกินข้าวเย็นกันอยู่ วันนี้พี่ศักดิ์ออกไปกินข้าวกับลูกค้าข้างนอก เลยไม่ได้กลับมากินที่บ้าน
   “31 เดือนนี้เหรอครับ” ผมทำท่าคิด  มันวันสิ้นปีนีหว่า “ว่างครับ ว่าแต่พี่จะไปไหนเหรอครับ”
   “ไปงานแต่งงานน่ะ พี่อยากให้เราไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย พอดีไอ้ศักดิ์มันไม่ว่าง” พี่เชษฐ์ชวน
   “แต่ว่าเดือนนี้ไปสี่ห้างานแล้วอ่ะ”  ผมพูดแล้วทำท่าเบื่อๆ
   “อื้ม เห็นบอกว่างานนี้เป็นเลี้ยงบุฟเฟ่ท์อ่ะ อาหารไม่อั้น”   พี่เชษฐ์ก็พูดขึ้นมาแบบลอยๆ
   “โอเค งั้นไปครับ” ผมตอบตกลง (นิสัยจริงๆ)

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
เป็นอันว่าคืนวันสิ้นปี  ผมก็ต้องไปงานแต่งงานเป็นเพื่อนพี่เชษฐ์ พี่เค้าเล่าให้ฟังว่า เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนตำรวจ แต่ตอนนี้ลาออกจากราชการมาทำงานส่วนตัวแล้ว เห็นว่าที่บ้านเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ประมูลงานของราชการได้เป็นกอบเป็นกำ เจ้าสาวก็เป็นคนที่คบมาเกือบสิบปีแล้ว พอได้สมควรแก่เวลาก็เลยพากันแต่งงานดีกว่า ชะเอิงเอย..................
   พอถึงวันสิ้นปี ผมกับพี่เชษฐ์ก็พากันเตรียมตัวกันไปงานแต่งของเพื่อนพี่เชษฐ์เค้า ผมรู้สึกว่าวันนี้พี่เชษฐ์เขาหล่อมากจริงๆครับ ตามปกติตอนพี่เค้าใส่เครื่องแบบ พี่เค้าก็หล่อมากอยู่แล้ว วันนี้เลยดูว่าผมตกหลุมรักอีกครั้งหนึ่ง (อิอิ )พี่เค้าแต่งตัวด้วยชุดสูทเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตสีขาวมีด้ายเส้นเล็กๆสีฟ้าทอสลับอยู่  ไม่ได้ใส่เนคไท แต่ปลดกระดุมออกสองเม็ดบน ทำให้เห็นไรขนอ่อนๆที่ขึ้นอยู่บนหน้าอก ดูหล่อและเซ็กซี่ไปในตัว เคราที่แต่งได้รูปดูเข้ากับรูปหน้า ตาสีน้ำตาลกลมโตเป็นประกาย ที่ผมมองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ เห้อ คนอะไรวะ หล่อไม่บันยะบันยังแลย  วันนี้พี่ศักดิ์ทิ้งรถไว้ให้พวกเราใช้ครับ เห็นเพื่อนๆพี่เค้าออกมารับไปตั้งแต่บ่ายแล้ว สงสัยคืนนี้คงไม่กลับแน่นอน  ส่วนผมก็แต่งตัวเต็มยศกว่าพี่เขาอ่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าพอไปเดินกับพี่เชษฐ์แล้ว เหมือนพ่อกับลูกชายมากกว่า ฮ่าๆๆๆ (ตอนนั้นพี่เชษฐ์อายุก็ 34 ครับ แต่ผมอายุ 22 ด้วยที่ตัวเล็กเลยดูเหมือนเด็กๆน่ะครับ คนก็เคยทักผิดบ่อยๆ นึกว่าอายุ 16-17 อยู่เหมือนกัน)
   “มองอะไรน่ะโม เห็นเรามองพี่ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว”   พี่เชษฐ์ถามผมขึ้นมา แล้วอมยิ้มให้ผม
   “ก็ ไม่รู้สิ วันนี้พี่เชษฐ์ดูหล่อมากเลยอ่ะคัรบ” ผมตอบไป พอพี่เค้าได้ยินก็ยิ้มออกมา แล้วดูเหมือนจะเขินด้วยนะเนี่ย
   “เราก็น่ารักเหมือนกันนะ วันนี้”
    “จริงอ่ะ เห็นทุกวันพี่ก็ว่าแต่ผมว่าหน้าเหมือนลิง วันนี้มาชมผมอีก ตกลงมันยังไงอ่ะครับ”  ผมถามกระเซ้าพี่เค้า
   “เอ้า ก็น่ารักแบบลิงๆงัย ฮ่าๆๆ”  พี่เชษฐ์หัวเราะขึ้น พร้อมกับเอามือข้างซ้ายมากุมมือผมไว้ “ยังงัยพี่ก็รักลิงตัวนี้ของพี่อยู่แล้วล่ะ” พอได้ยิน หัวใจผผมก็พองโตขึ้นมา มองไปยังสองข้างทาง ตามถนนหรือบ้านเรือนสถานที่ก็มีไฟประดับไว้อย่างสวยงาม  มองไปทางไหนผู้คนก็มีหน้าตาเปื้อนยิ้มอยู่ตลอด  บางทีความสุขก็ไม่ต้องไปหาไกลๆ มีคนที่เรารักอยู่ใกล้ ๆบางทีก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะครับ

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดเราสองคนก็ฝ่าการจราจรที่ออกจะติดนิดๆ เพราะถนนบางเส้นทางการเขาก็ปิดเพื่อเฉลิมฉลองการย่างเข้าสู่ปีใหม่สำหรับคืนวันนี้ โรงแรมที่เรามาก็อยู่แถวๆถนนสีลมนี่แหล่ะครับ  พอไปถึงที่หน้าทางเข้าก็มีพนักงานรับรถเข้าไปจอดให้  พอเราเดินไปถึงห้องที่ทางคู่บ่าวสาวจองไว้ ก็ดูเหมือนว่าผิดคาดเลยทีเดียว เพราะเป็นห้องขนาดเล็ก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นห้องใหญ่ แล้วมีคนอยู่กันเต็มไปหมด  แต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่ามีคนอยู่ในนั้นแค่ 50-60 คนแค่นั้นเอง ดูท่าทางแต่ละคนก็เหมือนเป็นเพื่อนกัน คุยกันสรวลเสเฮฮาเต็มไปหมด ที่งานนี้ไม่มีโต๊ะรับซองรับของชำร่วย ไม่มีซุ้มดอกไม้เอาไว้ให้คนถ่ายรูปกะเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่มีกรอบใส่รูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่รูปแต่งงาน ตั้งไว้ข้างหน้า แต่มีรูปเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวตั้งแต่ตอนเด็ก ตอนเรียนอยู่ประถม มัธยม  ตอนเจ้าบ่าวเรียนอยู่ที่โรงเรียนตำรวจ โดยที่แยกรูปของแต่ละคนไว้คนละข้าง มาบรรจบอยู่ตรงสุดทางเข้างานซึ่งเป็นรูปถ่ายของสองคนคู่กัน สำหรับผมมันเป็นเหมือนคำบรรยายของทั้งสองคนเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เป็นอย่างดี ว่ากว่าจะแป็นวันนี้ ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างไรกันมา ( ดีกว่าให้คนแก่ๆ มานั่งสาธยาย กว่าจะพูดจบก็ทำให้แขกเหรื่อหลับไปครึ่งห้องแล้ว)
   ในที่สุดพี่เชษฐ์ก็พาผมเดินเข้าไปในงานครับ พอคนนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าเห็นเข้าก็ร้องขึ้นว่า
   “เฮ้ย พวกเรา ไอ้เชษฐ์มันมาว่ะ” หลังจากนั้นคนก็เริ่มเดินมาหา พร้อมกับทักทายกัน ดูเหมือนกับว่าพี่เชษฐ์จะรู้จักเกือบทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
   “เฮ้ย เป็นงัยบ้างวะ ไม่เจอซะนาน ยศเลื่อนไปถึงไหนแล้ว” เสียงแขกในงานคนหนึ่งทัก
   “ก็ยังเป็นผู้กองอยู่เหมือนเดิมนั่นแหล่ะครับ ให้คนอื่นเลื่อนมั่งเหอะ” พี่เชษฐ์ตอบไป
   “หวัดดีค่ะ พี่เชษฐ์ ไม่เจอกันนาน มีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอคะ”  ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก   
   “ไม่ใช่ลูกครับ แต่เป็นคนพิเศษ” พี่เชษฐ์พูดแล้วก็เอาแขนมา โอบที่ตัวผมแล้วดึงเข้าไปใกล้ๆ ทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแหะๆ ตามเรื่องตามราว
   “ว้า อุตส่าห์วันนี้ว่าจะขอควงผู้กองออกงานซะหน่อย มีคนจองแล้ว ไปหาคนอื่นดีกว่า ขอให้สนุกนะคะ ฮิๆ” พี่ผู้หญิงพูดทีเล่นทีจริง แล้วเดินออกไป
   “ทำไมคนรู้จักพี่เยอะจังอ่ะคัรบ “ ผมถามขึ้น
   “ก็ตั้งแต่สมัยตอนเป็นหนุ่มๆโน่นแหล่ะ ตอนนั้นเพื่อนพี่เยอะกว่านี้อีก จำไม่ไหวหรอก  เพื่อนเรียนมั่ง ทำงานมั่ง หรือเพื่อนของเพื่อนอีกที” พี่เชษฐ์ตอบผม
   “อ้าวเฮ้ย เชษฐ์ เป็นยังไงมั่งวะ  หายไปเลย นึกว่าตายห่ะไปแล้ว”  คนทีทักขึ้นน่าจะเป็นเจ้าบ่าว เพราะดูจากการแต่งตัวที่ใส่ชุดสูทสีขาวทั้งตัว แล้วมีดอกไม้กลัดไว้ที่อก
   “ตายแล้วจะมายืนอยู่ตรงนี้เหรอวะ ไม่เจอกันนาน เจอกันอีกที มึงแต่งงานแระ ขอให้ความสุขมากๆนะโว้ย รีบๆมีลูกล่ะ เดี๋ยวไม่ทันใช้”พูดเสร็จพี่เชษฐ์ก็เข้าไปสวมกอดแสดงความยินดี
   “เออๆ ขอบใจว่ะ” พอผละออกจากกัน คนที่เป็นเจ้าบ่าวก็มองมาทางผม  “แล้วใครล่ะเนี่ย”
   “ลูกเรา เอ๊ย ไม่ใช่ คนพิเศษน่ะ”  เจ้าบ่าวเลยหันมามองผมแล้วยิ้มให้ ผมเลยแนะนำตัวเองไป
   “สวัสดีครับ ผมโม ยินดีด้วยนะครับ ขอให้มีความสุขมากๆ” 
   “ขอบคุณครับ อ่ะ ขอให้สนุกนะ  ขอตัวไปทางโน้นก่อนแล้วกัน” เจ้าบ่าวขอตัวออกไปทางอื่น เหอะๆ ถึงเวลาที่ผมรอคอยแล้วครับ  เหอๆ อุตส่าห์ไม่ทานข้าวมาตั้งแต่ตอนกลางวัน โห อย่างดีทั้งนั้นเลย ฮิๆๆ ผมกับพี่เชษฐ์ก็เอาสิครับ
   “อะไรอ่ะ โม นั่นน่าอร่อยจัง งั่มๆๆ”
   “พี่ๆ เอาไอ้นั่นมาด้วยอ่ะ แจ๊บๆๆ แพงนะนั่นอ่ะ”
   “โมๆ ไอ้นี่อร่อยนะ  ไม่เอาเหรอ กร้วมๆๆ”
   “โห พี่ ข้าวปั้นก็น่าอร่อยนะ เอาป่ะ”   ตอนนี้เราสองคนมีอะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้วครับ กลายร่างจากแขกผู้มีเกียรติเป็นแขกดอย(ผวนเอาแล้วกันครับ)อย่างเมามัน   ต้องเอาให้คุ้มค่าซองช่วยงานซะหน่อย ปกติไปแต่งานที่เป็นคล้ายๆกะโต๊ะจีน กินไม่ทันเค้า อิอิ แต่ในขณะที่เรากำลังยัดนุ่นกันอยู่นั้น ก็มีเสียงจากเวทีดังขึ้น   

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
“ตอนนี้ขอเชิญเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติซักเล็กน้อย” เสียงโฆษกดังขึ้น แล้วคู่บ่าวสาวก็เดินขึ้นเวทีมา
   “ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกท่านด้วยนะคัรบ ที่อุตส่าห์สละเวลางานแต่งของพวกเรา  มีคนถามพวกเราว่าทำไมเราต้องจัดงานแต่งงานในวันนี้ด้วย คือผมกับหวานคิดว่า ที่เราจัดงานวันนี้ซึ่งเป็นวันสิ้นปี วันที่ทุกคนน่าจะมีความสุข กับการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับปีใหม่ ที่จะถึงพรุ่งนี้ ก็เหมือนกับคู่ของผมนั่นแหล่ะครับ ที่พรุ่งนี้ก็เป็นเหมือนวันเริ่มต้นชีวิตครอบครับของผม”
   “ค่ะ เราก็อยากที่แบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกคนค่ะ อีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันอยากจะบอกว่า  ..............ดิฉันท้องได้เกือบสองเดือนแล้วค่ะ” พอฝ่ายเจ้าสาวพูดจบ คนทั้งห้องก็ลุกขึ้นปรบมือให้ แล้วเจ้าบ่าวก็เข้าไปกอดเจ้าสาว รู้สึกว่าจะร้องให้ด้วยนะ สงสัยเป็นเซอร์ไพรส์ที่เจ้าสาวมอบให้
   “ทำไมเห็นผลเร็วจังเลยอ่ะครับ พี่เชษฐ์” ผมแหย่พี่เชษฐ์ เพราะได้ยินพี่เค้าอวยพรว่าขอให้มีลูกเร็วๆอ่ะ
   “ของพี่มันแรงน่ะน้อง”  ว่าแล้วพี่เชษฐ์ก็คีบซูชิเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ   
   “ขอเชิญผู้กองเชษฐ์ ช่วยขึ้นมาร้องเพลงให้คู่บ่าวสาวด้วยนะครับ ไม่ขึ้น เจ้าบ่าวจะมาแฉ เอ๊ย เล่าถึงวีรกรรมที่ผ่านมาครับ” เสียงโฆษกพูดเชิญแกมบังคับ พอพูดเสร็จทุกคนก็ตบมือแล้วร้องเชียร์ ผมเลยหันไปมองที่พี่เชษฐ์ ก็ทำท่าเหมือนกำลังสำลักอาหาร เอามือตบหน้าอกตัวเองอยู่ พอหายแล้วก็ดื่มน้ำลงไปอั่กๆ ส่ายหัวสองสามที แล้วเดินไปยังเวที
   “โห มีขู่ด้วย อ่ะ ร้องก็ร้อง แต่ผมไม่อยากร้องคนเดียวนะครับ เอ้า โม มาร้องด้วยกัน”  ผมหันซ้ายหันขวามองหาคนชื่อโม ...................................... เอิ๊ววว กรูนี่หว่า.... ผมเลยเอามือชี้มาที่ตัว แล้วทำหน้าอึ้งๆ
   “เออ เรานั่นแหล่ะ ขึ้นมาร้องด้วยกันเลย” ผมก็เดินอึ้งๆไปยังเวทีโดยมีเสียงปรบมือของคนที่อยู่ในห้องตามมา แล้วพี่เชษฐ์ก็หันไปคุยกับคนควบคุมเครื่องเสียง แล้วยื่นไมโครโฟนมาให้ผมตัวหนึ่ง พอสักครู่หนึ่ง อินโทรของเพลงก็ขึ้นมา ซึ่งก้เป็นเพลงที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะพี่เชษฐ์เค้าฮัมให้ผมฟังอยู่บ่อยๆเวลาที่อารมณ์ดีๆ
   “I know I stand in line
Until you think you have the time
To spend an evening with me
And if we go someplace to dance
I know that there's a chance
You won't be leaving with me

Then afterwards we drop into a quiet little place
And have a drink or two
And then I go and spoil it all
By saying something stupid
Like I love you

I can see it in your eyes
That you despise the same old lines
You heard the night before
And though it's just a line to you
For me it's true
And never seemed so right before

I practice every day to find some clever
lines to say
To make the meaning come through
But then I think I'll wait until the evening
gets late
And I'm alone with you

The time is right
Your perfume fills my head
The stars get red
And oh the night's so blue
And then I go and spoil it all
By saying something stupid
Like I love you
I love you...”
   (เพลง Something Stupid  – เวอร์ชั่นของ  Robbie William  Featuring.  Nicole Kidman เจ้าของที่ร้องเป็นคนแรกคือ Andy Williams Featuring. Nancy Sinatra ครับ)

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
โชคดีที่พี่เชษฐ์เลือกเพลงนี้ เพราะผมก็ร้องตามได้ ในขณะที่ผมกับพี่เชษฐ์ร้องเพลง คู่บ่าวสาวก็ได้ลงไปข้างล่างแล้วก็เต้นรำ  แล้วก็มีคู่อื่นๆ ออกมาเต้นรำด้วยกัน  พอเพลงจบแล้ว ก็มีเสียงปรบมือกันดังทีเดียว  พี่เชษฐ์ก็ยิ้มแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้ผมทีนึง หึๆ ไม่อยากจะคุย ผมก็ร้องเพลงใช้ได้ทีเดียวแหล่ะ เหอๆ เอาละสิ บอกแล้วอย่าให้ร้อง ไมค์หลุดมือยาก พอได้ดังนั้น ก็ขออังกอร์อีกเพลงแล้วกัน ผมเลยวิ่งไปหาคนควบคุมเสียง แล้วก็เลือกมาเพลงหนึ่ง ผมเลือกเพลงของ รัดเกล้า อามรดิษฐ์ ครับ ชื่อ ลมหายใจ เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมชอบ และจังหวะก็ไม่ได้ช้ามากนัก พอขยับแข้งขยับขา ออกฮิพฮอพนิดๆ พอทุกคนได้ยินเสียงเพลงขึ้นมา ก็มีเสียงปรบมือ พอหลังจากช่วงเริ่มต้นที่ช้าๆ พอเริ่มเข้าจังหวะ ทุกคนก็เริ่มที่จะออกมาตรงกลางห้องโยกกัน
   “จะให้ทำเช่นไร
ในเมื่อใจยังไม่ลืมภาพเธอ
หลับตาครั้งใดยังคงเจอ
ภาพเธอในใจ

เฝ้าคิดถึงเธอ
ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่
เป็นคำถามที่ค้างคาใจ
ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ

เธอคงไม่รู้จะทำอย่างไรก็ไม่รู้
ว่ามีฉันนั้นคอยห่วงใย
แต่จะยากเย็นเพียงไร
จะอีกนานซักเท่าไร
อยากให้เธอรู้และให้เธอเข้าใจ

เธอคือลมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะเธอคือมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะเธอคือลมหายใจ เธอคือทุกสิ่ง
จะให้ทิ้งอะไรก็ยอมทุกอย่าง
จากนี้ ใจฉันจะมีแต่เธอ

ก็เพราะวันและคืน
ทำให้ต้องฝืนใจตัวเองเรื่อยมา
เจอะเธอครั้งใดไม่เคยล้า
จะบอกความในใจ

เฝ้าคิดถึงเธอ
ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่
เป็นคำถามที่ค้างคาใจ
ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ

เธอคงไม่รู้จะทำอย่างไรก็ไม่รู้
ว่ามีฉันนั้นคอยห่วงใย
แต่จะยากเย็นเพียงไร
จะอีกนานซักเท่าไร
อยากให้เธอรู้และให้เธอเข้าใจ

เธอคือลมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะเธอคือมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะเธอคือลมหายใจ เธอคือทุกสิ่ง
จะให้ทิ้งอะไรก็ยอมทุกอย่าง
จากนี้ ใจฉันจะมีแต่เธอ”
   พี่เชษฐ์ก็ช่วยผมร้องท่อนฮุคด้วย แล้วก็ทำท่าโย่วๆ เหมือนพวกฮิพฮอพ (กว่าจะจบเพลงก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน) ตอนที่เราสองคนร้องเพลงกัน เหมือนเรารู้กันว่า ผมร้องเพลงนี้ให้พี่เค้า พอจบเพลงก็มีเสียงปรบมือกันกราว ทำให้ผมกับพี่เชษฐ์หน้าบานเหมือนจานดาวเทียมเลยล่ะครับ ตอนนั้น พอลงจากเวทีแล้ว ก็มีคนขึ้นไปร้องต่อ  ดูๆแล้ว ถ้าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเค้าคงจะคิดว่าเป็นงานเลี้ยงรวมรุ่นมากกว่างานแต่งงาน พอสักประมาณห้าทุ่ม พวกเราก็ออกจากงานครับ (ตออนนี้พุงกางเลยทั้งสองคนน่ะคัรบ) พี่เชษฐ์เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เลยยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตอนนั้นก็ห้าทุ่มครึ่งแล้ว พี่เชษฐ์เลยจอดรถไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วก็พาผมเขาไปขึ้นรถไปฟ้าที่สถานีศาลาแดง ไปยังสถานีตากสิน พอลงจากสถานีแล้วพี่เชษฐ์ก็พาผมขึ้นไปบนสะพานตากสิน ตอนนี้คนก็เริ่มที่จะมากันแล้วครับ บางคนก็จอดรถบนสะพานนั่นแหล่ะ
   “พี่มาทำอะไรเหรอครับ”  ผมถาม
   “เออน่า ไม่พาเสียตัวหรอกครับ” ดูพี่เขาตอบผม
   “เหอๆ กล้าเหรอครับ” ผมท้า พร้อมกับทำหน้าตากวนทีน
   “ฮ่าๆๆๆ” พี่เชษฐ์หัวเราะขึ้น แล้วเอามือมาขยี้หัวผม ขณะนี้ข้างล่างก็กำลังมีการนับถอยหลังแล้ว
   “10…9…8…7…6…5…4…3…2…1..สวัสดีปีใหม่ Happy new year คร๊าบบบบบบบบบบบบบ” เสียงพิธีกรประกาศ พอจบเสียงนั้นแล้ว ผมก็เห็นพลุดอกไม้ไฟนับร้อยๆลูก แตกกระจายบนท้องฟ้ารอบๆตัวผม  มีเสียงตะโกนสวัสดีปีใหม่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ  ซึ่งก็เป็นเสียงของคนที่มาดูดอกไม้ไฟ ตะโกนอวยพร คนที่มาดูด้วยกันนั่นเอง
   “Happy new year ครับ” พี่เชษฐ์กระซิบที่ข้างหูผม  พร้อมกับเอาแขนมาโอบตัวผมไว้
   “สวยจังอ่ะคัรบ พี่”  ผมบอกกับพี่เชษฐ์ไป
   “อื้ม พี่ว่ามันสวยกว่าทุกปี อาจเป็นเพราะมีโมมาดูด้วยนะเนี่ย”  พี่เชษฐ์ยิ้มมาให้ผมพร้อมกับส่งสายตาอันอบอุ่นมาให้ แม้ว่าลมหนาวที่กำลังพัดมา ก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของผมที่กำลังอุ่นไปด้วยความรู้สึกรักเย็นลงไปได้ เห้อ อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

jokirito

  • บุคคลทั่วไป
คุณโมคับ  :sad4:
ไม่ต้องรีบก็ได้

ผมอ่านไม่ทันอ่ะ
ค่อยๆลงนะคับ อิอิ o13

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

Donald~duck

  • บุคคลทั่วไป
สนุกๆ คุณโมขยันโพสมาก  o13

+1 ให้ค่ะ

แต่...จบเศร้าใช่มั้ยค่ะ  :o12: :sad4:

มาต่ออีกนะค่ะ  :L2: เป็นกำลังใจให้  :กอด1:


wisper

  • บุคคลทั่วไป
ความสุขของคนอ่านจริงๆ

พอดีจะอัพเรื่องของตัวเอง

แต่ก็กดเข้ามาอ่านเรื่องของคุณโมซะก่อน



ในฐานะที่เราก็เป็นคนเขียนเหมือนกัน

ก็ขอชื่นชมคุณโมนะ

ที่อัพได้ต่อเนื่องมากๆ

(ไม่เคยทำได้เลย)

มากจนอยากจะร้องครวญ

อ่านไม่ทันเลย  (แต่ ณ ตอนนี้ทันแล้ว)

อ่านจนหยุดไม่ได้ รวดเดียวเลย

เสียดายมากที่น่าจะติดตามตั้งนานแล้ว

จะได้ รี ไปอ่านไปเรื่อยๆ



ปกติจะสนใจพวกเรื่องเล่าอยู่แล้ว

เพราะจะไม่ค่อยหวือหวา

หรือว่า เรท มากๆ

ที่สำคัญก็คือทำให้รู้สึกว่าความรัก

มันเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้

อ่านแล้วรู้สึกมีความหวังดี

รู้สึกดีๆ  มีความสุข  สดชื่นที่ได้อ่าน

เรื่องของคุณโม  


น่ารักทั้งคุณโมและผู้กองเลย

แต่สนุกมากในตอนแรกนะ

ที่ต่างฝ่ายต่างชอบกัน

แต่ก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึก

เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรับได้หรือไม่


ผู้กองน่ารักมาก

เข้าใจนะ ที่ไปจูบโม

เพราะอารมณ์พาไป

(วันที่โมซักผ้าน่ะ)

แล้วผู้กองก็รู้สึกผิด

ถอยห่างไปเลย

เพราะกลัวโมจะเกลียด

เป็น พระเอก ในอุดมคติมากๆ

สุภาพบุรุษ อ่อนโยน ซื้อสัตย์

ได้ทุกอย่างจริงๆ



ขอยกย่องคุณโมจริงๆ

กับเรื่องๆนี้  ไม่ว่าจะฐานะคนอ่าน

หรือฐานะคนเขียนด้วยกัน



ไม่ค่อยจะมีเรื่องหวานซึ้งให้อ่านนานแล้วนะเนี่ย

นานมากแ้ล้วที่เปลี่ยนจากคนอ่านมาเป็นคนเขียน

แล้วก็ไม่มีความสุขกับการอ่าน  แต่ตอนนี้

เรื่องของคุณโมทำให้จำได้(หลังจากลืมไปนาน)

ว่าความสุขจากการเป็นผู้อ่านมันเป็นอย่างไร



ขอบคุณจริงๆ  จะติดตามจนจบนะ   :L1:



+1 ให้คนเขียน ด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2009 14:30:53 โดย wisper »

ออฟไลน์ MiTo™

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ชอบมากมายเลยครับ

เป็นกำลังใจให้นะครับบบ


ISACBTMN

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้นะ

มีลางว่าต้องเศร้า ฮือๆ

jokirito

  • บุคคลทั่วไป
พอคุณโมหยุดโพส ผมก็อ่านทันเลยล่ะ  :m4:
เป็นแฟนตำรวจคงปวดใจแท้
เพราะงานเค้าเสี่ยงอ่ะเนอะ
ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่
เพื่อนผมมีแฟนเป็นตำรวจตระเวนชายแดนอ่ะคับ
วันๆ อยู่แต่ในป่านานๆจะเจอกันทีก็เดินทางกันหลายชั่วโมง
แต่มันก็รักกันครับไม่เคยนอกใจเลย
แถมไม่รู้ว่าจะถูกส่งไปใต้เมื่อไหร่ด้วย :sad4:
นั่นล่ะครับ
ในเมื่อใจตรงกันแบบนี้
ก็ต้องใช้เวลาที่มีร่วมกัน
ให้คุ้มค่าและมีความสุขนะคับ
เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
เราจะได้ไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง
ขอให้ความสุขสถิตย์อยู่กับทุกท่านนะครับ :m18:

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณสำหรับ ทุก Reply ครับ โดยเฉพาะของคุณ Wisper อ่านแล้วรู้สึกตัวลอยด้วยความดีใจเลย และคุณ Jokirito ขอบคุณมากๆ ครับ ตอนนี้ทุกคนก็คงจับไต๋กันได้แล้วล่ะครับ ผมก็ดันปล่อยเป็ดไปตัวเบ้อเร่อเลย อ่ะ อ่านกันทันหมดแล้วนะครับ มาต่อกันดีกว่า R U Ready! Go

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่สิบเอ็ด  กลับบ้านเรา รักรออยู่

มกราคม 2549
   หลังจากปีใหม่ได้กี่วัน ผมก็วางแผนว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านครับ ที่ผมไม่ได้ไปก็เพราะว่า ผมไม่ชอบไปตอนคนเยอะๆน่ะคัรบ รู้สึกว่าต้องไปแย่งคนอื่นไปยังไงไม่รู้ เลยขอกลับอย่างสบายๆหน่อย (ทำยังกะบ้านอยู่ไกล แค่อยุธยา) ผมก็เลยบอกกับพี่เชษฐ์กับพี่ศักดิ์ ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านในสุดสัปดาห์นี้
   “จริงสิครับ งั้นขอพี่ศักดิ์ไปด้วยนะครับ คุณน้องโม”  หา หูผมคงไม่ฝาดนะ  ทำไมวันนี้พี่ศักดิ์พูดเพราะจัง
   “งั้นพี่ขอไปด้วยแล้วกัน อยากไปต่างจังหวัดพอดี” พี่เชษฐ์เลยขอไปด้วย ก็ดีเหมือนกันแฮะ ไม่ต้องไปรถประจำทาง งั้นเป็นอันตกลงครับ ว่าสุดสัปดาห์นี้พวกพี่ๆสองคนจะไปเที่ยวบ้านสวนกัน ผมเลยโทรไปบอกพ่อกับแม่ซะหน่อย
   “พ่อครับ หนูเอง” ผมมักเรียกตัวเองว่าหนูเวลาอยู่กับพ่อแม่ครับ “เดี๋ยววันเสาร์อาทิตย์นี้เน้อ ผมจะกลับบ้าน เดี๋ยวจะเอาลูกเขยไปกราบด้วยนะครับ “ พอได้ยินแบบนั้น ผมก็เห็นพี่เชษฐ์กับพี่ศักดิ์สะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว
   พอเช้าวันเสาร์พวกผมก็ออกจากบ้านเวลาเช้าตรู่ครับ เพื่อที่จะไปถึงไวๆ จะได้มีเวลาอยู่ที่บ้านเยอะๆ ขับแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงบ้านผมแล้วครับ บ้านผมเป็นบ้านสวน ติดกับคลองซึ่งเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำในคลองที่บ้านผมยังใสอยู่ครับ ยังไม่ดำปี๋เหมือนในกรุงเทพ  ตัวบ้านก็เป็นบ้านไม้ทรงไทย ซึ่งปลูกมาตั้งแต่สมัยปู่ทวดแล้วล่ะคัรบ แต่ยังแข็งแรงอยู่ เพราะเป็นไม้สัก พอมาถึงรุ่นพ่อก็ได้ดูแลอย่างดีครับ เวลาหน้าร้อนก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ครับ เพราะหันหน้าออกทางคลอง มีลมพัดอยู่ตลอด ตอนที่ผมอยู่บ้านผมก็ชอบมานอนที่แคร่ใต้ถุนบ้านนี่แหล่ะครับ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ  หรือนั่งดูแม่ทำขนมทำอาหาร แม่ผมทำอาหารเก่งครับ มีคนจ้างให้ทำขนม หรืออาหารไทยที่ตอนนี้หากินยากมาก หรือต้นตำหรับจริงๆ แม่เคยเล่าว่า ยายทวดของผมท่ายเคยเป็นข้าราชบริพารสมเด็จเจ้าจอมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ต้องอยู่ในรั้วในวัง พอได้แต่งงานกับตาทวดก็ ซึ่งตอนนั้นเป็นมหาดเล็กอยู่ในวังเหมือนกัน ก็ได้ออกมาอยู่เรือน ซึ่งคุณยายทวดผมก็มีลูกสาวซึ่งก็คือคุณยายผม ท่านก็ได้สอนวิชาการเรือนในวังให้ จนคุณยายผมแต่งงานแล้วก็มีคุณแม่ผม คุณยายก็เลยสอนวิชาต่างๆให้แม่ผมเป็นอีกทอดหนึ่ง  คุณแม่ผมก็ยังเล่าอีกว่า ได้แต่งงานกับคุณพ่อก็เพราะวิชาในวังนี่แหล่ะ ตอนนั้นพ่อผมยังเป็นหนุ่มๆอยู่ ก็ได้จีบสาวไปทั่ว ได้ไปกินข้าวบ้านโน้นที บ้านนี้ที แต่ไม่มีลูกสาวบ้านไหนทำกับข้าวอร่อยเหมือนแม่ผม เลยให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเลย แต่แปลกครับ พี่สาวผมทำกับข้าวไม่เป็นเลย เพราะแม่เคยสอนแต่พี่กวาเค้าไม่เอาก็เลยทำไม่เป็น ซึ่งตอนเด็กๆพี่กวาจะติดพ่อ ห้าวเหมือนลิงทะโมน แต่จะผิดกับผมซึ่งจะเรียบร้อยกว่า (แต่ไม่ได้ออกอาการตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงนะครับ) ผมก็จะติดแม่ อยู่กับแม่ตลอด เลยมีเวลานั่งดูแม่ทำอะไรต่าง ซึ่งก็จะสอนผมอยู่เรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้ผมได้วิชาของแม่มากเลยทีเดียว ตอนเด็กแทนที่จะวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วๆกลับมานั่งอยู่แต่ในครัวดูแม่ทำข้าวตลอด อ้อ พ่อผมเป็นกำนันครับ พ่อเป็นคนใจกว้าง ชอบช่วยเหลือคน เวลามีคนมาขอความช่วยเหลือ ท่านก็ช่วยเต็มความสามารถ แต่เรื่องหวงลูกสาวน่ะที่หนึ่งเลย แม่ผมก็เคยพพูดเรื่องพ่อให้ฟังด้วยนะคัรบ ว่าแต่ก่อนพ่อผมเป็นคนเจ้าชู้มาก แต่เพิ่งมาเลิกเจ้าชู้ก็ตอนที่มีพี่กวานั่นแหล่ะครับ ท่านบอกว่า กลัวบาปกรรมจะตกถึงลูก กลัวจะถูกผู้ชายเจ้าชู้หลอก  บ้านผมก็มีอยู่กันแค่นี้แหล่ะครับ สี่คนพ่อแม่ลูก ถึงเราจะไม่มีรวย แต่เราก็อยู่กันด้วยความรักครับ คนแถวนี้ก็มีน้ำใจ ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว อ่ะ นอกเรื่องไปไกลแล้ว พวกผมก็ขับรถไปถึงบ้านเกือบๆแปดโมงเช้านั่นล่ะครับ  พอไปถึงก็พบกับภาพที่เจนตาคือแม่ผมนั่งทำขนมอยู่ใต้ถุนบ้าน พอผมลงจากรถ ผมก็รีบลงไปกราบแม่แล้วกอดให้หายคิดถึง  กลิ่นน้ำอบของแม่ยังติดจมูกผม ไม่เคยเปลี่ยน ได้กลิ่นแล้วรู้สึกอบอุ่น เหมือนตอนที่อยู่กับบ้านสวน พี่ศักดิ์กับพี่เชษฐ์ก็ตามลงมาจากรถแล้วเดินตามผมมายังใต้ถุนบ้าน

HuaTangMo

  • บุคคลทั่วไป
“อ้าว นั่นใครล่ะหนู” แม่ผมถาม
   “อ๋อ พี่ศักดิ์ กับ พี่เชษฐ์ ครับ พี่ข้างบ้าน เค้าช่วยดูแลหนูน่ะแม่” ผมแนะนำพี่ทั้งสองให้แม่รู้จัก
   “เออ ไหว้พระเถอะจ้ะ แหม๊ คนกรุงเทพนี่มันหน้าตาดีจังนะ ผิวพรรณก็ดี มิน่า ไอ้กวามันถึงชอบบ่นถึงบ่อยๆ แล้วกินข้าวกินปลายังล่ะเนี่ย มาตั้งไกล เดี๋ยวแม่ไปหาอะไรให้กินนะ อ่ะ ไอ้หนู ดูหม้อขนมแทนแม่ที” ผมเลยดูหม้อน้ำเชื่อมที่จะใช้ทำขนมพวก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง แทนแม่ โดยมีพี่เชษฐ์กับพี่ศักดิ์ กำลังนั่งดูอยู่
   “ไหนดูซิ ไม่ได้ทำนานแล้ว ฝีมือตกหรือเปล่า” พูดจบผมก็เอากะละมังใส่ใข่ไก่ที่แยกไข่ขาวออกไป ตีให้ขึ้นฟู แล้วก็ใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปผสม ตีให้เข้ากัน จนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน พอน้ำเชื่อมในหม้อทองเหลืองเดือดจนเป็นฟองแล้ว ผมก็เริ่มหยอดไข่แดงลงในหม้อโดย เอามือลงไปกำไข่ที่ผสมไว้แล้ว พยายามให้ไข่ไหลออกจากรูกำปั้น แล้วใช้นิ้วหัวมือบีบให้เป็นรูปหยดน้ำ ซึ่งต้องทำอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ทองหยอดจะได้เป็นลูกสวย  เออ ฝีมือยังไม่ตกแฮะ พี่ศักดิ์กับพี่เชษฐ์นั่งดูผมแล้วทำหน้าทึ่งๆ พอลูกทองหยอดสุกพร้อมกันแล้ว ผมก็ช้อนเอาออกจากหม้อ เอาไปใส่ในหม้อน้ำเชื่อมที่ใสกว่า เพื่อให้ลูกทองหยอดเย็นตัว พอลูกทองหยอดเย็นแล้วก็ตักออกจากน้ำเชื่อม พักไว้สักครู่เป็นอันเสร็จ พอนั่งทำได้สักครู่ แม่ผมก็ยกสำรับกับข้าวลงมาให้ แล้วเข้ามาดูผลงานของผม
   “เอ้อ ฝีมือหนูยังไม่ตกนี่นา ดีแล้ว งานบุญปีนี้จะได้มีคนช่วยแม่ทำขนม” 
   “งานบุญฉลองหลวงพ่อใหญ่น่ะเหรอแม่” ผมถาม แม่ก็พยักหน้า ผมเลยละออกจากหม้อขนมให้แม่ผมทำต่อ แล้วล้างไม้ล้างมือ นั่งลงกินข้าวสำรับที่แม่ผมจัดมาให้ แล้วก็ตักข้าวให้กับพี่ศักดิ์ กับพี่เชษฐ์  กับข้าววันนี้มีน้ำพริกกุ้งเสียบ แกงส้มดอกแค และก็ปลาช่อนแดดเดียวย่างตัวโตๆ แล้วก็มีผักสดแนม ถึงจะเป็นอาหารพื้นๆแต่ฝีมือแม่ ทำให้พวกผมสามคนกินข้าวกันหมดหม้อเลยทีเดียว  พอกินเสร็จแล้วผมก็เอาสำรับจานชามไปล้างที่หลังบ้าน โดยมีพี่เชษฐ์ตามไปช่วย ปล่อยให้พี่ศักดิ์ นั่งเป็นลูกมือแม่หัดทำขนมอยู่ตรงนั้น
   “บ้านโมนี่น่าอยู่อ่ะ แม่ก็ใจดีจัง ทำกับข้าวอร่อยด้วย”  พี่เชษฐ์พูดขึ้นขณะที่กำลังช่วยผมล้างจานชามอยู่
   “อยากเป็นลูกชายบ้านนี้มั้ยล่ะครับ เดี๋ยวผมขอแม่ให้” ผมแหย่พี่เชษฐ์
   “ได้ก็ดีสิ แต่เอ ไม่อยากเป็นลูกชายอ่ะ อยากเป็นลูกเขยมากกว่า” พอพี่เชษฐ์พูดจบก็แอบหอมแก้มผมไปทีนึง โชคดีที่ตุ่มมังกรใบใหญ่บังไว้ อิอิ พอผมกับพี่เชษฐ์ล้างจานเสร็จ ผมก็ไปนั่งทำขนมกับแม่ต่อ โดยมีพี่สองคนเป็นลูกมือช่วยทำ (ที่จริงช่วยกินมากกว่าครับ) พี่ศักดิ์ดูท่าทางถูกอกถูกใจแม่ผมมากทีเดียว  คงเพราะเอาใจเป็น เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง เวลาคุยกับแม่ผมก็ทำให้แม่หัวเราะได้ตลอด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด